มิติรัก สองภพ
9.3
1) ๑.ฝนแรกต้นฤดูกาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ ๑ ฝนแรกต้นฤดูกาล
(โปรดติดตามตอนต่อไปจ้
ตอนที่ ๑ ฝนแรกต้นฤดูกาล
ยามบ่ายแก่แดด ตะวันแสดสาดแสงจัดจ้า อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนหมกกายอยู่ในเตาอบ รมิดานั่งจับเจ่ารอคอยใครสักคนที่ชานชาลาตั้งแต่เที่ยงแล้ว เธอได้โทรศัพท์แจ้งไปยังฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน ให้ส่งรถมารับไปยังสถานที่ทำงาน แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีวี่แววว่า เจ้าของฟาร์มจะมาตามนัดหมาย
อากาศปลายเดือนพฤษภาคมร้อนจนเหงื่อไหลซิก แม้นว่ารมิดาจะตัดผมซอยสั้นเปิดต้นคอ แต่ไอร้อนก็พราวเม็ดเหงื่อตามลำคอและดวงหน้าคมสวย เด็กสาวใส่เสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก้ต กางเกงบูลยีนรัดรูป และรองเท้าผ้าใบคู่โปรด ทำให้รูปร่างกะทัดรัดนั้นดูทะมัดทะแมงยิ่งขึ้น
รมิดา ธารารักษ์ เพิ่งสำเร็จการศึกษาหมาดใหม่ไฟแรง จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แม่โจ้ สาขาวิชาสัตวบาล
เมื่อสองเดือนก่อน เด็กสาวยังกังวลเกี่ยวกับการหางานทำตรงใจรัก เนื่องจากฟาร์มโคนมที่มีมาตรฐานในเมืองไทยมีเพียงไม่กี่แห่ง และค่อนข้างอยู่ห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับเธอนัก หากต้องเดินทางจากอ้อมอกไปทำงานไกลบ้าน แต่ลูกสาวคนเล็กก็มุ่งมั่นฝันใฝ่เหลือเกินว่า อยากทำงานหาประสบการณ์ในฟาร์มดีๆ สักแห่ง แล้วจึงหวนกลับมาพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอน แม้นชีวิตการเป็นลูกจ้างจะลำบากยากเข็ญเพียงใดก็ตาม
หากแต่แรงดลบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้เธอเลือกฟาร์มโคนมแห่งนี้ ก็เพราะเจ้าของกิจการคือผู้ชายที่ตราตรึงอยู่ในความฝันมาแต่เด็ก เมื่อปลายปีที่แล้ว ภาพนักบริหารหนุ่มใหญ่ปรากฏหราบนปกหนังสือนิตยสารรายเดือนเล่มหนึ่ง ในฐานะผู้รับโล่รางวัลเจ้าของกิจการฟาร์มโคนมดีเด่นแห่งประเทศไทย
เด็กสาวเฝ้ารอคอยเจ้าของฟาร์มคนนั้นมารับ จนกระทั่งดวงตะวันคล้อยค่ำ รถกระบะสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่ง ก็แล่นเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ เธอเหลือบเห็นชายร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถ ชะเง้อมองไปรอบๆชานชาลาที่พักผู้โดยสาร เหมือนกำลังมองหาใครสักคน แล้วสายตาคู่นั้นก็หันมาสบตาเธอพอดี
รมิดาใจเต้นแรง ขณะร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ตรงมาหาเธอ ดวงหน้าสาวน้อยแช่มชื่นขึ้นมาทันที เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ก็ชายหน้าตาคมเข้มคนนี้แหละ ที่เธอเห็นในภาพฝันและบนหน้าหนังสือนิตยสารเล่มนั้น
“ฉันชื่อชิดชล...จากฟาร์มทุ่งตะวัน มารับคนงานที่โทร.แจ้งไปยังฟาร์มเมื่อตอนเที่ยง ใช่หนูรมิดาหรือเปล่า”
ฝ่ายนั้นทักทาย เสียงกังวานทุ้มชวนฝัน รมิดาผุดลุกขึ้นยืนกระตือรือร้น กระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ ค่ะ หนูชื่อรมิดา ธารารักษ์ มาจากเชียงใหม่ ”
“ เป็นไงบ้าง รอนานมั้ย”
เขายิ้มอ่อนโยน ตาคมเข้มซ่อนแววใจดี “ ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ที่มารับช้า เพราะมัวแวะเลือกซื้อข้าวของตั้งหลายอย่าง มาคนเดียวเหรอจ๊ะ ”
“เอ่อ...ค่ะ เพื่อนๆ ไม่มีใครยอมมาด้วย พวกเขาบ่นว่าโคราชไกลเกินไป ”
เด็กสาวคว้ากระเป๋าเดินทาง ที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาถือ ท่าทางกระฉับกระเฉง พร้อมออกเดินทางอยู่ในที
“แล้วหนูคิดยังไง ถึงหาญกล้ามาฝึกงานคนเดียวที่ฟาร์มห่างไกลบ้านเช่นนี้ ”
ผู้มากวัยกว่าชวนคุย ขณะเอื้อมมือมาช่วยเธอถือกระเป๋าเดินนำหน้าไปยังรถกระบะที่จอดรออยู่
“มันน่าท้าทายดีค่ะ อีกอย่างหนูก็โตเป็นผู้ใหญ่ สามารถตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว ” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง แต่เธอก็ไม่ได้บอกถึงแรงบันดาลใจที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
“งานที่ฟาร์มเราหนักเอาการอยู่นะ”
ตาคมกริบลอบชำเลืองมองสาวน้อยแวบหนึ่ง พลางยิ้มมุมปาก
“ค่ะ...เรื่องนั้นหนูทราบดี”
รมิดาพยักหน้า ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววมุ่งมั่น
“เยี่ยมเลย ฉันชอบคนขยัน อดทน มีวินัยในตัวเอง ใบสมัครงานหนูบอกคุณสมบัติมาครบถ้วน เชื่อว่าหนูคงทำได้ดีกว่านั้นนะ”
เขาคาดหวังสีหน้าจริงจัง
“รับรองหนูทำได้แน่ค่ะ ที่ไหนมีอากาศหายใจ หนูอยู่ได้ทั้งนั้น” เธอตอบย้ำอย่างมั่นใจนักหนา
เมื่อเจ้าของฟาร์มเข้ามานั่งประจำที่คนขับ รถยนต์ซึ่งบรรทุกข้าวของเต็มท้ายกระบะ ก็เคลื่อนออกจากสถานีรถไฟไปสู่ถนนมิตรภาพ ท่ามกลางแสงยามสนธยา ตะวันขี้อายหลบซ่อนดวงอยู่หลังม่านเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล
พอรถแล่นถึงทางแยก ชิดชลก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวาไปยังถนนลาดยาง ทอดผ่านละเมาะไม้ สลับกับไร่ข้าวโพดกว้างสุดสายตา จุดหมายปลายทางยังไกลลิบโค้งลับไปกับแนวป่าครึ้มเขียว แลจรดทิวเทือกเขาสูงต่ำเต็มขอบฟ้า
ไม่นานเลย มวลเมฆอุ้มท้องหนักอึ้งก็คลอดเม็ดฝนใสๆพรูพรำลงมา ทั้งๆที่แดดสาดแสงต้องหยาดฝนเป็นประกายเพชรร่วงพร่างพราว เม็ดฝนปลิวปรายปะทะกระจกหน้ารถพร่ามัว แม้นว่าที่ปัดน้ำฝนกวาดละอองน้ำวืดวาดไปมาตลอดเวลา แต่กระจกหน้ารถใสพร่างเพียงครู่เดียว ก็พร่ามัว สลับกันไปมาอยู่เช่นนี้ตลอดสายทางอันคดเคี้ยว เมื่อฝนซาลง รถยนต์ก็ลดความเร็ว คนขับเลื่อนกระจกด้านข้างลง คล้ายอนุญาตให้ละอองขาวพราวละไม พรั่งพรูเข้ามาชุบชื่นบรรยากาศภายในรถ แทนไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ พลันมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากบางอย่างอารมณ์ดี
รมิดาอดชำเลืองมองหนุ่มใหญ่ผู้มีดวงหน้าคมสันไม่ได้ และดูเหมือนว่าเขาก็หันมามองสบเธอในห้วงเวลาเดียวกัน นัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มขรึมคู่นั้น แฝงแววอ่อนโยนเป็นมิตร มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ในแววตาที่น่าค้นหาเป็นที่สุด อีกทั้งบุคลิกเขาช่างน่าสนใจ รู้สึกอบอุ่นยามชิดใกล้ สาวน้อยคะเนอายุเขาคงไม่เกินสี่สิบห้า
แม้รอยยิ้มคลี่แย้มไว้ท่าทีนิดๆ ก็ยังกระตุกหัวใจสาวน้อยให้เต้นผิดจังหวะ จนเธอต้องหลบแววตาเข้ม เสมองไปทางอื่น...
ฝนแรกปลายเดือนพฤษภาคม ตกลงมาสดๆร้อนๆ ทั้งๆที่แดดสาดส่องแสงชโลมชุบผืนดินให้กรุ่นหอม อวลไอดินกลิ่นหญ้าอาบฝนใหม่ โชยชายเข้ามาปลุกความทรงจำที่หลับใหลในดวงใจของเด็กสาว ให้ตื่นฟื้นขึ้นมาร่ายรำกับสายฝนอย่างครึกครื้นรื่นรมย์ ตอนเล็กๆ รมิดาชอบวิ่งเล่นน้ำฝนกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน เธอไม่นึกหวาดกลัวเสียงฟ้าคำรนเกรี้ยวกราดเลยสักน้อย ประหนึ่งว่าสายฝนมีมนต์เสน่ห์เย้ายวนใจ เกินกว่าเด็กหญิงจะซุกกายอยู่ภายในบ้าน เฝ้ามองพายุฝนเริงระบำเหนือท้องทุ่งได้
ในห้วงยามนี้ ร่างรมิดาราวล่องลอยสู่แดนฝัน รอบกายละมุนละไมด้วยละอองฝนละเอียดอ่อน ซ่อนหวานตราตรึง เพราะเหตุใดกันหนอ...ฝนแรกต้นฤดูกาล ถึงได้ชักนำความทรงจำให้หวนคืนสู่อดีตอันสนุกสนานได้รื่นรมย์เพียงนี้ เธอพลัดพรากจากอ้อมกอดแห่งวัยเยาว์กว่ายี่สิบปี มาแสวงหาร่องรอยแห่งความฝันแสนหวาน เธอเดินทางใกล้ถึงฝั่งฝันที่วาดไว้แล้ว...
และในที่สุด ละอองฝนแรกของฤดูกาลก็โอบอุ้มเธอมาสู่โลกความจริง ที่เธอสามารถสัมผัสจับต้องได้ รอคอยอยู่เบื้องหน้า
ฝนยังโปรยสายระบายฝัน ขณะรถกระบะนำพารมิดาแล่นผ่านไร่ข้าวโพดกว้างใหญ่สุดสายตา ข้าวโพดหวานฝักแก่คลี่ยิ้มยิงฟันเหลืองทักทายเธอตลอดทาง ม่านฝนนิ่มนวลขึ้นเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน เบื้องหน้านั้นปรากฏบ้านสีขาวหลังใหญ่ โดดเด่นบนเนินหญ้าท่ามกลางแสงตะวันยามสนธยา ทาบทาสีทองสุกปลั่งบนฟากฟ้าทิศตะวันตก แสงรองเรืองอร่ามยามเมื่อฝนเพิ่งขาดเม็ด ฉากหลังไกลออกไปแลเห็นปุยเมฆบางเป็นยางใย ลอยเคล้าเคลียอยู่ตามขุนเขาทะมึนสลับสล้าง ทอดทิวโอบอ้อมทุ่งหญ้าและบึงน้ำไว้ในอ้อมกอด ดูยิ่งใหญ่น่าอบอุ่น ดุจอ้อมแขนธรรมชาติอันแข็งแกร่งมั่นคง บ้านทรงยุโรปงามหรูหลังนี้ อิงแอบแมกไม้ชอุ่มและทุ่งหญ้าเขียวขจี ขับเน้นทัศนียภาพยามเย็นให้ฉ่ำชุ่มราวกับภาพวาดสีน้ำอันสดใส ชวนให้รมิดารำลึกถึงเรือนไม้ใต้ถุนสูงที่แสนจะอบอุ่นคุ้นเคย เรือนไม้ที่ปรากฏในภาพฝันประหลาดล้ำ ในค่ำคืนก่อนที่เธอจะเดินทางมาที่นี่ เรือนไม้หลังนั้นมีนอกชานยื่นออกมากลางแจ้งไว้นั่งดูดาวตากน้ำค้างกลางดึก เธอนั่งเคียงข้างเด็กหญิงอีกคน ฟังนิทานจากสตรีวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่ง จนผล็อยหลับบนตักนุ่ม
เมื่อรถจอดนิ่งหน้าเรือนพักคนงาน เจ้าของฟาร์มหนุ่มใหญ่ก็ยื่นมือแตะไหล่กลมมน ปลุกรมิดาสะดุ้งตื่นจากภวังค์อดีต
“ ห้องพักหนูอยู่ริมสุดทางซ้ายมือนะ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เชิญทานอาหารเย็นด้วยกัน ”
“ ค่ะ ”
แก้มใสแดงระเรื่อ รู้สึกละอายที่เผลอเคลิ้มหลับไปชั่วขณะหนึ่ง คนงานชายสองคน วิ่งมาขนสัมภาระลงจากท้ายกระบะไปยังหลังโรงครัว ซึ่งปลูกเยื้องไปทางทิศใต้ แยกเป็นสัดส่วน เด็กสาวหันมองตามหลังร่างสูงเดินหายลับเข้าไปในพุ่มพฤกษ์ด้านหน้าบ้านหลังใหญ่ ตกแต่งสวนสวยรายรอบ โดยออกแบบปลูกแต่งผสมผสานระหว่างไม้เมืองกับไม้ป่า วางรูปแบบจัดระดับพรรณไม้อย่างกลมกลืนลงตัว
มีทางเดินปูลาดด้วยอิฐประสานดินเผา วางหินอ่อนเป็นบันไดทอดสู่ระเบียง ซึ่งสองข้างทางเดินแวดล้อมด้วยกกธูป เข็มสามสี เอื้องหมายนา ไอริสน้ำ แย่งกันชูกิ่งก้าน แซมดอกช่อใบซ้อนสลับจับสีสวย พุดจีบกลีบขาวอาบฝนแรกส่งกลิ่นหอมเย็นรวยรื่น อวลละอองชื่นฉ่ำพลิ้วพรูมาจากน้ำพุพวยพุ่งกลางสระน้อย ผิวน้ำใสแจ๋วจนแลเห็นปลาเงินปลาทอง แหวกว่ายไปมาใต้กอบัวน้อยสีชมพู ซึ่งหุบกลีบบางอ่อนหวาน ราวกับเอียงอายสายตาผู้มาเยือน
“ เชิญทางนี้จ้ะ หนู”
หญิงชราร่างผอม ส่งเสียงเรียกมาจากระเบียงเรือนพัก ยกพื้นโล่ง ก่อสร้างจากไม้เกือบทั้งหลัง ดูหม่นเหงาในแสงสุดท้ายแห่งวัน
สาวน้อยหมุนกาย หิ้วกระเป๋าตรงไปยังเรือนพัก ก้าวขึ้นบันได เดินผ่านห้องพักเป็นแถวเรียงราย ซึ่งมีทั้งหมดสิบห้อง
ห้องว่างห้องสุดท้าย แม่บ้านชราแง้มประตูเปิดรออยู่
“ นี่ไงจ้ะ ห้องหนู...” นางผายมือเชื้อเชิญ พลางส่งลูกกุญแจห้องให้เธอ เสียงกุญแจกระทบทะเลาะกันดังกริ๋งๆ
“ ขอบคุณค่ะ คุณป้า”
รมิดายังไม่ทันได้ทักทาย แนะนำตัวเอง แม่บ้านร่างผอมก็เดินตัวปลิวไปแล้ว เธอถอนหายใจ แล้วก้าวเข้าสู่ภายในห้องที่อับอวลกลิ่นปีกไม้เก่าเปียกชื้นน้ำฝน เธอเอื้อมมือกดสวิทซ์ไฟ กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ที่จัดปัดกวาดไว้อย่างสะอาดตาเป็นระเบียบเรียบร้อย พื้นไม้ขัดมันเรียบลื่น ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่างเหยียบเยียบเย็น มุมห้องวางตู้เสื้อผ้า เตียงนอนปูผ้าขาวสะอาดตา โคมไฟหัวเตียงชวนให้น่านอนอ่านหนังสือฟังเสียงฝนในวันหยุดนัก
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งวัน ชวนให้เด็กสาวอยากนอนทอดหุ่ยเหลือเกิน เธอโยนกระเป๋าลงบนเตียง แล้วทิ้งตัวนอนอย่างอ่อนแรง หากเธอได้งีบหลับสักตื่น คงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะอาบน้ำแต่งตัวไปรับประทานอาหารเย็น ที่บ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ตามคำเชิญเจ้าของฟาร์ม ผู้มีบุคลิกน่าค้นหาคนนั้น...
า)
(โปรดติดตามตอนต่อไปจ้
ตอนที่ ๑ ฝนแรกต้นฤดูกาล
ยามบ่ายแก่แดด ตะวันแสดสาดแสงจัดจ้า อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนหมกกายอยู่ในเตาอบ รมิดานั่งจับเจ่ารอคอยใครสักคนที่ชานชาลาตั้งแต่เที่ยงแล้ว เธอได้โทรศัพท์แจ้งไปยังฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน ให้ส่งรถมารับไปยังสถานที่ทำงาน แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีวี่แววว่า เจ้าของฟาร์มจะมาตามนัดหมาย
อากาศปลายเดือนพฤษภาคมร้อนจนเหงื่อไหลซิก แม้นว่ารมิดาจะตัดผมซอยสั้นเปิดต้นคอ แต่ไอร้อนก็พราวเม็ดเหงื่อตามลำคอและดวงหน้าคมสวย เด็กสาวใส่เสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก้ต กางเกงบูลยีนรัดรูป และรองเท้าผ้าใบคู่โปรด ทำให้รูปร่างกะทัดรัดนั้นดูทะมัดทะแมงยิ่งขึ้น
รมิดา ธารารักษ์ เพิ่งสำเร็จการศึกษาหมาดใหม่ไฟแรง จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แม่โจ้ สาขาวิชาสัตวบาล
เมื่อสองเดือนก่อน เด็กสาวยังกังวลเกี่ยวกับการหางานทำตรงใจรัก เนื่องจากฟาร์มโคนมที่มีมาตรฐานในเมืองไทยมีเพียงไม่กี่แห่ง และค่อนข้างอยู่ห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับเธอนัก หากต้องเดินทางจากอ้อมอกไปทำงานไกลบ้าน แต่ลูกสาวคนเล็กก็มุ่งมั่นฝันใฝ่เหลือเกินว่า อยากทำงานหาประสบการณ์ในฟาร์มดีๆ สักแห่ง แล้วจึงหวนกลับมาพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอน แม้นชีวิตการเป็นลูกจ้างจะลำบากยากเข็ญเพียงใดก็ตาม
หากแต่แรงดลบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้เธอเลือกฟาร์มโคนมแห่งนี้ ก็เพราะเจ้าของกิจการคือผู้ชายที่ตราตรึงอยู่ในความฝันมาแต่เด็ก เมื่อปลายปีที่แล้ว ภาพนักบริหารหนุ่มใหญ่ปรากฏหราบนปกหนังสือนิตยสารรายเดือนเล่มหนึ่ง ในฐานะผู้รับโล่รางวัลเจ้าของกิจการฟาร์มโคนมดีเด่นแห่งประเทศไทย
เด็กสาวเฝ้ารอคอยเจ้าของฟาร์มคนนั้นมารับ จนกระทั่งดวงตะวันคล้อยค่ำ รถกระบะสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่ง ก็แล่นเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ เธอเหลือบเห็นชายร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถ ชะเง้อมองไปรอบๆชานชาลาที่พักผู้โดยสาร เหมือนกำลังมองหาใครสักคน แล้วสายตาคู่นั้นก็หันมาสบตาเธอพอดี
รมิดาใจเต้นแรง ขณะร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ตรงมาหาเธอ ดวงหน้าสาวน้อยแช่มชื่นขึ้นมาทันที เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ก็ชายหน้าตาคมเข้มคนนี้แหละ ที่เธอเห็นในภาพฝันและบนหน้าหนังสือนิตยสารเล่มนั้น
“ฉันชื่อชิดชล...จากฟาร์มทุ่งตะวัน มารับคนงานที่โทร.แจ้งไปยังฟาร์มเมื่อตอนเที่ยง ใช่หนูรมิดาหรือเปล่า”
ฝ่ายนั้นทักทาย เสียงกังวานทุ้มชวนฝัน รมิดาผุดลุกขึ้นยืนกระตือรือร้น กระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ ค่ะ หนูชื่อรมิดา ธารารักษ์ มาจากเชียงใหม่ ”
“ เป็นไงบ้าง รอนานมั้ย”
เขายิ้มอ่อนโยน ตาคมเข้มซ่อนแววใจดี “ ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ที่มารับช้า เพราะมัวแวะเลือกซื้อข้าวของตั้งหลายอย่าง มาคนเดียวเหรอจ๊ะ ”
“เอ่อ...ค่ะ เพื่อนๆ ไม่มีใครยอมมาด้วย พวกเขาบ่นว่าโคราชไกลเกินไป ”
เด็กสาวคว้ากระเป๋าเดินทาง ที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาถือ ท่าทางกระฉับกระเฉง พร้อมออกเดินทางอยู่ในที
“แล้วหนูคิดยังไง ถึงหาญกล้ามาฝึกงานคนเดียวที่ฟาร์มห่างไกลบ้านเช่นนี้ ”
ผู้มากวัยกว่าชวนคุย ขณะเอื้อมมือมาช่วยเธอถือกระเป๋าเดินนำหน้าไปยังรถกระบะที่จอดรออยู่
“มันน่าท้าทายดีค่ะ อีกอย่างหนูก็โตเป็นผู้ใหญ่ สามารถตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว ” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง แต่เธอก็ไม่ได้บอกถึงแรงบันดาลใจที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
“งานที่ฟาร์มเราหนักเอาการอยู่นะ”
ตาคมกริบลอบชำเลืองมองสาวน้อยแวบหนึ่ง พลางยิ้มมุมปาก
“ค่ะ...เรื่องนั้นหนูทราบดี”
รมิดาพยักหน้า ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววมุ่งมั่น
“เยี่ยมเลย ฉันชอบคนขยัน อดทน มีวินัยในตัวเอง ใบสมัครงานหนูบอกคุณสมบัติมาครบถ้วน เชื่อว่าหนูคงทำได้ดีกว่านั้นนะ”
เขาคาดหวังสีหน้าจริงจัง
“รับรองหนูทำได้แน่ค่ะ ที่ไหนมีอากาศหายใจ หนูอยู่ได้ทั้งนั้น” เธอตอบย้ำอย่างมั่นใจนักหนา
เมื่อเจ้าของฟาร์มเข้ามานั่งประจำที่คนขับ รถยนต์ซึ่งบรรทุกข้าวของเต็มท้ายกระบะ ก็เคลื่อนออกจากสถานีรถไฟไปสู่ถนนมิตรภาพ ท่ามกลางแสงยามสนธยา ตะวันขี้อายหลบซ่อนดวงอยู่หลังม่านเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล
พอรถแล่นถึงทางแยก ชิดชลก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวาไปยังถนนลาดยาง ทอดผ่านละเมาะไม้ สลับกับไร่ข้าวโพดกว้างสุดสายตา จุดหมายปลายทางยังไกลลิบโค้งลับไปกับแนวป่าครึ้มเขียว แลจรดทิวเทือกเขาสูงต่ำเต็มขอบฟ้า
ไม่นานเลย มวลเมฆอุ้มท้องหนักอึ้งก็คลอดเม็ดฝนใสๆพรูพรำลงมา ทั้งๆที่แดดสาดแสงต้องหยาดฝนเป็นประกายเพชรร่วงพร่างพราว เม็ดฝนปลิวปรายปะทะกระจกหน้ารถพร่ามัว แม้นว่าที่ปัดน้ำฝนกวาดละอองน้ำวืดวาดไปมาตลอดเวลา แต่กระจกหน้ารถใสพร่างเพียงครู่เดียว ก็พร่ามัว สลับกันไปมาอยู่เช่นนี้ตลอดสายทางอันคดเคี้ยว เมื่อฝนซาลง รถยนต์ก็ลดความเร็ว คนขับเลื่อนกระจกด้านข้างลง คล้ายอนุญาตให้ละอองขาวพราวละไม พรั่งพรูเข้ามาชุบชื่นบรรยากาศภายในรถ แทนไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ พลันมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากบางอย่างอารมณ์ดี
รมิดาอดชำเลืองมองหนุ่มใหญ่ผู้มีดวงหน้าคมสันไม่ได้ และดูเหมือนว่าเขาก็หันมามองสบเธอในห้วงเวลาเดียวกัน นัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มขรึมคู่นั้น แฝงแววอ่อนโยนเป็นมิตร มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ในแววตาที่น่าค้นหาเป็นที่สุด อีกทั้งบุคลิกเขาช่างน่าสนใจ รู้สึกอบอุ่นยามชิดใกล้ สาวน้อยคะเนอายุเขาคงไม่เกินสี่สิบห้า
แม้รอยยิ้มคลี่แย้มไว้ท่าทีนิดๆ ก็ยังกระตุกหัวใจสาวน้อยให้เต้นผิดจังหวะ จนเธอต้องหลบแววตาเข้ม เสมองไปทางอื่น...
ฝนแรกปลายเดือนพฤษภาคม ตกลงมาสดๆร้อนๆ ทั้งๆที่แดดสาดส่องแสงชโลมชุบผืนดินให้กรุ่นหอม อวลไอดินกลิ่นหญ้าอาบฝนใหม่ โชยชายเข้ามาปลุกความทรงจำที่หลับใหลในดวงใจของเด็กสาว ให้ตื่นฟื้นขึ้นมาร่ายรำกับสายฝนอย่างครึกครื้นรื่นรมย์ ตอนเล็กๆ รมิดาชอบวิ่งเล่นน้ำฝนกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน เธอไม่นึกหวาดกลัวเสียงฟ้าคำรนเกรี้ยวกราดเลยสักน้อย ประหนึ่งว่าสายฝนมีมนต์เสน่ห์เย้ายวนใจ เกินกว่าเด็กหญิงจะซุกกายอยู่ภายในบ้าน เฝ้ามองพายุฝนเริงระบำเหนือท้องทุ่งได้
ในห้วงยามนี้ ร่างรมิดาราวล่องลอยสู่แดนฝัน รอบกายละมุนละไมด้วยละอองฝนละเอียดอ่อน ซ่อนหวานตราตรึง เพราะเหตุใดกันหนอ...ฝนแรกต้นฤดูกาล ถึงได้ชักนำความทรงจำให้หวนคืนสู่อดีตอันสนุกสนานได้รื่นรมย์เพียงนี้ เธอพลัดพรากจากอ้อมกอดแห่งวัยเยาว์กว่ายี่สิบปี มาแสวงหาร่องรอยแห่งความฝันแสนหวาน เธอเดินทางใกล้ถึงฝั่งฝันที่วาดไว้แล้ว...
และในที่สุด ละอองฝนแรกของฤดูกาลก็โอบอุ้มเธอมาสู่โลกความจริง ที่เธอสามารถสัมผัสจับต้องได้ รอคอยอยู่เบื้องหน้า
ฝนยังโปรยสายระบายฝัน ขณะรถกระบะนำพารมิดาแล่นผ่านไร่ข้าวโพดกว้างใหญ่สุดสายตา ข้าวโพดหวานฝักแก่คลี่ยิ้มยิงฟันเหลืองทักทายเธอตลอดทาง ม่านฝนนิ่มนวลขึ้นเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่อาณาเขตฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน เบื้องหน้านั้นปรากฏบ้านสีขาวหลังใหญ่ โดดเด่นบนเนินหญ้าท่ามกลางแสงตะวันยามสนธยา ทาบทาสีทองสุกปลั่งบนฟากฟ้าทิศตะวันตก แสงรองเรืองอร่ามยามเมื่อฝนเพิ่งขาดเม็ด ฉากหลังไกลออกไปแลเห็นปุยเมฆบางเป็นยางใย ลอยเคล้าเคลียอยู่ตามขุนเขาทะมึนสลับสล้าง ทอดทิวโอบอ้อมทุ่งหญ้าและบึงน้ำไว้ในอ้อมกอด ดูยิ่งใหญ่น่าอบอุ่น ดุจอ้อมแขนธรรมชาติอันแข็งแกร่งมั่นคง บ้านทรงยุโรปงามหรูหลังนี้ อิงแอบแมกไม้ชอุ่มและทุ่งหญ้าเขียวขจี ขับเน้นทัศนียภาพยามเย็นให้ฉ่ำชุ่มราวกับภาพวาดสีน้ำอันสดใส ชวนให้รมิดารำลึกถึงเรือนไม้ใต้ถุนสูงที่แสนจะอบอุ่นคุ้นเคย เรือนไม้ที่ปรากฏในภาพฝันประหลาดล้ำ ในค่ำคืนก่อนที่เธอจะเดินทางมาที่นี่ เรือนไม้หลังนั้นมีนอกชานยื่นออกมากลางแจ้งไว้นั่งดูดาวตากน้ำค้างกลางดึก เธอนั่งเคียงข้างเด็กหญิงอีกคน ฟังนิทานจากสตรีวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่ง จนผล็อยหลับบนตักนุ่ม
เมื่อรถจอดนิ่งหน้าเรือนพักคนงาน เจ้าของฟาร์มหนุ่มใหญ่ก็ยื่นมือแตะไหล่กลมมน ปลุกรมิดาสะดุ้งตื่นจากภวังค์อดีต
“ ห้องพักหนูอยู่ริมสุดทางซ้ายมือนะ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เชิญทานอาหารเย็นด้วยกัน ”
“ ค่ะ ”
แก้มใสแดงระเรื่อ รู้สึกละอายที่เผลอเคลิ้มหลับไปชั่วขณะหนึ่ง คนงานชายสองคน วิ่งมาขนสัมภาระลงจากท้ายกระบะไปยังหลังโรงครัว ซึ่งปลูกเยื้องไปทางทิศใต้ แยกเป็นสัดส่วน เด็กสาวหันมองตามหลังร่างสูงเดินหายลับเข้าไปในพุ่มพฤกษ์ด้านหน้าบ้านหลังใหญ่ ตกแต่งสวนสวยรายรอบ โดยออกแบบปลูกแต่งผสมผสานระหว่างไม้เมืองกับไม้ป่า วางรูปแบบจัดระดับพรรณไม้อย่างกลมกลืนลงตัว
มีทางเดินปูลาดด้วยอิฐประสานดินเผา วางหินอ่อนเป็นบันไดทอดสู่ระเบียง ซึ่งสองข้างทางเดินแวดล้อมด้วยกกธูป เข็มสามสี เอื้องหมายนา ไอริสน้ำ แย่งกันชูกิ่งก้าน แซมดอกช่อใบซ้อนสลับจับสีสวย พุดจีบกลีบขาวอาบฝนแรกส่งกลิ่นหอมเย็นรวยรื่น อวลละอองชื่นฉ่ำพลิ้วพรูมาจากน้ำพุพวยพุ่งกลางสระน้อย ผิวน้ำใสแจ๋วจนแลเห็นปลาเงินปลาทอง แหวกว่ายไปมาใต้กอบัวน้อยสีชมพู ซึ่งหุบกลีบบางอ่อนหวาน ราวกับเอียงอายสายตาผู้มาเยือน
“ เชิญทางนี้จ้ะ หนู”
หญิงชราร่างผอม ส่งเสียงเรียกมาจากระเบียงเรือนพัก ยกพื้นโล่ง ก่อสร้างจากไม้เกือบทั้งหลัง ดูหม่นเหงาในแสงสุดท้ายแห่งวัน
สาวน้อยหมุนกาย หิ้วกระเป๋าตรงไปยังเรือนพัก ก้าวขึ้นบันได เดินผ่านห้องพักเป็นแถวเรียงราย ซึ่งมีทั้งหมดสิบห้อง
ห้องว่างห้องสุดท้าย แม่บ้านชราแง้มประตูเปิดรออยู่
“ นี่ไงจ้ะ ห้องหนู...” นางผายมือเชื้อเชิญ พลางส่งลูกกุญแจห้องให้เธอ เสียงกุญแจกระทบทะเลาะกันดังกริ๋งๆ
“ ขอบคุณค่ะ คุณป้า”
รมิดายังไม่ทันได้ทักทาย แนะนำตัวเอง แม่บ้านร่างผอมก็เดินตัวปลิวไปแล้ว เธอถอนหายใจ แล้วก้าวเข้าสู่ภายในห้องที่อับอวลกลิ่นปีกไม้เก่าเปียกชื้นน้ำฝน เธอเอื้อมมือกดสวิทซ์ไฟ กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ที่จัดปัดกวาดไว้อย่างสะอาดตาเป็นระเบียบเรียบร้อย พื้นไม้ขัดมันเรียบลื่น ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่างเหยียบเยียบเย็น มุมห้องวางตู้เสื้อผ้า เตียงนอนปูผ้าขาวสะอาดตา โคมไฟหัวเตียงชวนให้น่านอนอ่านหนังสือฟังเสียงฝนในวันหยุดนัก
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งวัน ชวนให้เด็กสาวอยากนอนทอดหุ่ยเหลือเกิน เธอโยนกระเป๋าลงบนเตียง แล้วทิ้งตัวนอนอย่างอ่อนแรง หากเธอได้งีบหลับสักตื่น คงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะอาบน้ำแต่งตัวไปรับประทานอาหารเย็น ที่บ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ตามคำเชิญเจ้าของฟาร์ม ผู้มีบุคลิกน่าค้นหาคนนั้น...
า)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ