Epidemia: Epic World on Fire
7.9
9) Operation Superweapons Hunt [Part 4]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตาสีเขียวอ่อนของชายหนุ่มผิวคล้ำเบิกโพลงขึ้นอยู่ในห้องโล่งๆ ผนังรอบตัวเป็นวัสดุผสมอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งดูหมองๆ และมีผุบ้างเป็นจุด แสดงให้เห็นว่ามันค่อนข้างมีอายุทีเดียว หน้าตาของเขานับว่าหล่อเหลาทีเดียว ใบหน้าทรงไข่แก้มตอบจมูกโด่ง กับผมสีดำยุ่งๆ ที่ซอยสั้นๆ ปรกหูมีไฮไลท์สีเงินแซมอยู่เล็กน้อย และใบหูที่ยาวชี้ขึ้นแสดงตัวตนว่าเป็นเอลฟ์ ด้วยท่าทีที่ยังมึนๆ อยู่แต่ก็พอรู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงฟางที่จัดไว้อย่างลวกๆ เหลือบไปข้างๆ ก็พบเอลฟ์ชายหญิงนอนขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ก่อนทำท่าทีตกใจลุกขึ้นนั่งแล้วคลำไปตามเนื้อตัวพบว่าตัวเองสวมเสื้อผ้าสบายๆ เป็นชุดพลเรือน ท่อนบนเป็นเสื้อยืดไหมพรมแขนยาวสีเขียวแก่ เลิกผ้าห่มดูท่อนล่างปรากฏว่าเป็นกางเกงยีนลูกฟูกยางยืดสีกากี และที่เท้าเป็นถุงเท้าหนาครึ่งแข้ง มือของเขาละจากผ้าห่มขึ้นมากุมขมับเท้าศอกไว้ที่ขาอ่อนนั่งนึกย้อนอดีตดู
ย้อนหลังกลับไปประมาณ 9 ชั่วโมง ณ ศูนย์ควบคุมการสื่อสารที่กำลังจะถูกถล่มด้วยกระสุนปืนใหญ่จากมอนสเตอร์แคนนอน
จีแอลทั้งสามนั่งลงมองดูโดมเวทมนตร์พันธนาการสุดแกร่งอย่างสิ้นหวัง อีรีน่าถึงกับออกอาการสะอื้นหลั่งน้ำตาออกมา ความคึกคะนองและความประมาทคู่ต่อสู้หายไปหมด เธอไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อน แม้แต่คำบอกเล่าของเหล่าผู้เฒ่าทหารผ่านศึก มันเป็นประสบการณ์ก่อนตายที่ไม่มีใครอยากได้ ยอดอัจฉริยะประจำกลุ่มยังแสดงท่าทีจนปัญญา หรือแม้แต่ผู้ที่ฝึกมาให้รบแบบศัตรูยังสิ้นท่า แล้วคนที่เด่นแต่ด้านบุกทะลวงแนวศัตรูอย่างเธอจะทำอะไรได้
ไม่มีใครร้องทักเรื่องที่ฮอล์กกำลังร้องไห้ เพราะอีกสองคนก็กำลังน้ำตาตกใน และนึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อย ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
เวลาผ่านไป 10 นาทีท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น อยู่ๆ ออราเคิลก็โพล่งขึ้นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยมพร้อมๆ กับหัวเราะเหมือนสติแตก จนแทบจะลุกขึ้นเต้น ทำเอาสหายศึกทั้งสองหันมามองด้วยความสงสัย
“นึกออกแล้ว... นึกออกแล้ว”
เมื่อฮอล์กได้ยินดังนั้นเธอก็หยุดร้องไห้ในบันดล เหลือไว้แต่ไนท์บารอนที่กำลังงงพลางเอ่ยปากถามขึ้นกระชากๆ ว่า
“เป็นบ้าอะไร”
“นึกออกแล้ว... นึกออกแล้ว วิธีที่จะรอดไปจากที่นี่”
เหมือนจะติดลมหรือไม่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า หนุ่มเกินอัจฉริยะหัวเราะไม่หยุด และพูดซ้ำไปซ้ำมา จนผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูเกิดหมั่นไส้ขึ้นมา ลุกขึ้นพรวดมือหนึ่งจับจะเปิดหมวกรบของหนุ่มเกินอัจฉริยะอีกมือหนึ่งง้างหมัดจะเข้าไปต่อยหน้า แต่จีแอลสาวเลือดร้อนก็ลุกพรวดมารั้งตัวของไนท์บารอนเอาไว้
“ใจเย็นๆ ทานาทรอส ข้ารู้จัก วิกเตอร์ โนวา ดีกว่าเจ้า ถ้าเขาเกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาเราก็วางใจได้ เรารอดแน่ๆ แต่ข้าไม่รับประกันว่าในสภาพไหน”
“เป็นเชลยของพวกมันไง”
ไนท์บารอนยิ่งเดือดดาล ตรงข้ามกับบุคลิกอันเยือกเย็นที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง มันก็น่าอยู่หรอก เพราะการถูกข้าศึกบังคับให้นั่งรอความตายแบบนี้มันหยามกันชัดๆ และมันเป็นการดูหมิ่นเกียรติ์ (ของชาวโนเบิล) อย่างแรงที่ทำให้คู่ต่อสู้ต้องหมดสภาพที่จะต่อสู้ได้ในขณะที่ยังไม่หมดแรง และการถูกจับเป็นเชลยเป็นสิ่งที่นักรบโนเบิลเลือดข้นยอมรับไม่ได้
“เอาล่ะ พอได้แล้ว วิกเตอร์ แผนของเจ้าว่ายังไง”
ว่าแล้วอีรีน่าก็พูดกับออราเคิลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนคุยกับเด็ก
“ฟังนะ ถ้าแผนของเจ้าคือส่งสัญญาณยอมจำนนให้พวกมัน ข้าจะขอนั่งรอความตายอยู่ตรงนี้ดีกว่า”
ไนท์บารอนขู่มาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พร้อมชี้หน้ามายังวิกเตอร์ ซึ่งยังหัวเราะต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเข้าเรื่อง
“ฟังนะ มันอาจจะฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่ขอให้เชื่อเถอะ ข้าเคยทำแบบนี้มาแล้ว ถึงสถานที่จะต่างกัน แต่ข้าเชื่อว่าสามารถทำได้เหมือนกัน สิ่งที่ข้าต้องการตอนนี้คือแหล่งพลังงานมหาศาลเมื่อเทียบกับพลังงานของชุดรบของพวกเรา ซึ่งก็คืออาคารหลังนี้ทั้งหลัง และอย่าได้สงสัยว่าข้าจะทำยังไง แต่เอาเป็นว่าข้าทำได้แล้วกัน เพราะข้าเคยทำมาแล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำคือ ดึงเอาพลังงานของอาคารทั้งหลังมาเสริมพลังให้อาร์คเอนเจิลชีลด์ ซึ่งตอนที่ข้าขโมยข้อมูลจากแผงควบคุมนั่น ข้ารู้มาว่าอาคารหลังนี้ไม่ได้พึ่งแต่พลังงานของตัวมันเองเท่านั้น แต่มันยังพึ่งพลังงานจากภายนอกด้วย โดยการจ่ายพลังงานมาจากแหล่งพลังงานที่ไหนสักที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะอยู่ห่างไกลพื้นที่ที่มีการรบ มาพูดถึงการสร้างอาคาร ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของอาคารทางทหารคือแหล่งพลังงานในตัวเอง ซึ่งก็น่าจะเหมือนๆ กันหมด คือจะตั้งอยู่ในชั้นที่เข้าถึงยากที่สุด ซึ่งก็คือชั้นใต้ดิน และข้าเชื่อว่านักยุทธศาสตร์ของพวกสวะก็คงคิดไม่ต่างจากพวกเราในเรื่องนี้ จากผลที่ข้าได้ทดลองมาแล้วถ้าเราสามารถโอเวอร์โหลดอาร์คเอนเจิลชีลด์ได้ มันก็จะสร้างสนามพลังงานสุดแกร่งที่แทบจะไม่มีอะไรทำลายได้ขึ้นมาในระยะหนึ่ง แต่ต้องแลกกับการที่มันจะพังหลังจากพลังงานสลายลงแล้ว ซึ่งจากการคำนวณของข้ามันน่าจะอยู่ได้นานพอที่ลูกปืนยักษ์พวกนั้นจะตกลงมาหมดแล้ว แต่ยังไงก็ตาม อานุภาพของลูกปืนยักษ์พวกนั้นมันมหาศาลมาก ข้ากลัวว่าถ้าโดนมันตรงๆ เกราะพลังงานจะอ่อนแรงลงเร็วมาก ดังนั้นอาคารหลังนี้จะช่วยเป็นเกราะคุ้มภัยให้พวกเราในระยะแรกก่อน ประกอบกับที่ลูกปืนยักษ์พวกนั้นจะตกลงมาในอาณาเขตตำบลกระสุนปืนใหญ่ตกที่กว้างทีเดียว ดังนั้นโอกาสที่จะโดนจังๆ จึงไม่น่าจะสูงนัก แต่ข้าก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่โดนจังๆ แต่มันก็น่าลองดูนะ พวกเจ้าจะลองดูไหม”
สมเป็นยอดอัจฉริยะประจำกลุ่ม หลังจากการร่ายยาว ทำเอาอีกสองคนอึ้งไปนานทีเดียว เหมือนจะคิดไตร่ตรอง จากนั้นทานาทรอสก็เอ่ยปากเห็นด้วย พร้อมให้เหตุผลว่า
“เอางั้นก็ได้ ดูเหมือนเรามีทางเลือกมากซะที่ไหน ถ้าเจ้ายืนยันว่าทำได้จริงมันก็น่าลอง”
“ข้าก็เห็นด้วย ถ้ามันเป็นวิธีเดียวที่เราควรจะทำ เราก็ควรจะทำเลย”
อีรีน่าเสริม
“ถ้างั้นอย่างแรกที่ต้องทำ คือ ทานาทรอสเจ้าไปที่ห้องเตาปฏิกรณ์ เปิดพวกมันให้สุดไปเลย ส่วนอีรีน่า เจ้าไปช่วยทานาทรอสอีกแรง พอเปิดพวกมันครบแล้วเจ้าก็อุ้มทานาทรอสมาหาข้าให้เร็วที่สุด ส่วนข้าจะไปรอที่ชั้นล่างสุด ตอนที่ข้าขโมยข้อมูลเกี่ยวกับฐานยิงลำแสงโบราณเหล่านั้น ข้าก็ขโมยข้อมูลอย่างอื่นมาด้วย เช่น แผนที่ของอาคารหลังนี้ ข้าจะอัพโหลดมันให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้ ส่วนภาษาเครื่องแปลภาษาของข้าอ่านมันไม่ออก ทานาทรอสเจ้าช่วยเอาเข้าเครื่องแปลแล้วส่งให้ข้ากับอีรีน่าด้วย เอาไปเลย...”
วิกเตอร์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ทานาทรอสพยักหน้าเนิบๆ จึงเริ่มพูดต่อ
“ที่ชั้นล่างสุดจะเป็นแหล่งพลังงานหลัก ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่จ่ายมาจากที่อื่น ข้าจะดูดมันมาเสริมพลังเตรียมไว้ก่อน พอเจ้าสองคนลงมาถึงก็เข้ามากอดข้าแล้วเปิดอาร์คเอนเจิลชีลด์ให้เต็มที่ ไปได้”
สิ้นเสียงทั้งสามก็วิ่งกลับเข้าไปในอาคารโดยวิกเตอร์นั้นแยกทางหนึ่ง ส่วนอีรีน่ากับทานาทรอสก็แยกไปอีกทางหนึ่ง
“ฮอล์ก เจ้าพาข้าบินไปจะเร็วกว่า”
ทานาทรอสเสนอความคิดมาอย่างบ้าบิ่น ซึ่งคนที่ถูกกล่าวถึงก็บ้าบิ่นพอๆ ก่อน เธอผ่อนฝีเท้าลงนิดหนึ่งไปอยู่ข้างหลังของไนท์บารอนแล้วจับอุ้มขึ้นก่อนจะติดเครื่องไอพ่นที่ขนแล้วโผบินไปตามทางเดินอย่างแคล่วคล่อง เจอทางแยกก็สามารถเลี้ยวได้ราวตัวเองเป็นแมลงวันที่กำลังอุ้มแมงมุมตัวเล็กๆ จนกระทั่งมาถึงที่หมาย
ประตูเลื่อนสองบานปิดกั้นไว้ระหว่างห้องเตาปฏิกรณ์กับจีแอลคู่ชายหญิง ส่วนมุมขวาใกล้ๆ เป็นแป้นกดรหัส แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ทั้งคู่ถอยห่างออกมาให้พ้นรัศมี 3 เมตร ก่อนที่อีรีน่าจะมองไปยังร่องระหว่างประตูสองบานแล้วใช้เครื่องดูดมิติเปิดมันออกเป็นช่องวงกลมขนาด 2 เมตร แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไป
ภายในห้องมีเตาปฏิกรณ์ทรงลูกบาศก์เรียบๆ สีเทาเข้ม 4 เครื่อง ขนาดเพียง 1 เมตรด้านเท่า วางอยู่ทั้งสี่มุมของห้อง มีสายไฟสีเหลืองตัดกับพื้นห้องสีเทาอ่อนกว้างขนาด 12 เซนติเมตร ฝังอยู่ในพื้นครึ่งหนึ่งลากยาวไปยังเครื่องรวมกระแสไฟทรงกระบอกสีเขียวเข้มสูงครึ่งเมตร กว้าง 2 ฟุต ซึ่งมีสายไฟสีดำหลายเส้นขนาดกว้างเส้นละประมาณ 1 นิ้วเศษต่อระโยงรยางค์ขึ้นไปบนเพดาน
ว่าแล้วในฐานะผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู และสามารถอ่านเขียนภาษาของศัตรูที่ใช้กันในปัจจุบันได้ทุกภาษา ทานาทรอสจัดการสอนวิธีใช้เตาปฏิกรณ์อย่างลวกๆ ให้อีรีน่าอย่างเร่งรัด จนพอจะเข้าใจ ซึ่งจีแอลสาวเลือดร้อนพยักหน้าเนิบๆ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกไปจัดการตามแผนของยอดอัจฉริยะประจำกลุ่ม
หนุ่มเกินอัจฉริยะเองก็ได้มาถึงเป้าหมายเช่นเดียวกัน แม้จะช้ากว่าสหายศึกอีกสองคนก็ตาม แต่ด้วยทางเทคนิคแล้วเขาแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย
ภายในห้องแคบๆ ที่มีพื้นที่เพียงแค่ให้ทำงานทำนุบำรุงได้อย่างสะดวก ซึ่งมีเพียงเครื่องรวมกระแสไฟแบบเดียวกับในห้องเตาปฏิกรณ์ เขาเพียงทาบมือทั้งสองข้างลงบนแท่นทรงกระบอกนั้นก่อนพร้อมๆ กับเปิดเกราะพลังงานส่วนตัว จนกระทั่งต้องครางออกมาเบาๆ เหมือนมีความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ไหลผ่านร่างกาย ซึ่งกระตุกเล็กน้อยไม่กี่ครั้ง จากนั้นเขาก็ติดต่อไปยังอีกสองคนว่า
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ทำให้อีกสองคนที่อยู่อีกด้านมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนที่อีรีน่าจะถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงเจ้าถึงเป็นแบบนี้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”
วิกเตอร์ตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเดิม แต่ด้วยความเชื่อใจอีรีน่าจึงไม่ถามอะไรอีก ก่อนจะรายงานไปว่า
“ขอเวลาไม่เกิน 3 มานิคครึ่งเราจะไปหาเจ้า เลิกกัน”
พูดจบทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ของตนต่อไป ทางด้านทานาทรอสนั้นสามารถกดจิ้มปุ่มสัมผัสบนแป้นควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว เขาทำกับเครื่องแรกเสร็จในขณะที่อีรีน่ายังเก่ๆ กังๆ อยู่ จนกระทั่งจีแอลฝ่ายชายจัดการกับเครื่องที่สองเสร็จ ฝ่ายหญิงก็ยังคงอยู่ที่เครื่องแรก
“เร็วๆ หน่อย ฮอล์ก”
ไนท์บารอนส่งเสียงเตือน ทำให้ฮอล์กต้องสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อลดความกดดันลง แล้วกดต่อไป
และแล้วทานาทรอสก็จัดการกับเครื่องที่สามเสร็จ เขาจึงรุดมาที่อีรีน่าอย่างหัวเสียงก้มลงจะทำให้ แต่ก็ทำเสร็จพอดี
“ไปเร็ว”
จีแอลสาวเลือดร้อนว่า ก่อนจะอุ้มผู้เชี่ยวชาญเรื่องของศัตรูพาบินไปอย่างรวดเร็ว อย่างแข่งกับเวลาจนกระทั่งไปถึงเป้าหมาย ก็มองเห็นหนุ่มเกินอัจฉริยะนั่งคุกเข่าลงเอามือทั้งสองข้างจับที่เครื่องรวมกระแสไฟ ทำเอาทั้งอีรีน่าและไนท์บารอนทึ่งกับภาพที่เห็นพร้อมกับชะงักงันไป
อัจฉริยะประจำกลุ่มเหลือบไปเห็นเพื่อนอีกสองคนกำลังยืนตะลึงอยู่ก็ร้องเตือนออกมาเกือบจะเป็นตะวาด ทันทีทันใดนั้นทั้งสองก็สร่างตะลึงแล้วรีบเข้าไปกอดกับวิกเตอร์แน่นพร้อมกับเปิดเกราะพลังงานส่วนตัวไปด้วย เมื่อเข้าไปกอดกันแล้วเกราะพลังงานของทั้งสามก็รวมพลังกัน ประกอบกับพลังงานที่ออราเคิลดูดมาเสริมทำให้มันถึงกับเปล่งแสงออกมา แล้วกลายจากหุ้มตัวของผู้ใช้กลายเป็นโดมคลุมตัวสีเขียวอ่อนเป็นหยกเข้มข้นจนมองไม่เห็นตัวผู้ใช้ เสียงของอาร์คเอนเจิลชีลด์ในชุดรบก็ครางเสียงหึ่งออกมาเบาๆ
“ภาวนาเอาไว้สหาย ขอให้คนที่มาเจอเราเป็นพวกเราไม่ใช่กองทัพหรือใครก็ตามที่ยืนอยู่ข้างพวกสวะ”
วิกเตอร์ร้องตะโกนออกมาสุดเสียงอย่างตื่นเต้นและคึกคะนอง ก่อนจะเงียบเสียงลงเพื่อรอวัดผล
และแล้วเสียงคราวหวือของลูกปืนยักษ์ก็ดังขึ้นแว่วๆ พอให้ได้ยินมาถึงชั้นใต้ดิน ก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดตูมดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับคลื่นแผ่นดินสะเทือนที่ไหลลงมาถึงชั้นใต้ดินให้จีแอลสามสหายได้รู้สึกขนลุกขนพองกันพอประมาณ
เสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้างยิ่งกว่าฟ้าผ่าแบบถี่ยิบจนอาคารสะเทือนไปทั้งหลังและมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเพดานห้องได้หลุดหายไป พลังงานที่ส่งมาจากแหล่งอื่นก็ถูกตัดไปด้วย เหลือแต่กลอรี่ลิเบอเรเทอร์เดนตายทั้งสามที่ยังกอดกันแน่น และแล้วจากนั้นก็มีกระสุนนัดหนึ่งร่วงลงมาใกล้ๆ ในระยะเพียงไม่ถึง 3 เมตร มันได้งัดเอาก้อนหยกกลมนั้นลอยโด่งขึ้นปลิวไปตามแรงระเบิด และช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่ลูกบอลหยกนั้นต้องไปเจอะกับลูกปืนยักษ์เข้ากลางอากาศ ทำเอานักรบพิเศษแห่งกองทัพผู้ประเสริฐทั้งสามหมดสติไปพร้อมๆ กัน
ออราเคิลนั่งหายใจเข้าออกยาวๆ หลังนึกไปถึงเหตุการณ์สุดระทึก ...ไม่นึกเลยว่าจะรอดมาได้ จะบ้าตาย ขออย่าได้ตกเป็นเป้าของมันอีกเลย เอาไปเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อ... เขาคิดในใจอย่างสยดสยอง และเข็ดหลาบกับปืนใหญ่สัตฺว์ประหลาดอันเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ
ทันใดนั้นก็เกิดมีเสียงเคาะประตูขึ้น เขาเหลือบไปเห็นเคาน์เตอร์ที่อยู่นอกห้อง มีมีดทำครัว 3-4 เล่มเสียบไว้ในที่เก็บ เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปคว้ามาเล่มหนึ่ง ก่อนจะไปแอบยังข้างประตูด้วยสัญชาตญาณระวังภัย เมื่อประตูพลาสติกเปิดเข้ามา มีดทำครัวในมือก็เลื่อนขึ้นจ่อที่คอหอยของผู้มาเยือน
“คนเขาอุตส่าห์ช่วย ตอบแทนกันแบบนี้เหรอ ออราเคิล”
เสียงของผู้หญิงดังตอบขึ้นมาเป็นภาษาของชาวโนเบิล ทำเอาเอลฟ์หนุ่มตาเหลือกชะงักไป แล้วลดมีดในมือลง ในขณะที่มีเสียงชายอีกคนดังมาจากข้างนอก แต่มันเป็นภาษาโปรตุเกส
“มีอะไรเหรอ วาคานะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นมีดในมือจึงเลื่อนขึ้นจี้คอหอยอีกรอบ แล้วเอ่ยปากถามเป็นภาษาอังกฤษ (ภาษาโอเคอร์โน) ไปว่า
“พวกแกเป็นใคร”
“ก่อนจะให้คนอื่นบอกชื่อ แนะนำตัวเองก่อนดีกว่าไหม ออราเคิล”
หญิงผู้มาเยือนย้อนกลับด้วยน้ำเสียงยานๆ เป็นภาษาเดียวกัน ทำเอาเอลฟ์หนุ่มถึงกับสะอึก ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเป็นภาษาของชาวโนเบิลว่า
“ข้าชื่อ วิกเตอร์ โนวา ทหารราบยุทธวิธีพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ รหัส ออราเคิล แล้วเจ้า”
“ก็แค่นั้น ข้าชื่อ วาคานะ โมริคาวะ หน่วยข่าวกรองพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ รหัส แบล็คเบอร์รี่”
เมื่อนั้นมีดทำครัวในมือก็ลดลงอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะแสดงการคุกคามอะไรอีก หญิงสาวผู้อ้างตัวเป็นจีแอลก้าวเข้ามาพร้อมกับตะกร้าที่บรรจุพืชผักชนิดต่างๆ ไว้เต็มเธอเป็นหญิงสาวหน้าหวานทีเดียวแต่นัยน์ตาสีเขียวเข้มจนเกือบดำและริมฝีปากที่ปิดสนิทเป็นเส้นตรงนั้นทำให้เธอดูน่ายำเกรงในขณะเดียวกัน ตามด้วยออร์คชายฉกรรจ์รูปร่างสมส่วนหน้าโหดๆ แบกเนื้ออะไรมาสักอย่างหนึ่ง ซึ่งยังสดๆ อยู่มาในห่อผ้ากระสอบสีขาว ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมขนสัตฺว์กันหนาวสีน้ำตาล และหมวกขนสัตฺว์สีเดียวกัน
“แล้วแกล่ะ”
วิกเตอร์ทวงถามขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจทันทีที่ออร์คที่แบกเนื้อเดินเข้ามา
“ชูเน่ กรันเธอร์ กองกำลังต่อต้านสภา 7 แผ่นดิน ดราก้อน ไนท์ส เอ่อ... กองกำลังกบฏน่ะ”
คำตอบมาเป็นภาษาโนเบิลอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้วิกเตอร์ตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะประโยคหลังทำเอาหนุ่มเกินอัจฉริยะดวงตาลุกวาว มองหน้าวาคานะและชูเน่สลับกันอย่างตื่นๆ มีดทำครัวในมือลดลงอย่างสิ้นเชิง
“ฉันจะทำอาหาร ขอมีดด้วย”
วาคานะว่าพลางยื่นมือขอมีดทำครัวจากวิกเตอร์อย่างเย็นชา ซึ่งเขาก็ไม่ขัดข้อง ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับใบแล้วส่งด้ามให้
“อยู่ที่นี่เราจะไม่พูดภาษาของเรา ในปัจจุบันดาวดวงนี้แบ่งออกเป็นเขตปกครอง 7 เขต แต่ละเขตใช้ภาษาแตกต่างกันไป ที่นี่คือสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ ภาษาที่เราจะใช้ คือ ภาษาฟรีแรนเซอร์ ชูเน่จะสอนหลักสูตรเร่งรัดให้พวกเจ้า แล้วจากนั้น... ขอต้อนรับเข้าสู่ ดราก้อน ไนท์ส”
“ขอถามอีกอย่าง”
วิกเตอร์เอ่ยขึ้นพลางมองดูตัวเอง
“ว่ามา”
วาคานะตอบเรียบๆ
“แล้วชุดรบของพวกเราหายไปไหน มันจำเป็นมากนะ”
เป็นคำถามอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาวาคานะต้องหันมาชำเลืองมอง มือเท้าเอวข้างหนึ่งอย่างไม่ค่อยเชื่อหูว่าจะออกมาจากปากของหน่วยรบพิเศษ
ไม่มีการตอบเป็นคำพูด แต่แบล็คเบอร์รี่ล้วงเข้าไปในเสื้อหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขนาดครึ่งฝ่ามือออกมาแล้วชี้ให้ดู ก่อนจะพูดกึ่งด่ากึ่งเตือนอย่างเย็นชาว่า
“ถ้าเจ้าอยากตายข้าก็จะคืนให้”
หนุ่มเกินอัจฉริยะต้องผงะให้กับความโง่ของตัวเองเป็นครั้งแรกนับแต่เหยียบขึ้นมาบนดาวดวงนี้ ใช่แล้วถ้าเขาสวมชุดรบในตอนนี้ นอกจากจะกระทำการอะไรลำบากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกไล่ฆ่าโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
รอยยิ้มแห้งๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของวิกเตอร์ ซึ่งถ้าเป็นหญิงสาวทั่วๆ ไปคงหลงติดไปแล้ว แต่สำหรับหญิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เธอแค่สะบัดหน้ากลับไปทำอาหารต่อ หนุ่มเกินอัจฉริยะหงอยลงทันที ในขณะที่ชูเน่เดินมาทำเหมือนจะลูบหัวของวิกเตอร์เล่นก่อนจะพูดเป็นเชิงปลอบๆ ว่า
“ปรงซะเถอะไอ่หนู ขนาดคนของดราก้อนไนท์บางคนหน้าตาดีกว่านาย เข้าไปหว่านเสน่ห์ยังพ่ายเลย”
“อะไร คุณพูดอะไรของคุณ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
วิกเตอร์แย้งด้วยใจจริง ก่อนจะชะงักด้วยความแปลกใจ เมื่อกี้เขาพูดอะไรไป ฟังดูไม่เหมือนภาษาของเผ่าพันธุ์ตนแม้แต่นิดเดียว และที่น่าแปลก เมื่อกี้นี้นายออร์คหน้าโหดพูดกับเขาด้วยภาษาฟรีแรนเซอร์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงได้ฟังออก แถมยังพูดตอบโต้ได้ถูกด้วย เขาเหลือบขึ้นมองหน้าของคู่สนทนา ซึ่งเห็นใบหน้าโหดๆ เก๊กหล่อ ดูแล้วขึ้นเหมือนกัน
“ใช่แล้ว นี่แหละหลักสูตรเร่งรัดที่วาคานะบอกล่ะ”
“แปลว่าคุณใช้เวทมนตร์อัดความรู้เข้าสมองผมเมื่อกี้นี้เหรอ”
วิกเตอร์ถามเพื่อความแน่ใจ พลางมองตาชูเน่อย่างฉงน ซึ่งตัวคนถูกถามก็พยักหน้าเนิบๆ ก่อนเดินไปยังอีกสองคนที่กำลังนอนอยู่
“ผู้ชายน่ะไม่จำเป็นหรอก เขารู้ทุกภาษาของดาวดวงนี้”
ออราเคิลบอกไล่หลังไป ทำเอาออร์คหน้าโหดถึงกับผิวปากหวือด้วยความทึ่งแล้วหันไปมองดูใบหน้าของทานาทรอสกับอีรีน่าสลับกัน ทางด้านทานาทรอสนั้นดูจะอ่อนกว่าวิกเตอร์เล็กน้อยอย่างมากไม่เกิน 15 ปี ถ้าเทียบเป็นอายุของชาวโนเบิล แต่ก็ดูหล่อเหลาไม่แพ้กันต่างกันเพียงแต่ดูเข้มกว่า ใบหน้าที่เรียวได้รูปกับจมูกโด่งและคิ้วโก่งเล็กน้อย ประกอบกับผมสีเงินเป็นประกายแบบขาวโนเบิล และรูปร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มก็พอจะอนุมานเอาได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างดีทีเดียว ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มหล่อไปอีกคนอย่างง่ายดาย สิ่งที่เหลือต้องดูคือตาของเขาจะเป็นแบบไหน ส่วนทางด้านอีรีน่านั้น ดูจะอ่อนกว่าเพื่อน คาดคะเนอายุได้ราวๆ 160 ต้นๆ เท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องตัดสินใจเช่นนั้นก็เพราะหน้าอกที่แบน และความสูงที่ไม่สูงเท่าใดนัก รวมถึงหน้าตาที่บ่งบอกว่าเป็นเด็กแน่ๆ ถ้าเธอไม่บังเอิญสวมชุดรบของกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ จมูกมนๆ ขนาดกำลังพอดีกับทรงหน้ากลมมน และผมสั้นรองทรงสีเงินแซมทอง ...ใช่แล้ว ถ้าเธอไม่บังเอิญสวมชุดรบของกองทัพโนเบิลตอนเราเจอเข้าเราก็คงหลงคิดว่าเป็นเอลฟ์เด็กท้องถิ่นผิวแทนที่บังเอิญติดมากับไอ่หนุ่มสองคนนี่ไปแล้ว... ชูเน่คิดอย่างชื่นชมในความน่ารักแบบเด็กโตมากกว่าจะเป็นหญิงสาววัยรุ่น มองดูรูปร่างของเธอแล้วก็เป็นนางแบบเยาวชนได้อย่างสบาย
เมื่อฝ่ามือใหญ่ๆ ผิวสีเขียวอ่อนเอื้อมเข้าไปจะจับที่ศรีษะของจีแอลสาวเลือดร้อน ทันใดนั้นมือเรียวแต่ดูแกร่งก็พุ่งพรวดเข้าจับหมับเข้าที่ข้อมือของครูสอนภาษาหลักสูตรเร่งรัด
ปฏิกิริยาที่ไวอย่างเหลือเชื่อของไนท์บารอนทำเอาวิกเตอร์ตกใจแทบกระโดด แต่ก็ยังคุมสติไว้ได้ แล้วรีบร้องบอกกับเพื่อนเป็นภาษาของตนไปว่า
“ไม่ต้องกลัว ทานาทรอส เขาเป็นมิตร”
“แกเป็นใคร”
คำถามสั้นๆ ห้วนๆ เป็นภาษาโปรตุเกสถูกเอ่ยขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู นัยน์ตาสีแดงในกรอบตาคมๆ จ้องเขม็งมายังใบหน้าของออร์คหน้าโหดอย่างกินเลือดกินเนื้อ แต่ชูเน่กลับมองตอบด้วยสายตาของผู้อาวุโสมองเด็กน้อย และท่าทางของเขาดูจะไม่ตกใจอะไรเลย ปากก็ขยับตอบเป็นภาษาโนเบิลด้วยน้ำเสียงกวนๆ ว่า
“ข้าก็แนะนำตัวเองไปแล้วไง เจ้านั่นแหละต้องแนะนำตัว ไอ่หนู”
มันทำให้ทานาทรอสเคืองเล็กน้อย แต่ก็เก็บอาการไว้อย่างแนบเนียน เขาหัวเราะหึหึในลำคอก่อนคลายมือออกแล้วเริ่มแนะนำตัวเป็นภาษาโวลก้า (ภาษารัสเซีย) หวังจะทดสอบทักษะทางภาษาของชูเน่
“ทานาทรอส โรเซนเดรีย ทหารราบยุทธวิธีพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ รหัส ไนท์บารอน ยินดีที่ได้รู้จัก ชูเน่ กรันเธอร์... นายรู้ได้ยังไงว่าฉันตื่นอยู่”
ประโยคหลังเขาพูดเป็นภาษาโปรตุเกส
ชูเน่ไม่ตอบในทันที เขาเอื้อมมือไปจับศีรษะของอีรีน่าเพื่อสอนภาษาต่างดาวในหลักสูตรเร่งรัด ก่อนหันมาตอบอย่างเรียบๆ ว่า
“ไม่รู้ จนกระทั่งเพื่อนนายขายนาย...”
แล้วเขาก็ชำเลืองไปทางวิกเตอร์ที่ยืนมองอยู่นิ่งๆ
“แค่นายสามารถพูดอ่านเขียนภาษาของเราได้ทุกภาษา ก็เท่ากับว่าเขาได้บอกให้ฉันรู้ว่า นายได้รับการฝึกมาให้รบในแบบกองทัพเอไพด์เมียร์และรับมือกับมัน”
คำพูดของออร์คหน้าโหดทำเอาหนุ่มเกินอัจฉริยะถึงกับหัวเราะไม่มีเสียงอย่างรู้ซึ้งถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของชาวเอไพด์เมียร์ผิวเขียวอ่อนผู้นี้ ซึ่งมันตรงข้ามกับภาพเดิมที่เขาเคยมองอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้วออร์คหน้าโหดกล้ามเป็นมัดรูปร่างสมส่วนผู้นี้นับว่าฉลาดทีเดียว ...มันตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านพ่อเคยบอกเราโดยสิ้นเชิงเลยนะเนี่ย... วิกเตอร์คิด ก่อนจะสะดุ้งขึ้นเมื่อเกิดเสียงดังฉ่าของการทอดอะไรสักอย่างหนึ่งในกระทะเหล็กแล่นจี๊ดเข้าหูอย่างฉับพลัน แล้วก็ต้องสะดุ้งขึ้นอีกเมื่อเสียงหนักๆ กังวานของชูเน่เตือนขึ้นว่า
“มีเก้าอี้อยู่ตรงนั้น นั่งก่อนสิ”
พร้อมกันก็ชี้มือไปยังโต๊ะอาหารโพลีเมอร์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเทาอมน้ำเงิน มีเก้าอี้โพลีเมอร์ 6 ตัวจัดวางไว้รอบโต๊ะ
ไนท์บารอนเห็นอาการของเพื่อนจอมอัจฉริยะของเขาแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ แล้วเอ่ยแซวอย่างเพื่อนสนิทมากกว่าเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงดัดให้เล็กคล้ายเสียงผู้หญิง
“ขอต้อนรับกลับบ้านอันแสนสุขของเรา วิกเตอร์ วันนี้แม่กำลังทำสเต็กเนื้อสัตฺว์จากดาวของพวกสวะ แม่หวังว่าลูกคงชอบนะ ลูกน่าจะชวนทานาทรอสกับอีรีน่ามากินด้วยกันนะ”
ชูเน่ปล่อยมือออกจากศีรษะของจีแอลสาวผู้น่ารัก ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างสุดกลั้น แทบจะลงไปดิ้นกลิ้งกับพื้น วาคานะที่ดูเหมือนกำลังทำสเต็กอย่างที่ทานาทรอสว่าจริงๆ ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรเลย ไม่มีใครอ่านออกว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ทว่าด้านวิกเตอร์นั่นกลับซึมลง ความเฮฮาครึกครื้นนั้นเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำ มันพลอยทำให้ทั้งทานาทรอสและชูเน่รู้สึกผิดอย่างประหลาด แต่ทันใดนั้นความรู้สึกทั้งมวลก็หายไปในบัลดลเมื่ออยู่ๆ อีรีน่าก็ฟื้นตัวขึ้นแล้วโพล่งขึ้นอย่างร่าเริงว่า
“สเต็ก! ข้าชอบกินสเต็ก”
เพื่อนชายทั้งสองต่างทำท่าตกใจอย่างมาก เพราะปกติพวกเขาไม่เคยเห็นอีรีน่ายามสงบเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะกลิ่นอันหอมหวนชอนน้ำลายสอหรือเป็นเพราะเสียงหยอกล้อของเพื่อนชายข้างๆ ก็ตาม แต่เธอก็ตื่นขึ้นมาแล้ว และก็ยังดีที่เธอมีสัญชาตญาณระวังภัยอยู่บ้าง เมื่อสังเกตได้ว่าตรงหน้าเธอมีชาวเอไพด์เมียร์ผิวสีเขียวอ่อนตัวสูงกว่า 2 เมตร ใบหน้าโหดเข้ม เกยเข่าข้างหนึ่งขึ้นบนเตียง เธอก็อุทานออกมาอย่างตกใจพลางทำท่าจะควักอาวุธออกจากคลังแสงจิ๋ว แต่ก็พบว่าชุดรบได้หายไป เหลือแต่ชุดลำลองที่ตนไม่ได้เป็นผู้สวมใส่เอง
“ไม่เป็นไร อีรีน่า เขาอยู่ข้างเรา”
เพื่อนชายข้างๆ บอกเรียบๆ ก่อนที่ชูเน่จะถอนเข่าไปยืนตัวตรงเต็มส่วนแล้วแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ
อีรีน่ามีท่าทางอึดอัด ท่าทางกระตือรือร้นหายไปหมด เหลือบตาขึ้นมองเพื่อนใหม่หน้าโหดเล็กน้อยพอสบตาก่อนกลอกหนี แล้วเริ่มแนะนำตัวเองบ้างอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“อีรีน่า ดีโรซ่า ทหารราบยุทธวิธีพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ร รหัส ฮอล์ก...”
แนะนำตัวเสร็จ เธอก็เหลือบไปเห็นวิกเตอร์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายตาจับไปที่คนๆ หนึ่งที่กำลังยืนง่วนอยู่กับการทำอาหาร
“แล้ว...”
เอ่ยออกมาได้คำเดียว วาคานะก็เอ่ยแนะนำตัวขึ้นโดยไม่หันมามองที่ต้นเสียง แล้วบอกกฎเกณฑ์ต่อไปเป็นภาษาโปรตุเกสอย่างเย็นชา
“ฟังนะ ที่นี่เราจะไม่ใช้ภาษาของเรา ที่นี่แบ่งออกเป็น 7 เขตการปกครอง แต่ละเขตใช้ภาษากลางแตกต่างกันออกไป ส่วนภาษากลางของดาวดวงนี้ พวกคุณคงจะรู้กันหมดแล้ว ที่นี่คือสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ เพราะฉะนั้นภาษาที่เราจะใช้ คือ ภาษาฟรีแรนเซอร์ ชินกับมันซะ นี่แหละชีวิตของจรชน เราไม่ต้องการให้พวกสวะจับได้ว่าเราเป็นโนเบิลหรือกบฏดราก้อนไนท์ส ดังนั้นอย่าทำตัวเป็นผู้ดี ขอให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติตามด้วย ไม่ว่าพวกคุณจำชอบหรือไม่”
อีรีน่าถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ไม่ใช่เพราะกฎกติกา แต่เป็นเพราะภาษาที่ได้รับรู้ ...เดี๋ยว เราฟังภาษาของพวกสวะทุกภาษาไม่ออกนอกจากภาษากลางไม่ใช่เหรอ แต่เมื่อกี้นี้ ที่ท่านวาคานะพูดกับเรามันภาษาของพวกสวะไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเราถึงฟังรู้เรื่อง... จีแอลสาวเลือดร้อนนั่งคิดอย่างเป็นงง เหลือบตาขึ้นมองชูเน่อีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าโหดๆ เก๊กหล่อตอบมา มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดกว่าเก่า หันไปทางทานาทรอสก็เห็นทางนั้นมองมาอยู่แล้ว
“อย่าเกร็ง ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบวิธีการแบบพวกสวะ แต่ในเมื่อเรามาอยู่นอกเครื่องแบบแล้ว ประกอบกับหน้าตาเราก็คล้ายๆ กับเผ่าพันธุ์หนึ่งของดาวดวงนี้ที่เรียกว่า... อะไรนะ”
ทานาทรอสว่าเป็นภาษาโปรตุเกสด้วยท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ ประโยคหลังเขาหันไปหาชูเน่
“เอลฟ์”
เสียงใหญ่ๆ ของเพื่อนใหม่หน้าโหดตอบมา
“ใช่ เอลฟ์ เราก็ต้องเป็นพวกสวะ และเท่าที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ ตอนนี้พวกสวะคงคิดว่าพวกเราตายไปแล้ว ดังนั้นถ้ายังไม่ถึงเวลาอย่าแสดงตัวว่าเราเป็นใคร”
“แล้วชุดรบของพวกเราล่ะ”
อีรีน่าเอ่ยถามอย่างเกร็งๆ เป็นภาษาของเจ้าบ้าน ด้วยท่าทีกระวนกระวาย
วิกเตอร์หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขัน มันเป็นคำถามเดียวกับที่เขาเพิ่งถามไปเมื่อไม่นานมานี้ แล้วตอบอย่างยิ้มๆ ว่า
“เรื่องชุดน่ะไม่ต้องห่วงหรอก คุณวาคานะเก็บไว้ให้แล้ว ที่ต้องห่วงตอนนี้มีอยู่เรื่องเดียว คือ เราใช้เวทมนตร์แบบพวกสวะไม่ได้”
หน่วยจีแอลยุทธวิธีพิเศษอีกสองถึงกับค้างไปนาน เพราะเพิ่งนึกได้ ใช่แล้ว ถึงแม้รูปกายภายนอกจะดูคล้ายกับชาวเอไพด์เมียร์มากจนแยกไม่ออก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างโดยสิ้นเชิง คือ พวกเจ้าบ้านใช้เวทมนตร์เป็นกันทุกคน แต่พวกเขาใช้ไม่เป็น
ทั้งทานาทรอสและอีรีน่าต่างถอนหายใจอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งชูเน่เสนอตัวขึ้น
“เวทมนตร์เหรอ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยว ฉันจะสอนหลักสูตรเร่งรัดให้ แต่มันมีปัญหาอยู่นิดหน่อยตรงที่ว่าพวกนายต้องมาขอเติมพลังเวทจากฉันหรือเพื่อนฉันเป็นระยะๆ...”
ประโยคนั้นทำเอาหน่วยจีแอลยุทธวิธีพิเศษทั้งสามหันมามองเป็นตาเดียว
“แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่าพวกนายต้องเข้าร่วมกับดราก้อนไนท์ส”
เมื่อได้ฟังเงื่อนไขจีแอลยุทธวิธีพิเศษทั้งสามก็นั่งอึ้งไปนานอย่างใช้ความคิด
“จริงอยู่ พวกสวะจะไม่มีทางหาเราพบถ้าเรายังอยู่ที่นี่ แต่ถ้าออกไปพ้นรัศมีวงเวทที่ชูเน่กางไว้เมื่อไหร่ ฉันก็ไม่รับประกันว่าพวกคุณจะถูกตรวจพบเมื่อไหร่หรืออย่างไร เพราะการที่เรานำพวกคุณเข้ามาที่นี่ได้ก็เสี่ยงต่อการถูกตรวจพบมากแล้ว”
วาคานะเสริมกึ่งบังคับ ทำให้ผู้มาใหม่ไม่มีทางเลือก ต่างพยักหน้าให้กันเบาๆ แล้ววิกเตอร์ก็เป็นตัวแทนตอบขึ้นว่า
“ตกลง เราจะร่วมกับพวกคุณ”
ย้อนหลังกลับไปประมาณ 9 ชั่วโมง ณ ศูนย์ควบคุมการสื่อสารที่กำลังจะถูกถล่มด้วยกระสุนปืนใหญ่จากมอนสเตอร์แคนนอน
จีแอลทั้งสามนั่งลงมองดูโดมเวทมนตร์พันธนาการสุดแกร่งอย่างสิ้นหวัง อีรีน่าถึงกับออกอาการสะอื้นหลั่งน้ำตาออกมา ความคึกคะนองและความประมาทคู่ต่อสู้หายไปหมด เธอไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อน แม้แต่คำบอกเล่าของเหล่าผู้เฒ่าทหารผ่านศึก มันเป็นประสบการณ์ก่อนตายที่ไม่มีใครอยากได้ ยอดอัจฉริยะประจำกลุ่มยังแสดงท่าทีจนปัญญา หรือแม้แต่ผู้ที่ฝึกมาให้รบแบบศัตรูยังสิ้นท่า แล้วคนที่เด่นแต่ด้านบุกทะลวงแนวศัตรูอย่างเธอจะทำอะไรได้
ไม่มีใครร้องทักเรื่องที่ฮอล์กกำลังร้องไห้ เพราะอีกสองคนก็กำลังน้ำตาตกใน และนึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อย ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
เวลาผ่านไป 10 นาทีท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น อยู่ๆ ออราเคิลก็โพล่งขึ้นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยมพร้อมๆ กับหัวเราะเหมือนสติแตก จนแทบจะลุกขึ้นเต้น ทำเอาสหายศึกทั้งสองหันมามองด้วยความสงสัย
“นึกออกแล้ว... นึกออกแล้ว”
เมื่อฮอล์กได้ยินดังนั้นเธอก็หยุดร้องไห้ในบันดล เหลือไว้แต่ไนท์บารอนที่กำลังงงพลางเอ่ยปากถามขึ้นกระชากๆ ว่า
“เป็นบ้าอะไร”
“นึกออกแล้ว... นึกออกแล้ว วิธีที่จะรอดไปจากที่นี่”
เหมือนจะติดลมหรือไม่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า หนุ่มเกินอัจฉริยะหัวเราะไม่หยุด และพูดซ้ำไปซ้ำมา จนผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูเกิดหมั่นไส้ขึ้นมา ลุกขึ้นพรวดมือหนึ่งจับจะเปิดหมวกรบของหนุ่มเกินอัจฉริยะอีกมือหนึ่งง้างหมัดจะเข้าไปต่อยหน้า แต่จีแอลสาวเลือดร้อนก็ลุกพรวดมารั้งตัวของไนท์บารอนเอาไว้
“ใจเย็นๆ ทานาทรอส ข้ารู้จัก วิกเตอร์ โนวา ดีกว่าเจ้า ถ้าเขาเกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาเราก็วางใจได้ เรารอดแน่ๆ แต่ข้าไม่รับประกันว่าในสภาพไหน”
“เป็นเชลยของพวกมันไง”
ไนท์บารอนยิ่งเดือดดาล ตรงข้ามกับบุคลิกอันเยือกเย็นที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง มันก็น่าอยู่หรอก เพราะการถูกข้าศึกบังคับให้นั่งรอความตายแบบนี้มันหยามกันชัดๆ และมันเป็นการดูหมิ่นเกียรติ์ (ของชาวโนเบิล) อย่างแรงที่ทำให้คู่ต่อสู้ต้องหมดสภาพที่จะต่อสู้ได้ในขณะที่ยังไม่หมดแรง และการถูกจับเป็นเชลยเป็นสิ่งที่นักรบโนเบิลเลือดข้นยอมรับไม่ได้
“เอาล่ะ พอได้แล้ว วิกเตอร์ แผนของเจ้าว่ายังไง”
ว่าแล้วอีรีน่าก็พูดกับออราเคิลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนคุยกับเด็ก
“ฟังนะ ถ้าแผนของเจ้าคือส่งสัญญาณยอมจำนนให้พวกมัน ข้าจะขอนั่งรอความตายอยู่ตรงนี้ดีกว่า”
ไนท์บารอนขู่มาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พร้อมชี้หน้ามายังวิกเตอร์ ซึ่งยังหัวเราะต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเข้าเรื่อง
“ฟังนะ มันอาจจะฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่ขอให้เชื่อเถอะ ข้าเคยทำแบบนี้มาแล้ว ถึงสถานที่จะต่างกัน แต่ข้าเชื่อว่าสามารถทำได้เหมือนกัน สิ่งที่ข้าต้องการตอนนี้คือแหล่งพลังงานมหาศาลเมื่อเทียบกับพลังงานของชุดรบของพวกเรา ซึ่งก็คืออาคารหลังนี้ทั้งหลัง และอย่าได้สงสัยว่าข้าจะทำยังไง แต่เอาเป็นว่าข้าทำได้แล้วกัน เพราะข้าเคยทำมาแล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำคือ ดึงเอาพลังงานของอาคารทั้งหลังมาเสริมพลังให้อาร์คเอนเจิลชีลด์ ซึ่งตอนที่ข้าขโมยข้อมูลจากแผงควบคุมนั่น ข้ารู้มาว่าอาคารหลังนี้ไม่ได้พึ่งแต่พลังงานของตัวมันเองเท่านั้น แต่มันยังพึ่งพลังงานจากภายนอกด้วย โดยการจ่ายพลังงานมาจากแหล่งพลังงานที่ไหนสักที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะอยู่ห่างไกลพื้นที่ที่มีการรบ มาพูดถึงการสร้างอาคาร ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของอาคารทางทหารคือแหล่งพลังงานในตัวเอง ซึ่งก็น่าจะเหมือนๆ กันหมด คือจะตั้งอยู่ในชั้นที่เข้าถึงยากที่สุด ซึ่งก็คือชั้นใต้ดิน และข้าเชื่อว่านักยุทธศาสตร์ของพวกสวะก็คงคิดไม่ต่างจากพวกเราในเรื่องนี้ จากผลที่ข้าได้ทดลองมาแล้วถ้าเราสามารถโอเวอร์โหลดอาร์คเอนเจิลชีลด์ได้ มันก็จะสร้างสนามพลังงานสุดแกร่งที่แทบจะไม่มีอะไรทำลายได้ขึ้นมาในระยะหนึ่ง แต่ต้องแลกกับการที่มันจะพังหลังจากพลังงานสลายลงแล้ว ซึ่งจากการคำนวณของข้ามันน่าจะอยู่ได้นานพอที่ลูกปืนยักษ์พวกนั้นจะตกลงมาหมดแล้ว แต่ยังไงก็ตาม อานุภาพของลูกปืนยักษ์พวกนั้นมันมหาศาลมาก ข้ากลัวว่าถ้าโดนมันตรงๆ เกราะพลังงานจะอ่อนแรงลงเร็วมาก ดังนั้นอาคารหลังนี้จะช่วยเป็นเกราะคุ้มภัยให้พวกเราในระยะแรกก่อน ประกอบกับที่ลูกปืนยักษ์พวกนั้นจะตกลงมาในอาณาเขตตำบลกระสุนปืนใหญ่ตกที่กว้างทีเดียว ดังนั้นโอกาสที่จะโดนจังๆ จึงไม่น่าจะสูงนัก แต่ข้าก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่โดนจังๆ แต่มันก็น่าลองดูนะ พวกเจ้าจะลองดูไหม”
สมเป็นยอดอัจฉริยะประจำกลุ่ม หลังจากการร่ายยาว ทำเอาอีกสองคนอึ้งไปนานทีเดียว เหมือนจะคิดไตร่ตรอง จากนั้นทานาทรอสก็เอ่ยปากเห็นด้วย พร้อมให้เหตุผลว่า
“เอางั้นก็ได้ ดูเหมือนเรามีทางเลือกมากซะที่ไหน ถ้าเจ้ายืนยันว่าทำได้จริงมันก็น่าลอง”
“ข้าก็เห็นด้วย ถ้ามันเป็นวิธีเดียวที่เราควรจะทำ เราก็ควรจะทำเลย”
อีรีน่าเสริม
“ถ้างั้นอย่างแรกที่ต้องทำ คือ ทานาทรอสเจ้าไปที่ห้องเตาปฏิกรณ์ เปิดพวกมันให้สุดไปเลย ส่วนอีรีน่า เจ้าไปช่วยทานาทรอสอีกแรง พอเปิดพวกมันครบแล้วเจ้าก็อุ้มทานาทรอสมาหาข้าให้เร็วที่สุด ส่วนข้าจะไปรอที่ชั้นล่างสุด ตอนที่ข้าขโมยข้อมูลเกี่ยวกับฐานยิงลำแสงโบราณเหล่านั้น ข้าก็ขโมยข้อมูลอย่างอื่นมาด้วย เช่น แผนที่ของอาคารหลังนี้ ข้าจะอัพโหลดมันให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้ ส่วนภาษาเครื่องแปลภาษาของข้าอ่านมันไม่ออก ทานาทรอสเจ้าช่วยเอาเข้าเครื่องแปลแล้วส่งให้ข้ากับอีรีน่าด้วย เอาไปเลย...”
วิกเตอร์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ทานาทรอสพยักหน้าเนิบๆ จึงเริ่มพูดต่อ
“ที่ชั้นล่างสุดจะเป็นแหล่งพลังงานหลัก ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่จ่ายมาจากที่อื่น ข้าจะดูดมันมาเสริมพลังเตรียมไว้ก่อน พอเจ้าสองคนลงมาถึงก็เข้ามากอดข้าแล้วเปิดอาร์คเอนเจิลชีลด์ให้เต็มที่ ไปได้”
สิ้นเสียงทั้งสามก็วิ่งกลับเข้าไปในอาคารโดยวิกเตอร์นั้นแยกทางหนึ่ง ส่วนอีรีน่ากับทานาทรอสก็แยกไปอีกทางหนึ่ง
“ฮอล์ก เจ้าพาข้าบินไปจะเร็วกว่า”
ทานาทรอสเสนอความคิดมาอย่างบ้าบิ่น ซึ่งคนที่ถูกกล่าวถึงก็บ้าบิ่นพอๆ ก่อน เธอผ่อนฝีเท้าลงนิดหนึ่งไปอยู่ข้างหลังของไนท์บารอนแล้วจับอุ้มขึ้นก่อนจะติดเครื่องไอพ่นที่ขนแล้วโผบินไปตามทางเดินอย่างแคล่วคล่อง เจอทางแยกก็สามารถเลี้ยวได้ราวตัวเองเป็นแมลงวันที่กำลังอุ้มแมงมุมตัวเล็กๆ จนกระทั่งมาถึงที่หมาย
ประตูเลื่อนสองบานปิดกั้นไว้ระหว่างห้องเตาปฏิกรณ์กับจีแอลคู่ชายหญิง ส่วนมุมขวาใกล้ๆ เป็นแป้นกดรหัส แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ทั้งคู่ถอยห่างออกมาให้พ้นรัศมี 3 เมตร ก่อนที่อีรีน่าจะมองไปยังร่องระหว่างประตูสองบานแล้วใช้เครื่องดูดมิติเปิดมันออกเป็นช่องวงกลมขนาด 2 เมตร แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไป
ภายในห้องมีเตาปฏิกรณ์ทรงลูกบาศก์เรียบๆ สีเทาเข้ม 4 เครื่อง ขนาดเพียง 1 เมตรด้านเท่า วางอยู่ทั้งสี่มุมของห้อง มีสายไฟสีเหลืองตัดกับพื้นห้องสีเทาอ่อนกว้างขนาด 12 เซนติเมตร ฝังอยู่ในพื้นครึ่งหนึ่งลากยาวไปยังเครื่องรวมกระแสไฟทรงกระบอกสีเขียวเข้มสูงครึ่งเมตร กว้าง 2 ฟุต ซึ่งมีสายไฟสีดำหลายเส้นขนาดกว้างเส้นละประมาณ 1 นิ้วเศษต่อระโยงรยางค์ขึ้นไปบนเพดาน
ว่าแล้วในฐานะผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู และสามารถอ่านเขียนภาษาของศัตรูที่ใช้กันในปัจจุบันได้ทุกภาษา ทานาทรอสจัดการสอนวิธีใช้เตาปฏิกรณ์อย่างลวกๆ ให้อีรีน่าอย่างเร่งรัด จนพอจะเข้าใจ ซึ่งจีแอลสาวเลือดร้อนพยักหน้าเนิบๆ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกไปจัดการตามแผนของยอดอัจฉริยะประจำกลุ่ม
หนุ่มเกินอัจฉริยะเองก็ได้มาถึงเป้าหมายเช่นเดียวกัน แม้จะช้ากว่าสหายศึกอีกสองคนก็ตาม แต่ด้วยทางเทคนิคแล้วเขาแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย
ภายในห้องแคบๆ ที่มีพื้นที่เพียงแค่ให้ทำงานทำนุบำรุงได้อย่างสะดวก ซึ่งมีเพียงเครื่องรวมกระแสไฟแบบเดียวกับในห้องเตาปฏิกรณ์ เขาเพียงทาบมือทั้งสองข้างลงบนแท่นทรงกระบอกนั้นก่อนพร้อมๆ กับเปิดเกราะพลังงานส่วนตัว จนกระทั่งต้องครางออกมาเบาๆ เหมือนมีความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ไหลผ่านร่างกาย ซึ่งกระตุกเล็กน้อยไม่กี่ครั้ง จากนั้นเขาก็ติดต่อไปยังอีกสองคนว่า
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ทำให้อีกสองคนที่อยู่อีกด้านมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนที่อีรีน่าจะถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงเจ้าถึงเป็นแบบนี้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”
วิกเตอร์ตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเดิม แต่ด้วยความเชื่อใจอีรีน่าจึงไม่ถามอะไรอีก ก่อนจะรายงานไปว่า
“ขอเวลาไม่เกิน 3 มานิคครึ่งเราจะไปหาเจ้า เลิกกัน”
พูดจบทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ของตนต่อไป ทางด้านทานาทรอสนั้นสามารถกดจิ้มปุ่มสัมผัสบนแป้นควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว เขาทำกับเครื่องแรกเสร็จในขณะที่อีรีน่ายังเก่ๆ กังๆ อยู่ จนกระทั่งจีแอลฝ่ายชายจัดการกับเครื่องที่สองเสร็จ ฝ่ายหญิงก็ยังคงอยู่ที่เครื่องแรก
“เร็วๆ หน่อย ฮอล์ก”
ไนท์บารอนส่งเสียงเตือน ทำให้ฮอล์กต้องสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อลดความกดดันลง แล้วกดต่อไป
และแล้วทานาทรอสก็จัดการกับเครื่องที่สามเสร็จ เขาจึงรุดมาที่อีรีน่าอย่างหัวเสียงก้มลงจะทำให้ แต่ก็ทำเสร็จพอดี
“ไปเร็ว”
จีแอลสาวเลือดร้อนว่า ก่อนจะอุ้มผู้เชี่ยวชาญเรื่องของศัตรูพาบินไปอย่างรวดเร็ว อย่างแข่งกับเวลาจนกระทั่งไปถึงเป้าหมาย ก็มองเห็นหนุ่มเกินอัจฉริยะนั่งคุกเข่าลงเอามือทั้งสองข้างจับที่เครื่องรวมกระแสไฟ ทำเอาทั้งอีรีน่าและไนท์บารอนทึ่งกับภาพที่เห็นพร้อมกับชะงักงันไป
อัจฉริยะประจำกลุ่มเหลือบไปเห็นเพื่อนอีกสองคนกำลังยืนตะลึงอยู่ก็ร้องเตือนออกมาเกือบจะเป็นตะวาด ทันทีทันใดนั้นทั้งสองก็สร่างตะลึงแล้วรีบเข้าไปกอดกับวิกเตอร์แน่นพร้อมกับเปิดเกราะพลังงานส่วนตัวไปด้วย เมื่อเข้าไปกอดกันแล้วเกราะพลังงานของทั้งสามก็รวมพลังกัน ประกอบกับพลังงานที่ออราเคิลดูดมาเสริมทำให้มันถึงกับเปล่งแสงออกมา แล้วกลายจากหุ้มตัวของผู้ใช้กลายเป็นโดมคลุมตัวสีเขียวอ่อนเป็นหยกเข้มข้นจนมองไม่เห็นตัวผู้ใช้ เสียงของอาร์คเอนเจิลชีลด์ในชุดรบก็ครางเสียงหึ่งออกมาเบาๆ
“ภาวนาเอาไว้สหาย ขอให้คนที่มาเจอเราเป็นพวกเราไม่ใช่กองทัพหรือใครก็ตามที่ยืนอยู่ข้างพวกสวะ”
วิกเตอร์ร้องตะโกนออกมาสุดเสียงอย่างตื่นเต้นและคึกคะนอง ก่อนจะเงียบเสียงลงเพื่อรอวัดผล
และแล้วเสียงคราวหวือของลูกปืนยักษ์ก็ดังขึ้นแว่วๆ พอให้ได้ยินมาถึงชั้นใต้ดิน ก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดตูมดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับคลื่นแผ่นดินสะเทือนที่ไหลลงมาถึงชั้นใต้ดินให้จีแอลสามสหายได้รู้สึกขนลุกขนพองกันพอประมาณ
เสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้างยิ่งกว่าฟ้าผ่าแบบถี่ยิบจนอาคารสะเทือนไปทั้งหลังและมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเพดานห้องได้หลุดหายไป พลังงานที่ส่งมาจากแหล่งอื่นก็ถูกตัดไปด้วย เหลือแต่กลอรี่ลิเบอเรเทอร์เดนตายทั้งสามที่ยังกอดกันแน่น และแล้วจากนั้นก็มีกระสุนนัดหนึ่งร่วงลงมาใกล้ๆ ในระยะเพียงไม่ถึง 3 เมตร มันได้งัดเอาก้อนหยกกลมนั้นลอยโด่งขึ้นปลิวไปตามแรงระเบิด และช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่ลูกบอลหยกนั้นต้องไปเจอะกับลูกปืนยักษ์เข้ากลางอากาศ ทำเอานักรบพิเศษแห่งกองทัพผู้ประเสริฐทั้งสามหมดสติไปพร้อมๆ กัน
ออราเคิลนั่งหายใจเข้าออกยาวๆ หลังนึกไปถึงเหตุการณ์สุดระทึก ...ไม่นึกเลยว่าจะรอดมาได้ จะบ้าตาย ขออย่าได้ตกเป็นเป้าของมันอีกเลย เอาไปเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อ... เขาคิดในใจอย่างสยดสยอง และเข็ดหลาบกับปืนใหญ่สัตฺว์ประหลาดอันเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ
ทันใดนั้นก็เกิดมีเสียงเคาะประตูขึ้น เขาเหลือบไปเห็นเคาน์เตอร์ที่อยู่นอกห้อง มีมีดทำครัว 3-4 เล่มเสียบไว้ในที่เก็บ เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปคว้ามาเล่มหนึ่ง ก่อนจะไปแอบยังข้างประตูด้วยสัญชาตญาณระวังภัย เมื่อประตูพลาสติกเปิดเข้ามา มีดทำครัวในมือก็เลื่อนขึ้นจ่อที่คอหอยของผู้มาเยือน
“คนเขาอุตส่าห์ช่วย ตอบแทนกันแบบนี้เหรอ ออราเคิล”
เสียงของผู้หญิงดังตอบขึ้นมาเป็นภาษาของชาวโนเบิล ทำเอาเอลฟ์หนุ่มตาเหลือกชะงักไป แล้วลดมีดในมือลง ในขณะที่มีเสียงชายอีกคนดังมาจากข้างนอก แต่มันเป็นภาษาโปรตุเกส
“มีอะไรเหรอ วาคานะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นมีดในมือจึงเลื่อนขึ้นจี้คอหอยอีกรอบ แล้วเอ่ยปากถามเป็นภาษาอังกฤษ (ภาษาโอเคอร์โน) ไปว่า
“พวกแกเป็นใคร”
“ก่อนจะให้คนอื่นบอกชื่อ แนะนำตัวเองก่อนดีกว่าไหม ออราเคิล”
หญิงผู้มาเยือนย้อนกลับด้วยน้ำเสียงยานๆ เป็นภาษาเดียวกัน ทำเอาเอลฟ์หนุ่มถึงกับสะอึก ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเป็นภาษาของชาวโนเบิลว่า
“ข้าชื่อ วิกเตอร์ โนวา ทหารราบยุทธวิธีพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ รหัส ออราเคิล แล้วเจ้า”
“ก็แค่นั้น ข้าชื่อ วาคานะ โมริคาวะ หน่วยข่าวกรองพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ รหัส แบล็คเบอร์รี่”
เมื่อนั้นมีดทำครัวในมือก็ลดลงอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะแสดงการคุกคามอะไรอีก หญิงสาวผู้อ้างตัวเป็นจีแอลก้าวเข้ามาพร้อมกับตะกร้าที่บรรจุพืชผักชนิดต่างๆ ไว้เต็มเธอเป็นหญิงสาวหน้าหวานทีเดียวแต่นัยน์ตาสีเขียวเข้มจนเกือบดำและริมฝีปากที่ปิดสนิทเป็นเส้นตรงนั้นทำให้เธอดูน่ายำเกรงในขณะเดียวกัน ตามด้วยออร์คชายฉกรรจ์รูปร่างสมส่วนหน้าโหดๆ แบกเนื้ออะไรมาสักอย่างหนึ่ง ซึ่งยังสดๆ อยู่มาในห่อผ้ากระสอบสีขาว ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมขนสัตฺว์กันหนาวสีน้ำตาล และหมวกขนสัตฺว์สีเดียวกัน
“แล้วแกล่ะ”
วิกเตอร์ทวงถามขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจทันทีที่ออร์คที่แบกเนื้อเดินเข้ามา
“ชูเน่ กรันเธอร์ กองกำลังต่อต้านสภา 7 แผ่นดิน ดราก้อน ไนท์ส เอ่อ... กองกำลังกบฏน่ะ”
คำตอบมาเป็นภาษาโนเบิลอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้วิกเตอร์ตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะประโยคหลังทำเอาหนุ่มเกินอัจฉริยะดวงตาลุกวาว มองหน้าวาคานะและชูเน่สลับกันอย่างตื่นๆ มีดทำครัวในมือลดลงอย่างสิ้นเชิง
“ฉันจะทำอาหาร ขอมีดด้วย”
วาคานะว่าพลางยื่นมือขอมีดทำครัวจากวิกเตอร์อย่างเย็นชา ซึ่งเขาก็ไม่ขัดข้อง ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับใบแล้วส่งด้ามให้
“อยู่ที่นี่เราจะไม่พูดภาษาของเรา ในปัจจุบันดาวดวงนี้แบ่งออกเป็นเขตปกครอง 7 เขต แต่ละเขตใช้ภาษาแตกต่างกันไป ที่นี่คือสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ ภาษาที่เราจะใช้ คือ ภาษาฟรีแรนเซอร์ ชูเน่จะสอนหลักสูตรเร่งรัดให้พวกเจ้า แล้วจากนั้น... ขอต้อนรับเข้าสู่ ดราก้อน ไนท์ส”
“ขอถามอีกอย่าง”
วิกเตอร์เอ่ยขึ้นพลางมองดูตัวเอง
“ว่ามา”
วาคานะตอบเรียบๆ
“แล้วชุดรบของพวกเราหายไปไหน มันจำเป็นมากนะ”
เป็นคำถามอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาวาคานะต้องหันมาชำเลืองมอง มือเท้าเอวข้างหนึ่งอย่างไม่ค่อยเชื่อหูว่าจะออกมาจากปากของหน่วยรบพิเศษ
ไม่มีการตอบเป็นคำพูด แต่แบล็คเบอร์รี่ล้วงเข้าไปในเสื้อหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขนาดครึ่งฝ่ามือออกมาแล้วชี้ให้ดู ก่อนจะพูดกึ่งด่ากึ่งเตือนอย่างเย็นชาว่า
“ถ้าเจ้าอยากตายข้าก็จะคืนให้”
หนุ่มเกินอัจฉริยะต้องผงะให้กับความโง่ของตัวเองเป็นครั้งแรกนับแต่เหยียบขึ้นมาบนดาวดวงนี้ ใช่แล้วถ้าเขาสวมชุดรบในตอนนี้ นอกจากจะกระทำการอะไรลำบากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกไล่ฆ่าโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
รอยยิ้มแห้งๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของวิกเตอร์ ซึ่งถ้าเป็นหญิงสาวทั่วๆ ไปคงหลงติดไปแล้ว แต่สำหรับหญิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เธอแค่สะบัดหน้ากลับไปทำอาหารต่อ หนุ่มเกินอัจฉริยะหงอยลงทันที ในขณะที่ชูเน่เดินมาทำเหมือนจะลูบหัวของวิกเตอร์เล่นก่อนจะพูดเป็นเชิงปลอบๆ ว่า
“ปรงซะเถอะไอ่หนู ขนาดคนของดราก้อนไนท์บางคนหน้าตาดีกว่านาย เข้าไปหว่านเสน่ห์ยังพ่ายเลย”
“อะไร คุณพูดอะไรของคุณ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
วิกเตอร์แย้งด้วยใจจริง ก่อนจะชะงักด้วยความแปลกใจ เมื่อกี้เขาพูดอะไรไป ฟังดูไม่เหมือนภาษาของเผ่าพันธุ์ตนแม้แต่นิดเดียว และที่น่าแปลก เมื่อกี้นี้นายออร์คหน้าโหดพูดกับเขาด้วยภาษาฟรีแรนเซอร์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงได้ฟังออก แถมยังพูดตอบโต้ได้ถูกด้วย เขาเหลือบขึ้นมองหน้าของคู่สนทนา ซึ่งเห็นใบหน้าโหดๆ เก๊กหล่อ ดูแล้วขึ้นเหมือนกัน
“ใช่แล้ว นี่แหละหลักสูตรเร่งรัดที่วาคานะบอกล่ะ”
“แปลว่าคุณใช้เวทมนตร์อัดความรู้เข้าสมองผมเมื่อกี้นี้เหรอ”
วิกเตอร์ถามเพื่อความแน่ใจ พลางมองตาชูเน่อย่างฉงน ซึ่งตัวคนถูกถามก็พยักหน้าเนิบๆ ก่อนเดินไปยังอีกสองคนที่กำลังนอนอยู่
“ผู้ชายน่ะไม่จำเป็นหรอก เขารู้ทุกภาษาของดาวดวงนี้”
ออราเคิลบอกไล่หลังไป ทำเอาออร์คหน้าโหดถึงกับผิวปากหวือด้วยความทึ่งแล้วหันไปมองดูใบหน้าของทานาทรอสกับอีรีน่าสลับกัน ทางด้านทานาทรอสนั้นดูจะอ่อนกว่าวิกเตอร์เล็กน้อยอย่างมากไม่เกิน 15 ปี ถ้าเทียบเป็นอายุของชาวโนเบิล แต่ก็ดูหล่อเหลาไม่แพ้กันต่างกันเพียงแต่ดูเข้มกว่า ใบหน้าที่เรียวได้รูปกับจมูกโด่งและคิ้วโก่งเล็กน้อย ประกอบกับผมสีเงินเป็นประกายแบบขาวโนเบิล และรูปร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มก็พอจะอนุมานเอาได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างดีทีเดียว ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มหล่อไปอีกคนอย่างง่ายดาย สิ่งที่เหลือต้องดูคือตาของเขาจะเป็นแบบไหน ส่วนทางด้านอีรีน่านั้น ดูจะอ่อนกว่าเพื่อน คาดคะเนอายุได้ราวๆ 160 ต้นๆ เท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องตัดสินใจเช่นนั้นก็เพราะหน้าอกที่แบน และความสูงที่ไม่สูงเท่าใดนัก รวมถึงหน้าตาที่บ่งบอกว่าเป็นเด็กแน่ๆ ถ้าเธอไม่บังเอิญสวมชุดรบของกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ จมูกมนๆ ขนาดกำลังพอดีกับทรงหน้ากลมมน และผมสั้นรองทรงสีเงินแซมทอง ...ใช่แล้ว ถ้าเธอไม่บังเอิญสวมชุดรบของกองทัพโนเบิลตอนเราเจอเข้าเราก็คงหลงคิดว่าเป็นเอลฟ์เด็กท้องถิ่นผิวแทนที่บังเอิญติดมากับไอ่หนุ่มสองคนนี่ไปแล้ว... ชูเน่คิดอย่างชื่นชมในความน่ารักแบบเด็กโตมากกว่าจะเป็นหญิงสาววัยรุ่น มองดูรูปร่างของเธอแล้วก็เป็นนางแบบเยาวชนได้อย่างสบาย
เมื่อฝ่ามือใหญ่ๆ ผิวสีเขียวอ่อนเอื้อมเข้าไปจะจับที่ศรีษะของจีแอลสาวเลือดร้อน ทันใดนั้นมือเรียวแต่ดูแกร่งก็พุ่งพรวดเข้าจับหมับเข้าที่ข้อมือของครูสอนภาษาหลักสูตรเร่งรัด
ปฏิกิริยาที่ไวอย่างเหลือเชื่อของไนท์บารอนทำเอาวิกเตอร์ตกใจแทบกระโดด แต่ก็ยังคุมสติไว้ได้ แล้วรีบร้องบอกกับเพื่อนเป็นภาษาของตนไปว่า
“ไม่ต้องกลัว ทานาทรอส เขาเป็นมิตร”
“แกเป็นใคร”
คำถามสั้นๆ ห้วนๆ เป็นภาษาโปรตุเกสถูกเอ่ยขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู นัยน์ตาสีแดงในกรอบตาคมๆ จ้องเขม็งมายังใบหน้าของออร์คหน้าโหดอย่างกินเลือดกินเนื้อ แต่ชูเน่กลับมองตอบด้วยสายตาของผู้อาวุโสมองเด็กน้อย และท่าทางของเขาดูจะไม่ตกใจอะไรเลย ปากก็ขยับตอบเป็นภาษาโนเบิลด้วยน้ำเสียงกวนๆ ว่า
“ข้าก็แนะนำตัวเองไปแล้วไง เจ้านั่นแหละต้องแนะนำตัว ไอ่หนู”
มันทำให้ทานาทรอสเคืองเล็กน้อย แต่ก็เก็บอาการไว้อย่างแนบเนียน เขาหัวเราะหึหึในลำคอก่อนคลายมือออกแล้วเริ่มแนะนำตัวเป็นภาษาโวลก้า (ภาษารัสเซีย) หวังจะทดสอบทักษะทางภาษาของชูเน่
“ทานาทรอส โรเซนเดรีย ทหารราบยุทธวิธีพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ รหัส ไนท์บารอน ยินดีที่ได้รู้จัก ชูเน่ กรันเธอร์... นายรู้ได้ยังไงว่าฉันตื่นอยู่”
ประโยคหลังเขาพูดเป็นภาษาโปรตุเกส
ชูเน่ไม่ตอบในทันที เขาเอื้อมมือไปจับศีรษะของอีรีน่าเพื่อสอนภาษาต่างดาวในหลักสูตรเร่งรัด ก่อนหันมาตอบอย่างเรียบๆ ว่า
“ไม่รู้ จนกระทั่งเพื่อนนายขายนาย...”
แล้วเขาก็ชำเลืองไปทางวิกเตอร์ที่ยืนมองอยู่นิ่งๆ
“แค่นายสามารถพูดอ่านเขียนภาษาของเราได้ทุกภาษา ก็เท่ากับว่าเขาได้บอกให้ฉันรู้ว่า นายได้รับการฝึกมาให้รบในแบบกองทัพเอไพด์เมียร์และรับมือกับมัน”
คำพูดของออร์คหน้าโหดทำเอาหนุ่มเกินอัจฉริยะถึงกับหัวเราะไม่มีเสียงอย่างรู้ซึ้งถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของชาวเอไพด์เมียร์ผิวเขียวอ่อนผู้นี้ ซึ่งมันตรงข้ามกับภาพเดิมที่เขาเคยมองอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้วออร์คหน้าโหดกล้ามเป็นมัดรูปร่างสมส่วนผู้นี้นับว่าฉลาดทีเดียว ...มันตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านพ่อเคยบอกเราโดยสิ้นเชิงเลยนะเนี่ย... วิกเตอร์คิด ก่อนจะสะดุ้งขึ้นเมื่อเกิดเสียงดังฉ่าของการทอดอะไรสักอย่างหนึ่งในกระทะเหล็กแล่นจี๊ดเข้าหูอย่างฉับพลัน แล้วก็ต้องสะดุ้งขึ้นอีกเมื่อเสียงหนักๆ กังวานของชูเน่เตือนขึ้นว่า
“มีเก้าอี้อยู่ตรงนั้น นั่งก่อนสิ”
พร้อมกันก็ชี้มือไปยังโต๊ะอาหารโพลีเมอร์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเทาอมน้ำเงิน มีเก้าอี้โพลีเมอร์ 6 ตัวจัดวางไว้รอบโต๊ะ
ไนท์บารอนเห็นอาการของเพื่อนจอมอัจฉริยะของเขาแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ แล้วเอ่ยแซวอย่างเพื่อนสนิทมากกว่าเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงดัดให้เล็กคล้ายเสียงผู้หญิง
“ขอต้อนรับกลับบ้านอันแสนสุขของเรา วิกเตอร์ วันนี้แม่กำลังทำสเต็กเนื้อสัตฺว์จากดาวของพวกสวะ แม่หวังว่าลูกคงชอบนะ ลูกน่าจะชวนทานาทรอสกับอีรีน่ามากินด้วยกันนะ”
ชูเน่ปล่อยมือออกจากศีรษะของจีแอลสาวผู้น่ารัก ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างสุดกลั้น แทบจะลงไปดิ้นกลิ้งกับพื้น วาคานะที่ดูเหมือนกำลังทำสเต็กอย่างที่ทานาทรอสว่าจริงๆ ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรเลย ไม่มีใครอ่านออกว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ทว่าด้านวิกเตอร์นั่นกลับซึมลง ความเฮฮาครึกครื้นนั้นเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำ มันพลอยทำให้ทั้งทานาทรอสและชูเน่รู้สึกผิดอย่างประหลาด แต่ทันใดนั้นความรู้สึกทั้งมวลก็หายไปในบัลดลเมื่ออยู่ๆ อีรีน่าก็ฟื้นตัวขึ้นแล้วโพล่งขึ้นอย่างร่าเริงว่า
“สเต็ก! ข้าชอบกินสเต็ก”
เพื่อนชายทั้งสองต่างทำท่าตกใจอย่างมาก เพราะปกติพวกเขาไม่เคยเห็นอีรีน่ายามสงบเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะกลิ่นอันหอมหวนชอนน้ำลายสอหรือเป็นเพราะเสียงหยอกล้อของเพื่อนชายข้างๆ ก็ตาม แต่เธอก็ตื่นขึ้นมาแล้ว และก็ยังดีที่เธอมีสัญชาตญาณระวังภัยอยู่บ้าง เมื่อสังเกตได้ว่าตรงหน้าเธอมีชาวเอไพด์เมียร์ผิวสีเขียวอ่อนตัวสูงกว่า 2 เมตร ใบหน้าโหดเข้ม เกยเข่าข้างหนึ่งขึ้นบนเตียง เธอก็อุทานออกมาอย่างตกใจพลางทำท่าจะควักอาวุธออกจากคลังแสงจิ๋ว แต่ก็พบว่าชุดรบได้หายไป เหลือแต่ชุดลำลองที่ตนไม่ได้เป็นผู้สวมใส่เอง
“ไม่เป็นไร อีรีน่า เขาอยู่ข้างเรา”
เพื่อนชายข้างๆ บอกเรียบๆ ก่อนที่ชูเน่จะถอนเข่าไปยืนตัวตรงเต็มส่วนแล้วแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ
อีรีน่ามีท่าทางอึดอัด ท่าทางกระตือรือร้นหายไปหมด เหลือบตาขึ้นมองเพื่อนใหม่หน้าโหดเล็กน้อยพอสบตาก่อนกลอกหนี แล้วเริ่มแนะนำตัวเองบ้างอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“อีรีน่า ดีโรซ่า ทหารราบยุทธวิธีพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ร รหัส ฮอล์ก...”
แนะนำตัวเสร็จ เธอก็เหลือบไปเห็นวิกเตอร์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายตาจับไปที่คนๆ หนึ่งที่กำลังยืนง่วนอยู่กับการทำอาหาร
“แล้ว...”
เอ่ยออกมาได้คำเดียว วาคานะก็เอ่ยแนะนำตัวขึ้นโดยไม่หันมามองที่ต้นเสียง แล้วบอกกฎเกณฑ์ต่อไปเป็นภาษาโปรตุเกสอย่างเย็นชา
“ฟังนะ ที่นี่เราจะไม่ใช้ภาษาของเรา ที่นี่แบ่งออกเป็น 7 เขตการปกครอง แต่ละเขตใช้ภาษากลางแตกต่างกันออกไป ส่วนภาษากลางของดาวดวงนี้ พวกคุณคงจะรู้กันหมดแล้ว ที่นี่คือสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ เพราะฉะนั้นภาษาที่เราจะใช้ คือ ภาษาฟรีแรนเซอร์ ชินกับมันซะ นี่แหละชีวิตของจรชน เราไม่ต้องการให้พวกสวะจับได้ว่าเราเป็นโนเบิลหรือกบฏดราก้อนไนท์ส ดังนั้นอย่าทำตัวเป็นผู้ดี ขอให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติตามด้วย ไม่ว่าพวกคุณจำชอบหรือไม่”
อีรีน่าถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ไม่ใช่เพราะกฎกติกา แต่เป็นเพราะภาษาที่ได้รับรู้ ...เดี๋ยว เราฟังภาษาของพวกสวะทุกภาษาไม่ออกนอกจากภาษากลางไม่ใช่เหรอ แต่เมื่อกี้นี้ ที่ท่านวาคานะพูดกับเรามันภาษาของพวกสวะไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเราถึงฟังรู้เรื่อง... จีแอลสาวเลือดร้อนนั่งคิดอย่างเป็นงง เหลือบตาขึ้นมองชูเน่อีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าโหดๆ เก๊กหล่อตอบมา มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดกว่าเก่า หันไปทางทานาทรอสก็เห็นทางนั้นมองมาอยู่แล้ว
“อย่าเกร็ง ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบวิธีการแบบพวกสวะ แต่ในเมื่อเรามาอยู่นอกเครื่องแบบแล้ว ประกอบกับหน้าตาเราก็คล้ายๆ กับเผ่าพันธุ์หนึ่งของดาวดวงนี้ที่เรียกว่า... อะไรนะ”
ทานาทรอสว่าเป็นภาษาโปรตุเกสด้วยท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ ประโยคหลังเขาหันไปหาชูเน่
“เอลฟ์”
เสียงใหญ่ๆ ของเพื่อนใหม่หน้าโหดตอบมา
“ใช่ เอลฟ์ เราก็ต้องเป็นพวกสวะ และเท่าที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ ตอนนี้พวกสวะคงคิดว่าพวกเราตายไปแล้ว ดังนั้นถ้ายังไม่ถึงเวลาอย่าแสดงตัวว่าเราเป็นใคร”
“แล้วชุดรบของพวกเราล่ะ”
อีรีน่าเอ่ยถามอย่างเกร็งๆ เป็นภาษาของเจ้าบ้าน ด้วยท่าทีกระวนกระวาย
วิกเตอร์หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขัน มันเป็นคำถามเดียวกับที่เขาเพิ่งถามไปเมื่อไม่นานมานี้ แล้วตอบอย่างยิ้มๆ ว่า
“เรื่องชุดน่ะไม่ต้องห่วงหรอก คุณวาคานะเก็บไว้ให้แล้ว ที่ต้องห่วงตอนนี้มีอยู่เรื่องเดียว คือ เราใช้เวทมนตร์แบบพวกสวะไม่ได้”
หน่วยจีแอลยุทธวิธีพิเศษอีกสองถึงกับค้างไปนาน เพราะเพิ่งนึกได้ ใช่แล้ว ถึงแม้รูปกายภายนอกจะดูคล้ายกับชาวเอไพด์เมียร์มากจนแยกไม่ออก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างโดยสิ้นเชิง คือ พวกเจ้าบ้านใช้เวทมนตร์เป็นกันทุกคน แต่พวกเขาใช้ไม่เป็น
ทั้งทานาทรอสและอีรีน่าต่างถอนหายใจอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งชูเน่เสนอตัวขึ้น
“เวทมนตร์เหรอ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยว ฉันจะสอนหลักสูตรเร่งรัดให้ แต่มันมีปัญหาอยู่นิดหน่อยตรงที่ว่าพวกนายต้องมาขอเติมพลังเวทจากฉันหรือเพื่อนฉันเป็นระยะๆ...”
ประโยคนั้นทำเอาหน่วยจีแอลยุทธวิธีพิเศษทั้งสามหันมามองเป็นตาเดียว
“แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่าพวกนายต้องเข้าร่วมกับดราก้อนไนท์ส”
เมื่อได้ฟังเงื่อนไขจีแอลยุทธวิธีพิเศษทั้งสามก็นั่งอึ้งไปนานอย่างใช้ความคิด
“จริงอยู่ พวกสวะจะไม่มีทางหาเราพบถ้าเรายังอยู่ที่นี่ แต่ถ้าออกไปพ้นรัศมีวงเวทที่ชูเน่กางไว้เมื่อไหร่ ฉันก็ไม่รับประกันว่าพวกคุณจะถูกตรวจพบเมื่อไหร่หรืออย่างไร เพราะการที่เรานำพวกคุณเข้ามาที่นี่ได้ก็เสี่ยงต่อการถูกตรวจพบมากแล้ว”
วาคานะเสริมกึ่งบังคับ ทำให้ผู้มาใหม่ไม่มีทางเลือก ต่างพยักหน้าให้กันเบาๆ แล้ววิกเตอร์ก็เป็นตัวแทนตอบขึ้นว่า
“ตกลง เราจะร่วมกับพวกคุณ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ