นาฏ...รัก

10.0

เขียนโดย พิศา

วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 17.10 น.

  3 ตอน
  12 วิจารณ์
  8,909 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เมื่อแรกพบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

http://www.keedkean.com 

                        เสียงปรบมือดังกึกก้องด้านหน้าเวทีจบลงพร้อม ๆ กับร่างสองร่างผลุบหายเข้าไปหลังเวที

หลังฉากทั้งสองจับมือกันเขย่าไปมาด้วยสีหน้าอิ่มเอมกับการแสดงของตนเองที่จบลง

                        “เฮ้อ! นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้วสิเรา”  เสียงพึมพำด้วยความโล่งใจดังมาจากสาวน้อยที่

อยู่ในชุดเพื่อแสดงเป็นนางสีดา หล่อนค่อย ๆ บรรจงปลดเครื่องแต่งกายออกทีละชิ้น

                        “ฮื่อ! นิลเองยังขาสั่นแทบรำไม่ออกเอาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าคนจะเยอะขนาดนี้นะยายกา”

เจ้าหล่อนที่อยู่ในชุดเพื่อแสดงเป็นตัวพระรามถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเช่นกัน

                        “เขาคงรอชมรำฉุยฉายพราหมณ์จากมือหนึ่งของวิทยาลัยเราน่ะสิไม่ว่า เมื่อกี้แค่เรียก

น้ำย่อย จริงมั้ยจ้ะนิล” รสิกาบุ้ยใบ้ไปยังร่างกลมกลึงซึ่งขณะนี้อยู่ในชุดเพื่อเตรียมการแสดงรายการต่อไป

                        “อย่ามายอกันหน่อยเลยจ้ะ ชุดนี้มันหนักพอที่แก้วไม่ลอยหรอกนะ”  หล่อนหันมายิ้มให้

เพื่อนพลางขยับกะบังหน้าที่อยู่บนศีรษะให้กระชับ ไม่ทันที่ทั้งสามจะพูดอะไรกันต่อ พิมพิกาก็ก้าวเข้ามา

สมทบ

                        “เป็นไงกันบ้างจ้ะสาว ๆ เมื่อกี้ตอนอยู่หน้าเวทีพี่พิมได้ยินแขกหลายคนชมเปาะทีเดียว

รายการต่อไปนี่ถึงคิวของน้องแก้วแล้วนะ ตื่นเต้นมั้ยจ้ะ”

                        “พี่พิมไม่รู้อะไร แก้วน่ะเขามือโปรฯ เชียวนะคะ งานกิจกรรมของวิทยาลัยหลาย ๆ งาน

น่ะไม่ใช่ฝีมือของแก้วหรอกหรือ จริงมั้ยยายกา” หันไปหาแรงสนับสนุน

                        “ตื่น ๆ ยายนิลฝันทั้งที่ยังไม่หลับเลยนะจ้ะ” คำพูดหยอกเอินของทั้งสองเรียกเสียง

หัวเราะจากคนรอบข้างได้ไม่ยาก

 

                        เสียงโฆษกด้านหน้าเวทีประกาศรายการแสดงต่อไปให้กับแขกของโรงแรมทราบใน

ทันทีเมื่อถึงเวลาตามกำหนด

                        “ได้เวลาแล้วล่ะจ้ะ”  พิมพิกาเอ่ยเสียงเตือนอีกครั้ง กังสดาลยกมือไหว้ขึ้นเหนือศีรษะ

คารวะครูแห่งการแสดง ก่อนจะก้าวออกไปยังด้านหน้าเวที

                        เสียงดนตรีไทยประกอบเสียงร้องขับขานอันเสนาะเพราะพริ้งดั่งมนต์สะกดให้ทุกสาย

ตาไม่อาจละไปเสียจากร่างอรชรกลมกลึง ที่กำลังร่ายรำไปตามท่วงทำนองได้อย่างสวยงามอ่อนช้อย

ละเมียดละไมอย่างไม่มีที่ติ

        ฉุยฉายเอยช่างงามขำ                    ช่างรำโยกย้าย

สะเอวแสนอ่อนอรชรช่วงกาย                    วิจิตรยิ่งลายที่คนประดิษฐ์

สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ                  ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศฯ

                        สุดสวยเอย                   ยิ่งพิศยิ่งเพลินเชิญให้งงงวย

งามหัตถ์งามกรช่างอ่อนระทวย                  ช่างนาดช่างนวยสวยยั่วนัยนา

ทั้งหัตถ์ทั้งกรก็ฟ้อนถูกแบบ                       ดูยลดูแยบสวยยิ่งทิวาฯ

                        น่าชมเอย                    น่าชมเจ้าพรามหณ์

                        ดูทั่วตัวงาม                  ไม่ทราบจนนิด

                        ดูผุดดูผ่อง                   เหมือนทองทาติด

                        ยิ่งเพ่งยิ่งพิศ                 ยิ่งคิดชมเอยฯ

                        น่ารักเอย                     น่ารักดรุณ

                        เหมือนแรกจะรุ่น            จะรู้เดียงสา

                        เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม              แก้มเหมือนมาลา

                        จ่อจิตติดตา                 เสียจริงเจ้าเอยฯ

 

                        “ฉัตร! คะ ฉัตร!..ดูสิจ้องเสียตาไม่กระพริบเลย”  หล่อนกระตุกแขนของชายหนุ่มก่อนจะ

เบียดกระแซะตัวเองเข้าไปแนบชิด

                        “ไม่เห็นจะเข้าท่ากับพวกเต้นกินรำกินนี่”  หล่อนว่าพร้อมกับค้อนลมค้อนแล้งไปบนเวที

                        “นี่โฉม...ผมขอความสงบสักครู่จะได้มั้ย”  เขากระซิบดุหล่อนกลาย ๆ ก่อนจะปราย

สายตาไปจับร่างที่เคลื่อนไหวอย่างงามสง่าอยู่บนเวทีอีกครั้ง

                        ...เสียงปรบมือเกรียวกราวเมื่อการแสดงเสร็จสิ้นลง พร้อมกับร่างของคนบนเวทีเคลื่อน

ตัวเข้าไปหลังเวที

                        “เห็นมั้ยแก้ว เชื่อที่กาพูดแล้วรึยังล่ะว่าแขกเขารอชมจริง ๆ ตอนแก้วรำนะคนดูงี้เงียบ

กริบเลย”  คนพูดเปลี่ยนการแต่งกาย

มาเป็นกางเกงยีนส์เสื้อยืดทะมัดทะแมง

                        “เหนื่อยละสิ”  นิลวดีเข้ามาช่วยด้วยอีกคน ถอดกะบังหน้าที่ร้อยด้วยอุบะดอกไม้ให้

เหงื่อยังซึมอยู่ทั่วไปบริเวณลูกผมของเพื่อน

                        “เพื่อเงินสุจริตแล้ว แก้วไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ”  ว่าพลางรีบหยิบครีมล้างเครื่องสำอางมา

ทาบาง ๆ ทั่วไปบริเวณใบหน้าก่อนใช้สำลีเช็ดอีกครั้ง กิ๊บเล็ก ๆ ที่ติดแนบศีรษะถูกปลดจนหมดสิ้น ผมยาว

สลวยระลงมาเคลียไหล่ถูกคาดเอาไว้ด้วยที่คาดผมลวก ๆ

                        “เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป๊ เดี๋ยวของพวกนี้กากับนิลจะช่วยเก็บลงกระเป๋าให้”  หล่อนรุน

หลังเพื่อนให้เข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเร็วเพราะรู้ใจเพื่อนดีว่าต้องทำเวลาจะได้ไม่ต้องกลับบ้านดึก

นัก เนื่องจากบ้านของกังสดาลนั่นอยู่ไกลกว่าคนอื่นมาก

                        ...พิมพิกาเข้ามาในห้องแต่งตัวอีกครั้งพร้อมซองเล็ก ๆ ในมือ

                        “นี่จ้ะค่าแรงของพวกหนู เมื่อกี้พี่ไปคุยกับแขกมา เขาชมไม่ขาดปากทีเดียว โดยเฉพาะ

สาวน้อยเจ้าของฉุยฉายพราหมณ์ของเราคนนี้”  พิมพิกาจับคางเรียวสั่นเบา ๆ อย่างเอ็นดู                                        

                        “ขอบคุณค่ะ”  กังสดาลยิ้มแป้นแทบหายเหนื่อย

                        “บางทีพี่พิมจะทำเรื่องเสนอทางโรงแรม ขอจัดรายการนี้ให้มีประจำก็ได้ เพราะเมื่อกี้มี

หลายคนเหมือนกันนะที่ขอให้พี่จัดอีกเรื่อย ๆ แล้วถ้ายังไงพี่พิมจะโทรไปหายายรสอีกที เดี๋ยวพี่จะให้รถ

ของโรงแรมไปส่งนะ”  หล่อนกล่าวถึงอาจารย์รสสุคนธ์เพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นอาจารย์ประจำของเด็กสาว

ทั้งสาม

                        “ถ้างั้นพวกหนูลาพี่พิมเลยนะคะ”  กังสดาลกล่าวลา

                        “โชคดีจ้ะ รถจอดอยู่ที่หน้าโรงแรมนะ พี่สั่งให้เขารออยู่ที่นั่นจะได้สะดวก” หล่อนบอก

อีกครั้งก่อนจะโบกมือให้พลางก้าวผละจากไป

                        “พี่พิมนี่คล่องแคล่วจังเลยนะ” นิลวดีกล่าวชมหลังจากก้าวขึ้นไปนั่งบนรถตู้เรียบร้อยแล้ว

                        “งานบริการนี่จ้ะก็ต้องคนบุคลิกอย่างนี้แหละ...อ้าว! นั่นแก้วค้นหาอะไรน่ะ”

                        “กุญแจเข้าบ้านน่ะสิ แก้วว่าเก็บไว้ในกระเป๋าแล้วนี่นา” หล่อนค้นหาจนทั่วกระเป๋าใบเล็ก แต่ก็หาไม่พบ

                        “จะหล่นอยู่ที่ห้องแต่งตัวรึเปล่า” รสิกาออกความคิด

                        “อาจเป็นได้ คุณลุงคะแก้วขอเวลาสักครู่นะคะ”

                        “เชิญตามสบายครับ” ลุงคนขับรถตอบยิ้ม ๆ อย่างคนมีอัธยาศัย

                        “เดี๋ยวนิลไปช่วยหาด้วย”

                        “ไม่ต้องหรอกจ้ะ ไปเดี๋ยวเดียวเอง” ร่างแบบบางก้าวลงจากรถอย่างเร่งรีบ

 

                        ...ภายในห้องแต่งตัวไฟยังสว่างจ้าอยู่ หญิงสาวกวาดสายตาไปจนทั่วแต่ก็ยังไม่พบ

กังสดาลรีบเข้าไปดูที่ห้องแต่งตัวแล้วก็ต้องถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก เมื่อเห็นกุญแจพวงเล็กตกอยู่ที่พื้น

หล่อนคว้าใส่กระเป๋าก่อนจะดับไปที่มุมห้อง แล้วออกมาด้วยอาการเร่งรีบ จึงไม่ทันสังเกตว่ามีเสียงเดินมา

ถึงตรงมุมที่จะเลี้ยวพอดี จนกระทั่งเสียงวี้ดว้ายดังขึ้นนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าชนกับใครเข้าให้แล้ว แรงปะทะ

ของทั้งสองฝ่ายทำให้เสียหลักไม่เป็นท่า แต่ก่อนที่จะล้มกระแทกกับพื้นมีมือหนึ่งมาคว้าแขนไว้ได้ทันท่วง

ที หากเสียงที่แสบแก้วหูกลบจนกังสดาลลืมกล่าวขอบคุณเขา

                        “นังเด็กบ้า!...เดินประสาอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ ดูซิชุดของฉันขาดเลยนี่เห็นมั้ย”  หล่อน

จับชายกระโปรงราตรีสีดำที่มีรอยขาดด้วยกิริยากระแทกกระทั้น

                        “เบา ๆ หน่อยสิโฉม ก็รู้อยู่แล้วว่าต่างคนต่างไม่เห็น ถือเป็นเหตุบังเอิญไปก็แล้วกัน”  

เขาบอกด้วยสีหน้าเอือมระอาเต็มทน

                        “ฉัตรนะ...แทนที่จะจับแขนโฉมกลับไปจับแขนแม่ ‘นางรำ’ นี่ซะอีก”  หล่อนแหวใส่เขา

อย่างลืมตัว ฉัตรชนกสีหน้าตึงอย่างกรุ่น ๆ ในอารมณ์

                        “ถ้าคุณคิดจะเล่นงิ้วก็เชิญเลย...ผมกลับ” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะผละจากไป พิมพิกาก็วิ่ง

หน้าตื่นเข้ามา

                        “มะ...มีอะไรกันเหรอคะคุณฉัตร...อ้าว! น้องแก้วยังไม่กลับอีกเหรอจ้ะ” สีหน้าหล่อนดู

ยังงุนงงในเหตุการณ์

                        “ก็แม่นางรำนี่สิคะ เดินเซ่อซ่าอีท่าไหนไม่ทราบมาชนเอาโฉมเข้า ดูซิชุดนี้ราคาตั้ง

หลายหมื่นขาดหมดเลย”

                        “ไหนขอพิมดูก่อนเถอะค่ะ” หล่อนกล่าวพลางพิจารณารอยขาดนั่น

                        “เพียงแค่ตะเข็บแยกเท่านั้นเองค่ะ ซ่อมได้ไม่ยากเลยถ้าคุณโฉมจะรอสักครู่ พิมจะให้

ทางโรงแรมซ่อมให้”

                        “อุ๊ย! ไม่ต้องหรอกจ้ะ ดีไม่ดีชุดฉันจะพังเสียหมด”

                        “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นคุณพิม...”  น้ำเสียงราบเรียบของฉัตรชนกบ่งบอกถึงอารมณ์ได้

ดี ชายหนุ่มชำเลืองสายตาไปยังคนที่กำลังส่งประกายตาวาววับนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดเบา ๆ กับพิมพิกา

                        “ผมเห็นจะต้องขอตัวก่อน”  ร่างสูงก้าวผละจากไป เขาไม่หยุดรอโฉมเฉลาเสียด้วยซ้ำ

หล่อนกำลังจะทำให้เขาหมดความอดทนลงไปทุกที

                        พิมพิกามองตามร่างอวบในชุดราตรีสีดำแพรวพราวที่วิ่งตามร่างสูงของฉัตรชนกไปติด

ๆ ด้วยสีหน้าสมเพช

                        “น้องแก้วเชื่อมั้ยล่ะว่า อีกไม่นานคุณโฉมเฉลานี่จะถูกเขี่ยทิ้ง”

                        “คงไม่มังคะ”

                        “คอยดูไปก็แล้วกัน คุณนกน่ะเธอไม่เห็นจะจริงจังกับใครเป็นพิเศษสักคน ผู้หญิงกี่คน

ต่อกี่คนแล้วไม่เห็นจับเขาได้”

                        “จะโทษแต่ผู้หญิงไม่ได้ค่ะพี่พิม ถ้าผู้ชายไม่มายุ่งกับเขาก่อน”

                        “น้องแก้วไม่รู้อะไร คนอย่างคุณนกน่ะเธอไม่เคยยุ่งกับใครก่อน มีแต่ผู้หญิงจะตบเท้า

เข้าหาก่อนน่ะไม่ว่า อ้อ! ยังไม่ตอบพี่เลยว่ากลับเข้ามาอีกทำไมจ้ะ”

                        “เข้ามาหากุญแจน่ะค่ะ มันตกอยู่ที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ป่านนี้กากับนิลรอแย่แล้วแก้วกลับ

นะคะ” เด็กสาวยกมือไหว้อีกครั้ง

กำลังจะก้าวออกไปพิมพิกาก็ร้องบอกเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้

                        “เดี๋ยวจ้ะน้องแก้ว พี่ลืมบอกไปว่าผู้ชายคนเมื่อกี้นี้น่ะเป็นแขกพิเศษของเราเชียวนะจ้ะ”

                        “เหรอคะ...แต่สำหรับแก้วไม่เห็นเขาจะพิเศษตรงไหนเลยค่ะ...แก้วลานะคะ” ร่างบาง

ก้าวยาว ๆ ไปอย่างรวดเร็ว

                        “เออ! แปลกเด็ก เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ทำท่าว่าศรศิลป์จะไม่กินกันซะแล้ว” หล่อนคิดขัน

ๆ ก่อนจะก้าวตามออกไปบ้าง...

 

ขอขอบพระคุณรูปภาพสวย ๆ ประกอบเรื่องของ อาจารย์จักรพันธ์  โปษยกฤต จาก google.com มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา