คู่หมั้น
10.0
เขียนโดย Mawmeaw
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22.13 น.
10 ตอน
24 วิจารณ์
21.98K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 16.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ผมกลับมาแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเขาเดินทางกลับมาเร็วกว่าที่คิด ทำให้คุณสุดาผู้เป็นแม่อดดีใจกึ่งแปลกใจไม่ได้ที่ลูกชายของเธอเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ วันนี้ แทนที่จะเป็นในอีก 3 วันข้างหน้าตามที่เธอตั้งตารอลูกชายคนเดียวของเธอไว้
ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริงกับเธออีกเหมือนเช่นที่เคยทำบ่อยๆ
“ก็ผมอยากเซอร์ไพรส์คุณแม่นี่ครับ แล้วอีกอย่างผมก็อดคิดถึงคุณสุดาสุดที่รักของผมไม่ไหว เลยต้องรีบบินกลับมาหายังไงล่ะครับ”
เป็นปกติที่สองแม่ลูกจะสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ เพราะผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ชายหนุ่มคิดเสมอว่าเขามีแม่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขานั่นเอง
และสิ่งสำคัญรองลงมาก็คืองานแปลวรรณกรรมต่างประเทศที่เขารัก
“แหมยังปากหวานเหมือนเดิมเลยนะ คุณลูกชายสุดที่รักของแม่”
คราวนี้คุณสุดาหยอกล้อลูกชายกลับคืนไปบ้าง หลังจากนั้นแม่ลูกก็พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมาตามประสาแม่ลูกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแสนนาน
สักพักใหญ่ๆ ชายหนุ่มก็ขอตัวไปพักผ่อน และเก็บสัมภาระเข้าที่เข้าทาง และสิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบออกจากกระเป๋าเดินทางใบโตก็คือ “รูปของเธอ” คู่หมั้นของเขานั่นเอง
ซึ่งรูปใบนี้ที่เขาได้ Print ออกมาจากคอมพิวเตอร์นี่แหละเป็นสาเหตุหลักๆ ที่เร่งเร้าให้เขาต้องกลับมาที่ประเทศไทยเร็วๆ เพื่อจะได้เจอตัวจริงของเจ้าของรูปเสียที
และเขาก็หวังว่าพรุ่งนี้ต้องได้พบกับตัวจริงของหล่อนอย่างแน่นอน
รุ่งเช้าหลังจากอาหารมื้อเช้าผ่านไป สองแม่ลูกก็แยกย้ายกันออกเดินทาง คุณสุดาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เธอจึงต้องรีบออกเดินทางแต่เช้าโดยเผื่อเวลาที่รถติดเอาไว้ด้วย
ส่วนสุกริชก็ออกเดินทางแต่เช้า เขากำลังเดินทางเพื่อที่จะไปที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน แต่เป็นมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนาน ดังนั้นเขาจึงต้องออกเดินทางแต่เช้าไม่ต่างจากคุณสุดา
และสองแม่ลูกก็รู้กันดีว่าภารกิจวันนี้ของแต่ละคนคืออะไร ในช่วงแรกคุณสุดายังหนักใจเกรงว่าลูกชายจะหาทางหลบเลี่ยงไม่ไปพบกับคู่หมั้นของเขาตามที่รับปากไว้
แต่เหตุการณ์กลับผิดคาด เมื่อเขาอาสาที่จะไปพบกับเธอในวันรุ่งขึ้นหลังจากการเดินทางกลับมาถึงทันที เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคุณสุดาก็สบายใจไปได้ในระดับหนึ่งที่รู้ว่าการไปพบกันครั้งนี้ไม่ใช่การฝืนใจของลูกชายอย่างที่เธอคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก
แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่เธอก็อดห่วงไม่ได้ คือ คุณอาลิสา แม่ของเมรียาคู่หมั้นของลูกชายเธอ เพิ่งโทรมาบอกว่าเมรียายังไม่รู้ว่าตนเองมีคู่หมั้นคือนายสุกริชลูกชายของเธอเลย
เนื่องจากพยายามหาทางจะบอกลูกสาวแล้ว แต่ทางลูกชายของคุณสุดากลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ ทำให้ยังหาโอกาสที่จะบอกเมรียาไม่ได้
นั่นจึงเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับสองครอบครัวที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเมรียาทราบว่านายสุกริชเป็นคู่หมั้นของเธอ
ที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หญิงสาวรูปร่างผอมบาง สูงโปร่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนเพียงลำพัง
เธอกำลังครุ่นคิดถึงอาการและคำพูดแปลกๆ ของคุณอาลิสาผู้เป็นแม่ เมื่อสองสามวันมานี้คุณอาลิสามักจะมาเลียบๆ เคียงๆ ถามเธอและมักจะพูดอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับการคลุมถุงชนและการมีคนรักกับเธอ
ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่แม่ของเธอเป็นเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนคุณอาลิสามักจะไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายหรือถามไถ่ในเรื่องพวกนี้กับเธอเลย
คุณอาลิสาไว้ใจลูกสาวของเธอเสมอและให้สิทธิในการคบเพื่อนของลูกสาวคนเดียวของเธอ เพราะเธอเชื่อใจในความคิดความอ่านของลูกสาวของเธอดี
เมรียาเป็นเด็กตั้งใจเรียน ไม่ได้สนใจเรื่องผู้ชายหรือพูดง่ายๆ ว่าเธอค่อนข้างเป็นเด็กเรียบร้อย เอาใจใส่กับการเรียนเสมอ และไม่เคยเถลไถลหรือออกนอกลู่นอกทางให้ผู้เป็นแม่ต้องช้ำใจเลยสักครั้งเดียว
ถึงแม้เธอจะไม่ได้เรียนเก่งมาก แต่ก็เป็นคนตั้งใจและเป็นลูกที่ดีของคุณอาลิสามาตลอด ด้วยเหตุนี้คุณอาลิสาจึงไว้เนื้อเชื่อใจเมรียาเสมอ และเธอเองก็เคารพและเชื่อฟังแม่ของเธอเสมอ ทั้งสองแม่ลูกต่างก็รักและเชื่อใจกันเสมอมา
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คุณอาลิสาไม่อยากบอกเรื่องที่เมรียามีคู่หมั้นให้เธอได้รับรู้ เพราะหากเธอรู้ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอปิดบังลูกสาวมาตลอดนั่นเอง
ดังนั้นเมรียาจึงไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า เขา? จะมาพบเธอในฐานะคู่หมั้น
ขณะที่ความคิดของหญิงสาวกำลังล่องลอยไป เธอก็แทบสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงสุมนรัตน์หรือส้ม เพื่อนสนิทของเธอร้องตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกลด้วยความตื่นเต้น
“ยัยเมย์ๆๆ มีคนเอารูปเธอมาประกาศตามหาเธอแน่ะ พอดีตอนที่ฉันเดินผ่านมา เขาก็เข้ามาถามว่ารู้จักผู้หญิงในรูปหรือเปล่า ฉันเห็นรูปที่เขาถืออยู่เป็นรูปของเธอด้วยแหละ ยัยเมย์”
หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก
“อาจจะเป็นคนที่หน้าคล้ายฉันก็ได้นี่ ยัยส้มเธอดูดีหรือเปล่า หรือว่ามัวแต่ตะลึงในหน้าตาของเขาจนดูอะไรไม่ชัดเจน แล้วมาแจ้งข่าวผิดๆ ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมเนี่ย”
สุมนรัตน์ได้ยินดังนั้น ก็รีบยืนยันทันที
“นี่ยัยเมย์ มันก็จริงนะที่ฉันอาจจะตะลึงในความหล่อของเขาน่ะ แต่รูปที่เขาถืออยู่ในมือน่ะเป็นเธอจริงๆ นะ ฉันคอนเฟิร์ม 100 %”
เธอหยุดพูดหอบหายใจสักพักที่ทั้งวิ่งทั้งตะโกนมาแต่ไกลเพื่อมาบอกข่าวกับเพื่อนของเธอ
แล้วรีบซักไซ้เพื่อนด้วยความอยากรู้ต่อทันที
“นี่ ว่าแต่เธอไปรู้จักกับคุณสุดหล่อคนนั้นได้ยังไงกัน ดูจากท่าทางการแต่งกายแล้ว เขาน่าจะทั้งหล่อ ทั้งรวย และไม่ใช่คนแถวนี้แน่เลย”
เมรียายังคงใจเย็น และตอบแบบไม่ใส่ใจตามนิสัยของเธอว่า
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ฉันไม่เคยมีเพื่อนลักษณะอย่างที่เธอว่าเลยนะยัยส้ม ฉันว่าอาจจะมีการเข้าใจผิดกันก็ได้”
เธอเว้นจังหวะช่วงหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“อย่าไปสนใจเลยยัยส้ม นี่ก็ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ เราไปกันเถอะ”
โดยไม่รอช้า หญิงสาวฉุดแขนเพื่อนที่ทำหน้าตาเบื่อๆ ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า 'เข้าเรียน' ให้เดินตามไปเข้าห้องเรียนด้วยกัน
โดยที่เธอไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเรื่องที่เพื่อนของเธอเล่ามานั้นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอจริงๆ
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริงกับเธออีกเหมือนเช่นที่เคยทำบ่อยๆ
“ก็ผมอยากเซอร์ไพรส์คุณแม่นี่ครับ แล้วอีกอย่างผมก็อดคิดถึงคุณสุดาสุดที่รักของผมไม่ไหว เลยต้องรีบบินกลับมาหายังไงล่ะครับ”
เป็นปกติที่สองแม่ลูกจะสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ เพราะผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ชายหนุ่มคิดเสมอว่าเขามีแม่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขานั่นเอง
และสิ่งสำคัญรองลงมาก็คืองานแปลวรรณกรรมต่างประเทศที่เขารัก
“แหมยังปากหวานเหมือนเดิมเลยนะ คุณลูกชายสุดที่รักของแม่”
คราวนี้คุณสุดาหยอกล้อลูกชายกลับคืนไปบ้าง หลังจากนั้นแม่ลูกก็พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมาตามประสาแม่ลูกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแสนนาน
สักพักใหญ่ๆ ชายหนุ่มก็ขอตัวไปพักผ่อน และเก็บสัมภาระเข้าที่เข้าทาง และสิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบออกจากกระเป๋าเดินทางใบโตก็คือ “รูปของเธอ” คู่หมั้นของเขานั่นเอง
ซึ่งรูปใบนี้ที่เขาได้ Print ออกมาจากคอมพิวเตอร์นี่แหละเป็นสาเหตุหลักๆ ที่เร่งเร้าให้เขาต้องกลับมาที่ประเทศไทยเร็วๆ เพื่อจะได้เจอตัวจริงของเจ้าของรูปเสียที
และเขาก็หวังว่าพรุ่งนี้ต้องได้พบกับตัวจริงของหล่อนอย่างแน่นอน
รุ่งเช้าหลังจากอาหารมื้อเช้าผ่านไป สองแม่ลูกก็แยกย้ายกันออกเดินทาง คุณสุดาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เธอจึงต้องรีบออกเดินทางแต่เช้าโดยเผื่อเวลาที่รถติดเอาไว้ด้วย
ส่วนสุกริชก็ออกเดินทางแต่เช้า เขากำลังเดินทางเพื่อที่จะไปที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน แต่เป็นมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนาน ดังนั้นเขาจึงต้องออกเดินทางแต่เช้าไม่ต่างจากคุณสุดา
และสองแม่ลูกก็รู้กันดีว่าภารกิจวันนี้ของแต่ละคนคืออะไร ในช่วงแรกคุณสุดายังหนักใจเกรงว่าลูกชายจะหาทางหลบเลี่ยงไม่ไปพบกับคู่หมั้นของเขาตามที่รับปากไว้
แต่เหตุการณ์กลับผิดคาด เมื่อเขาอาสาที่จะไปพบกับเธอในวันรุ่งขึ้นหลังจากการเดินทางกลับมาถึงทันที เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคุณสุดาก็สบายใจไปได้ในระดับหนึ่งที่รู้ว่าการไปพบกันครั้งนี้ไม่ใช่การฝืนใจของลูกชายอย่างที่เธอคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก
แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่เธอก็อดห่วงไม่ได้ คือ คุณอาลิสา แม่ของเมรียาคู่หมั้นของลูกชายเธอ เพิ่งโทรมาบอกว่าเมรียายังไม่รู้ว่าตนเองมีคู่หมั้นคือนายสุกริชลูกชายของเธอเลย
เนื่องจากพยายามหาทางจะบอกลูกสาวแล้ว แต่ทางลูกชายของคุณสุดากลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ ทำให้ยังหาโอกาสที่จะบอกเมรียาไม่ได้
นั่นจึงเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับสองครอบครัวที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเมรียาทราบว่านายสุกริชเป็นคู่หมั้นของเธอ
ที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หญิงสาวรูปร่างผอมบาง สูงโปร่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนเพียงลำพัง
เธอกำลังครุ่นคิดถึงอาการและคำพูดแปลกๆ ของคุณอาลิสาผู้เป็นแม่ เมื่อสองสามวันมานี้คุณอาลิสามักจะมาเลียบๆ เคียงๆ ถามเธอและมักจะพูดอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับการคลุมถุงชนและการมีคนรักกับเธอ
ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่แม่ของเธอเป็นเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนคุณอาลิสามักจะไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายหรือถามไถ่ในเรื่องพวกนี้กับเธอเลย
คุณอาลิสาไว้ใจลูกสาวของเธอเสมอและให้สิทธิในการคบเพื่อนของลูกสาวคนเดียวของเธอ เพราะเธอเชื่อใจในความคิดความอ่านของลูกสาวของเธอดี
เมรียาเป็นเด็กตั้งใจเรียน ไม่ได้สนใจเรื่องผู้ชายหรือพูดง่ายๆ ว่าเธอค่อนข้างเป็นเด็กเรียบร้อย เอาใจใส่กับการเรียนเสมอ และไม่เคยเถลไถลหรือออกนอกลู่นอกทางให้ผู้เป็นแม่ต้องช้ำใจเลยสักครั้งเดียว
ถึงแม้เธอจะไม่ได้เรียนเก่งมาก แต่ก็เป็นคนตั้งใจและเป็นลูกที่ดีของคุณอาลิสามาตลอด ด้วยเหตุนี้คุณอาลิสาจึงไว้เนื้อเชื่อใจเมรียาเสมอ และเธอเองก็เคารพและเชื่อฟังแม่ของเธอเสมอ ทั้งสองแม่ลูกต่างก็รักและเชื่อใจกันเสมอมา
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คุณอาลิสาไม่อยากบอกเรื่องที่เมรียามีคู่หมั้นให้เธอได้รับรู้ เพราะหากเธอรู้ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอปิดบังลูกสาวมาตลอดนั่นเอง
ดังนั้นเมรียาจึงไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า เขา? จะมาพบเธอในฐานะคู่หมั้น
ขณะที่ความคิดของหญิงสาวกำลังล่องลอยไป เธอก็แทบสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงสุมนรัตน์หรือส้ม เพื่อนสนิทของเธอร้องตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกลด้วยความตื่นเต้น
“ยัยเมย์ๆๆ มีคนเอารูปเธอมาประกาศตามหาเธอแน่ะ พอดีตอนที่ฉันเดินผ่านมา เขาก็เข้ามาถามว่ารู้จักผู้หญิงในรูปหรือเปล่า ฉันเห็นรูปที่เขาถืออยู่เป็นรูปของเธอด้วยแหละ ยัยเมย์”
หญิงสาวตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก
“อาจจะเป็นคนที่หน้าคล้ายฉันก็ได้นี่ ยัยส้มเธอดูดีหรือเปล่า หรือว่ามัวแต่ตะลึงในหน้าตาของเขาจนดูอะไรไม่ชัดเจน แล้วมาแจ้งข่าวผิดๆ ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมเนี่ย”
สุมนรัตน์ได้ยินดังนั้น ก็รีบยืนยันทันที
“นี่ยัยเมย์ มันก็จริงนะที่ฉันอาจจะตะลึงในความหล่อของเขาน่ะ แต่รูปที่เขาถืออยู่ในมือน่ะเป็นเธอจริงๆ นะ ฉันคอนเฟิร์ม 100 %”
เธอหยุดพูดหอบหายใจสักพักที่ทั้งวิ่งทั้งตะโกนมาแต่ไกลเพื่อมาบอกข่าวกับเพื่อนของเธอ
แล้วรีบซักไซ้เพื่อนด้วยความอยากรู้ต่อทันที
“นี่ ว่าแต่เธอไปรู้จักกับคุณสุดหล่อคนนั้นได้ยังไงกัน ดูจากท่าทางการแต่งกายแล้ว เขาน่าจะทั้งหล่อ ทั้งรวย และไม่ใช่คนแถวนี้แน่เลย”
เมรียายังคงใจเย็น และตอบแบบไม่ใส่ใจตามนิสัยของเธอว่า
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ฉันไม่เคยมีเพื่อนลักษณะอย่างที่เธอว่าเลยนะยัยส้ม ฉันว่าอาจจะมีการเข้าใจผิดกันก็ได้”
เธอเว้นจังหวะช่วงหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“อย่าไปสนใจเลยยัยส้ม นี่ก็ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ เราไปกันเถอะ”
โดยไม่รอช้า หญิงสาวฉุดแขนเพื่อนที่ทำหน้าตาเบื่อๆ ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า 'เข้าเรียน' ให้เดินตามไปเข้าห้องเรียนด้วยกัน
โดยที่เธอไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเรื่องที่เพื่อนของเธอเล่ามานั้นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอจริงๆ
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ