เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส
8) บทที่ 7 กะลาสีเรือผู้รู้ใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 7
กะลาสีเรือผู้รู้ใจ
หลังจากเธอได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติจากเจ้าชายอัคนี แห่งเมืองปัจฉิมเนรดี...ตำแหน่งขณะนี้คือ กะลาสีเรือผู้รู้ใจ...ตำแหน่งที่ได้รับมันทำให้ท่านพี่อัสรัน...พูดน้อยลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าชายอัคนี...เธอเองก็เช่นเดียวกันหากพูดน้อยเท่าไร...เจ้าชายอัคนีก็มีโอกาส...เอาคำพูดที่เธอหลุดปาก...ย้อนเอาประโยชน์จากคำพูดเธอน้อยลงเช่นกัน....พระองค์จะทรงดีพระหทัยเมื่อทำประโยชน์ได้สำเร็จจากคำพูดของเธอ...เธอและสองบุรุษเดินใกล้จะถึงเรือ...สหายตัวน้อยของเจ้าชายอัคนี...เป็นกระรอกแคะวิ่งกระโดดจากกิ่งไม้มาที่ไหล่...มันยืนสองขา...จ้องหน้าบุรุษทั้งสองที่เดินเคียงข้างเธอมาด้วย..เธอต้องการจะรู้ชื่อกระรอกน้อยและตำแหน่งของมันในเรือ...มันมีตำแหน่งเป็นกะลาสีเรือผู้รู้ใจเช่นเธอหรือไม่...
“เจ้าคงไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกะลาสีเรือผู้รู้ใจเช่นข้าใช่มั้ย...เจ้ากระรอกน้อย”
เธอพูดกระซิบเบา..ๆ ให้ได้ยินเสียงเฉพาะเธอและกระรอกน้อย...เธอรู้ไม่มีทางที่กระรอกน้อยมันจะตอบเธอได้...เธอเพียงต้องการพูดเล่นกับมันเท่านั้น..แต่เจ้าชายอัคนีหูไวยิ่งนัก...
“เปล่าหรอก...แม่นางกะลาสีเรือผู้รู้ใจ...ของเจ้าชายอัคนี..ข้ามีตำแหน่งเป็นยามประจำเรือ...และข้ามีชื่อว่าความหวัง...ข้ายินดีที่ได้รู้จักสาวน้อยผู้แสนสวย...”
เธอหันหน้ามอง...เจ้าของเสียง...เจ้าชายอัคนีผู้ให้เสียงพากย์ประกอบ...ได้ตอบคำถามแทนกระรอกน้อย...ครั้งนี้พระองค์ไม่ทรงหัวเราะเสียงดังเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ทรงยิ้ม...หนวดชี้ขึ้นฟ้า...อย่างสนุก...ที่ได้แกล้งเธอ...
“สาวน้อย...เจ้าต้องการรู้สิ่งใดถามมันได้...ข้ายินดี...ตอบแทนสหายน้อยของข้า”
“องค์อัคนี...ข้าขอขอบคุณแทนกระรอกน้อยตัวนี้...ที่ท่านรู้ใจมัน...และเข้าใจในและความคิดของมัน...จนสามารถตอบเรื่องโกหกแทนมันได้”
“เจ้ากล่าวหาว่าข้ากล่าวเรื่องโกหกแทนกระรอกอย่างนั้นหรือ....สาวน้อย”
“เพคะ...องค์อัคนี...ท่านก็ทรงรู้องค์เอง... ท่านเป็นนักแต่งเรื่องที่เก่งมาก...จนข้าไม่รู้เรื่องไหนท่านพูดจริงพูดเท็จ...โดยเฉพาะเมื่อท่านพูดแทนเจ้ากระรอกน้อยตัวนี้...ข้าไม่คิดจะเชื่อคำพูดท่านสักนิด...อย่างนั้นอย่าได้พูดแทนมันจะดีกว่า”
เมื่อเธอพูดจบ..เธอและกระรอกน้อยเดินหน้าต่อไปส่วนองค์อัคนี..หัวเราะเสียงดังด้วยเหตุผลเช่นไรเธอไม่ไคร่จะสนใจ...หากเธอต้องตามหาคำตอบจากเสียงหัวเราะขององค์อัคนี...ในทุกครั้งที่หัวเราะ...เธอคงต้องบ้าตายแน่... สุดท้ายเธอและสองบุรุษ และหนึ่งสหายสัตว์เลี้ยงของเจ้าชายก็เดินมาจนถึงเรือ....เธอมองหน้าท่านพี่อัสรันเพื่อขอห่อสมุนไพรและเห็ดที่เธอได้เก็บไว้เพื่อปรุงอาหารให้ท่านพี่อัสรันได้ทาน..ท่านพี่อัสรันเข้าใจความหมายส่งมันให้แก่เธอ...ท่านพี่อัสรันต้องการตามเธอไปยังห้องครัว...แต่เจ้าชายอัคนีทรงเรียกกะลาสีเรือพาเธอเดินไปแทน...เธอไม่เข้าใจทำไมองค์อัคนีทรงทำเช่นนั้น...และเธอจะหาคำตอบภายหลัง...เธอไปถึงห้องครัวและทำการปรุงเห็ดที่เก็บมาทันที...และเวลาก็ภายไปอย่างรวดเร็ว...
........................................
หลังจากสาวน้อยเดินหายไป...สองบุรุษ...หนึ่งเจ้าชาย...หนึ่งองครักษ์...ยืนมองสาวน้อยเดินเข้าห้องครัว...เจ้าชายมองหน้าองครักษ์สหายพระอนุชา...กำลังมีความรัก...มอบให้แก่สาวน้อยนามว่าบุหลัน...องครักษ์นอกจากจะมีความรักแล้วยังมีความลับของสาวน้อยที่ไม่ต้องการบอกแก่พระองค์อีกด้วย...และสักวันพระองค์จะต้องรู้ให้ได้...แต่วันนี้พระองค์จะทำไม่สนใจ...ไม่นานองครักษ์ของพระอนุชาต้องยอมบอกความลับของสาวน้อย...แก่พระองค์แน่...เจ้าชายอัคนี...มองกะลาสีเรือซ้อมต่อสู่อาวุธกันบนเรือ ณ สนามประลอง มีเสียงเชียร์พนันเงิน ทอง เสียงดัง...พระองค์มองหน้าองครักษ์...และต้องการทดสอบฝีมือดาบจะเก่งกาจสักปานใด..
“อัสรัน...ข้ามีข้อเสนอให้แก่เจ้า...”
องครักษ์มองพระพักตร์พระองค์...อย่างสงสัยไคร่รู้ พระองค์พูดต่อทันที
“ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นองครักษ์ประจำตัว...ของสาวน้อยที่เจ้ารัก...หากเจ้าประลองดาบ..ชนะข้าได้...เจ้าจะประลองหรือไม่”
เจ้าชายอัคนีรู้คำตอบก่อนที่จะถามองครักษ์...นามว่าอัสรัน...เสียอีก..คำตอบคือต้องตอบตกลง ประลองดาบกับพระองค์แน่...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“องค์อัคนี...ข้าไม่ประลองเพราะเหตุผล...ที่ท่านเสนอมาหรอกนะ...แต่หากท่านต้องการจะประลองดาบกับข้า...ข้ายินดีจะเป็นคู่มือให้แก่ท่าน”
“ดีมาก..อัสรัน...ข้าถือว่าเจ้าตกลงรับข้อเสนอข้า...ถึงเจ้าจะไม่พูดออกมาตรงๆ ก็ตาม...”
พระองค์ทรงหัวเราะเสียงดัง...แล้วเดินนำองครักษ์ไปยังลานประลองทันที..กะลาสีในลำเรือต่างสนใจ...บุรุษทั้งสอง...ที่เดินเข้ามายังลานประลองและต่างรู้เจ้านายของตนกำลังจะประลองดาบกับสหาย...ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้อง...เพราะกำลังจะได้เห็นฝีมือดาบ...ที่นานๆ ครั้งเจ้านายจะลงประลองเสียที....และไม่มีผู้ใดในลำเรือสามารถชนะได้...แล้วครั้งนี้เจ้านายของตนจะสามารถชนะได้หรือไม่...ทุกคนต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อ...ทุกคนต่างวางเงินเดิมพันกันอย่างมากมาย....ต่างก็วางเงินเดิมพันข้างเจ้านายตนเองทั้งนั้น...ในครั้งนี้เจ้ามือพนัน...คว่ำขันปิดกล่องพนันไม่รับแทง...บุคคลทั้งหมดในลานประลองต่างเสียใจ หมดสนุกไปตามกัน...เสียงหัวเราะอย่างสนุกคือเสียงองค์อัคนี...เพราะพระองค์ทรงหัวเราะ...โดยไม่มีใครทราบสาเหตุอยู่แล้ว...กะลาสีทุกคนหน้าเครียดมองเจ้ามือพนันอย่างสุดจะทน...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีใครกล้าเป็นเจ้ามือในการประลองของเจ้านายแน่...ต่างรู้หากใครเป็นก็หมายความถึงต้องเสียเงินแน่นอน...
เมื่อเสียงหัวเราะของเจ้านายจบลง...สองบุรุษต่างถืออาวุธที่ถนัดยืนเผชิญหน้ากัน ต่างต่อสู่กันด้วยพลังของดวงตาของราชสีห์..มองหาจุดที่จะลงดาบแรกเข้าหากัน ไม่นานเสียงอาวุธมีคมสองเล่มก็กระทบกันเสียงดัง..รัว...ติดๆ... กันเหมือนเสียงปืนกล การรุก และรับ ไม่ว่ามาจากทางด้านใดสองบุรุษ.. คะเน และคาดการได้อย่างแม่นยำ...เวลาการต่อสู่ผ่านไปอย่างยาวนานทั้งสองบุรุษหมดแรง...มือที่ถืออาวุธทั้งสองข้างยกดาบไม่ขึ้น...องค์ชายอัคนีทรงยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แก่องค์รักษ์...พร้อมวาจากล่าวร้ายองครักษ์ของพระอนุชา
“อัสรันเจ้ามันชั่วร้าย...ยอมแพ้ข้าสะดีๆ”
ทรงตรัสแก่องครักษ์เสียงหอบหมดแรงแต่ยังทรงฝืนตรัส....องครักษ์หนุ่มยิ้มรับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และคำกล่าวร้าย...ส่ายหน้าปฏิเสธ...ไม่ได้ตอบโต้ด้วยคำพูดใดออกไป...เจ้าชายอัคนีทรงตรัสต่อ...
“เจ้าไม่ปฏิเสธ...ยอมรับกับข้าแล้วใช่มั้ยอัสรัน...ว่าเจ้ามันชั่วร้าย...หากเป็นเมื่อก่อนเจ้ายอมแพ้ข้าไปนานแล้ว...เจ้าเล่ห์เหลี่ยมมากนัก...สุดท้ายข้าก็ได้รู้ฝีมือดาบเจ้าน่ากลัวเช่นไร...หากร่างกายเจ้าสมบูรณ์แข็งแรงเป็นปกติข้าคงพ่ายแพ้เจ้าไปนานแล้ว...ร่างกายเจ้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันสามารถต่อสู่กับข้าได้อย่างสูสี...และอาจจะสามารถชนะข้าได้อีก...คนที่ข้าต่อสู่แล้วไม่สามารถชนะได้มีแค่คนเดียวคือเจ้าชายไวยาวิณ...แต่ตอนนี้คงร่วมเจ้าเดียวอีกคน...อัสรัน...”
องครักษ์ไม่ได้พูดตอบโต้พระองค์แม้แต่น้อย...แต่พระองค์ทรงรู้ดีหากต่อสู่กันต่อไปคนที่ต้องพ่ายแพ้คือพระองค์แน่นอน...องครักษ์ตรงหน้าได้ทำการต่อสู่เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาวที่ตนหลงรักจนสุดใจ...นอกจากพลังกายแล้วองครักษ์ยังเปลี่ยมด้วยพลังจิตใจที่จะต่อสู่ได้อีกยาวนอน...ส่วนพระองค์ยังไม่กล้าที่จะมอบหัวใจให้แก่ใครอย่างสุดใจเท่าบุรุษนามว่าอัสรัน...ผู้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระองค์...ความเจ็บปวดในรักครั้งเก่ายังทิ้งสะเก็ดแผลไว้ เวลาช่วยรักษาไปได้มากแล้ว และอีกไม่นานพระองค์ ทรงคิดว่าจะสามารถที่จะรับความผิดหวังครั้งใหม่ได้ แม้จะต้องเจ็บปวดอีกครั้งก็ตาม...แต่ในครั้งนี้พระองค์คงต้องยอมให้แก่บุรุษตรงหน้าพระองค์ไปก่อนแล้วกัน...
“อัสรันผู้ชั่วร้าย...วันนี้ถือว่าเราเสมอกัน...ข้าเอาเปรียบเจ้าเรื่องสภาพร่างกาย ..วันไหนเจ้า สมบูรณ์...แข็งแรง...ข้าถึงจะยอมรับในการประลองของเรา...”
เมื่อพระองค์ตรัสจบทรงยืดตัวขึ้นตรงหันหลังโยนดาบอาวุธในการประลองให้แก่กะลาสีเรือที่ยืนดูการประลองอย่างตาค้าง...ประเชื่อสายตา...เจ้านายยอมกล่าวยุติการประลอง...แต่ที่พวกเขาไม่เสียใจเลยก็คือการต่อสู่ที่ดุเดือดของเจ้านายและสหาย มันช่างงดงาม เหนือคำบรรยาย...ได้จดจำกันไปอีกนาน...
อัสรัน..มององค์อัคนีเดินจากไป...ตนเองมองรอบตัวเห็นกล่องลังไม้เก่าด้านหลัง ถอยหลังนั่งลงอย่างหมดแรง...สายตามองท้องฟ้า เห็นก้อนเมฆลอยเลื่อน...นั่งภาวนาดวงตาใกล้ปิด...ต่อท้องฟ้าเบื้องบน... ขอจงมอบพลังแก่ข้า...อัสรันผู้นี้ด้วย ข้าเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก...ข้าต่อสู่เหนื่อยล้ามาแต่เยาว์วัย...ข้าไม่เคยวอนขอสิ่งใดจากใคร...แต่ครั้งนี้มอบมันให้แก่ข้าด้วย...ข้าขออ่อนวอนแก่พระเจ้าเบื้องบน...แล้วดวงตาองครักษ์ก็ปิดลง...จากความเหน็ดเหนื่อย...เข้าสู่นิทรายังกล่องลังไม้เก่า ณ สนามประลองนั้นเอง
............................................................
คำอ่อนวอนขององครักษ์หนุ่ม...ได้รับการตอบรับในเวลาต่อมา...เสียงลำนำบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ล่องลอยเข้าสู่นิทราขององครักษ์นามว่าอัสรัน...มันช่างเป็นบทเพลงของนางฟ้าที่แสนไพเราะนัก...มันได้เพิ่มเติมพลังที่เสียไปให้คืนกลับมาอีกครั้ง องครักษ์หนุ่ม นอนนิทราฟังเสียงพิณ และเสียงร้องคลอ ที่อ่อนหวานน่าฟัง...จนไม่ต้องการจะตื่นจากนิทราอีกเลย...ทำไมเสียงนี้มันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก...มันคือคำถามขององครักษ์ที่อยู่ในระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น...แต่ก็นอนหลับตาฟังเสียงลำนำเพลงต่อไป...
“ศศิธร แสงนวล เด่นนภา สุดอ่อนล้า ยังรัก เสน่หา
หมื่นเพลา แสนกาล หทัยข้า ยังค้นหา แสงงาม คือแสงจันทร์
ยอดหทัย ลิขิต ชีวิตพี่ ชาติภพนี้ ปองรัก เจ้าบุหลัน
พี่เคียงคู่ แสงจันทร์ เมื่อนานวัน ได้แบ่งบัน ไอรัก เสน่หา
มิถนอม หทัย รักแสงจันทร์ อภัยพี่ แลคอย จะตามหา
หมื่นชาติภพ แสนภพ ยอดชีวา สุริเยศ สุริยะ สุริยา เฝ้ารอ...”
“วราทิตย์ เปล่งแสง ปฐพี ส่วนน้องนี้ สู่สวรรค์ มาลา
สุริเยศ สุริยะ สุริยา เสน่หา วราทิตย์ มิต้องรอ
หมื่นชาติภพ แสนภพ มิอภัย ดวงหทัย เจ็บปวด มิร่วมหอ
กี่เพลา แสนกาล อย่าเฝ้ารอ บุหลันขอ มอบรัก ภพชาติเดียว
เมื่อน้องรัก พี่เมิน เจ็บหทัย แสนปวดใจ หมดรัก สวามี
เกิดภพใหม่ เจอหน้า ละจองเวร สุริเยศ สุริยะ สุริยา อย่ารอ....”
หลังจากการประลองจบลงเหล่ากะลาสีเรือแยกย้ายกันไปจากลานประลอง ปล่อยให้องครักษ์นามว่าอัสรัน...นอนหลับตาพิงลังไม้เก่านอนหลับเป็นเวลาหลายชั่วโมง...บุหลันสาวน้อยปรุงอาหารให้แก่องค์อัคนี ที่ร้องขอ และท่านพี่อัสรัน ผู้ถูกใจในนิสัย และยังทำเผื่อให้แก่องค์สุริยะ ผู้เจ็บไข้ จากหัวเข่า...
เมื่อได้เวลาของอาหารมื้อนี้...สาวน้อยเดินตามหาท่านพี่อัสรันก่อนผู้ใด สาวน้อยรู้แก่ใจดี ท่านพี่อัสรันเหน็ดเหนื่อยยิ่งนักตั้งแต่เช้าจรดเย็นย่ำยังไม่ได้พัก ในยามเกิดพายุได้พยุงองค์สุริยะลอยคอเพื่อหนีตาย ยามขึ้นฝังคอยพยุง และหาอาหารให้แก่องค์สุริยะ ยามเธอต้องการอาบน้ำท่านพี่อัสรันตามไปเป็นองครักษ์...จนสุดท้ายองค์อัคนี...ผู้ขี้เล่นและรักสนุกยังให้ท่านพี่อัสรันประลองดาบอีก...เธอไม่รู้ว่าท่านพี่อัสรันทนความเหนื่อยล้าเช่นนี้ได้อย่างไร...องค์อัคนีทรงใจร้ายต่อท่านพี่อัสรันยิ่งนัก....เธอสอบถามจากกะลาสีเรือจนได้รู้ท่านพี่อัสรันนอนหลับอยู่ ณ ลานประลอง
เธอเดินมายัง ลานประลองดาบ...บนเรือ มองหน้าองครักษ์...นามว่าอัสรันวงหน้าเหนื่อยล้า เม็ดเหงื่อไหลรินตามพวงแก้ม รอยคราบน้ำจากดวงตาคือเม็ดเหงื่อหรือคราบน้ำตากันแน่...เธอต้องการเดินเข้าไปจ้องให้เห็นให้ชัดเจนแต่ก็เปลี่ยนใจ...เพราะเธอรู้ว่าชายชาตินักรบเช่นท่านพี่อัสรัน คงไม่ต้องการให้ใครได้เห็นน้ำตาเป็นแน่...เธอหันหน้าหนี และเดินไปนั่งยังลังไม้เก่าด้านหลังท่านพี่อัสรันมองออกสู่พื้นน้ำของมหาสมุทรที่จะเริ่มเดินทางจากเกาะในวันพรุ่งนี้...
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงเธอต้องการให้ท่านพี่อัสรันตื่นนอนเพื่อได้ทานอาหาร และจึงนอนพักผ่อนต่อไป...จะทำเช่นไรดี...ณ มุมหนึ่งของเรือเธอมองเห็นพิณเก่ามีสายที่ยังหย่อน เธอนั่งปรับสายพิณตามเสียงที่ควรจะเป็น เธอนั่งนึกถึงตัวเองเมื่อเธอยังเยาว์วัยท่านยาย จะเล่นพิณให้ได้ฟังเป็นประจำ พร้อมเล่านิทานกริชแห่งกุญแจ และเล่นพิณคลอลำนำเพลงที่มีตัวละครตำนานกริชแห่งกุญแจอยู่ด้วยในเพลง...ให้ได้ฟัง...จนเธอจำขึ้นใจ...เวลาต่อมาเธอเล่นได้ดั่งเช่นท่านยายเล่นให้ฟัง ...ครั้นพระเชษฐามาพบก่อนจากไปสงครามเธอจะเล่นเพลงให้แก่พระเชษฐาได้ฟัง...มีบทเพลง...หนึ่งบท...ที่พระเชษฐาเธอไม่ต้องการจะรับฟัง...และทรงรับสั่งห้ามเธออย่าได้เล่นให้แก่ผู้ใดได้ฟัง...เธอหัวเราะรับสั่งพระเชษฐา..แต่ครั้งหนึ่งเธอสงสัยในรับสั่งจึงทูลถามพระเชษฐาเหตุไฉนไม่ทรงชอบบทเพลงนี้ พระเชษฐาตอบคำถามเธอ...พี่ไม่ชอบนามของโอรสแห่ง วราทิตย์ ...นามว่า สุริเยศ สุริยะ สุริยา ทั้งสามองค์จะพาน้องพี่...หนีพระเชษฐาไป...เหมือนดั่งเช่นเพลงที่เธอได้เล่น....เธอได้แต่ส่ายหน้าและขำเหตุผลของท่านพี่เธอเท่านั้น...
วันนี้เธอตั้งสายพิณได้ระดับเสียงที่ต้องการ...เธอเล่นลำนำเพลงที่ท่านยายเธอชอบฟัง แต่พระเชษฐา ไม่ทรงชอบเนื้อร้องของบทเพลงแต่ทรงชอบจังหวะลำนำเพลงมันไพเราะชวนฟัง เธอเริ่มเล่นเพลงนี้อีกครั้ง...หลังจากที่ไม่ได้เล่นมันมานานมากแล้ว...
สาวน้อยไม่รู้เสียงเพลงของเธอมันได้นำพาสิ่งใดมาบ้างเมื่อร้องเพลงจบสามรอบ...รอบแรกมันได้ปลุกกะลาสีเรือบนลำเรือได้มีความหวังที่จะค้นหากริชแห่งกุญแจกันต่อไป... รอบที่สองมันได้ปลุกเจ้าชายอัคนี ผู้กำลังเบื่อหน่ายไม่รู้ทรงจะทำสิ่งใดดี ต้องเดินออกมาจากห้องพัก ฟังสาวน้อยเล่นพิณ เป็นเรื่องราวตำนานกริชแห่งกุญแจ ที่พระองค์ตัดใจเลิกคิดตามหามันอีกแล้ว... รอบที่สามมันได้ปลุกให้เจ้าชายสุริยะ ผู้กำลังสับสนในดวงหทัยตัวเอง ออกมาฟังเสียงที่ทำให้ต้องสับสันในดวงหทัยยิ่งขึ้น...ข้ามีนางที่รักพร้อมจะร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่ก่อนแล้ว...พระองค์ทรงคิดมันขึ้นในดวงหทัย...ห้ามหทัยต่อหญิงอื่นที่ผ่านเข้ามา...แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนพระองค์กำลังตอกเหล็กแหลมสู่ดวงหทัยด้วยเช่นกัน...ณ ขณะนี้พระองค์ไม่ต้องการหาความหมายในดวงหทัยตนเอง...ทรงยืนฟังสาวน้อยด้านล่างเล่นลำนำเพลงแสนไพเราะต่อไป....สุดท้ายสาวน้อยก็หยุดลำนำบทเพลงแสนไพเราะลง...บทเพลงของสาวน้อยมันได้ทิ้งคำถาม และความหมายมากมายให้แก่ผู้คนบนลำเรือได้สงสัย...สาวน้อยเป็นผู้ใดกัน...นางเป็นแม่มดหรือนางฟ้า.... เสียงคุ้นหูดังขึ้น...ห่างจากสาวน้อยไม่มากนัก
“เจ้าเล่นพิณ และร้องคลอลำนำเพลงได้ไพเราะมาก...บุหลัน”
เธอมองตามเสียงคนพูดคือเจ้าชายอัคนี ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือพระอนุชา หรือองค์สุริยะ ทั้งสองพระองค์ต่างจ้องมองเธอด้วยความหมายที่ดวงตา ยากหาคำตอบ...
“ขอบคุณที่ชมเพคะ...องค์อัคนี...หม่อนฉันเล่นได้ไม่กี่เพลง...เพลงนี้รู้สึกชอบเลยจำเนื้อเพลงได้นิดหน่อย”
องค์อัคนีหัวเราะเสียงดัง...หยุดหัวเราะแล้วพูดต่อทันที..
“จริงหรือบุหลัน...ที่เจ้าบอกจำเนื้อเพลงได้นิดหน่อย...ข้าว่าเจ้าจำได้หมดเลยด้วยซ้ำ...จะพูดให้ถูกบทเพลงที่เจ้าเล่น...มันได้หายสาบสูญไปนานแล้ว..และพูดให้ถูกยิ่งขึ้นไปอีก...ไม่มีใครในท้องทะเลสามารถเล่นเพลงนี้ได้ด้วยซ้ำ....”
สาวน้อยบุหลันจนคำพูดตอบแก่องค์อัคนี....การเดินทางของเธอมันเป็นครั้งแรกที่ได้ออกสู่พื้นมหาสมุทร...เธอหรือจะรู้เพลงไหนผู้คนต่างร้องกัน...เพลงไหนสาบสูญไม่มีคนร้องแล้ว...เธอเงียบไม่ตอบรับสิ่งใด...เจ้าชายอัคนีพูดต่อทันที...
“เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่บุหลัน...เจ้าเป็นคนเยื่องใดกัน... เจ้าเป็นหมอ เป็นนักดาบ เป็นแม่ครัวทำอาหาร เป็นศิลปินเล่นพิณ ร้องลำนำเพลงได้แสนไพเราะเสนาะหู เป็นสาวงาม...เหนือสาวงามสุดพื้นมหาสมุทร...ความหมายของนามเจ้าคือบุหลันแปลว่าดวงจันทร์แต่ในอีกความหมายข้าว่าเจ้า..คือคำสาปของผู้เดินทางกลางมหาสมุทรเสียมากกว่า..บุหลัน....แม้บทเพลงที่ไม่ควรได้พานพบเจ้าก็นำมาร้องลำนำได้ไพเราะ...สร้างความหวังครั้งใหม่ให้แก่ชาวเรือเดินทะเลผู้สิ้นหวังได้มีความหวังอีกครั้ง...เจ้าจงตอบข้ามาบุหลัน...เจ้าเป็นใคร”
เสียงดังออกคำสั่งของเจ้าชายอัคนี...จริงจังและไม่ปนความสนุกอีกต่อไป
“ข้าไม่เข้าใจท่านกำลังพูดสิ่งใด...และข้าก็ไม่มีคำตอบให้แก่ท่านด้วยองค์อัคนี...แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการจะถามท่าน...”
เธอตอบคำถามออกนอกเรื่องเพราะอย่างไรเธอก็ไม่คิดที่จะตอบเรื่องส่วนตัวของเธอให้ใครได้รับฟังอยู่แล้ว...เมื่อพูดจบ...เธอชี้นิ้วไปยังท่านพี่อัสรัน ผู้นอนหลับ หมดแรงเป็นเวลานานมากแล้ว สองชายมองตามนิ้วมือ เธอพูดต่อทันที....
“ท่านทำไม...ทำเช่นนั้นแก่ท่านพี่อัสรัน...ท่านเห็นผู้ชายตรงนั้นหรือไม่...นอนหมดเรี่ยวแรง...หากท่านมีเมตตาและคิดสักนิด...ท่านก็จะรู้ว่าผู้ชายที่นอนหลับหมดแรงคนนั้นได้ผ่านอะไรมาบ้าง...”
เธอหยุดพูดและจองพระพักตร์องค์อัคนีด้วยอารมณ์โกรธจัด และพูดต่อทันที...
“เมื่อเกิดพายุเขายอมสละชีวิตของเขาเพื่อให้พระอนุชายของท่านได้ทรงมีชีวิตอยู่ต่อไป...เมื่อพระอนุชาท่านจมน้ำเขาว่ายน้ำเข้าหาช่วยพยุงจนเรี่ยวแรงของชีวิตสุดท้าย...ก็ไม่ยอมปล่อยพระอนุชาท่านจมน้ำตาย...วันนี้ทั้งวันเขาเฝ้าเดินพยุงพระอนุชาท่านขึ้นป่า ขึ้นเขา ไกลแสนไกล นานแสนนาน เหนื่อยแสนเหนื่อย...ไม่มีบ่นแม้แต่สักนิด...แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาควรได้ทานอาหาร และนอนพัก ท่านทำเช่นไรองค์อัคนี...ท่านเอาเรี่ยวแรงที่เหลือของเขามาประลองดาบเพื่อความสนุกของท่าน...ท่านหทัยร้ายมาก...สักวันท่านต้องได้รับการลงโทษ...ในความชอบสนุกอันร้ายกาจของท่าน”
องค์อัคนีและองค์สุริยะทรงมองพระพักตร์กัน...อย่างจนคำพูดแก่สาวน้อย...องค์สุริยะมองพระพักตร์พระเชษฐา...อย่างต้องการความจริงเช่นสาวน้อยบุหลันพูดมาหรือไม่...พระเชษฐาสบตาพระอนุชา สายตามันฟ้องถึงความจริงที่พระเชษฐาทำไว้แก่องครักษ์สหายของตน...
“น้องพี่...ข้าขอโทษข้าไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องราว...มากมายถึงเพียงนั้นได้เกิดแก่เจ้า และองครักษ์สหายรักของเจ้า...หากที่รู้พี่ไม่คิดให้มีการประลองดาบแน่นอน”
“ข้ารับคำขอโทษของท่านพี่ไม่ได้...คนที่ท่านพี่ควรขอโทษคือองครักษ์ของข้าที่นอนหมดแรงหลับอยู่นั้นต่างหาก”
“ตกลงข้า...พร้อมที่จะขอโทษและยอมรับผิด...ต่ออัสรัน ของสหายของน้อง และ อันรัน ของสาวน้อย...ที่ข้าไม่รู้เป็นแค่ท่านพี่อัสรัน หรือเป็นเช่นไร”
สุดท้ายองค์อัคนีก็ไม่...ทิ้งนิสัยชอบหาเรื่องให้เธอ...สงสัยหากไม่เห็นเธอโกรธจะนอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง...เข้าห้องน้ำพระอุจจาระไม่ออกเป็นแน่... เธอไม่สนใจคำพูดล้อเล่นขององค์อัคนี ทำเป็นไม่ได้ยิน...หันหน้าหนี...แต่องค์อัคนีทรงไม่หยุดตรัส...ยังตรัสต่อให้เธอได้โกรธเล่นอีก...
“บุหลัน...เจ้าอย่าได้คิดว่าเจ้ารอดตัวในคราวนี้ไปได้แล้วนะ...ข้ายังมีคำถามจะถามเจ้าอีก...หลังจากเราได้ทานอาหารกันเสร็จแล้ว...ตอนนี้ข้าต้องการรับประทานเห็ดที่เจ้าปรุงแล้ว...บุหลัน”
เธอกำลังจะตอบคำถามองค์อัคนีแต่องค์สุริยะถามขึ้นเสียก่อน...
“เจ้าปรุงเห็ดหรือบุหลัน...ทำเผื่อข้าด้วยหรือไม่”
องค์สุริยะยังพูดจารักษาระยะห่างระหว่างเธอได้อย่างเป็นปกติ...ไม่ทรงพูดคำล้อเล่นเหมือนองค์อัคนีพระเชษฐา...ที่สนใจอยากจะรู้เรื่องของเธอไม่เสียทุกอย่าง...และจะต้องรู้ให้ได้ด้วย...เมื่อเจ้าชายทั้งสองต่างก็ตรัสแก่เธอคนละคำถามเธอก็คือโอกาสตอบในคราวเดียวกันเลย
“องค์อัคนีท่านมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับหม่อมฉันก็เก็บไว้ก่อนเถอะเพคะ...และส่วนเห็ดที่หม่อมฉันปรุงได้ทำเผื่อทั้งองค์อัคนี องค์สุริยะ และท่านพี่อัสรัน ด้วยเพคะ....และหากมันอร่อยพรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันจะไปเก็บมาถวายปรุงเพิ่มให้ทานอีก...เอาว่าตอนนี้ลองทานดูกันก่อนเถอะเพคะเจ้าชาย”
“เจ้าฉลาดพูดบุหลัน...เอาเป็นว่าพวกเราอย่าได้คิดเรื่องอะไรตอนนี้ปลุกท่านพี่อัสรันของเจ้าทานอาหารได้แล้ว...และเมื่อทานเสร็จข้าจะให้กะลาสีเรือขังท่านพี่อัสรันของเจ้าไว้ในห้องนอน...ได้พักผ่อนไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวันสักสิบวันยี่สิบวัน...เป็นการให้รางวัล...เจ้าว่าดีมั้ย...บุหลัน...”
เจ้าชายอัคนีทรงตรัสไปด้วยยิ้มไปด้วย...และที่สำคัญก็ไม่พ้นล้อเธอให้โกรธเล่นอีกตามเคย...ไม่ทรงได้สำนึกสิ่งใดเลย...
“หม่อมฉันว่า...ให้กะลาสีเรือผู้รู้ใจ ของท่านคนนี้จับท่านไปขังไว้ด้วยอีกคนดีมั้ย... เพคะองค์อัคนี...อย่างน้อยก็เป็นรางวัลให้แก่หม่อมฉัน...ในการปรุงอาหารให้ท่านได้ทาน...”
องค์อัคนีหัวเราะเสียงดังน่าเกลียดอีกครั้ง...เธอพูดตลกตรงไหนกันนี้...หมดปัญญาจะพูดกับเจ้าชายอัคนีเต็มทน...หันหน้าไปสนใจท่านพี่อัสรัน...ผู้ตื่นนอนตั้งแต่ตอนไหนเธอไม่รู้ได้อาจจะเพราะองค์อัคนีพยายามพูดล้อและแกล้งให้เธอโกรธเลยไม่เห็นตอนท่านพี่อัสรันตื่นนอน..ท่านพี่อัสรัสลุกขึ้นยืน..ส่งยิ้มเต็มวงหน้าให้เธอ.แล้วทักทายเจ้าชายทั้งสอง...เธอไม่สนใจสามบุรุษอีกต่อไป...เดินไปยังห้องทานอาหารทันที....มีเสียงฝีเท้าบุรุษทั้งสามเดินตามเธอมา...และมีคำถามเป็นเสียงของเจ้าชายสุริยะถามแก่เธอ
“บุหลัน ในบทเพลงที่เจ้าร้องลำนำ...มีบทหนึ่งได้กล่าวถึงชื่อไว้สามชื่อพวกเขาเป็นใครกัน ถ้าจำไม่ผิดเจ้าจะร้องไว้ว่า “
“...เกิดภพใหม่ เจอหน้า ละจองเวร สุริเยศ สุริยะ สุริยา อย่ารอ....”
“พวกเขาเป็นใครกัน...มีชื่อหนึ่ง เป็นชื่อเดียวกับข้า... เจ้าชายสุริยะ”
เธอหันหน้ากลับมองเจ้าชาย แล้วตอบคำถามของเจ้าชายสุริยะ
“พวกเขาคือ เจ้าชายสุริยะคราส...ในตำนานกริชแห่งกุญแจ...เพคะ...องค์สุริยะ”
....................................................................
จบบทที่ 7 ต่อบทที่ 8 ผจญตำนานเจ้าชายสุริยะคราส
ขอบคุณที่อ่านนะครับ...บทกลอนแปด...ฝึกแต่ง...ขาดสัมผัส...อภัยด้วยครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ