เพราะร้าย.. ถึงรัก
7) ตอนที่ 7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากหาทางออกกับบรรดาเพื่อนสาวเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็เป็นปัญหาของตัวเองอีกครั้งว่า จะเข้าไปพูดกับบิดามารดาอย่างไร หากต้องการจะเข้าไปทำงานกับรดิศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่ เพราะใครๆต่างก็รู้ ว่าชนัญธิดาคิดอย่างไรกับชายหนุ่ม แต่ที่ผ่านมา เธอเพียงแค่คิดในใจ แต่ไม่มีที่ท่าจะแสดงออกมา ให้ใครต้องเป็นกังวลไม่ แต่หากคราวนี้ เธอกลับต้องการพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนม ซึ่งเดาไม่ออกถึงผลลัพท์ที่จะเจอในอนาคตเลยสักนิด
“คุณพ่อคุณแม่ข๋า ทำอะไรกันอยู่คะ” หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่เธอจะต้องเดินหน้าทำอะไรสักอย่าง
“ก็นั่งดูนั่นนี่ไปเรื่อยหน่ะลูก ว่ายังไงล่ะเรา มีอะไรกับพ่อหรือเปล่า” คุณพิภพเอ่ย เมื่อลูกสาวสุดที่รักเดินเข้ามาพร้อมกับอ้อนเสียงหวาน
“นั่นสิคะ หมู่นี้คุณแม่ไม่ค่อยเจอหนูเลยลูก ไปทำอะไรซนที่ไหนมาหรือเปล่า” แม้ลูกสาวนางจะอายุ 22 ปีแล้วก็ตาม แต่ยังไงซะ ในสายตาของแม่อย่างคุณทับทิม ก็ยังคงเห็นเธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เอาแต่เล่นซน สร้างเรื่องราววุ่นวายไม่หยุดหย่อน
“โธ่ คุณแม่ หนูนัญโตแล้วนะคะ ไม่ได้เล่นซนสักหน่อย คุณพ่อดูคุณแม่สิคะ ว่าหนูนัญอีกแล้ว” น้ำเสียงแง่งอนแบบที่ทำเสมอๆ เมื่อโดนขัดใจ ยังใช้ได้ผลเสมอๆ ในเมื่อโดนมารดาเย้าแหย่เช่นนี้ ก็จำต้องหันไปพึ่งพาบิดาที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวไม่ห่างนัก
“เอาๆ โตเป็นสาวแล้ว ยังจะมาอ้อนพ่อแม่แบบนี้ จะให้ว่าโตได้ยังไงกันคะ หืม มีอะไรก็ว่ามาสิลูก ไม่ต้องมาโยกโย้เลยเรา ว่ามาสิ อยากได้อะไร” หลังจากแหย่กันไปมา สร้างความสนุกสนานกันพอหอมปากหอมคอ มารดาซึ่งสังเกตมาพักใหญ่ จึงเอ่ยขึ้น
“หือ คุณแม่รู้ได้ยังไงคะ มีตาวิเศษหรือเปล่าเนี๊ย คุณพ่อระวังนะคะ อย่าแอบทำอะไรผิดปกติเชียวนะคะ”
“เดี๋ยวเถอะหนูนัญ แซวแม่หรอเรา เซี้ยวใหญ่แล้ว จะโดนตี” ไม่ว่าเปล่า นางยังเอื้อมมือหวังจะตีลูกสาวแสนเฮี้ยวสักที
“แล้วมีอะไรหรือเปล่าล่ะลูก จะให้พ่อช่วยอะไรหรือเปล่า” หลังจากเห็นแม่ลูกแหย่กันเล่นพอประมาณแล้ว ก็ชักจะอยากรู้แล้วว่า เพราะเหตุใด ลูกสาวจึงมีท่าทีแปลกๆมาหลายวันแล้ว
“เอ่อ คือ “ เมื่อบิดาถามมาเช่นนี้ คนที่มีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือกลับพูดไม่ออก เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดเช่นไรดี
“อ้าว ติดอ่างซะแล้วลูกสาวเรา” เมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวมีอาการอ้ำอึ้ง เหมือนกำลังโดนกดดัน บิดาอย่างเขาก็ต้องหาทางคลายบรรยากาศที่เริ่มกดดันนี้ลง โดยการเอ่ยแซวออกไป
“คุณพ่อก็ คือว่า นัญอยากลองฝึกงานหน่ะค่ะ คุณพ่อคิดว่ายังไงบ้างคะ” ในที่สุดก็กลั้นใจบอกออกไป แล้วรอคอยความคิดเห็นจากบิดาด้วยใจจดจ่อ
เมื่อได้ยินลูกสาวคนสวยเอ่ยออกมาเช่นนั้น คนเป็นพ่อ ก็ไม่คิดจะขัดความต้องการ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าลูกคนนี้จะอยากได้อะไรก็ตาม ที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ก็ไม่มีครั้งไหนที่ท่านจะไม่ทำให้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ยิ่งเป็นเรื่องทำงาน ท่านยิ่งเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่า ท่านจะอยากให้ศึกษาต่อปริญญาโทก่อนก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยเวลาทิ้งไปวันๆ ให้ฝึกงานไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย
“แล้วหนูอยากทำงานอะไรที่ไหนล่ะลูก มาทำที่บริษัทเรามั๊ย มาเป็นผู้ช่วยพ่อก็ได้”
“เอ่อ คือ หนู” จะให้บอกได้ยังไงกันว่าอยากไปทำงานกับชายหนุ่มในดวงใจคนนั้น
“หรือว่าหนูอยากไปทำที่ไหนลูก” ระหว่างที่กำลังสอบถามความต้องการกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน และไม่นานเกินรอ เด็กในบ้านก็วิ่งนำหน้าแขกเข้ามายังห้องรับแขกที่สมาชิกในครอบครัวกำลังนั่งเล่นพักผ่อนกันอยู่
“สวัสดีครับอาภพ อาทับทิม สวัสดีหนูนัญ” เสียงชายหนุ่มในห้วงคำนึงของสาวน้อยดังขึ้น ปลุกให้สาวน้อยตื่นจากฝัน ไม่สิ ไม่ใช่ฝัน พี่ดิศยืนอยู่ตรงหน้าเราแล้วนี่
“นั่งก่อนสิลูก เป็นไงมาไง วันนี้ถึงได้แวะมาหาอาได้ มีธุระอะไรหรือเปล่า” คุณพิภพเดินเข้าไปหา หลังจากเห็นถนัดตาว่าใครมาหา และโอบไหล่หนาๆมานั่งที่โซฟาตัวยาวด้วยกัน
“แล้วนั่น หอบอะไรมาเยอะแยะเชียวตาดิศ” คุณทับทิมถึงกับต้องเอ่ยปาก เพราะปริมาณถุงที่ชายหนุ่มหอบหิ้วมาด้วยจำนวนมาก
“ของฝากจากคุณแม่หน่ะครับ เพิ่งกลับมาจากอเมริกากับคุณพ่อ พอดีผมผ่านมาแถวนี้ ก็เลยอาสาเอามาให้”
“อ้าว กลับมากันแล้วหรอ นึกว่าจะอยู่นานซะอีก เพิ่งจะไปแค่ไม่กี่วันเองนี่” หนุ่มใหญ่เอ่ยขึ้น ทำให้ภรรยายังสาวหัวเราะไปด้วย นั่นเพราะต่างก็รู้กันดีว่า บิดามารดาของชายหนุ่มเดินทางบ่อยเพียงไหน ก็ตั้งแต่ได้ชายหนุ่มตรงหน้าเข้ามาช่วยบริหารงาน หลังจากจบปริญญาโทมา ทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินทางไปแทบจะทั่วโลก โดยอ้างว่าเวลาเหลือน้อยเต็มที่ ต้องรีบใช้หาความสุขกับชีวิตเสียก่อนจะไม่มีโอกาส
“หนูนัญ เป็นอะไรไปคะ นั่งเงียบเชียว” หลังจากเห็นน้องน้อยนั่งเงียบตั้งแต่เขาเดินเข้ามาแล้วก็ได้แต่แปลกใจ เพราะปกติ ถ้าเขามาบ้านหลังนี้ทีไร ก็ต้องมีลิงตัวน้อยมาค่อยเกาะแขน พันหน้าพันหลังให้วุ่นวายไปหมด แต่ครั้งนี้แตกต่างไป เพราะเธอเพียงแค่หันมามองนิ่งๆ แล้วก็เงียบ ไม่แม้กระทั่งทักทายเขาเสียด้วย
“เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ก็เธอไม่ได้เป็นอะไรนี่นา
“อ่ะ นี่ของฝากของเรา คุณแม่พี่กำชับนักหนาเชียว ว่าอย่าลืมให้เราให้ได้” หลังจากดูท่าทีแล้ว ยังไงเสียเธอก็คงไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่แน่ จึงต้องนำของฝากที่คุณแม่ย้ำนักหนาว่า อย่าลืมเอาให้กับมือ ห้ามฝากใครเป็นเด็ดขาด เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องหาเวลานำเข้ามาให้ด้วยตัวเอง แทนที่จะให้คนขับรถนำมาให้เช่นทุกครั้ง
“ฝากขอบคุณคุณป้าด้วยนะคะ เอ่อ แล้วก็ ขอบคุณพี่ดิศที่นำมาให้ค่ะ” เป็นมารยาทที่มารดาเฝ้าอบรมสั่งสอนถึงความเป็นกุลสตรีไทยมาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่ว่าใครจะทำอะไรให้เราก็ตาม เราซึ่งเป็นผู้รับ ก็ต้องรู้จักขอบคุณ แม้กระทั่งคนทำงานในบ้าน ถ้าหากเราให้เขาช่วยทำอะไรนอกเหนือจากงานของเขา เราก็ต้องขอบคุณเขา
“ว่าแต่ เมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่หรอครับ ท่าทางเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ายังไง ผมกลับก่อนดีกว่านะครับ จะได้คุยธุระกันต่อ” เมื่อหมดธุระแล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ถึงแม้ว่าเขาจะสนิทสนมกับครอบครัวนี้มากแค่ไหน แต่นั่นก็เมื่อนานมาแล้ว ยิ่งช่วงหลังๆ ที่เขาเข้ามารับตำแหน่งประธานบริษัท ก็ทุ่มเทให้กับงานมาก จนไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเหมือนแต่ก่อน
“อ้อไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตหรอก แค่เด็กแถวๆนี้อยากทำงาน มาปรึกษาว่าจะลองฝึกงานก่อนจะไปเรียนต่อโท แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบหรอกนะ เพราะเพิ่งจะคุยกันเอง ดิศคิดว่าไงล่ะ เรื่องน้องจะทำงาน หรือว่าอยากให้เรียนต่อก่อนค่อยกลับมาทำทีเดียว” คุณพิภพเอ่ยอย่างใจกว้าง เพราะถึงอย่างไร เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังกันอยู่แล้ว ดีเสียอีก ลองดุมุมมองความคิดของเด็กใหม่ๆอย่างรดิศบ้าง ว่าคิดเห็นอย่างไร
“ก็ดีนะครับ ได้ลองทำงานจริงๆก่อน จะได้รู้ว่า เวลาคนเราทำงานจริงๆ มันเป็นยังไง ถึงเวลาไปเรียนจะได้ตั้งใจ แล้วอีกอย่าง หนูนัญเรียนจบกลับมา ก็ต้องมาบริหารงานต่อจากคุณอา จะได้ตั้งใจมากกว่าคนอื่นๆ แล้วนี่ คุณอาจะให้ไปฝึกงานที่ไหนหรอครับ” เมื่อได้ออกความเห็นส่วนตัวไปแล้ว ก็หันมองหน้าสาวน้อยเจ้าของหัวข้อสนทนาในขณะนี้ ที่เอาแต่นั่งมองหน้าเขานิ่งๆ เหมือนมีอะไรในใจ นั่นทำให้เขาสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “หนูนัญมีอะไรกับเราหรือเปล่า ทำไมมองหน้าเราแบบนี้” แม้จะอยากถามให้รู้ความ แต่ก็ติดที่ว่าในห้องนี้ ไม่ได้มีเพียงเขาและเธอ แต่ยังมีบิดามารดาของเธอนั่งอยู่ด้วย ดังนั้นจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจคนเดียว
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสนทนากับบิดามารดาของเธอในเรื่องของเธอเองอยู่นั้น เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจฟังสักนิด ว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ในสมองของคนตัวเล็กกำลังทำงานอย่างหนัก ซึ่งแต่ละเรื่องนั้นก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เพราะวนเวียนแต่ว่า จะทำอย่างไรดี ให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา ทำให้เขาหันมาสนใจเธอมากกว่าคนอื่นๆ เหมือนแต่ก่อน
“หนูนัญ หนูนัญ” เสียงอันดังทำให้หญิงสาวที่อยู่กับความคิดของตนเองตกใจ
“คะ คุณพ่อ ว่ายังไงนะคะ” หลังจากตกใจกับเสียงเรียกอันดังของบิดา ทำให้หนูนัญสะดุ้งสุดตัว
“เป็นอะไรไปลูก นั่งเหม่อเชียว” เมื่อสังเกตเห็นลูกสาวของตนมีอาการแปลกๆ ตั้งแต่ชายหนุ่มเข้ามาในบ้านแล้ว สาวน้อยก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ กลายเป็นคนพูดน้อยไปทันตา ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยปกติของบุตรสาว เมื่อมองตามสายตานั้นไปจนในที่สุด ก็พบกับบุตรชายของเพื่อนสนิท นั่นยิ่งทำให้ความกังวลของมารดาเพิ่มมากขึ้น ลูกสาวของเธอคิดอะไรอยู่ ถึงได้ไม่ได้ยินเสียงเรียกของบิดาตั้งแต่ครั้งแรก ทั้งๆที่นั่งกันห่างแค่เอื้อม
“เปล่าค่ะคุณแม่ เมื่อกี้นี้ คุณพ่อว่ายังไงนะคะ หนูนัญไม่ทันฟัง” หลังจากหันไปหามารดา แล้วพบกับสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่ฉายชัดบนใบหน้างดงามนั้น ยิ่งทำให้เธอต้องพยายามลืมเรื่องในใจออกไปให้หมดสิ้น เพื่อให้ท่านคลายความกังวล
“เมื่อกี้นี้ พี่ดิศเขาเสนอว่าให้เราไปฝึกงานที่บริษัทของพี่เขา หนูว่ายังไงลูก”
“แล้ว ทำไมนัญต้องไปฝึกที่นั่นด้วยล่ะคะ” แม้ในใจอยากจะกระโดดเข้าไปกอดเขาให้สมกับที่รู้ใจเธอยิ่งนัก แต่ไม่ได้หรอก ขืนทำแบบนั้นไป มีหวัง ต้องโดนมารดาดุไปอีก 7 วันแน่เชียว
“พี่ว่า ถ้าไปทำที่บริษัทอาภพ จะมีใครกล้าใช้งานคุณหนูนัญคนสวยได้ ไม่ได้ทำงานอะไรกันพอดี แต่ถ้าหนูนัญไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไรนะ” ถึงแม้จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเธอไม่มาจริงๆ เขาก็คงผิดหวังเช่นกัน
“ก็ได้ค่ะ” เอาล่ะ ในเมื่อเขามีเหตุผล เธอก็จะทำตาม แม้ว่าจะยอมตกลงตั้งแต่เขายื่นข้อเสนอมาให้แล้ว ง่ายกว่าที่คิดไว้เสียอีก เธอไม่ต้องมานั่งหาเหตุผลอ้างกับบิดาให้วุ่นวาย “พี่ดิศนี่ ช่างรู้ใจหนูนัญที่สุดในโลกเลยค่ะ” นี่เป็นเสียงในใจเธอเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยออกมาให้ใครได้ยินหรอก
อ่านจบแล้ว อย่าลืมเม้นท์ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ