คู่หมั้น

10.0

เขียนโดย Mawmeaw

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22.13 น.

  10 ตอน
  24 วิจารณ์
  21.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 16.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทสรุปของความรัก (อวสาน)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ภูมีได้พูดทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก
 
"เมย์ คราวนี้คุณคงรู้แล้วนะ ว่าคุณสุกริชเขารักเมย์มากแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง ผมรับรองได้"
 
"ทั้งหมดที่ผมทำไป ผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องเป็นผู้ช่วยพระเอกแบบนี้ ความจริงตอนนี้ผมกำลังจะแต่งงาน ผมเลยแวะไปหาคุณอาลิสาแม่ของคุณมา เพื่อจะเอาการ์ดเชิญไปให้ท่าน"
 
"แล้วบังเอิญได้รู้ปัญหาของคุณกับคุณสุกริชมา ผมเลยอยากให้คุณได้ให้โอกาสคุณสุกริชคู่หมั้นของคุณดูบ้าง"
 
"วันนี้ผมกะจะให้เขาแสดงความจริงใจให้คุณเห็น ผมว่าเขาก็ทำได้ดีซะด้วยสิ แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนนะว่าผมจะมาช่วยเขาแบบนี้"
 
"แต่เขาก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมาให้ผมเห็น ผมนับถือคุณมากคุณสุกริช และหวังว่าคราวนี้เมย์คงจะรู้แล้วนะว่าควรจะให้โอกาสเขาและตัวของเมย์เองหรือเปล่า"
 
เมรียากลับพูดตัดบทขึ้น ด้วยความไม่พอใจว่า
 
"นี่ตกลงว่าคุณจัดฉากทั้งหมดนี่ขึ้นมาเหรอคะคุณภู คุณนี่สุดยอดจริงๆ แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าที่คุณสุกริชพูดออกมาทั้งหมดนี่จะเป็นความจริงหรือเปล่า"
 
"หรือการที่คุณภูบอกว่าคุณสุกริชไม่รู้เรื่องที่มีการจัดฉากพวกนี้ขึ้นมา อันนี้ฉันก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วสิคะ บางทีพวกคุณอาจจะซักซ้อมบทร่วมกันมาเป็นอย่างดีแล้วก็ได้"
 
"เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องให้โอกาสใครเลย ฉันควรจะเป็นฝ่ายโกรธมากกว่านะคะที่ถูกเล่นละครตบตาแบบนี้ ฉันว่าพวกคุณคงจะตกม้าตายตอนจบแล้วล่ะค่ะ"
 
พูดจบหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นั้นก็เดินจากไปทันที
เธอโบกรถที่วิ่งผ่านมา เมื่อมีรถมาจอด เธอก็ขึ้นไปนั่ง แล้วรถก็ขับจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งคู่ต้องกุมขมับปวดหัวไปตามๆ กัน  
 
ภูมีได้เอ่ยขึ้นว่า
 
"คุณสุกริช ผมต้องขอโทษจริงๆ แทนที่จะเป็นการช่วยคุณแต่กลับทำให้เรื่องมันยุ่งไปกันใหญ่เลยคราวนี้"
 
"ตอนนี้ผมยังไม่รู้จะช่วยแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดี แต่ผมรู้ว่า ความรักสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้แน่นอน เชื่อผมสิ"
 
พูดจบเขาก็ยื่นมือไปตบบ่าชายหนุ่มอีกคนเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ
 
ในขณะที่สุกริชกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะทำให้เมรียาหายโกรธเขาได้
 
แม้ว่าเรื่องระหว่างเขากับเมรียายังไม่เรียบรอยดี แต่เขาก็จำเป็นต้องบินกลับอเมริกาโดยด่วนเนื่องจากทางสำนักพิมพ์ที่เขาทำงานอยู่กำลังประสบปัญหาและเขาต้องกลับไปแก้ไขงานแปลวรรณกรรมต่างประเทศเพื่อส่งให้ทางสำนักพิมพ์อย่างเร่งด่วนด้วย
 
ในวันที่เขาเดินทางกลับมีเพียงคุณสุดาแม่ของเขาและคุณอาลิสาแม่ของเมรียามาส่งขึ้นเครื่องที่สนามบิน
 
แม้เขาจะคอยมองหาและพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุดเพื่อรอคอยหญิงสาวที่เขารักด้วยหวังว่าเธอคงจะมาส่งเขาในวันนี้ด้วย
 
ด้วยความหวังว่าคงจะได้เจอหน้าเธอวันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนกลับ ซึ่งก็ยังไม่มีกำหนดว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็หมดหวังเมื่อทางสายการบินประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องเป็นครั้งสุดท้าย
 
ชายหนุ่มยิ้มเศร้า ก่อนจำใจไปขึ้นเครื่องบินที่จอดรออยู่
 
ก่อนไปเขาได้ไหว้ลาคุณอาลิสา และสวมกอดคุณสุดาผู้เป็นแม่อย่างอาลัยอาวรณ์
 
หญิงสูงวัยทั้งสองไม่มีใครเอ่ยถึงเมรียาเลยสักคน แม้ชายหนุ่มจะพยายามถามถึงเธอหลายครั้ง แต่ทั้งคู่ก็พูดบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นเสียทุกครั้ง
 
ทำให้เขารู้สึกหมดหวังเต็มที ชายหนุ่มรู้ว่าเธอต้องโกรธมากแน่ๆ ถึงขนาดไม่ยอมมาพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายในวันนี้
 
หลังจากที่เขากลับมาถึงอเมริกา ชายหนุ่มพยายามตั้งหน้าตั้งตาแก้ไขงานต้นฉบับของเขาให้เสร็จทันตามกำหนด
 
แต่เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเขายังคงเอาแต่เฝ้าคิดถึงเมรียาคู่หมั้นของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้แทบไม่มีสมาธิในการทำงานเอาเสียเลย
 
เขาใช้เวลาประมาณ 3 วันจึงทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจมากกับเรื่องงานของเขา
 
เขาอยากจะกลับไปหาคนที่เขาคิดถึงอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ติดที่ว่าตั๋วที่เขาจองไว้เกิดมีปัญหา ทำให้เขายังกลับไปตอนนี้ไม่ได้
 
เขาได้แต่โทรศัพท์ไปถามข่าวคราวของเมรียากับแม่ของเขา แต่แม่ของเขาก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก
 
แม้ว่าเขาจะพยายามโทรศัพท์ไปหาคุณอาลิสาแม่ของเมรียา แต่แทบทุกครั้งมักจะมีปัญหาสัญญาณไม่ดี ติดต่อไม่ได้หรือฝากข้อความไว้ตลอด
 
ทำให้เขาร้อนใจมาก เขาอยากเห็นหน้าเธอ แต่รูปเธอที่เขาเซฟไว้ก็ดันมีปัญหาเปิดไม่ได้อีก
 
เขาแทบจะหมดหวังไปแล้ว เอาแต่นั่งเศร้าซึม สุดจะอับจนหนทางที่จะพบกับเธอ ติดต่อกับเธอ หรือแม้แต่รูปเธอเขาก็ยังไม่มีเลย
 
เขาได้แต่คิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสที่จะเจอกับเธออีกแล้ว
 
ค่ำวันหนึ่งเขาได้รับอีเมลล์จากใครคนหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเลย
 
เมื่อเปิดดูชื่อ ก็พบว่าคนส่งคือ “ภูมี” นั่นเอง เขาส่งรูปถ่ายบรรยากาศงานแต่งงานของเขากับเจ้าสาวแสนสวยของเขาในวันแต่งงานที่เมืองไทยมาให้ดู
 
และลงท้ายไว้ด้วยว่า
 
"อย่าลืมนะที่ผมเคยบอกคุณเอาไว้ว่า ความรักสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้"
 
"อย่าเพิ่งหมดหวังไปซะก่อนล่ะคุณสุกริช ถ้าคุณรักเมรียาจริง สักวันฟ้าดินต้องเห็นใจ ทำให้คุณได้พบกับเธอจนได้แหละ เชื่อผมเถอะ ขอให้คุณโชคดีนะคุณสุกริช"
 
เขารู้สึกยินดีในความรักของภูมีกับเจ้าสาวแสนสวยคนนั้น
 
แต่ตัวเขานี่สิอีกเมื่อไหร่กันหนอ ฟ้าดินจึงจะเห็นใจให้เขาได้กลับเมืองไทยเพื่อไปพบกับเธอได้ล่ะเนี่ย
 
ถึงเธอจะยังโกรธเขาอยู่ แต่เขาขอแค่ได้เห็นหน้าเธอ ได้อยู่ใกล้ๆเธออีกครั้งก็ยังดี นั่นคือความหวังเล็กๆของเขา เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย 
 
เขาได้แต่นั่งครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยและเผลอหลับไปในที่สุด
 
จนกระทั่งรุ่งเช้า โทรศัพท์ได้แผดเสียงดังขึ้น
 
เขาลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงัวเงีย และพยายามเดินไปรับโทรศัพท์ที่โต๊ะอย่างทุลักทุเล
 
และหลังจากรับโทรศัพท์เสร็จเขาต้องรีบเร่งอาบน้ำแต่งตัวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้อำนายการใหญ่ของสำนักพิมพ์ที่เขาร่วมงานด้วยกำลังจะเดินทางมาและเขามีหน้าที่ต้องไปต้อนรับ
 
เนื่องจากผลงานของเขาได้รับการชื่นชมและสนับสนุนจากท่านมาตลอด เขากระหืดกระหอบเดินทางไปยังสำนักพิมพ์
 
ซึ่งทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันหมดแล้ว เขาได้แต่ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
 
เนื่องจากการตรงต่อเวลาถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับชาวต่างประเทศ
 
เขาทรุดตัวลงนั่งก้มหน้าอยู่ที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่กล้าเงยหน้าสบตากับใคร เพราะทุกคนต่างก็มองเขาด้วยสายตาตำหนิแทบทั้งนั้น
 
และแล้วท่านผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักพิมพ์ก็เดินทางมาถึงทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ รวมทั้งเขาด้วย
 
แต่เขาก็ยังคงก้มหน้าอยู่ เขาแปลกใจไม่น้อยที่ทำไมต้องลุกขึ้นทำความเคารพเหมือนที่เมืองไทยเฉยๆ แล้วก็นั่งลงตามเดิม
 
แทนที่จะเป็นการยืนต้อนรับและเช็คแฮนด์กันตามธรรมเนียมแบบอเมริกันที่นิยมทำกัน
 
แต่ทว่าความจริงก็กระจ่าง เมื่อท่านผู้อำนวยการแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษและแนะนำตัวเป็นภาษาไทยได้ชัดแจ๋ว
 
ที่แท้ท่านก็เป็นคนไทยนั่นเอง และเขายิ่งแปลกใจไปใหญ่เมื่อท่านพูดกับเขาว่า
 
"คุณสุกริช ผมอยากให้คุณช่วยดูแลนักเรียนทุนคนหนึ่งให้ผมด้วย เธอเป็นลูกสาวของผมเอง"
 
"เธอเพิ่งจะมาฝึกงานที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยจะคุ้นกับที่นี่มากนัก ในฐานะที่คุณเป็นนักแปลวรรณกรรมต่างประเทศที่ฝีมือดีและเป็นคนไทยเหมือนกันกับเธอ คุณน่าจะเป็นพี่เลี้ยงที่ดีได้นะ"
 
ท่านยังบอกเขาอีกว่า
 
"บ่ายนี้ถ้าคุณว่างไปรับนักเรียนทุนคนนั้นกับผม ผมจะให้คุณเป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานเธอ ดังนั้นต้องทำความรู้จักกันเอาไว้ คุณจะรับหน้าที่นี้ได้ไหม"
 
ชายหนุ่มนึกในใจเล่นมัดมือชกแบบนี้ใครจะปฏิเสธได้ล่ะเนี่ย
 
เขาจึงได้ตอบกลับไปว่า
 
"ได้ครับท่าน ผมยินดีครับ ท่านจะให้ผมไปรับเธอกับท่าน ตอนกี่โมงครับ"
 
ใจเขาก็ได้แต่นึกเสียดายว่าความหวังที่จะได้กลับเมืองไทยไปหาคู่หมั้นของเขาก็คงห่างไกลไปอีกแล้ว
 
เมื่อทราบเวลานัดแล้ว เขาก็ได้กลับไปนั่งทำงานของเขาต่อไปเรื่อยๆ สักพักใหญ่ๆ 
 
จนกระทั่งเมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมายกับท่านผู้อำนวยการ
 
เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากท่าน ว่าท่านติดธุระด่วน ให้เขาไปรับนักเรียนทุนคนนั้นเพียงลำพัง
 
เขาจึงได้ขับรถไปที่สนามบินคนเดียวและไปรอก่อนเวลาเล็กน้อย
 
ชายหนุ่มนั่งรออยู่ที่สนามบินสักพัก จึงนึกขึ้นได้ว่า เขาไม่รู้ชื่อหรือแม้กระทั่งว่าหน้าตา เสื้อผ้าที่สวมใส่ของคนที่เขาจะมารับนั้นเป็นอย่างไร
 
แล้วเขาจะหานักเรียนทุนคนนั้นเจอได้อย่างไรกัน
 
สุกริชจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาท่านประธาน แต่ว่าเขาไม่สามารถติดต่อท่านได้เลย  
 
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงพยายามติดต่อไปหาท่านประธานเรื่อยๆ
 
และพยายามโทรศัพท์ไปถามรายละเอียดกับที่ทำงานของเขา แต่ก็ไม่มีใครรู้อะไรไปมากกว่านี้เหมือนกัน
 
เขาได้แต่นั่งรอไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก
 
มีใครคนหนึ่งยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้เขา
 
และถามว่า
 
"คุณกำลังรอเธอ อยู่หรือเปล่าคะ"
 
เมื่อเขาได้เห็นรูปถ่ายใบนั้น รูปที่เขาเคยเอาไปใช้ตามหาตัวคนในรูปที่มหาวิทยาลัย
 
และในตอนนี้มันก็มาอยู่ในมือของเขาอีกครั้งแล้ว เขาจ้องมองรูปนั้นนิ่งนาน เหมือนกับต้องการจะจดจำทุกรายละเอียดของเธอเอาไว้ให้อยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป
 
จนลืมนึกไปว่าใครกันที่ยื่นรูปนี้มาให้เขา
 
จนกระทั่งเธอคนนั้นที่เอารูปถ่ายมายื่นให้เขา ได้พูดขึ้นว่า
 
"คุณคงเป็นคนที่พ่อฉันส่งมารับฉันที่สนามบินใช่มั้ยคะ ฉันเป็นนักเรียนทุนจากมหาวิทยาลัยในเมืองไทยที่จะมาฝึกงานที่สำนักพิมพ์ที่คุณทำงานอยู่ค่ะ ฉันเมรียา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
หลังจากหญิงสาวแนะนำตัวเสร็จสรรพ สุกริชรีบเงยหน้าขึ้นมามองเธอเต็มๆ ตาทันที
 
เนื่องจากสะดุดชื่อที่เธอแนะนำตัวประโยคสุดท้าย และแล้วความหวังของเขาก็เป็นความจริงในที่สุด
 
คนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอดตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่ แล้วจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้ข่าวคราวเธอเลย
 
จนกระทั่งวันนี้ เขาก็ได้เห็นรูปถ่ายของเธอ ได้ยินชื่อของเธออีกครั้ง พร้อมกลับได้เห็นตัวจริงของเธอยืนอยู่ตรงหน้าเขาตัวจริงเสียงจริง
 
ชายหนุ่มยิ้มกว้างเต็มใบหน้าและโผเข้ากอดเธอเอาไว้ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
 
พร้อมๆ กับพูดตัดพ้อด้วยความน้อยใจ ว่า
 
"เมรียา คุณใจร้ายมากเลยนะ ที่ทำให้ผมคิดถึงคุณแทบตาย นี่คุณคงจะโกรธผมมากใช่มั้ย ผมถึงติดต่อคุณไม่ได้เลย และวันที่ผมบินกลับมาที่นี่ คุณก็ไม่มาส่งผม ไม่แม้แต่จะมาร่ำลา ให้ผมได้เห็นหน้าคุณเป็นครั้งสุดท้าย"
 
เมรียาได้แต่หัวเราะชายหนุ่มที่กำลังยืนกอดเธอเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายตัวไปไหนอีก เหมือนเด็กน้อยที่ทำท่าทางหวงของเล่นของตัวเองอยู่ยังไงยังงั้น
เธอจึงพูดกับเขาว่า
 
"ความจริงฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรคุณ หรอกค่ะ เพราะฉันรู้ว่าคุณไม่ได้ร่วมมือกับคุณภู แต่ที่ฉันไม่ได้ไปส่งคุณที่สนามบินวันนั้น ความจริงฉันไปส่งคุณ แค่ไม่ให้คุณเห็นฉันเท่านั้นเอง เพราะฉันกะจะเซอร์ไพรส์คุณไงคะ"
 
เธอพูดยิ้มๆ ต่อไปว่า
 
"ตั้งแต่ที่ฉันได้รับอนุมัติให้มาฝึกงานที่ต่างประเทศ และคุณพ่อของฉันก็ช่วยติดต่อที่สำนักพิมพ์ของท่านให้ฉัน ฉันก็เลยพยายามที่จะไม่ติดต่อกับคุณ เพราะติดต่อกันยังไงก็ไม่ทำให้หายคิดถึงเท่ากับการได้มาพบกัน มาเห็นหน้ากันอย่างนี้หรอก คุณว่ามั้ยคะ"
 
เมื่อฟังจบชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม เขาไม่ได้โกรธเธอเลย กลับรู้สึกตื่นเต้นดีใจเสียอีกที่เธอก็คิดถึงเขาเหมือนกัน
 
เขาบอกกับเธอว่า
 
 "คุณเกือบจะทำให้ผมคิดถึงคุณจนจะบ้าตายอยู่แล้วรู้มั้ย ว่าแต่ท่านผู้อำนวยการเป็นพ่อของคุณจริงๆ เหรอครับ"
 
หญิงสาวจึงตอบไปว่า
 
"เปล่าหรอกค่ะ ท่านเป็นพ่อบุญธรรมของฉันต่างหากล่ะค่ะ สมัยที่พ่อฉันยังอยู่ ตอนที่พ่อฉันมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านมาตลอด และพ่อของฉันกับท่านก็เป็นเพื่อนสนิทกันด้วย ท่านก็เลยรักฉันเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านอีกคนค่ะ"
 
ชายหนุ่มเริ่มจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาจึงถามกลับไปว่า
 
"งั้นก็แสดงว่าทางครอบครัวของคุณ ก็รู้เรื่องเกี่ยวกับผมมาโดยตลอดใช่มั้ยครับเนี่ย และถ้าให้ผมเดาก็คงจะรวมทั้งตัวคุณด้วย"
 
หญิงสาวก้มหน้าไม่กล้าสบสายตากับเขา ราวกับเป็นจำเลยที่กระทำความผิดร้ายแรงมาเสียอย่างนั้น
 
หญิงสาวพูดด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า
 
"ก็...ความจริงก็คือ ฉันก็พอจะรู้เรื่องของคุณอยู่บ้าง"
 
ชายหนุ่มพูดแทรกขึ้นมาว่า
 
"และคุณก็รู้ว่าผมเป็นคู่หมั้นของคุณตั้งแต่แรก แล้วทำไมคุณถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องล่ะครับในวันแรกที่ผมไปพบคุณ"
 
เขาพยายามค้นหาคำตอบจากเธออีก
 
หญิงสาวตอบอึกๆ อักๆ ไปว่า
 
"ก็…ก็ฉันไม่รู้นี่นาว่าคุณคิดยังไงกับฉัน ที่สำคัญฉันไม่รู้ว่าคุณจะ…"
 
สุกริชยิ้มกริ่มและพูดขึ้นว่า
 
"คุณไม่รู้ว่า ผมจะรักคุณหรือเปล่า คุณไม่แน่ใจ ก็เลยพยายามจะหนีผมใช่ไหมครับ ความจริงผมรักคุณ รักคุณมากนะ เมรียา"
 
"และพร้อมที่จะดูแลและปกป้องคู่หมั้นคนนี้ของผมไปตลอด  จนกว่าคุณจะเรียนจบและยอมให้ผมเป็นคู่ชีวิตของคุณตลอดไป"
 
"คุณจะตกลงมั้ยเมรียาที่รักของผม"
 
เธอสบตากับเขา และยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ พร้อมทั้งตอบรับเขาด้วยความเต็มใจ
 
"ตกลงค่ะ ถ้าคุณทนรอฉันไหว"
 
"แน่นอนครับ ไหวไม่ไหวผมก็จะรอคุณคนเดียว เพราะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ผมรักเพียงคนเดียว แต่ว่าคุณจะรักผมหรือเปล่าล่ะ ผมยังไม่รู้เลย ถ้าไม่รักผม ก็รีบบอกมานะ อย่าให้ผมต้องรอเก้อล่ะ"
 
เมรียาได้แต่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
 
"คุณนี่ คิดจะแกล้งฉันหรือไงคะ ยังจะต้องให้บอกอีกเหรอ ถ้าฉันไม่รักคุณ คงไม่ตามมาถึงที่นี่หรอก โอเค ก็ได้ๆ ฉันก็รักคุณค่ะคุณสุกริช ถ้าคุณมั่นใจว่าจะรอฉันคนเดียว ฉันก็จะขอรักคุณคนเดียวตลอดไป เหมือนกันค่ะ"
 
สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันอย่างมีความสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่จริงใจต่อกัน
 
โดยทั้งคู่คงจะลืมไปแล้วว่า กำลังอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่สนามบินแห่งนี้
 
สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมองมายังคนทั้งคู่ด้วยความปลาบปลื้ม พร้อมทั้งร่วมกันปรบมือแสดงความยินดีในความรักของทั้งสองที่มีต่อกันด้วยความชื่นชม
 
ช่างเป็นบทสรุปของความรักที่แสนสดใส สวยงามและมีความสุขของสองหนุ่มสาวคู่นี้จริงๆ ท่ามกลางสักขีพยานมากมาย
 
จบบริบูรณ์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา