Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  32 วิจารณ์
  38.11K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Operation Superweapons Hunt [Part 2]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ออราเคิลทอดสายตามองผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทุกคนที่อยู่ในสายตา ก่อนจะเริ่มพูดถึงแผนที่จะจัดการกับแมจิคเดธเรย์แห่งแรก

 

“เอาล่ะ เท่าที่ข้าสังเกตดู พวกสวะจะยิงมันได้ 3 ครั้งต่อ 1 อัสมานิค การจะจัดการมันอย่างน้อยต้องเข้าประชิดให้ได้ภายใน 15 มานิค แต่ตอนนี้ข้าขอทราบเกี่ยวกับกองกำลังที่เหลือก่อน”

 

นักรบผู้นั้นขานรับแล้วหันกลับไปพูดกับพวกพ้อง จากนั้นเขาก็เดินแทรกตัวหายเข้าไปในกลุ่มทหาร เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อยตามมาด้วยเสียงพูดเซ็งแซ่ดังระงม เพราะการติดต่อกันด้วยเครื่องมือสื่อสารเป็นไปไม่ได้ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ลำแสงสีขาวสาดขึ้นฟ้าอีก 2 ชุด สร้างความกระวนกระวายใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่ากองยานเบื้องบนพินาศไปถึงไหนแล้ว ในขณะที่พวกเขายังกบดานกันอยู่ ภายในชั่วโมงเศษเท่านั้นนายกองคนหนึ่งก็เดินออกมาแล้วรายงานขึ้นว่า

 

“กองกำลังที่เหลืออยู่ของเราทั้งหมดตอนนี้มีทหารราบประมาณ 4500 นาย สตอร์มวอร์ริเออร์เกือบ 40 หน่วย สเปียร์เฮด 92 คัน แล้วก็กลอรี่ลิเบอเรเทอร์ 3 คน ทั้งหมดกบดานอยู่ในละแวกนี้ ส่วนพันนิเชอร์ถูกทำลายทั้งหมด”

 

“ขอบคุณมาก โชคดีนะที่ต้นไม้ที่นี่สูงพอจะบังสตอร์มวอร์วิเออร์ได้เต็มตัว แผนของข้าง่ายมาก ก่อนอื่น ข้า ไนท์บารอน และฮอล์ก จะเข้าโจมตีสถานีรบกวนการสื่อสารนั่นก่อน ส่วนพวกท่านให้รอสัญญาณบุกโจมตี ซึ่งก็คือหลังจากการสื่อสารใช้ได้ให้รอให้พวกมันยิงลำแสงอีกครั้งนึงจากนั้นก็บุกเต็มที่เลยตามแบบของพวกเรา ให้สเปียร์เฮดนำหน้า ตามด้วยสตอร์มวอร์ริเออร์ จากนั้นก็เป็นทหารราบ ข้าจะจัดการรบกวนการสื่อสารของพวกมัน ส่วนไนท์บารอนและฮอล์กจะช่วยสนับสนุนพวกท่านอีกที ไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัว เร็ว”

 

เมื่อสิ้นเสียงขอบหนุ่มเกินอัจฉริยะ นายกองคนนั้นก็หันไปกระจายคำสั่ง โดยมีการถ่ายทอดคำสั่งไปจนทั่วโดยทหารทุกคน ส่วนออราเคิลก็หันไปหาเพื่อนกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ แล้วนัดแนะเรื่องการโจมตีสถานีควบคุมการสื่อสาร ก่อนที่ทั้งสามจะออกเดินเข้าหาบริเวณที่เป็นที่ตั้งของฐานยิงลำแสงโบราณ โดยมีไนท์บารอนเดินนำ แล้วตามด้วยออราเคิลและฮอล์กตามลำดับ โดยมีเพียงไนท์บารอนและออราเคิลเท่านั้นที่นำปืนออกมากระชับอยู่ในมือเตรียมพร้อมเอาไว้ โดยเป็นปืนไร้เสียงทั้งสองกระบอก

 

ไนท์บารอนเดินไปในท่าย่อตัวลงเล็กน้อยเล็งผ่านศูนย์กล้องไปพลาง ซึ่งภาพที่มองผ่านศูนย์กล้องออกไปนั้นต่างจากสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง แม้จะมีหมอกลงหนาจนต้องเปิดระบบตรวจจับด้วยอินฟราเรด แต่ภาพที่ผ่านศูนย์กล้องของไรเฟิลซุ่มยิงของไนท์บารอนนั้นมีทุกอย่างยกเว้นฉากหมอกและหิมะที่ตกปรอยๆ การย่างเท้าของเขานั้นไม่ได้เป็นการก้าวแบบปกติ แต่เป็นการสไลด์เท้าไปข้างหน้าอย่างไม่ประมาทต่อประสบการณ์ที่ประสบมาเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อไปสะดุดกับอะไรเข้า เขาก็ก้มลงตรวจดูสิ่งนั้นแล้วนำมันโยนออกข้างทางไป ไม่ว่าจะเป็นกับระเบิดหรือก้อนหินที่ถูกกลบอยู่ใต้พื้นหิมะ

 

เพื่อนจีแอลทั้งสองที่เดินตามหลังเฝ้ามองอากัปกิริยาของผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ออราเคิลนั้นนึกขบขัน ส่วนฮอล์กมองด้วยความชื่นชมในความไม่ประมาท

 

การเดินของทั้งสามดูจะเป็นการเดินเลี้ยวไปมาเหมือนจะหลบเลี่ยงอะไรสักอย่างและเดินๆ หยุดๆ และตัวคนเดินนำก็ยกปืนเล็งผ่านศูนย์กล้องส่ายไปมาอยู่ตลอดเวลา ด้วยความสงสัย ฮอล์กจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า

 

“ทำเราต้องเดินกันแบบนี้”

 

“เป็นเรื่องธรรมดาของการเฝ้าระวัง รอบตัวของเราตอนนี้มีแต่พวกสวะ เราไม่มีอุปกรณ์ที่จะสื่อสารเป็นรหัสกับพวกมันโดยตรง ถ้าพวกมันจับพิรุธพวกเราได้ละก็เละแน่ เพราะฉะนั้นข้าถึงต้องพาเดินเลี่ยงรัศมีการตรวจจับของพวกมันตลอดเวลา หรือเจ้าอยากจะเดินตรงเสี่ยงโดนยิงจนกว่าจะถึงเป้าหมาย”

 

ไนท์บารอนอธิบายอย่างเรียบเฉย

 

“กลัวอะไรล่ะ ไนท์บารอน มีข้า อีรีน่า ดีโรซ่า อยู่ทั้งคน ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง”

 

ฮอล์กเถียงอย่างคนไม่ประสีประสา

 

“เหรอ แม้เจ้าจะบินด้วยความเร็วเหนือเสียง 5 เท่าด้วยความคล่องตัวสูงสุดๆ ชนิดที่ไม่มีอาวุธปล่อยแบบไหนจะยิงโดน เจ้าเคยดูหนังเรื่อง ‘พุ่งระห่ำ ทะลวงจักรวาล’ รึเปล่า”

 

ออราเคิลว่าด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ

 

“นั่นแหละเรื่องโปรดของข้าเลย ตัวนางเอกนั่นแหละแรงบันดาลใจของข้าล่ะ”

 

ฮอล์กตอบเสียงใส

 

“เจ้านั่นแหละคือนางเอก แต่เพราะนั่นมันเป็นหนัง เจ้าจะถูกปืนใหญ่แตกอากาศรุมถล่มจนหล่นลงมาเป็นศพอยู่กับพื้น แล้วจริงๆ ข้าว่ากองปืนใหญ่แตกอากาศในเรื่องนั้นมันดูเบาบางไปหน่อย ต้องแบบที่พวกสวะส่งมาต้อนรับกำลังเสริมของพวกเราเมื่อกี้นี้สิของจริง”

 

ออราเคิลหัวเราะหึๆ ในลำคอแล้วพูดสรุปความเป็นไปอย่างง่ายๆ ในกรณีที่ว่าถ้าเกิดจีแอลสาวอกแบนทำอย่างที่เขาว่าไว้จริง เธอจึงลดความคะนองลง กลับมาสงบปากเหมือนเดิม

 

การนำเดินของไนท์บารอนยังคงวกไปเลี้ยวมาอยู่เช่นเดิม ด้านออราเคิลนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่ด้านอีรีน่านั้นเธอรู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด อยากจะระเบิดเสียงออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็คิดได้ว่าถ้าทำแบบนั้นเธออาจทำเพื่อนซวยก็เป็นได้ และปฏิบัติการโจมตีฐานยิงลำแสงเวทมนตร์อาจล่มตามไป แต่อีกใจหนึ่งก็คิดอยู่ว่าเดินกันแบบนี้เมื่อไหร่จะถึง ยิงเวลาผ่านไปลำแสงสีขาวสว่างที่เกิดจากลำแสงเลเซอร์ทางวิทยาศาสตร์ผสมกลืนเข้ากับเวทมนตร์ทำลายล้างธาตุแสง ถูกยิงขึ้นฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่ากองยานด้านบนจะพังพินาศไปขนาดไหน แต่หลังจากการเดินๆ หยุดๆ วกไปเลี้ยวมาอยู่นานในที่สุดผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูก็โบกมือให้หยุด แล้วยกปืนไรเฟิลซุ่มยิงขึ้นส่องศูนย์กล้องอย่างพินิจพิจารณา เขาส่องกวาดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากพูดเป็นเสียงกระซิบว่า

 

“นี่แหละใช่เลย ถึงแล้ว เอา...”

 

ยังไม่ทันจะขาดคำอีรีน่าก็พุ่งออกไปปานสายฟ้าแลบด้วยอุปกรณ์ขับเคลื่อนที่ติดไว้พร้อมกับชุด เกิดแสงวาบขึ้นที่ปลายท่อในลักษณะท่อแรงขับของเครื่องบินไอพ่นที่หลังขาท่อนล่าง ทำให้ออราเคิลต้องวิ่งตามไปอย่างเต็มฝีเท้า แต่สำหรับไนท์บารอนนั้นเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วด้วยการใช้ปืนไรเฟิลซุ่มยิงสุดเงียบของเขาส่องเก็บทหารที่เฝ้ายามอยู่ทีละคน ซึ่งหมดก่อนที่ฮอล์กจะไปถึงด้วยซ้ำ จากนั้นเขาจึงออกวิ่งตามไป

 

อีรีน่าที่อยู่ๆ ก็ระเบิดออกมาพุ่งเข้าใส่ประตูหน้าของสถานีแล้วใช้อุปกรณ์บางอย่างทำให้บริเวณประตูเกิดมีรอยแยกของมิติ ก่อนจะขยายออกเป็นทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร จากนั้นทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ เว้นแต่ที่ประตูหน้าเกิดเป็นช่องโหว่รูปวงกลมกว้าง 2 เมตร ฮอล์กพุ่งโฉบเข้าด้านในทันที จากนั้นก็เกิดเสียงยิงกันสับสนระหว่างปืนเลเซอร์ทั้งจากตัวจีแอลสาวอกแบนเองและจากทหารฝ่ายรับสัญชาติฟรีแรนเซอร์ดังระงมออกมา

 

ทางด้านของจีแอลชายทั้งสองที่ต่างวิ่งตามกันอย่างเต็มฝีเท้า โดยในตอนนี้ออราเคิลได้มารออยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าแล้ว ส่วนไนท์บารอนนั้นกำลังวิ่งอยู่ได้ครึ่งทางก็เกิดมีเสียงฝีเท้าแทรกซ้อนขึ้นมาอีกหลายคู่ ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูโบกมือเป็นสัญญาณให้หนุ่มเกินอัจฉริยะวิ่งไล่ตามจีแอลสาวใจเดือดเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองหยุดอยู่กับที่ครู่หนึ่งพลางยกปืนเล็งกวาดไปรอบตัวก่อนสบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วพยายามวิ่งให้เร็วกว่าเดิมพลางเก็บไรเฟิลซุ่มยิงประจำตัวเข้าคลังแสงแล้วดึงเอาปืนพกเลเซอร์คู่ขึ้นมากระชับไว้ในมือแทน

 

ด้วยความเลือดร้อน ทำให้อีรีน่าลืมนึกไปว่า แม้ตนจะพูดและเขียนภาษากลางของชาวเอไพด์เมียร์ได้ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่รู้ภาษาของชาวฟรีแรนเซอร์เลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นภาษาโปรตุเกส ซึ่งแตกต่างจากไนท์บารอนที่ดูท่าทางจะรู้ทุกภาษา และรู้ถึงขั้นสื่อสารกันด้วยรหัสมอร์สได้ เธอจึงได้แต่พุ่งบินไปตามทางเดินและผ่านห้องแล้วห้องเล่าอย่างมั่วที่สุด

 

ออราเคิลเองก็วิ่งไปคนละทางกับฮอล์กเพราะอ่านป้ายไม่ออกเหมือนกัน โดยหวังว่าจะโชคดีไปพบกับห้องปฏิบัติการควบคุมการสื่อสารเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งในทางที่เขาเลือกไปเขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะนำไปสู่ห้องนั้นจริงๆ เพราะระหว่างทางเขาเผชิญกับการต่อต้านค่อนข้างหนาแน่น ปืนในมือของเขานั้นรัวหูดับตับไหม้ไปตลอดทางแบบไร้เสียงยิง มีแต่เสียงกระสุนทรงตะปูเจาะเข้าร่างของศัตรูและเสียงฝังเข้ากับผนังพลาสติกเพราะการยิงพลาดเท่านั้น

 

ไนท์บารอนตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับความรู้ด้านภาษาที่เหนือกว่าอีกสองคน เขาวิ่งไปพลางแหงนหน้ามองป้ายบอกทางภาษาโปรตุเกสไปพลาง การต่อต้านที่เขาเผชิญนับว่าเบาบางมาก  ...นี่คงจะเป็นหนึ่งในผลดีอย่างเดียวละมั้งที่ยัยอีรีน่าทำเสียแผน... เขาคิด

 

ในขณะเดียวกันกองกำลังฝ่ายตั้งรับที่กำลังลาดตระเวนเฝ้าระวังกองกำลังฝ่ายผู้ประเสริฐได้รับสัญญาณแจ้งจากสถานีควบคุมการสื่อสารเรื่องหน่วยรบพิเศษของศัตรู พวกเขาต่างก็เคลื่อนกำลังพลเข้าหาพื้นที่เป้าหมายหวังจะปิดล้อม จึงเป็นต้นเหตุของเสียงฝีเท้าที่ทำให้ไนท์บารอนต้องวิ่งหน้าตั้ง ทหารราบนับร้อยๆ นายและยานเกราะประเภทรถถังอีกนับสิบ เคลื่อนที่เป็นวงกลมบีบเข้ามายังพื้นที่เป้าหมายด้วยความเร่งรีบ

 

เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีไนท์บารอนก็มาถึงเป้าหมายเป็นคนแรก ก่อนจะตามด้วยอีกสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งมากันคนละทาง

 

“ไนท์บารอน นี่เจ้ามาถึงก่อนได้ยังไง”

 

ฮอล์กถามอย่างสงสัยด้วยน้ำเสียงหนักๆ

 

“นั่นสิ ข้าผ่านทหารร่วมร้อยแต่ทำไมมาถึงก็เห็นมีเจ้ายืนอยู่ตรงนี้”

 

ออราเคิลเสริม ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูหันไปมองจีแอลสาวเลือดเดือดด้วยท่าทางที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะให้คำตอบอย่างเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเล็กน้อย

 

“นั่นเพราะข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูไง ข้าอ่านออกเขียนได้ทุกภาษาที่คนบนดาวดวงนี้ใช้กันในปัจจุบัน แล้วก็เราควรจะมาถึงพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่เพราะความใจร้อนของคนบางคน นอกจากนี้คนๆ นั้นยังพากองกำลังของศัตรูในละแวกนี้กรูกันเข้ามารุมฆ่าพวกเราด้วย”

 

ประโยคหลังเป็นการเหน็บแนมอย่างง่ายๆ ตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ที่ถูกพาดพิงในทางอ้อมลดความร้อนใจลง แล้วกล่าวขอโทษอย่างสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงค่อย ส่วนหนุ่มเกินอัจฉริยะ ซึ่งนึกได้ว่าตนไม่ได้อัจฉริยะเรื่องภาษาของเจ้าบ้านหัวเราะฝืดๆ อย่างเสียหน้า

 

“เอาเถอะ ดีเหมือนกัน ข้าต้องขอบคุณพวกเจ้าสองคนที่ช่วยล่อทหารให้ข้า เพราะระหว่างทางที่ข้ามาข้าเจอทหารมาดักข้าอยู่ไม่ถึง 10 คน แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งมากความอะไรเลย จะเอายังไงต่อ ออราเคิล”

 

ว่าแล้วไนท์บารอนก็หยั่งความเห็นไปยังผู้รับผิดชอบแผนการ ซึ่งหนุ่มเกินอัจฉริยะก็มองสวนกลับมาที่เขาแล้วบอกอย่างเรียบๆ ว่า

 

“ไหนๆ ก็มาถึงแล้วนี่ก็บุกเข้าไปเลยไง แต่เราจะทำตามเจ้าดีกว่า จะให้ทำยังไงต่อก็ว่ามาเลย”

 

“กับระเบิดที่ข้าเหยียบยังอยู่กับเจ้ารึเปล่า”

 

ไนท์บารอนถามเรียบๆ เชิงทวงของ ออราเคิลจึงหยิบเอากับระเบิดลูกดังกล่าวออกมาจากคลังแสงส่วนตัวออกมาให้เห็น

 

“ข้าอยากได้ระเบิดเวลา ทำได้รึเปล่า”

 

“จะเอาเวลาเท่าไหร่ ระเบิดรูปแบบไหน จุดชนวนยังไง บอกมาได้เลย”

 

หนุ่มเกินอัจฉริยะบอกเสียงระรื่น

 

“4 เลนิค ระเบิดออกรอบทิศทาง จุดชนวนแบบปกติ” (หน่วยตั้งขึ้นเอง 1 เลนิคเท่ากับ 1 วินาที)

 

สิ้นเสียงออราเคิลก็ถือกับระเบิดลูกนั้นเอาไว้ในลักษณะประคองสองมือครู่หนึ่งก่อนส่งให้ไนท์บารอนอย่างระมัดระวัง ซึ่งผู้รับก็รับมันอย่างระวังเช่นเดียวกัน ส่วนฮอล์กดูอยู่เงียบๆ มองดูก็พอรู้ว่าหนุ่มเกินอัจฉริยะเปลี่ยนมันจากกับระเบิดให้กลายเป็นระเบิดมือดีๆ นี่เอง แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูจะร้องขอระเบิดเวลาก็ตาม

 

“ฟังนะ หลังประตูเนี่ยน่าจะมีพวกสวะตั้งปืนกลดักยิงพวกเราอยู่ เมื่อประตูเปิดแล้วข้าจะกดระเบิดนี่แล้วโยนเข้าไป หลังจากนั้น ฮอล์ก เจ้าอาศัยตอนที่พวกสวะกำลังชุลมุนรุดเข้าไปจัดการกับพวกเจ้าหน้าที่ที่แผงควบคุมให้หมดเลย ส่วนข้ากับออราเคิลจะตามเข้าไปทีหลังจัดการกับพวกที่เหลือให้ เข้าใจนะ”

 

ว่าแล้วผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูก็บรรยายแผนการทันทีพลางนำปืนพกทั้งสองกระบอกมาเปลี่ยนโหมดเป็นดาบเลเซอร์แล้วเอาส่วนด้ามมาประกบติดกันกลายเป็นดาบสองด้าน ก่อนที่จะเคลื่อนตัวชิดกับผนังข้างประตู ซึ่งอีกสองคนเมื่อเห็นดังนั้นจึงทำตาม เมื่อการบรรยายจบไนท์บารอนก็พยักหน้าไปยังออราเคิล

 

หนุ่มเกินอัจฉริยะพยักหน้าตอบแล้วเอื้อมมือไปวางที่แผงควบคุมประตู ครู่หนึ่ง แล้วประตูก็เลื่อนเปิดออก และมันเป็นอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูบอกไว้ทุกอย่าง ทหารฟรีแรนเซอร์เผ่ามนุษย์สองคนนอนหมอบราบกับพื้นพร้อมปืนไรเฟิลอัตโนมัติพลาสมา ซึ่งตั้งขาทรายพร้อม เอลฟ์สาวอีกสองนั่งชันเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับไรเฟิลจู่โจมสั้นเลเซอร์อยู่เบื้องหลังของทหารมนุษย์ และเบื้องหลังออกไปก็เป็นสมิงครึ่งเสือหนุ่มประสานมือหน่วงเวทอยู่ กดไกแทบจะพร้อมกันสาดกระสุนพลังงานสองสีพุ่งเข้าหาเป้าหมายผสมโรงด้วยสายลมหมุน ออราเคิลแทบจะเบี่ยงตัวหลบไม่ทัน ส่วนไนท์บารอนก็ใช้มือข้างหนึ่งตบจานปุ่มระเบิดอย่างแรงแล้วเหวี่ยงมันเข้าไปในห้อง เกิดเสียงร้องเหวอเสียงกรี๊ดดังปะปนกันออกมาอย่างชุลมุน ก่อนตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น แล้วจีแอลสาวเลือดร้อนก็พุ่งเข้าไปในห้องทันทีพร้อมกับไรเฟิลจู่โจมสั้นเลเซอร์ตามมาด้วยเสียงแห้งๆ ปนแหลมของอาวุธเลเซอร์ดังระงม ก่อนที่ไนท์บารอนและออราเคิลจะตามเข้าไปพร้อมกับอาวุธประจำตัว

 

ภายในไม่กี่นาทีเกือบทุกอย่างก็เรียบร้อย จีแอลทั้งสามสามารถยึดห้องควบคุมการสื่อสารเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่ต้องห่วงก็คือ จะปิดระบบรบกวนการสื่อสารอย่างไร และจะทำอย่างไรกับกองกำลังของศัตรูที่เข้ามาปิดล้อม

 

เมื่อออราเคิลหันไปมองที่แผงควบคุมการสื่อสารเขาก็ร้องว้าวขึ้นมาในทันทีอย่างคนอยากรู้อยากเห็น มันเป็นเหมือนโต๊ะแบนๆ ที่ฉายภาพปุ่มบังคับต่างๆ และจอภาพอีกทีหนึ่งเอาไว้

 

“ต้องศึกษา ต้องศึกษา”

 

หนุ่มเกินอัจฉริยะพึมพำเสียงกึ่งหัวเราะ

 

“เอาไว้ก่อน ออราเคิล ข้ารู้ว่าเจ้าอยากศึกษา ตอนนี้พรรคพวกเราสำคัญกว่า ปิดสัญญาณที่รบกวนการสื่อสารของเราก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นรบกวนพวกสวะแทน”

 

ไนท์บารอนติงอย่างเรียบๆ พลางลงมือกดอะไรบนแผงควบคุม ในขณะที่ออราเคิลทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนแผงควบคุมตรงหน้าเช่นกัน ครู่หนึ่งภาพจากรอบด้านตัวอาคารก็ปรากฏขึ้นมา ทั้งทหารราบและยานเกราะจำนวนมากบัดนี้ได้เคลื่อนเข้ามาปิดล้อมเอาไว้ทุกด้านแล้ว เว้นเพียงแต่ด้านบน

 

“ท่าทางแบบนี้มันต้องการจับพวกเราเป็นเชลยแน่”

 

เมื่อสิ้นเสียงของผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู เสียงสังเคราะห์เป็นเสียงผู้หญิงเหมือนกำลังจ่อพัดลมอยู่ก็ดังขึ้นเป็นภาษาโปรตุเกสว่า

 

“ยกเลิกการรบกวนการสื่อสาร”

 

จากนั้นก็เว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดังขึ้นอีกว่า

 

“เริ่มการรบกวนการสื่อสาร”

 

แล้วผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูก็ลงมือกดแผงควบคุมอย่างคล่องแคล่วจนกระทั่งมีจอๆ หนึ่งผุดขึ้นมาแสดงข้อมูลเป็นภาษาโปรตุเกส พร้อมแผนที่อะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งมีจุดเด่นๆ อยู่ 3 จุดมีตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับไว้ว่า ‘Magic Death Ray CSMLF’ ตามด้วยตัวอักษรหมายเลขกำกับ 1-3 แล้วเขาก็หัวเราะหึๆ ในลำคอ จากนั้นก็เอื้อมมือไปกดที่บริเวณหนึ่งบนแผงควบคุมแล้วเริ่มพูด

 

“ไนท์บารอนถึงกองกำลังเฉพาะกิจที่ 1 ทราบแล้วเปลี่ยน”

 

“กองกำลังเฉพาะกิจที่ 1 นี่พันตรีคอตราฟ แฮนิงเกอร์ เราได้ยินชัดเจนเลย เปลี่ยน”

 

มีเสียงตอบกลับมาอย่างใสชัดที่ปนมากับเสียงเฮระงม

 

“อย่าเพิ่งดีใจ งานของเรายังไม่จบ ออราเคิลจะอัพโหลดข้อมูลแผนที่ไปให้พวกเจ้าและพวกเรารอบๆ ออราเคิล จัดการที”

 

ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับหนุ่มเกินอัจฉริยะ

 

ออราเคิลที่เพิ่งยกมือขึ้นจากแผงควบคุมก็ต้องทาบมือลงไปใหม่

 

“เราได้รับแผนที่แล้ว ขอบคุณท่านมาก”

 

“รอมันยิงอีกครั้งแล้วเริ่มโจมตีได้ ย้ำ รอมันยิงอีกครั้งแล้วเริ่มโจมตีได้”

 

“รับทราบ เลิกกัน”

 

“ไนท์บารอน ออราเคิล ข้าว่าเราเจอปัญหาใหญ่แล้ว”

 

อีรีน่าโพล่งขึ้นพลางชี้มือไปที่หน้าจอที่ไนท์บารอนเปิดขึ้นมาอย่างร้อนรน ซึ่งเมื่อเพื่อนชายทั้งสองหันมาดูก็ถึงกับผงะไปเหมือนกัน เพราะที่ประตูหน้ามีกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะเป็นพลเรือน 3 คนเดินเข้ามาเป็นออร์ค ฮ็อบบิท และมนุษย์ อย่างละ 1 แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่เหมือนพลเรือนเท่าไหร่ เพราะในมือของคนกลุ่มนั้นล้วนเป็นอาวุธที่ใช้ในระยะประชิดจะเป็นค้อนใหญ่ของออร์คก็ดี กระบองทอนฟาคู่ของฮ็อบบิทก็ดี หรือแม้แต่มีดสั้นคู่ที่ดูเหมือนจะเป็นของมาตรฐานของทหารราบในมือของมนุษย์ก็ดี

 

เป็นเซอร์คอเช่กับโพลี่และซูเปอร์โซลเจอร์ฮ็อบบิทหนุ่มอีกคนนั่นเอง

 

“พวกซูเปอร์โซลเจอร์นี่หว่า ถึงเวลาเผ่นแล้ว ฮอล์ก ได้เวลาใช้ความสามารถในการบินของเจ้าให้เป็นประโยชน์แล้ว”

 

ไนท์บารอนตัดสินใจอย่างได้ในทันที แต่ทว่าออราเคิลก็ท้วงออกมาว่า

 

“ไม่ได้ ถ้าเราบินไปสมทบกับพวกนั้นพวกจะกลายเป็นว่าเราเป็นคนทำปฏิบัติการล่มซะเอง เพราะเราอุตส่าห์ล่อกองกำลังพวกสวะส่วนนึงมาหาเราแล้ว เราก็ต้องล่อต่อไป”

 

ไนท์บารอนชะงักงันไปในทันที เขาลืมนึกไปเลย ถูกต้องแล้ว ถ้าเขาให้ฮอล์กพาบินหนีไปจากที่นี่กองกำลังของศัตรูที่กำลังปิดล้อมพวกเขาอยู่ก็จะตามพวกเขาไปในทันที และอาจจะกลายเป็นการพากองกำลังของศัตรูไปฆ่าพวกเดียวกันเอง

 

“เออจริง ข้าขอโทษ ข้าลืมนึกไป ถ้างั้นก็ซุ่มฆ่าพวกมัน เปิดอาร์คเอนเจิลโคลก”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงจีแอลทั้งสามก็เข้าสู่โหมดล่องหนหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสามย่างก้าวเข้ามาในสถานีควบคุมการสื่อสารที่เพิ่งถูกยึดพร้อมอาวุธประชิดในมืออย่างระแวดระวังเต็มที่ ทั้งสามแยกกันสำรวจคนละทาง มันเป็นทางเดียวกับที่หน่วยรบพิเศษข้าศึกทั้งสามได้เข้ามาก่อนแล้ว เป็นการแกะรอยชนิดเดินเหยียบรอยเท้า

 

“โปรเฟสเซอร์ นี่โรนิน พูด โปรเฟสเซอร์ นี่โรนิน พูด ได้ยินฉันมั้ย”

 

ซูเปอร์โซลเจอร์ฮ็อบบิทหนุ่มเอ่ยหยั่งเสียงขึ้นผ่านอุปกรณ์สื่อสาร แต่ผลคือ เงียบสนิท ดังนั้นเขาจึงลองส่งเป็นโทรจิตไปแทนเป็นประโยคเดิม จากนั้นก็เงียบไปครู่ก่อนจะแว่วเสียงผ่านมาทางจิตว่า

 

“โปรเฟสเซอร์ถึงโรนิน ฉันไม่ได้ยิน แต่รับรู้แล้ว”

 

“ทำไมต้องใช้โทรจิต ในเมื่ออุปกรณ์สื่อสารก็มี”

 

แล้วโพลี่ก็ถามขึ้นอย่างสงสัยด้วยโทรจิต

 

“ท่าทางพวกที่ยึดที่นี่จะไม่ใช้หน่วยรบธรรมดาซะแล้ว... คงต้องเป็นหน่วยรบระดับเราๆ แน่ หรือไม่คงจะเป็นพวกสายลับ มันถึงได้เปลี่ยนสัญญาณรบกวนการสื่อสารมาหาเราแทนได้ ไม่ต้องสำรวจแล้ว ไปที่ห้องควบคุมการสื่อสารเลย”

 

จากคำตอบที่ได้จากซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คมาดครูทำให้อีกสองคนตาลุกวาวอย่างทึ่งๆ ระคนวิตก แน่นอนไม่ใช่หน่วยรบธรรมดาๆ แน่นอน เพราะจากภาพที่เห็นอยู่ในตอนนี้ คือ ศพทหารฝ่ายเดียวกันนั่งๆ นอนๆ กองอยู่เกลื่อนกลาด

 

“ฉันว่าหน่วงเวทเตรียมพร้อมเอาไว้หน่อยก็ดีนะ”

 

โพลี่ออกความเห็น ซึ่งอีกสองคนก็เห็นด้วย ทั้งสามจึงทำปากขมุบขมิบแบบท่องมนตร์อะไรสักอย่างหนึ่ง พลางเริ่มออกวิ่งตรงไปยังห้องควบคุมการสื่อสารในเส้นทางเดียวกันกับที่จีแอลทั้งสามใช้ จนกระทั่งทั้งสามมาพร้อมกันที่หน้าห้องเป้าหมาย จุดเดียวกับที่ผู้บุกรุกทั้งสามมายืนจ่ออยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ทั้งสามก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องทันที แต่ทว่านักรบฮ็อบบิทนั้นช้าไปจึงตกเป็นเป้าของสิ่งที่สัมผัสได้เต็มๆ จนตัวดิ้นเหมือนถูกปืนกลยิงแต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงที่น่าจะเล็ดลอดออกมาแม้จะสวมปลอกเก็บเสียงก็ตาม

 

ทันใดนั้นตัวผู้บุกรุกคนแรกก็เผยออกมา ในมือถือปืนจู่โจมพลังแม่เหล็กโดยมีสายต่อกับเตาปฏิกรณ์จิ๋วที่เป็นเป้สะพาย

 

“ไนท์บารอน ฮอล์ก จัดการเลย”

 

ผู้บุกรุกถือปืนจู่โจมแม่เหล็กร้องขึ้น

 

ทันใดนั้นไนท์บารอนและฮอล์กก็เผยตัวออกมาพร้อมดาบเลเซอร์คนละเล่มขนาบเข้ามาคนละด้าน ซึ่งเป็นดาบของไนท์บารอนทั้งสองเล่ม ทำเอาคู่หูซูเปอร์โซลเจอร์ตกใจได้เหมือนกัน เซอร์คอร์เช่นั้นกระทุ้งค้อนสวนเข้าใส่ทางอีรีน่า ส่วนโพล่นั้นย่อขาพร้อมเบนตัวหลบการโจมตีของไนท์บารอนได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะแทงมีดที่มือซ้ายสวนเข้าที่หน้าท้อง แต่คู่ต่อสู้ทั้งสองก็ผละหลบได้อย่างหวุดหวิดเหมือนกัน แต่ทันทีทันใดนั้นคู่หูซูเปอร์โซลเจอร์ก็หันหลังชนกันปล่อยเวทสายฟ้าที่หน่วงเอาไว้ก่อนหน้าใส่ทันที แต่ผลที่ได้ คือ จากตัวสีดำๆ ของหน่วยรบพิเศษของข้าศึกกลายเป็นตัวสีเขียวอ่อนเหมือนหยก

 

“เกราะพลังงานนี่หว่า นึกว่าจะต้านแต่ลูกปืนอย่างเดียวซะอีก”

 

ซูเปอร์โซลเจอร์ครูออร์คพูดขึ้นเสียงดังอย่างทึ่งๆ พลางดวงตาลุกวาว

 

“นี่แปลว่าต้องมีชิ้นส่วนบางชิ้นเป็นผลึกต้านเวทแหงๆ”

 

หนุ่มสองบุคลิกพูดด้วยอาการเดียวกับเพื่อนออร์คของเขา

 

“ก็ไม่แน่ เจอนี่หน่อย อยากรู้จะต้านได้มั้ย”

 

พูดจบมือขวาของเซอร์คอเช่ก็ปล่อยจากค้อนแล้วทำเป็นเหมือนปืนที่เด็กๆ ทำเล่นกัน ก่อนจะเกร็งเล็กน้อยเพ่งพลังเวทไปที่ปลายนิ้วจนเกิดเป็นประกายแสงสว่างจ้า มันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้มเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสีแดงเหมือนเลือด ทวีความสว่างมากกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาประมาณ 2 วินาที

 

คราวนี้ภายใต้หมวกรบ ฮอล์กถึงกับตาลุกวาว เมื่อลำแสงสีแดงพุ่งสาดออกจากนิ้วของคู่ต่อสู้ตัวโตของเธอ การเบี่ยงตัวหลบฉับพลันช่วยให้เธอไม่ถูกลำแสงโดยตรง แต่มันก็ถากต้นแขนซ้ายไป คราวนี้เกราะพลังงานถึงกับสลาย ลำแสงเลเซอร์เข้มข้นพุ่งผ่านส่วนหนึ่งของชุดรบไปอย่างง่ายดายจนเกิดเป็นรอยเปิดเล็กน้อยเผยให้เห็นชั้นชุดรัดรูปสีเทาที่รองชุดเกราะอีกทีเป็นรอยไหม้ที่ยังติดไฟอยู่เล็กน้อยและถัดเป็นก็เป็นผิวสีแทนเป็นธรรมชาติของชาวโนเบิล อีรีน่ารีบเอามือขวาของเธอมาจับบีบตรงบริเวณนั้นทันทีด้วยความปวดแสบปวดร้อนจากลำแสงเลเซอร์เข้มข้น

 

...เวทบ้าอะไรเนี่ย... โพลี่ร้องอุทานในใจด้วยความทึ่งระคนสะใจ

 

“ไม่แน่จริงนี่หว่า... โพลี่ หลบ”

 

เจ้าของปืนเลเซอร์มือกล่าวกึ่งหัวเราะอย่างได้ใจพลางรวมพลังแสงอีกครั้ง คราวนี้เขาหันไปหาไนท์บารอน คู่หูของเขาก็หันไปจัดการกับฮอล์กที่กำลังไม่สร่างตะลึง

 

“เฮ้ย”

 

ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูแต่ไม่เชี่ยวชาญเวทมนตร์ถึงกับร้องเสียงหลง กระโดดหลบไปโดยไว มันเป็นจังหวะพอดีกับที่หนุ่มเกินอัจฉริยะกำลังเข้ามาสมทบ เซอร์คอเช่ก็หันไปเผชิญหน้าในบันดลพร้อมปืนเลเซอร์มือที่ยิงออกไปทันที

 

เพียงแค่เข้ามาเห็นประกายแสงสีแดงดั่งโลหิตนั้นออราเคิลก็ถึงกับผงะหลังแทบล้มทั้งยืน ลำแสงพุ่งสาดเข้ากลางแสกหน้าแน่ๆ ถ้าเขาไม่หงายหลังลงไปนิดหนึ่งก่อน มันจึงพุ่งถากเข้าที่หมวกรบบริเวณหน้าผากส่วนบนเผยให้เห็นเส้นผมสีดำอมเงินที่พากันหยิกฟูผ่านหมวกรบขึ้นมาด้วยความร้อนสูงจากลำแสงเวทมนตร์ แม้มันจะน่าขันพอสมควรแต่ในเวลานี้ไม่มีใครหัวเราะออก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยคลื่นพลังงานบางอย่างที่มีหน้าตาเหมือนกับก้อนอากาศบิดเบี้ยวผ่านมือข้างหนึ่งสวนออกไป

 

เซอร์คอเช่ร้องอุทานออกมาคำหนึ่งพลางกระโดดเบี่ยงตัวหลังได้อย่างหวุดหวิด ก้อนอากาศบิดเบี้ยวพุ่งต่อไปยังแผงควบคุมที่อยู่เบื้องหลัง แล้วทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้แผงควบคุมบริเวณนั้นเกิดบิดเบี้ยวผิดรูปไปก่อนจะพาให้เกิดไฟช็อตไปทั้งแถบ ในขณะเดียวกันแผ่นใสที่เป็นจอสัมผัสก็พากันแตกเหมือนแก้วขึ้นไล่จากจุดที่ถูกก้อนพลังงานชนจนหมดทั้งแถบ หลังจากนั้นควันสีดำก็ลอยกรุ่นขึ้นมาตามจุดต่างๆ ทั้งแผงควบคุม

 

เซอร์คอเช่สบถอย่างอารมณ์เสียแล้วร้องบอกกับคู่หูของเขาว่า

 

“ภารกิจล้มเหลว โพลี่ ถอนตัว”

 

เมื่อสิ้นเสียง หนุ่มสองบุคลิกที่กำลังง่วนอยู่กับไนท์บารอนและฮอล์กก็ผละออกจากการต่อสู้แล้วร่ายมนต์บทสั้นๆ ซึ่งคู่หูออร์คของเขาก็ทำแบบเดียวกัน จากนั้นก็เกิดแสงสีเหลืองทองอ่อนๆ สว่างขึ้นแวบหนึ่งก่อนที่ทั้งคู่จะอันตรธานไป

 

จีแอลทั้งสามอยู่ในอาการมึนงง ขณะที่หันไปมองที่แผงควบคุมที่พังยับเป็นตาเดียว ...สวะสองตัวนั่นหายไปไหน... เกิดคำถามขึ้นในใจของทั้งสาม ก่อนจะสร่างจากอาการมึนงงแล้วไนท์บารอนกับฮอล์กก็หันมามองออราเคิลเป็นตาเดียว โชคดีว่ามีหมวกรบปิดบังใบหน้าอยู่ เจ้าตัวคนที่ถูกมองจึงไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาทั้งสองมองเขาด้วยสายตาแบบไหน แต่ก็พอจะเดาความคิดออก ก่อนตอบไปอย่างตะกุกตะกักกึ่งๆ หัวเราะว่า

 

“อะไร... ฉันแค่พยายามจะฆ่ามันเท่านั้นเอง”

 

“แล้วมันจะยกเลิกการกวนสัญญาณสื่อสารของพวกสวะรึเปล่า”

 

เป็นคำถามเสียงห้วนๆ จากไนท์บารอนฟังดูไม่ค่อยพอใจ

 

“ตามทฤษฎีแล้ว... ไม่...”

 

ออราเคิลตอบเรียบๆ แล้วอธิบายต่อ

 

“ถ้าพวกมันติดต่อกันได้ ข้าว่าพวกซูเปอร์โซลเจอร์ต้องยกโขยงกันมารุมฆ่าเราแน่นอน แต่นี่มันบอกแค่ว่าภารกิจล้มเหลวแล้วมันก็หายตัวไปด้วยเวทมนตร์ของพวกมัน”

 

คำอธิบายของหนุ่มเกินอัจฉริยะทำให้อีกสองคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกกึ่งๆ พะวง โดยเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูที่แสดงท่าทางกลุ้มใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

“ตามทฤษฎีแล้วข้าว่ามันจะระเบิดที่นี่ทิ้ง ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม แต่เราต้องเผ่นกันแล้ว”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงก็เกิดมีเสียงประหลาดๆ ขึ้นฟังดูคล้ายกับเสียงเครื่องสร้างเกราะพลังงานกำลังสร้างเกราะคลุมอาคารหลังนี้อยู่ แต่มันก็ไม่เหมือนซะทีเดียว

 

ด้วยความใจเร็วด่วนได้ อีรีน่า เริ่มวิ่งหาทางออก โดยวิ่งไปทางดาดฟ้า จนกระทั่งพบ เธอจึงรีบเรียกอีกสองคนทันที แต่ทันทีที่สิ้นเสียงก็เกิดมีเสียงเหมือนเสียงรัวกลองอันชวนสยองดังขึ้นมา ทุกคนรู้ว่ามันคืออะไร และถ้าไม่รีบหนีจะมีจุดจบเช่นไร ไนท์บารอนและออราเคิลจึงรีบวิ่งไปอย่างสุดฝีเท้าจนกระทั่งขึ้นไปบนดาดฟ้าได้

 

เมื่อไปถึง อีรีน่าก็เตรียมพร้อมจะพาเพื่อนทั้งสองบินหนีแล้ว ซึ่งเธอรุดเข้ามาคว้าแขนเพื่อนชายทั้งสองแล้วทะยานขึ้นไปทันที แต่ทว่าเมื่อขึ้นไปได้เพียงไม่ถึง 10 เมตร เธอก็ชนกับอะไรเข้าอย่างจังแต่ก็ร่วงลงพื้นอย่างนิ่มนวล ทั้งที่ไม่น่าจะมีอะไรมาขวาง ไนท์บารอนเป็นผู้เอะใจคนแรก ก่อนที่ฮอล์กจะพาบินอีกครั้งเขาเอ่ยปากปรามขึ้นเสียก่อน ว่าแล้วก็คว้าปืนใหญ่พลาสมาออกมาจากคลังแสงแล้วยิงขึ้นฟ้าไป

 

ความสูงเดียวกับที่ดูเหมือนจะกระแทกกับอะไร ก้อนพลังงานพลาสมาเป็นขบวนรถไฟก็พุ่งไปชนจนเกิดระเบิดขึ้น ฮอล์กกับออราเคิลตาเหลือก

 

“ซวย...”

 

ไนท์บารอนพึมพำออกมาอย่างหัวเสีย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา