Candine The Poserry

10.0

เขียนโดย SilverFox

วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 18.48 น.

  7 chapter
  5 วิจารณ์
  13.36K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        ....สายลมพัดอย่างเฉื่อยชาในยามคํ่าคืน ต้นไม้ใบหญ้าโอนอ่อนไปตามแรงลม ท่ามกลางแสงนวลอันสวยงามจากดวงจันทร์ สรรพสิ่งทั้งมวลล้วนหลับไหลในห้วงรัตติการ แต่ถึงกระนั้น
ภายใต้แสงจันทร์อันสุกสว่าง กลับมีชีวิตที่ไม่อาจอยู่ในภวังค์แห่งนิทราได้

     แซ่ก! เสียงบางอย่างเคลื่อนที่ไปตามต้นไม้ใบหญ้า จนพ้นต้นไม้ จึงทำให้เห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนเมื่ออาบแสงจันทร์ในพริบตาแล้วก็มองไม่เห็น อีกเมื่อสิ่งนั้นยังกระโดดเคลื่อนที่ผ่านตามต้นไม้ จนหยุดอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วกระโดดลงจากต้นไม้ทำให้เห็นสิ่งนั้นได้ชัด สิ่งนั้นคือ มนุษย์ผู้หญิง มีผมที่ยาวเป็นลอนสลวยสีเงิน และมีดวงตาเป็นสีเงิน ผิวสีขาว อมชมพู มีร่างที่สูง แต่ดูบอบบาง ในมือของหญิงสาวนั้นมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆอยู่ในอ้อมกอด ร่างนั้นมีผิวสีชมพูอ่อน เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน และมีผ้าไหมบางๆห่อหุ้มร่างของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ผ้านั้นมีสีเงิน ที่เป็นประกายเหมือนอัญมณีที่เปล่งประกายในยามคํ่าคืน


     แซ่ก! แซ่ก! เสียงบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนมาอยู่ข้างหลังของหญิงสาว เมื่อหญิงสาวเห็นจึงเริ่มออกวิ่งและกระโดดไปตามต้นไม้อีกครั้งโดยไม่หันไป มองคนที่อยู่ด้านหลัง เพราะทันใดที่หญิงสาวคิดจะหันไปมอง ร่างของหญิงสาวก็ถูกตรึงไว้กับต้นไม้ โดยสิ่งที่ตรึงหญิงสาวคนนั้นไว้คือ เถาวัลย์ของต้นไม้แถวๆนี้ทั้งหมด แต่เหมือนหญิงสาวจะไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ตรึงเธอเอาไว้เท่าไหร่ เพราะ ตอนนี้สิ่งที่เธอสนใจนั้นอยู่ที่เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ

    "ฮึ! นึกว่าจะหนีไปได้ซักกี่นํ้า" สี ทุ้มดังขึ้น ดึงความสนใจหญิงสาวได้ไม่น้อย แต่เธอก็ยังไม่ หันกลับไปมองต้นเสียง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจ จึงทำให้จากเสียงที่ทุ้มอยู่แล้วยิ่งทุ้มยิ่งขึ้นเพื่อเรียกความสนใจ

    "ส่งไลท์มาให้ข้าเดี๋ยวนี้!" ดูเหมือนจะได้ผลเพราะหญิงสาวนั้นหันหน้ากลับไปมองผู้ที่ตอนนี้อยู่เบื้อง หน้าของเธอ เธอยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า

    "ข้าขอปฏิเสธ" สิ้น เสียงของหญิงสาว ก็มีเสียงพึมพำอะไรบางอย่างทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว ต้องกระโดดถอยหลัง เมื่อเสียงพึมพำของหญิงสาวจบลง หญิงสาวจึงตะโกนว่า

     "เฟรมไลท์!" สิ้นเสียงของหญิงสาว ก็เกิดไฟลุกท่วมไปทั่วเถาวัลย์ที่ตรึงร่างกายของหญิงสาวไว้แต่ที่หน้าแปลก คือไฟนั้นกลับไม่สามารถทำอะไรหญิงสาวได้เลย ไฟนั้นลุกจนเถาวัลย์ไหม้และขาดลงทำให้หญิงสาวหลุดจากพันธนาการ และหญิงสาวเมื่อหลุดจากพันธนาการจึงรีบกระโดดลงจากต้นไม้แล้วออกวิ่งไปข้าง หน้า
      "ยะ หยุด เดี๋ยว....!" ยังไม่ทันที่คนที่อยู่ตรงหน้าจะพูดจบ ไฟที่เคยเผาเถาวัลย์พลันเปลี่ยนเป็นแสงจ้าจนมองเห็นสิ่งรอบๆได้ชัดเจนจนเห็น ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นผู้ชาย ที่มีผิวสีขาวซีดเหมือนคนขาดเลือด มีดวงตาสีดำทมิฬพอๆกับสีผม ที่ปล่อยให้สยายเงาวาววับไม่แพ้ผู้หญิง พอๆกับสีของดวงตา

      ตอนนี้หญิงสาวคนนั้นวิ่งหนีออกมาโดยที่ไม่มีความรู้สึกว่าเหนื่อยหรืออ่อน ล้าเลยจนพ้นป่าและพบหมู่บ้านเล็กๆแทน เมื่อหญิงสาวเห็นหมู่บ้านทำให้หญิงสาวพูดขึ้นว่า

      "นี่ซินะ หมู่บ้านของชนเผ่าเอลฟ์ที่รักสงบ หมู่บ้านเอิล ฟอรี่ ที่อยู่ในป่า ฟลอโร" หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านของเอลฟ์หลายหลังที่ทำขึ้นจากไม้ฟลอ*และใยฟีย่า**

      *ไม้ที่ทำจากต้นฟลอโร ต้นฟลอโรนั้นมีขนาดที่ใหญ่โต อายุยืนและมีกิ่งไม้ที่แข็งแรงเหมาะแก่การนำมาสร้างบ้าน
      **ใยที่ได้มาจากตัวฟีเรย่า เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่า มีขนาดที่ใหญ่เท่ากับช้างตัวที่โตเต็มที่เลยทีเดียว หน้าตาคล้ายแมงมุม แต่มี 6 ตา ใยของตัวฟีเรย่า เป็นใยที่พิเศษกว่าสัตว์ชนิดอื่นตรงที่ มีความเหนียวแน่น ทนต่อลมและนํ้า เส้นใยนั้นมี 2 ชนิด คือ เส้นใยฟีย่า ที่มีเส้นใยที่หนา เหมาะแก่การใช้ยึดบ้านและสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน และอีกหนึ่งชนิดคือ เส้นใยเรย่า ที่ได้จากตัวยูเรย่า ตัวยูเรย่านั้นลักษณะเหมือนตัวฟีเรย่าทุกอย่าง ยกเว้นแต่ขนาดที่เล็กกว่า มีขนาดเท่ากับกำมือของคนเท่านั้น เนื่องจากขนาดตัวที่เล็กจึงทำให้ใยมีขนาดเล็กมาก ไม่ค่อยทนทานเหมือนใยฟีย่าจึงไม่เหมาะนำมาใช้

       จน มาสะดุดกับแท่นศิลากลางหมู่บ้าน ที่มีลักษณะเหมือนป้ายหลุมศพบ่งบอกถึงสิ่งนี้นั้นมีไว้เพื่อบอกกล่าวถึงหาย นะัที่จะมาเยือน ที่ตัวป้ายเขียนอักษรโบราณของชนเผ่าเอลฟา*ไว้มากมายแต่มีสภาพที่ดูเหมือนใหม่ได้รับการดูแลมาอย่างดี จากนั้นหญิงสาวก็เดินต่อไป

      *ชื่อเดิมของชนเผ่าเอลฟ์ในสมัยโบราณ ตอนหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อเผ่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกโพเซอร์รี่แห่งนี้

           
      คราวนี้เธอตั้งหยุดลงอีกครั้งเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

      อุแว๊~อุแว๊~ เสียงของเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวดังขึ้น และเสียงที่ร้องออกมาก็ดังขึ้นเรื่อยๆจนหญิงสาวต้องพูดว่า

      "องค์ชายหยุดร้องเถอะท่าน...." ทันใดที่หญิงสาวจะพูดต่อก็มีอีกเสียงดังขึ้นอีกเสียง

         อุแว๊~อุแว๊~ เสียงของเด็กอีกคนหนึ่งดังจากในบ้านของเอลฟ์ที่อยู่ตรงหน้าของหญิงสาว

      เอี๊ยด! เสียงเปิดประตูทำให้หญิงสาวต้องหันไปมองประตูที่เปิด ปรากฎให้เห็นร่างของหญิงสาวชาวมนุษย์อีกคนที่ในมือโอบกอดลูกน้อยไว้ หญิงสาวตรงหน้ามีผมสีเงินยาวสลวย มีผิวขาวดุจหิมะ และมีดวงตาสีมรกตดุจอัญมณีราคาแพง รูปร่างที่สูง ผอมเพรียวทำให้หญิงสาวตรงหน้าดูงดงามเมื่อแสงจันทร์สาดส่องมาที่ตัวเธอจึง ส่งให้เธอดูงดงามยิ่งขึ้น

      "เอรีน่า ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่....รีบเข้ามาในบ้านข้าก่อนเถอะ"หญิงสาวพูดขึ้นก่อน ที่จะนึกอะไรได้ และเห็นว่าเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเอรีน่าและลูกที่อยู่ในบ้านของเธอยังไม่ หยุดร้อง หญิงสาวนามเอรีน่า พยักหน้าแล้วตามหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปในบ้าน

       ตุบ! ทันทีที่เสียงบานประตูปิดลงหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของเอรีน่าก็พยักหน้าเพื่อ ให้อีกฝ่ายเดินตามจนไปถึงในห้องนอน จุดที่มีเสียงของเด็กที่อยู่ในบ้านร้องดังที่สุดเมื่อเอรีน่าเข้าไปในห้องก็ สะดุดเห็นผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนอนที่ใบหน้ายิ้มแย้ม ดูขี้เล่น ก่อนที่อีกฝ่ายต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวอีกคน ส่งสายตาตำหนิมาที่เค้าแล้วคิดว่า 'คนๆนี้เป็นใครกัน' เอลฟ์หนุ่ม ผู้มีผมสีเงินมัดเป็นหางม้าด้วยใยเรย่า มีผิวสีแทน มีรูปร่างสูงสง่าดูน่าเกรงขามและงดงาม มีดวงตาสีเงินเหมือนเอลฟ์หนุ่มตนนั้นจะรู้ว่าเอรีน่าคิดอะไรจึงยิ้มออกมา เล็กน้อยแล้วกลับมาหุบยิ้มอีกครั้งแล้วพูดว่า

        "ข้าชื่อโฮเอ็น มาติน่า เป็นสามีของเพื่อนท่าน เอรีน่า ไดเอมีเรีย"หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายรู้ความคิดของตน

         "ท่านวางองค์ชายลงในเปลลูกของข้าก่อนเถอะจะได้เงียบซักที"หญิงสาวทำหน้า เบื่อออกมาเล็กน้อยเมื่อเพื่อนของตนไม่ยอมวางเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดให้อยู่ กับลูกของเค้าซะทีจะได้เงียบ

          "อุล เจ้าก็ อย่าทำหน้าเบื่ออย่างนั้นน่า เอ้า"เอรีน่าวางเด็กน้อยที่อยู่ในมือก่อนที่จะหันหน้ามาูดกับเพื่อนของเธอ ด้วยสีหน้าจริงจัง

          "อุลข้าขอฝากองค์ชายไว้ไดไหม?"อุลมองหน้าอีกฝ่ายตอบก่อนที่จะถอนหายใจแล้วพูดว่า

          "รู้แล้วน่า ถ้าไม่รับฝากเห็นทีองค์ชายน้อยของเธอคงไม่ยอมหยุดร้อง"เอรีน่ายิ้มให้เพื่อน สาวของเธอที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เบื่อไปซะทุกอย่าง และรู้ไปซะทุกอย่าง  จนได้ชื่อว่า
 หญิงสาวผู้ที่มี พรของเทพแห่งความรู้เซริวอยู่ในครอบครอง อุลดิเน่ เด เลเนพารี ตอนนี้ต้องชื่อว่า อุลดิเน่ มาติน่าซินะ

           "ไม่ต้องเลยข้ารู้ว่าท่านคิดอะไร เอรีน่า"เอรีน่าหุบยิ้มแล้าทำหน้ายู่เหมือนเด็กๆทันทีที่เพื่อนสาวของเธอรู้ ทัน ทำให้ชายคนเดียวในห้องยิ้มออกมาเล็กน้อย และมองทั้งสองด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนที่จะมีสีหน้าที่อ่อนลง และเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึมทันทีที่ เอรีน่าเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังอีกครั้ง

           "อุล เธอรู้วิธีที่จะช่วยเค้าไหม"หลังจากที่พูดจบ เอรีน่าก็มีสีหน้าที่ดูเศร้าลง ก่อนที่จะยิ้มอีกครั้งเมื่ออุลพูดว่า

            "มี ต้องใช้มนต์บทนั้น"อุลตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากับ โฮเอ็น

            "มนต์อะไร?"เอรีน่าถามขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังสงสัย จนโฮเอ็นคิดว่า
'ท่าน ผู้นี้ช่างเปลี่ยนอารมณ์ง่ายเสียเหลือเกิน'และดูเหมือนอุลจะรู้ความคิดของโฮ เอ็นจึงส่งสายตาตำหนิไปจนเอรีน่างงแล้วอุลก็หันมาตอบเอรีน่าว่า

            "ในเมื่อเคาโดนมนต์พันธนาการจิตใจ สิ่งที่จะช่วยเค้าได้คือ จุดมุ่งหมายของผู้ที่พันธนาการ"

            "จุดมุ่งหมายอย่างนั้นหรอ?"อุลพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปมองเด็กน้อยที่ตอนนี้หลับสนิทหลังจากที่ร้องไห้ส่งเสียงดัง

            "องค์ชาย!"เอรีน่าร้องขึ้นเมื่อคิดได้

            "ใช่ เมื่อผู้ที่พันธนาการต้องการให้องค์ชายไลท์หายไป มีทางอยู่สองทางคือต้องทำให้เค้าจับพลังขององค์ชายไม่ได้ หรือ"

            "หรือ อะไร?"เอรีน่าถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดต่อ แต่เธอรู้สึกไม่ดีกับคำพูดที่อุลจะพูดต่อแต่เธอก็ต้องถาม

            "หรือ ต้องฆ่าองค์ชายทิ้งตามที่ผู้พันธนาการต้องการ"อุลต่อกับด้วยใบหน้าที่นิ่งดูสงบไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น

            "ไม่! ข้า ฆ่าลูกตัวเองไม่ได้หรอก"เอรีน่ามีสีหน้าที่ดูซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่คำพูดของเอรีน่าทำให้อุลยิ้มแล้วพูดว่า

            "เพราะ งั้น ถึงต้องทำให้เค้าจับพลังขององค์ชายไม่ได้เพื่อที่คนคนนั้นจะคิดว่าชายผู้ นั้นได้่ปลิดชีขององค์ชายแล้วเพราะงั้นเราต้องรอเวลา"

            "รอเวลาอะไร?"ยังไม่ทันที่เอรีน่าจะพูดต่อ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางดานหลัง

            "ส่งไลท์มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เอรีน่า"เอรีน่าหันหน้าไปมองต้นเสียงก็เห็นชายผู้ที่เธอพึ่งวิ่งหนีจากเขามา เมื่อ ชั่วโมงที่แล้ว และคิดในใจว่า'สมแล้วที่เป็นเขา ถึงได้คลายเวทย์สะกดตราตรึงได้เร็วขนาดนี้ ปกติต้อง 3วันขึ้นไป'

            "นี่แหละเวลาที่ ข้ารอ"เมื่อ อุลพูดเสร็จก็เดินไปหาเด็กน้อยทั่งสองที่นอนอยู่ในเปล โดยที่หลังเธอสะพายเด็กน้อยอีกคนอยู่

            "เธอคิดจะทำอะไร อุลดิเน่"ชายเจ้าของดวงตาทมิฬกล่าวขึ้นทำให้ อุลยิ้มแล้วพูดขึ้นโดยไม่หันไปหาต้นเสียงแต่ยังมองไปที่เด็กทั้งสองว่า

            "โฮเอ็น เอรี่ ร่ายเวทย์ตรึงดีอัสไว้!"

           "อืม/อือ..อืม"ทั้งสองพยักหน้าตามที่ทั้งสองสั่ง โฮเอ็นพึมพำบางอย่างใส่เด็กทั้งสอง ส่วนเอรีน่า ก็ร่ายเวทย์ใส่ชายนามว่า ดีอัส

           "จะ..จำทำอะไร!"ดีอัสหันหน้าไปถามอุลแต่อุลไม่ตอบยังคงมองโฮเอ็นร่ายเวทย์ ใส่ไลท์และลูกสาวของเธอ เธอมองด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย'ขอโทษนะแคนดิเน่ ที่แม่ต้องทำให้ลูกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย' และอุลก็หันหน้าไปหาเอรีน่าด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดว่า

           "เอรี่ ใช้มนต์สลายพันธนาการ"เอรีน่าพยักหน้าให้อุลก่อนจะพึมพำอะไรขึ้น แล้วยื่นแขนซ้ายไปตรงหน้าของดีอัส

           อึก!ดีอัสร้องขึ้นพลันมีโซ่สีขาวพุ่งเข้าไปรัดเค้า

          "สลายพันธนาการแห่งความมืด"สิ้นเสียงของเอรีน่า ดีอัสก็ร้องออกมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าทรมาณจนเอรีน่าเองก็อดกลั้นนํ้าตา ที่เก็บไว้นานไม่ไหวนํ้าตาที่กลั้นไว้และสั่งสมมาเป็นเวลานานจึงไหลออกมาไม่ หยุด จนสิ้นเสียงของดีอัสปรากฏโซ่สีดำทมิฬที่ตรึงร่างของดีอัสไวเ้

         "อุล"เอรีน่าหันหน้าไปหาอุลแล้วพูดขึ้ข อุลพยักหน้ารับ แล้วเริ่มพึมพำอะไรบางอย่าง อุลยื่นมือออกมาข้างหน้าพลันปรากฎเคียวสีฟ้าใสที่สร้างขึ้นมาจากนํ้า

       อุแว๊~อุแว๊~ เสียงของเด็กทั้งสองดังขึ้นเมื่อโฮเอนร่ายเวทย์บางอย่างเสร็จก่อนที่เสียงของทั้งสองจะเงียบลงเมื่อโฮเอ็นพูดว่า

        "ประสานร่างจิต"สิ้นเสียงพลันปรากฎแสงที่ร่างของทั้งสองก่อนที่ทั้งสองจะลอย ออกจากเปลและขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยจนองค์ชายไลท์หายเข้าไปในร่างของแคนดิ เน่ลูกสาวของอุลและโฮเอ็น โฮเอ็นถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหาลูกสาวของตนแล้วพูดว่า

        "ผนึก!"สิ้นเสียงของโฮเอ็นก็ปรากฎอักขระโบราณ ขึ้นทั่วตัวของแคนดิเน่จากนั้นอักขระนั้นก็วนรอบตัวแล้วก็จางหายไปจนปราก ฎอักขระอีกตัวตรงหน้าอกของหญิงสาวอักขระนั้นส่องแสงจากนั้นแสงก็ค่อยๆจางลง และหายไป

          "อุล"โฮเอ็นหันหน้าไปหาอุลแล้วพูดขึ้น

         "ค่ะ"อุลขานรับ จากนั้นอุลก็เดินถือเคียวที่อยู่ในมือตรงไปที่ดีอัส จากนั้นก็ใช้เคียวตัดโซ่สีดำที่ตรึงร่างของดีอัสทันที

   อ๊ากก!ดีอัสร้องขึ้นจนทำให้นํ้าตาที่จะจางหายไปจากหน้าของเอรีน่าถูกเติม เต็มด้วยนํ้าตาอีกครั้ง ก่อนที่เอรีน่าจะรีบวิ่งไปรับร่างที่สติกำลังจะเลือนหายไปของดีอัส

         "เอรี่..ข้าขอโทษที่ต้องทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมาณ"เอรี่สายหน้าให้กับคำพูด ของดีอัสก่อนที่จะจ้องเข้าไปในดวงตาที่แปลเปลี่ยนจากสีดำทมิฬเป็นสีเหลืองสด ใสของดีอัสแล้วพูดว่า

        "ดีอัส ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเพราะท่านไม่ได้ทำผิดอะไร"ดีอัสยิ้มให้กับเอรี่ ก่อนที่จะเอาหลังมือของตนยื่นขึ้นมาเช็ดนํ้าตาให้กับเอรี่ก่อนที่สติเริ่มจะ กลับมาและพยายามลุกขึ้นเมื่อเอรีน่าเห็นอีกฝ่ายพยายามจะลุกจึงช่วยพยุงตัวดี อัสขึ้น

        "ข้าต้องขอขอบคุณท่านทั้งสองจากใจ ท่านอุล ท่านโฮเอ็น"ทั้งสองพยักหน้ารับคำขอบคุณของอีกฝ่ายก่อนที่โฮเอ็นจะพูดขึ้น ด้วยรอยยิ้มว่า

        "ไม่เป็นไร พวกเราเป็นเื่พื่อนกันนี่ สำหรับข้าเพื่อนของอุลก็คือเพื่อนของข้า"

        "ขอบคุณท่านมาก ข้าขอฝากลูกของเราสองคนไว้กับท่านด้วย ข้าต้องขอโทษ เพราะซักวันไลท์ต้องทำให้ท่านทั่งสอง...และลูกของท่านต้องเดือดร้อนอย่างมาก เป็นแน่"ทั้งสองส่ายหน้าเหมือนบอกว่า ไม่ได้เดือดร้อนอะไร

       "ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอกท่านดีอัส"อุลพูดขึ้นทำให้ดีอัสยิ้มและหลุดหัวเราะ ออกมาจนทำให้เอรีน่าเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา'ท่านกลับมาเป็นท่านคนเดิมแล้ว ข้าดีใจจริงๆ แต่เราคงถึงเวลาต้องไปแล้ว'

       "ฮ่า ฮ่า ฮ่า โฮเอ็นเจ้าไม่ต้องเรียก ทง เรียกท่านหรอกเรียกดีอัสเฉยๆก็ได้"โฮเอ็นพยักหน้ารับคำของดีอัส

       "ดีอัส เราต้องไปแล้ว"ดีอัสพยักหน้าก่อนที่จะเดินเอาบางสิ่งบางอย่างให้อุลแล้วเดินจากไป
อุ ลมองสิ่งที่อยู่ในมือแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็เดินไปหาลูกของตนแล้ววางสิ่งนั้นไว้ใกล้ๆเปล ปรากฎให้เห็นลูกแก้วรูปวงรีมีลายมังกรที่ขดตัวอยู่ข้างในและภายนอกมีปีกครอบ คลุมไว้เหมือนต้องการจะปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างใน อุลหันไปมองหน้าโฮเอ็น โอเอ็นพยักหน้าตอบก่อนที่จะพึมพำอะไรเบาๆก็เกิดแสง้อยๆที่ลูกแก้วพลันเกิด การเปลี่ยนแปลงที่ลูกแก้วลูกแกวที่มีขนาดเล็กตอนนี้แปลเปลี่ยนเป็นลูกแก้ว ที่มีขนาดเท่าลูกแก้วหมอดูลูกหนึ่งที่ฐานรองมีลวดลายเหมือนมือของมังกรจาก นั้นแสงก็หายไปทั้งสองถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่โฮเอ็นจะพูดขึ้นว่า

     "เหมือนที่เจ้าเห็นจริงๆ"อุลพยักหน้ารับก่อนที่นํ้าตาจะไหลออกมาโฮเอ็นจึงเดินเข้าไปกอด

      "ดีอัส เราซักวันเราคงได้เจอลูกของเราซินะ.....เด็กคนนั้นด้วย"ตอนนี้ทั้งสองลอยอยู่บนฟ้ากลางเกาะฟลอโรแห่งนี้ ดีอัสพยักหน้าให้กับเอรีน่าก่อนจะพูดว่า

      "ใช่ก่อนจะถึงเวลานั้นเราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมไปกันเถอะ"เอรีน่าพยัก หน้ารับและโผเข้ากอดดีอัส ก่อนที่จะมีสายลมพัดพาเอาร่างทั้งสองคนไปพร้อมกับเสียงกระซิบเบาๆผ่านสายลม ไปว่า

      "ใช่จนกว่าจะถึงเวลาที่ทั้งสองเริ่มก้าวเดินตามที่โชคชะตาได้กำหนดเอาไว้ เราต้องรอ"
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา