เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส
6) บทที่ 5 เจ้าหญิงแสงจันทร์ กริชแห่งกุญแจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 5
เจ้าหญิงแสงจันทร์ กริชแห่งกุญแจ
ณ ทางไปน้ำตก
ราชองครักษ์ แห่งเมืองปัจฉิมเนรดี นามว่าอัสรัน เดินตามสหายคู่ใจขององค์อัคนี ซึ่งเป็นพระเชษฐา องค์สุริยะนายว่า อนุ... องครักษ์หนุ่มผู้ซื่อสัตย์ มีเรื่องกลุ้มใจ ต้องการที่จะหาคำตอบ มันสับสน และทำให้ขาดสมาธิ สาเหตุเนื่องมาจากสาวน้อยนามว่า บุหลัน...ผู้เป็นปริศนาในใจองครักษ์... เมื่อแรกพบสาวน้อยคือเด็กหนุ่มนามว่า “หมอจัน” สำหรับองครักษ์.. และ”ไอ้จัน” สำหรับองค์สุริยะ... เวลาต่อมาหนุ่มน้อยหน้าอัปลักษณ์ กลายเป็นสาวน้อยแสนงามนามว่า “บุหลัน”...สำหรับองครักษ์และองค์สุริยะ...สาวน้อยผู้เป็นปริศนา มีความรู้ความสามารถ ในศาสตร์หลายแขนง เป็นหมอรักษาคนเจ็บไข้ เป็นนักดาบผู้ชำนาญการ เป็นสาวน้อยแสนงามเหนือหญิงใดที่องครักษ์หนุ่มเคยรู้จัก...ต่อไปจะมีสิ่งใดอีกเล่าที่จะเกิดขึ้นในใจขององครักษ์หนุ่มได้อีก...องครักษ์หนุ่มหวังว่าอย่าได้มีสิ่งที่ทำให้ต้องแปลกใจอีกเลย…
ความรู้สึกขององครักษ์ ที่มีต่อสาวน้อยตรงหน้า มันคือความรู้สึกเช่นไรกันแน่ มันคือความรัก ใช่หรือไม่นะ... องครักษ์ตั้งคำถามในหัวใจ ส่วนคำตอบ...องครักษ์หนุ่มไม่กล้าคิดต่อ...สาวน้อยตรงหน้าเต็มไปด้วยความลับ และปริศนา... มันทำให้องครักษ์หนุ่มไม่กล้าจะหาคำตอบในหัวใจใช่หรือไม่...องครักษ์หนุ่มตอบหัวใจตัวเองได้ในทันทีว่าไม่ใช่ รักคือรัก... ไม่มี ข้อแม้ใดมาขวางได้แม้แต่ความตาย...ฉะไหนเลยเรื่องเล็กน้อยจะมาหยุดหัวใจรักขององครักษ์หนุ่มได้....แล้วสิ่งใดเป็นความกลัวในหัวใจองครักษ์หนุ่มนามว่า อัสรันกันแน่...
สุดท้ายองครักษ์หนุ่ม ก็หาคำตอบได้สิ่งที่ทำให้องครักษ์...ต้องหยุดหาคำตอบมันคือความกลัวที่จะเจ็บปวดหากหญิงที่รัก ไม่มีใจตอบรับ... รัก...ของหัวใจที่กลัวจะรักใครดวงนี้...องครักษ์คิดย้อนกลับไปสมัยวัยเด็ก เมื่อยังเยาว์วัย...สมัยเมื่อได้รู้ว่าบิดาผู้ให้กำเนิดได้ทอดทิ้ง ตนเอง และมารดา ให้อยู่กันตามลำพัง...องครักษ์หนุ่มตั้งคำถามในใจเสมอมาทำไม...บิดาผู้ให้กำเนิดไม่รัก และห่วงใยตนบ้าง...อย่างน้อยตนเองคือลูกชาย เป็นสายเลือดเดียวกัน เหมือนกันกับลูกชายและลูกสาวของบิดา...แม้แต่ในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มยังตั้งคำถามและต้องการคำตอบ...จากบิดา ผู้ให้กำเนิด... แม้เวลาจะผ่านมานานมาก... แต่เรื่องราวในวัยเยาว์ยังคงฝังอยู่ในใจจนถึงเดี่ยวนี้... องครักษ์หนุ่มคิดย้อนกับไปสู่อดีตที่ทำให้เสียใจและไม่กล้าเปิดใจรักใครได้ แต่ตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้...
………………………………………………………
ณ เมืองทักษิณเนรดี สมัยเก่าก่อน...
องครักษ์หนุ่ม ย้อนกลับไปยังสถานที่เกิด สถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตในวัยเด็ก มันคือบ้านหลังเล็ก เป็นส่วนหนึ่งของเมืองทักษิณเนรดี บ้านหลังเล็กตั้งอยู่ในเขตทีดินของเจ้าเมือง ผู้ดูแลที่ดินให้แก่เจ้าเมือง คือเครือญาติของเจ้าเมืองเอง บ้านหลังเล็กเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ด้วยเช่นกัน
เมื่ออายุได้ 5 ขวบองครักษ์หนุ่ม สงสัยเสมอมาว่าบิดาของตนเองเป็นใคร ในวันหนึ่งองครักษ์หนุ่มได้เจอหน้าบิดาเป็นครั้งแรก...บิดาคือกษัตริย์แห่งเมืองทักษิณเนรดี มันคือครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้พบก่อนที่จะเดินทางจากบิดาผู้ให้กำเนิด...
เมื่อห้าปีก่อนเจ้าเมืองแห่งทักษิณเนรดี ออกท่องเทียวล่าสัตว์ นอกฤดูกาล...ร้างผู้คน เพียงลำพัง ปราศจากผู้ติดตาม เวรกรรมจากการล่า และฆ่าชีวิตสัตว์ร่วมโลก ทำให้เจ้าเมืองแห่งทักษิณเนรดี ตกจากหลังม้า ได้รับบาดเจ็บ ณ กลางป่า... มารดาขององครักษ์หนุ่มออกเที่ยวเล่น... ได้พบกับเทพบุตร ผู้ผจญอันตราย ได้ช่วยเหลือ และรักษาจนหายจากอาการเจ็บ...ความรักก่อตัวระหว่างสาวน้อยและชายหนุ่มนักเดินป่า... เวลาผ่านไป เมื่อเทพบุตร ของสาวบ้านป่าผู้ไร้เดียงสาในความรักได้รู้ว่า...ชายที่ตนรัก ไม่ใช่แค่หนุ่มชาวบ้านที่ผ่านมา แต่คือกษัตริย์ผู้มีชายาถึงสามนาง...และมันได้สายเกินแก้ไข...เมื่อคนรักเดินทางจากไปไม่นานสาวน้อยตั้งครรภ์ เด็กที่เกิด คือบุตรที่ไร้บิดา และความรัก ห้าปีต่อมา...
เด็กน้อยเจริญวัย ทำงานเป็นเด็กล้าง คอกม้าของปราสาท ให้แก่ผู้ดูแล คือเครือญาติของเจ้าเมือง ฤดูกาลล่าสัตว์ปีที่ห้าเจ้าเมืองทักษิณเนรดี เดินทางมาพร้อมครอบครัว อีกครั้ง กษัตริย์แห่งทักษิณเนรดี มาพร้อมชายาสามนาง และพระโอรส พระธิดา...ได้แก่ สองโอรส และหนึ่งขนิษฐา ...พระธิดามีพระนามว่าเจ้าหญิงดอกแก้วกัลยา เจ้าชายทั้งสองมีพระนามว่า เจ้าชายอัสนีอายุ 9 พระชันษา ส่วนเจ้าชายวายุห่างจากพระเชษฐาหนึ่งพระชันษาและเจ้าหญิงองค์น้อยอายุ 3 พระชันษา ...
เด็กน้อยล้างคอกม้า มองดูครอบครัวที่มีความสุข ที่ต่างจากตนเอง เหมือนนรกและสวรรค์ ในยามนั้นเด็กล้างคอกม้าไม่ได้รู้ว่าตนเองคือลูกชายอีกคนของกษัตริย์ และเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด...ได้แต่ทำงานในหน้าทีของต้นอย่างซื่อสัตย์ จวบจนเหตุการณ์ร้ายเดินทางเข้ามาสู่เด็กล้างคอกม้าผู้น่าสงสาร...
เจ้าชายอัสนี และเจ้าชายวายุ เป็นนักดาบ ที่ได้รับการฝึกมาจากครูดาบผู้ชำนาญการ แต่ไม่ไคล... จะมีฝีมืออย่างอาจารย์ผู้มอบวิชาให้ ทั้งสองเจ้าชายต่างร้อนวิชา... ต้องการคู่ต่อสู่ที่สามารถสู้แล้วชนะโดยเด็ดขาด สิ่งที่สองเจ้าชายจ้องมองขณะนั้นคือ เด็กล้างคอกม้า...แต่เหตุการณ์ที่สองเจ้าชายคาดไว้ ไม่เป็นดังหวังเจ้าชายต่อสู่พ่ายแพ้...และยังได้รับบาดเจ็บจากการประลองดาบ...ต้องนอนรักษาพระวรกายหลายวัน...การมาเที่ยวเพื่อล่าสัตว์ของสองเจ้าชายจบลงด้วยการนอน...ในห้องพยาบาล เด็กล้างคอกม้าผู้น่าสงสาร...ถูกกษัตริย์สั่งลงแสเจ็บปวดไม่ต่างจากสองเจ้าชาย แต่สิ่งที่เด็กล้างคอกม้าคิดถึงคือความไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง... การถูกบังคับให้ต่อสู่เพื่อเอาชีวิตรอด และต้องถูกลงโทษจากสิ่งที่ไม่เต็มใจจะทำ....มันน่าเจ็บใจยิ่งนัก
งานที่ทำเป็นประจำไม่สามารถทำได้อีก...การถูกหามร่างที่ไร้เรี่ยวแรงมาส่งให้มารดาที่บ้าน... ทำให้กษัตริย์เมืองทักษิณเนรดี ได้รู้ว่าเด็กล้างคอกม้าก็คือพระโอรสอีกองค์... มันก็สายเกินจะแก้ไข...หญิงสาวชาวบ้านจำพระองค์ได้ และไม่มีวันให้อภัยชายที่นางรัก การพบหน้าอีกครั้ง...มันก็คือการทำลายสายใยรักของนางและชายที่หลงรัก...นางปฏิญาณต่อฟ้า สักวันขอให้พระเจ้าบนสวรรค์มอบความยุติธรรมแก่นางและลูกชาย...ในเวลาต่อมานางได้พบกับชายที่รักนางด้วยความจริงใจและเดินจากแผ่นดินที่มีชื่อว่าทักษิณเนรดี...นั้นคือเรื่องที่มารดาเล่าแก่องครักษ์หนุ่มในเวลาต่อมา
…………………………………………………………
กาลต่อมา ณ เมืองปัจฉิมเนรดี นางตามสามีที่รักนางพร้อมลูกชายวัยไม่เต็มหกขวบดีมายังเมืองที่ไม่รู้จัก... สามีของนางเป็นนักผจญภัย และเป็นพ่อค้า สนิทสนมกับกษัตริย์แห่งเมืองปัจฉิมเนรดี...เงินทอง ที่ได้จากการค้าขาย ส่วนหนึ่งถูกส่งให้แก่กษัตริย์เพื่อเป็นเสบียงในการทำศึกสงคราม ความเกี่ยวข้องจนแยกกันไม่ได้ของสามีนางและกษัตริย์ ทำให้ลูกชายนาง...สนิทสนมกับเจ้าชายสุริยะ...เวลาต่อมาทั้งสองคือสหายร่วมตาย... ในสงครามทั้งสองคือเจ้าชายสุริยะ และองครักษ์ผู้เก่งกาจ...
องครักษ์หนุ่มรักและเคารพบิดาผู้ให้ชีวิตใหม่ แต่ไม่เคยลืมบิดาผู้ให้กำเนิด แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี แต่เมื่อยามเจ้าชายสุริยะ เดินทางไปยังเมืองทักษิณเนรดี หัวใจองครักษ์หนุ่มจะดีใจ และมันคือคำถามที่เจ้าชายสุริยะ...ถามองครักษ์หนุ่ม เมื่อเกิดความสงสัยในบางครั้ง... แต่คำตอบที่เจ้าชายสุริยะได้รับ คือรอยยิ้ม และการส่ายหน้า องครักษ์หนุ่มต้องการเก็บมันไว้เป็นความลับในใจตลอดไปแม้แต่เจ้าชายสุริยะ...องครักษ์หนุ่มก็ไม่ต้องการจะเล่าประวัติชีวิตตนให้ฟัง...
องครักษ์หนุ่มเดินตามสาวน้อยผู้มีความลับ ในใจเช่นเดียวกับตัวเอง ไม่ห่าง และยิ้มเมื่อมองเห็นอาวุธของสาวน้อยตรงหน้า มันคือมีดกริช ลักษณะเหมือนเปลวไฟ สีดำ เป็นนิล องครักษ์หนุ่มได้มองเห็นกับตามาแล้ว มีดเล่มเล็กมีประโยชน์เช่นไร... อย่างแรกมันสามารถผ่าลูกมะพร้าวได้ อย่างที่สองมันทำให้กะลาสีเรือสองคนบาดเจ็บ จนร้องไห้มาแล้ว...
องครักษ์หนุ่มนึกถึงเรื่องเล่าแห่งมีดกริช ที่บิดานักผจญภัย เล่าให้ฟังในวัยเด็กได้ การผจญภัยเพื่อหาสมบัติของบิดา ผจญทั่วพื้นทะเลพิชิตมาแล้วทุกเกาะมหาสมบัติ แต่มีสิ่งเดียวที่บิดา ไม่สามารถตามหาได้ คือสมบัติ ของนักสร้างกริช ที่มีชื่อว่า “กริชแห่งกุญแจ” กริชแห่งกุญแจมีด้วยกันสองเล่ม แต่นักผจญภัยยิ่งหากันต่างก็ยิ่งพบกริชแห่งกุญแจเพิ่มมากขึ้น จากสองเล่ม เป็นสาม สี่ และเป็นร้อย ทุกเล่มต่างก็เป็นของปลอมทำเลียนแบบ ไม่สามารถแยกได้ อันไหนของจริงของปลอม จนนักผจญภัย หมดความอดทนที่จะตามหาต่อไป...แต่ตำนานกริชแห่งกุญแจก็ยังเป็นเรื่องสนุกของกะลาสีเรือ เล่าสู่กันฟัง ไม่มีวันเบื่อ แม้มันจะมีจริง หรือไม่มีสมบัติก็ตาม...
องครักษ์หนุ่มหวังว่ากริชที่สาวน้อยถืออยู่คงไม่ใช่กริชแห่งกุญแจหรอกนะ... องครักษ์คิดและยิ้มอยู่ในใจด้วยความสนุก ที่หวังในเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้...องครักษ์หนุ่มจำที่บิดาพูดได้
“พ่อมีกริชแห่งกุญแจหนึ่งเล่มอัสรัน...แต่พ่อได้มอบมันให้แก่สหายร่วมผจญภัยมาด้วยกัน เมื่อพ่อตัดสินใจ...ที่จะมีเจ้าและแม่ของเจ้า”
ในยามนั้นเขาถามบิดาด้วยความนึกสนุก ไม่ได้จริงจัง ต่อว่า…
“ท่านพ่อมอบมันให้แก่ใครครับ...”
“สหายของพ่อเป็นตาแก่หมดไฟ...ที่จะผจญภัยเช่นเดียวกัน กับพ่ออัสรัน...แต่เขาสัญญาจะมอบมันให้แก่คนที่สามารถตามหากริชอีกเล่มได้พบ...ชายแก่ผู้นั้นเป็นนักเล่านิทานแห่งเมืองปัจฉิมเนรดี...อัสรัน”
องครักษ์หนุ่มยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดบิดาในสมัยก่อน...แต่เมื่อสามปีที่แล้วเมื่อเจ้าชายอัคนีทรงเดินทางจากเมือง...สาเหตุเพราะคนรักปฏิเสธน้ำพระทัยที่มอบให้... องครักษ์หนุ่มตามหาองค์อัคนีให้แก่องค์สุริยะสุดท้ายได้พบนักเล่านิทานสหายของบิดา... จึงได้รู้องค์อัคนีออกเรือไปพร้อม กริชแห่งกุญแจ ที่บิดามอบให้แก่นักเล่านิทาน...สามปีต่อมา องครักษ์ยังไม่เห็นผู้ใดพิชิต ขุมทรัพย์ แห่งกริชได้ แม้แต่องค์อัคนีเองและกริชอีกเล่มก็ยังไม่มีใครหาพบ... สงสัยคงจะเป็นเล่มที่สาวน้อยตรงหน้านำเอามาผ่าลูกมะพร้าวเป็นแน่ องครักษ์หนุ่มคิด และยิ้มอย่างนึกสนุก...
องครักษ์หนุ่มเดินเข้าใกล้สาวน้อยตรงหน้า ห่างเพียงแค่มือเอื้อมถึง เขาสำรวจลักษณะของสาวน้อยมากขึ้น ความสูง ความยาวเส้นผม ความยาวของลำคอ มันได้สัดส่วนไปเสียทุกอย่าง สาวน้อยตรงหน้าหยุดเดิน สงสัยมีเรืองกวนใจ... เมื่อสาวน้อยด้านหน้าหยุดเดิน องครักษ์หนุ่มก็หยุดเดินเช่นกัน สาวน้อยหันหน้ามาด้านหลังแล้วยิ้มที่มุมปากน่ารัก...และพูด
“ท่านพี่อัสรัน...ท่านมาเดินเคียงข้างข้าได้มั้ย”
องครักษ์พยักหน้า แล้วยิ้ม แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ต้องการให้ใครเดินสังเกตสำรวจเขาจากด้านหลังเช่นกัน และสาวน้อยก็คงคิดแบบเดียวกัน
“ไม่ชอบให้องครักษ์เดินตามหลังหรือไง บุหลัน”
เขามองหน้าสาวน้อยเมื่อถามคำถาม เขาเห็นรอยยิ้มน่ารัก หัวใจองครักษ์เต้นแรง จึงเลิกจ้องหน้าสาวน้อยและมองตรงไปข้างหน้า...เดินตัวตรงเคียงข้างสาวน้อยต่อไป และรอฟังคำตอบ
“ท่านเรียกตัวเองว่าองครักษ์ หรือท่านพี่อัสรัน”
เขาพยักหน้า... องครักษ์หนุ่มรู้ว่าขณะนี้ สาวน้อยคงพอเดาได้แล้ว บุรุษที่สาวน้อยเดินทางมาด้วยคือเจ้าชาย และไม่ใช่แค่เจ้าชายแค่องค์เดียวแต่ต่อไปจะมีถึงสององค์...สาวน้อยคงแกล้งไม่สนใจจะรับรู้ ...เขาต้องการทำได้เหมือนกับสาวน้อย การแกล้งไม่รับรู้อะไร...ในบางครั้งมันก็เป็นเรื่องดี... การหนีจากความจริงในบ้างครั้งมันก็สบายใจมากกว่า องครักษ์คิด
“เมื่อท่านอยู่กับข้า ท่านเป็นแค่ท่านพี่อัสรัน ได้มั้ย”
เขาไม่เข้าใจคำถามของสาวน้อยตรงหน้า การมีองครักษ์คอยติดตาม รักษาความปลอดภัยให้ใครบ้างไม่ต้องการ...ต่างก็ต้องการทั้งนั้น แม้แต่องค์สุริยะเองก็พอใจที่ได้รับการดูแลจากเขาเหตุใดสาวน้อยตรงหน้าถึงไม่ต้องการ องครักษ์หนุ่ม มองหน้าสาวน้อยเพราะสงสัย ไคลรู้...
“หากท่านเป็นองครักษ์ของข้า...ข้ารู้สึกว่า ท่านและข้าอยู่ห่างกันมากเกินไป ท่านพี่อัสรัน”
องครักษ์หนุ่มหยุดเดิน ทำให้สาวน้อยหยุดเดินไปด้วย ความหมายในคำพูดของสาวน้อย...มันเข้าใจยากกว่าคำพูดก่อนหน้านั้นอีก แต่มันก็ทำให้องครักษ์หนุ่มดีใจ และพอใจในคำตอบ
“ท่านหยุดเดินทำไม ท่านพี่อัสรัน”
องครักษ์หนุ่มส่ายหน้า แล้วยิ้มอย่างดีใจ
“ไม่มีอะไรเราเดินไปกันต่อเถอะ”
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยท่านนี้อัสรัน...”
“คำถามไหนบุหลัน..หากเป็นคำถามเมื่อกี่ข้าก็บอกแล้วไม่มีอะไร”
สาวน้อยจ้องหน้า ความหมายคือไม่ใช่คำถามเมื่อสักครู่ องครักษ์หนุ่มยิ้ม แล้วพยักหน้า
“ข้าจะเป็นท่านพี่อัสรัน สำหรับเจ้าบุหลัน”
เขาไม่มองหน้าสาวน้อยเพราะมันจะแสดงความรู้สึกมากเกินไป สาวน้อยอาจจะคิดว่าเขาใจง่ายเกินไปก็ได้ องครักษ์คิด สาวน้อยเดินตามติดเขาขึ้นมาและเคียงข้างกันอีกครั้ง เขาปรับสีหน้าเป็นปกติดังเดิม แล้วยิ้ม และถามคำถามเดิมแก่สาวน้อยนามว่าบุหลัน...
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเช่นกัน บุหลัน เจ้าไม่ชอบให้องครักษ์เดินตามหรือไง และข้าไม่ต้องการคำตอบเหมือนเมื่อกี่ เพราะมันคนละความหมายกัน”
องค์รักษ์หนุ่มมองหน้า รอคำตอบ และสาวน้อยคงไม่เลี่ยงคำถามเขาอีกเหมือนครั้งที่แล้ว องครักษ์หนุ่มคิด
“ข้าต้องการองครักษ์คอยเดินตามเช่นกัน...และต้องเป็นองครักษ์อย่างท่านพี่อัสรัน เท่านั้น”
องครักษ์หนุ่มพอใจในคำตอบ ยิ้มอย่างมีความสุข... ทำให้หัวใจเต้นเหมือน..กลอง..เมื่อมองหน้าและเห็นรอยยิ้ม ของสาวน้อย
“ข้าคิดว่าข้าสับสนแล้ว สาวน้อย เจ้าชอบให้มีองครักษ์เดินตาม และต้องการให้ข้าเป็นแค่ท่านพี่อัสรัน ไม่ใช่องครักษ์ เพราะจะทำให้ข้าดูห่างไกลจากเจ้า ...ข้าควรทำอย่างไรดี เจ้าแกล้งข้าเล่นใช่หรือไม่ บุหลัน”
“คำถามท่านมันสับสนข้า ก็ตอบท่าน แบบสับสนเช่นกัน ท่านพี่อัสรัน”
“เอาเป็นว่าข้าจะเป็นองครักษ์ของเจ้าเมื่อเจ้าต้องการ และเป็นท่านพี่อัสรันในยามที่เจ้าต้องการเช่นกัน บุหลัน”
ไม่มีคำตอบจากสาวน้อย มีแต่รอยยิ้มตอบรับคำพูดองครักษ์หนุ่ม เพื่อต้องการสร้างบทสนทนาต่อไปองครักษ์หนุ่มนึกถึงเรื่องสนุก ของกริชแห่งกุญแจ ต้องการถามเพื่อฆ่าเวลาก่อนที่จะนึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้
“บุหลัน เจ้าเคยได้ฟังนิทานของชาวทะเล เรื่องกริชแห่งกุญแจบ้างหรือไม่”
เจ้าหญิงแสงจันทร์ มองหน้าองครักษ์หนุ่มนามว่าอัสรัน อย่างชอบในนิสัย และลักษณะหลายอย่าง ส่วนคำถามที่ท่านพี่อัสรันถาม... เธอควรตอบเช่นไรดี... หากเธออยู่ในฐานะเจ้าหญิงแสงจันทร์ เธอก็จะตอบว่า แน่นอนข้ารู้เพราะชื่อข้าก็ตั้งมาจาก... ชื่อของเจ้าหญิง ในตำนาน กริชแห่งกุญแจ... พวกชาวทะเลต่างรู้เรื่องราว กริชแห่งกุญแจมีด้วยกันสองเล่มผู้ใดสามารถครอบครองกริชทั้งสอง ผู้นั้นคือผู้ครอบครองทรัพย์สมบัติ แต่หารู้เรื่องราวแห่งตำนานแห่งกริชที่แท้จริงเกิดขึ้นได้อย่างไร....
ท่านยายเล่ามันให้แก่เธอได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เธอจำความได้ และท่านยายจะชี้นิ้วขึ้นให้เธอได้ดูพระจันทร์เมื่อฉายแสงสู่พื้นดิน และพื้นน้ำสีดำในท้องทะเลยามค่ำคืนเมื่อจันทร์ฉายแสง...
“เจ้ามองเห็นหรือไม่ แสงจันทร์...เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในยามค่ำคืน แสงจากดวงจันทร์มันส่องแสงสว่างให้แก่ชาวเรือในท้องทะเลได้เดินทางกลับบ้าน ได้อย่างถูกต้องและไม่หลงทาง และเรื่องที่ยายจะเล่าให้เจ้าฟัง มันก็มีส่วนในชื่อของเจ้าเช่นกัน... แสงจันทร์... ชื่อของเจ้ายายนำมาจากตำนานของเรื่องนี้...”
………………………………………………………….
ตำนานเจ้าหญิงแสงจันทร์ กริชแห่งกุญแจ
“กาลก่อนนานมาแล้ว... มีเจ้าหญิงแสงจันทร์ นางเป็นหญิงสาวที่สวยแต่ปราศจากความสุข สิ่งที่นางต้องการในชีวิตคือชายหนุ่ม ที่รักนางด้วยจิตใจ อันบริสุทธิ์ นางจะทำเช่นไร...เพื่อจะได้หัวใจชายหนุ่มที่รักนางจาก ความดีงามจากใจนางหาเช่นรูปร่างภายนอก ...นางเฝ้าคิด จนในที่สุดนางก็คิดออก...พระบิดา และมารดาต่างสวรรคต ทิ้งราชวังหลังใหญ่ให้แก่นาง ทิ้งทรัพย์สินเงินทองไว้ให้มากมาย แต่ทั้งหมดเจ้าหญิงแสงจันทร์ไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อย... ดังนั้นนางให้ช่างทำมีดกริชขึ้นมาสองเล่ม เล่มแรกเป็นกุญแจที่จะเปิดประตูเข้าสู่สุสานมหาสมบัติ อีกเล่มได้บรรจุแผนที่ลายแทงสมบัติ เมื่อนางขนทรัพย์สมบัติเขาไปเก็บเรียบร้อย เจ้าหญิงแสงจันทร์ทำการจุดไฟเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่มี...และเดินทางออกท่องเที่ยวอย่างสาวชาวบ้านผู้อัปลักษณ์ เพื่อตามหาชายหนุ่มที่รักนางด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์”
“เจ้าหญิงแสงจันทร์เดินทางถึงเมืองแห่งใด นางก็จะเล่านิทานของกริชแห่งกุญแจ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าหญิงผู้แสนงามนามว่า เจ้าหญิงแสงจันทร์ จนสุดท้ายเรื่องเล่าของนางได้รับความสนใจจากเจ้าเมืองที่นางเดินทางไปถึง เจ้าเมืองมีโอรสด้วยกันสามองค์ โอรสทั้งสามต่างรูปงามดังเทพบุตรกรีก.... ดั้งนั้นเจ้าชายทั้งสามจึงเป็นตัวเลือกให้นางได้ทดสอบความจริงใจ นางถูกเชิญโดยเจ้าเมือง เพราะสนใจในสิ่งที่นางเล่าเรื่องกริชมหาสมบัติ”
“เจ้าหญิงแสงจันทร์จะบอกถึงที่ซ่อนของกริชทั้งสองเล่ม ว่าอยู่ที่แห่งใดหากเจ้าเมืองรับนางเป็นเจ้าหญิงอภิเษกแก่โอรสทั้งสามคนของกษัตริย์ผู้ครองเมืองนางจึงยินดีจะบอกที่อยู่ของกริช... โอรสทั้งสามเห็นหญิงอัปลักษณ์ต่างส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่มีใครต้องการนาง แต่เจ้าเมืองมีความคิดต่างออกไปทรงบังคับให้โอรสทั้งสามเลือก สุดท้ายน้องชายคนเล็กสุดในสามเจ้าชายตกลงที่จะอภิเษกกับนางผู้อัปลักษณ์ แต่ก่อนที่จะอภิเษกนางได้ตั้งข้อแม้ แก่เจ้าเมือง....”
“เมื่อนางได้อภิเษกกับโอรสเจ้าเมืองจนครบหนึ่งปี นางถึงจะบอกที่อยู่ของกริชแห่งกุญแจ หากเจ้าเมืองไม่เชื่อเมื่อครบหนึ่งปีนางยินดีเดินทางจากไป หรือให้เจ้าเมืองฆ่านางทิ้งได้ ตามใจที่ต้องการ...เวลาผ่านไปเป็นวัน เป็นเดือน และกำลังจะครบหนึ่งปี นางทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้เป็นสวามีมองนางด้วยความสวย ของจิตใจที่ดีงาม ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มันก็ไรผล สวามีไม่ให้ความสนใจแก่นางแม้แต่น้อย...ถึงนางจะทำดีสักเท่าไรก็ทำให้สวามีรักนางไม่ได้…”
“จวบจนเวลาครบหนึ่งปี ตามที่นางได้สัญญาไว้มาถึง กษัตริย์ ทรง ทวงสัญญาแก่นาง นางไม่มีทางเลี่ยงจึงตกลงมอบกริชแห่งกุญแจให้แก่เจ้าเมืองหนึ่งเล่ม และบอกแก่จากเมือง นางต้องการเปลี่ยนข้อตกลงใหม่อีกครั้ง นางต้องการให้เจ้าชายทั้งสามเลือกนางอีกครั้ง และภายในหนึ่งปีนางก็จะมอบกริชอีกเล่มให้ตามสัญญา เจ้าเมืองตอบตกลง…”
“ในครั้งนี้นางเปลี่ยนจากหญิงอัปลักษณ์น่าเกลียด เป็นเจ้าหญิงแสงจันทร์ ผู้งดงามเหนือเหล่านางฟ้าบนสรวงสวรรค์ กษัตริย์ และโอรสทั้งสามเมื่อมองนางต่างหลงใหลในความงาม ต่างต้องการอภิเษกกับนางด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นการต่อสู่ประลองกำลังของสามเจ้าชายก็มาถึง และผู้ชนะคือเจ้าชายองค์โต สุดท้ายเจ้าหญิงแสงจันทร์ได้อภิเษกอีกครั้ง กับเจ้าชายองค์แรกของเจ้าเมือง นำความอิจฉามาสู่โอรสองค์ที่สอง ส่วนโอรสองค์แรกทรงเสียใจและเศร้าใจ จนเกิดความคับแค้นในใจเป็นทวี หญิงที่ตนเคยได้ครอบครองมาก่อนในฐานะชายา...”
"ณ ตอนนี้ต้องตกไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชาย เจ้าชายย่อมรับไม่ได้ เจ้าชายต้องการนางคืน แต่จะทำเช่นไรดี... สุดท้ายเจ้าชายก็คิดออก...พานางหนี เมื่อคิดได้ดังนั้น ในคืนหนึ่งเมื่อแสงจันทร์ส่องแสงสว่างเจ้าชายองค์น้อยลงมือลักพาตัวเจ้าหญิงแสงจันทร์ไปยังท่าเรือที่ได้เตรียมไว้....แต่ความลับไม่มีในโลก เจ้าชายทั้งสองรู้ถึงแผนการของน้องชาย ทั้งสองเจ้าชายตามไปยังเรือเกิดการต่อสู่แย่งชิงเจ้าหญิงแสงจันทร์ เจ้าชายทั้งสามต่อสู่กันอยู่นาน ทั้งสามเจ้าชายรู้ตัวอีกครั้ง เรือถูกไฟเผาไหม้ไม่เหลือซาก เจ้าหญิงแสงจันทร์ติดอยู่ในเรือ ไม่รู้เป็นหรือตาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามเจ้าชายได้ฟังคือเสียงตะโกนดังทั่วพื้นน้ำก่อนที่ไฟจะเผาเรือจนเป็นเถ้า....”
“พวกเจ้าอย่าหวังจะได้ครอบครอง ทรัพย์สมบัติของข้า...พวกเจ้ามีกริชเพียงเล่มเดียวไม่สามารถหาทรัพย์สมบัติของข้าพบได้ เจ้าชายผู้ชั่วร้าย ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้า....เกิดชาติภพใด ข้าขอตามแก้แค้นพวกเจ้าคืน”
แล้วเรือลำเล็กที่ไฟลุก ส่องแสงสว่างทั่วพื้นน้ำ ก็เป็นเถ้าในเวลาต่อมา แต่เรื่องเล่าขานของนางยังคงเป็นอมตะในพื้นทะเลเปลวไฟ มันยังคงส่องแสงจวบจนวันนี้ เจ้าหญิงแสงจันทร์คิด ….เจ้าหญิงแสงจันทร์กำลังคิดหาคำตอบ เพื่อจะตอบคำถามของท่านพี่อัสรัน..ท่านพี่อัสรันรอฟังคำตอบนานมากแล้ว ท่านพี่อัสรันจึงถามคำถามซ้ำ....อีกครั้ง
“เจ้าได้ยินข้าถามหรือไม่บุหลัน...เจ้าเคยฟังเรื่องเล่าของกริชแห่งกุญแจ หรือไม่”
“ท่านพี่อัสรัน...ไม่มีชาวทะเลคนใดไม่เคยฟัง เรื่องโกหกนี้หรอกนะ”
“ข้าได้ฟังจากยายข้า...ยายข้าก็ ได้ฟังจากยายข้าอีกที...จนเดียวนี้ข้าก็ยังได้ฟังอยู่...ท่านพี่อัสรันคิดว่ามันจะมีทรัพย์สมบัติอยู่จริงหรือ ข้าคิดว่ามันคือเรื่องโกหกหลอกให้ชาวเรือผู้อดอยาก ได้มีความหวังชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น...ท่านพี่อัสรันคิดเช่นไร”
“ข้าคิดว่าไม่น่าถามคำถามเจ้าเลย...บุหลัน ข้าคิดว่าเจ้าจะตอบข้าว่าไม่รู้เสียอีก” องครักษ์ยิ้ม ให้สาวน้อย
“ข้าขอโทษ ครั้งหน้าหากท่านถามข้า ข้าจะแกล้งไม่รู้...แล้วกัน ท่านจะได้เล่าเรื่องที่ข้ารู้อยู่แล้วให้ข้าได้ฟัง...ท่านว่าเช่นไรท่านพี่อัสรัน”
“ข้ารู้แต่ว่าเจ้าแกล้งดูหมิ่น...ข้าสาวน้อย”
“ข้าไม่ได้ดูหมิ่นท่าน....ท่านพี่อัสรันเลย...แม้แต่น้อยก็ไม่เคยคิด.. ข้าไม่แน่ใจท่านถามข้าด้วยจุดประสงค์สิ่งใด..ท่านพี่อัสรัน”
องครักษ์หนุ่มยิ้ม แล้วมองไปที่กริชของสาวน้อยที่เอว สาวน้อยเข้าใจความหมายของสายตา แต่ต้องการให้ท่านพี่อัสรันถามขึ้นมาก่อน... การรู้ความคิดของท่านพี่อัสรัน มันอาจจะกลายเป็นการดูหมิ่น ท่านพี่อัสรันอีกครั้ง เธอแกล้งไม่เข้าใจความหมาย...
“ท่านกำลังมองสิ่งใดอยู่หรือท่านพี่อัสรัน”
องครักษ์หนุ่มยังยิ้มอยู่ เมื่อตอบคำถามสาวน้อย
“ข้าสงสัยว่ากริชของเจ้าอาจจะเป็นกริชแห่งกุญแจ ก็ได้นะบุหลัน”
องครักษ์หนุ่มหันหน้าหนี...เพราะนึกตลกในคำตอบของตัวเอง ที่ล้อเล่นกับสาวน้อย แต่สาวน้อยก็เล่นตามน้ำกับเขาด้วยนี้ซิ... องครักษ์อย่างเขาจะทำอย่างไรต่อดี...
“ข้าก็สงสัยว่ามันก็อาจจะเป็นกริชแห่งกุญแจเช่นกัน...ท่านพี่อัสรัน แต่ถึงมันจะใช่มันก็ยังต้องหาอีกเล่มให้เจอก่อน เราถึงจะหาขุมทรัพย์แห่งกริชเจอ...และหากท่านพี่อัสรันจะกรุณาช่วยข้าหา ข้าก็จะขอขอบคุณมาก”
“ไม่จำเป็นต้องหาให้ยากสาวน้อยเพราะข้ารู้อยู่แล้วมันอยู่ที่ใคร...และหากเจ้าใช่ความสังเกตเจ้าก็จะได้พบกับผู้ครอบครองกริชคนนั้นแล้วด้วย” องครักษ์ยิ้มเมื่อพูดจบ
“ท่านคงไม่ได้หมายถึงกริชแสงจันทร์ร้อยเล่ม ...ที่ทำขายเป็นของที่ระลึกตามตลาดหรอกนะท่านพี่อัสรัน”
“ไม่ใช่แน่นอน...สาวน้อยเล่มนี้ของแท้แน่นอนข้ารับประกัน”
“รู้มั้ยท่านพี่อัสรัน...ท่านโกหกได้เนียนมาก”
องครักษ์หนุ่มหัวเราะเสียงดัง เอามือกุมท้อง แล้วจ้องหน้าสาวน้อยอีกครั้ง
“เจ้าก็โกหกได้เนียนยิ่งกว่าข้าอีก...สาวน้อย เพราะตั้งแต่รู้จักเจ้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นหญิงจนวันนี้”
“สุดท้ายท่านก็ย่อมรับว่าท่านโกหกข้า..ท่านพี่อัสรัน”
“สาวน้อยข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่ากริชอันไหนของจริงหรือของปลอม แต่หากสิ่งที่บิดาข้าเล่าให้ฟัง...หากบิดาข้าคิดว่ามันจริงข้าก็จะเชื่อเช่นนั้น...แต่ในความคิดข้า ก็เหมือนความคิดของเจ้า...กริช มันก็คือเรื่องโกหก ที่ถูกเล่าสู่กันฟังในยามสิ้นหวังเท่านั้น...แต่มันไม่มีทางมีอยู่จริง อย่างเจ้าว่า...บุหลัน”
สาวน้อยยิ้มรับฟังแล้วมองตรงไปข้างหน้าเลิกสนใจเรื่องโกหก ที่ไม่สามารถเป็นไปได้
“ท่านพี่อัสรัน...ถึงน้ำตกแล้วข้าขอลงอาบน้ำก่อน ท่านเป็นองครักษ์เป็นยามให้แก่ข้าด้วย และเมื่อข้าอาบน้ำเสร็จข้าก็จะเป็นยามให้ท่านด้วยเช่นกัน”
องครักษ์ยิ้มในความขี้เล่นของสาวน้อย จะมีใครมาคอยแอบมองเขาอาบน้ำกันเล่า มีแต่นางฟ้าแสนงามตรงหน้าเท่านั้นที่ต้องการองครักษ์ คอยนั่งเฝ้า องค์รักษ์หนุ่มคิด
“ตกลงสาวน้อยข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้จนกว่าเจ้าจะกลับขึ้นมา”
“ขอบคุณท่านพี่อัสรัน”
แล้วสาวน้อยนามว่าบุหลัน...ก็เดินหายไปในสายน้ำเบื้องหลัง จนเวลาผ่านไป...
จบบทที่ 5 ต่อบทที่ 6 การเดินทางครั้งใหม่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ