Epidemia: Epic World on Fire
6) Operation Superweapons Hunt [Part 1]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจากสนามรบบนพื้นดาวเอไพด์เมียร์ขึ้นสู่สนามบนในอวกาศ ข้อความเตือนของโจ๊กเกอร์ออฟเดอะซาตานถูกส่งขึ้นมาบนยานรบอวกาศของฝ่ายตั้งรับทุกลำ
ห้วงอวกาศเหนือน่านฟ้าประเทศสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ มันดุเดือดไม่แพ้สนามรบบนพื้นโลก ฝูงเครื่องบินขับไล่ของฝ่ายตั้งรับฝูงหนึ่งต่อหุ่นยนต์รบตัวเท่าตึกของผู้รุกราน 2-3 หน่วย ซึ่งน่าแปลกที่สามารถสู้ได้อย่างทัดเทียมกัน แต่ความสมดุลนี้ก็ต้องพังลง เมื่อเกิดมีจุดสีขาวสว่างปรากฏขึ้นบนพื้นโลกบริเวณใกล้ๆ ขั้วโลกเหนือก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งสาดเข้ากวาดล้างขบวนยานรบของฝ่ายโนเบิลหายไปเกือบครึ่งจนทางด้านแนวรบอื่นๆ ต้องส่งกำลังมาช่วย แต่ทว่าก็เกิดมีลำแสงสีขาวพุ่งขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆ กันกับลำแสงแรก แต่แทนที่จะพุ่งเข้าใส่จุดเดิมมันกลับพุ่งเข้าใส่ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกและอยู่ภายใต้การอารักขาของขบวนยาน ก่อนจะชิ่งสะท้อนต่อๆ กันไป 5-6 ทอดแล้วจึงพุ่งสาดเข้าใส่กองยานที่อยู่ตำแหน่งเกือบจะตรงข้ามกับเป้าหมายแรก จากนั้นก็มีลำแสงแบบเดียวกันพุ่งขึ้นมาจากพื้นโลกอีกเข้าหาดาวเทียมดวงเดิมแล้วพุ่งต่อไปยังดาวเทียมดวงอื่นๆ อีกหลายทอดก่อนจะเข้าทำลายขบวนยานที่กำลังจะเข้ามาเสริมโดยผ่าเข้ากลางขบวนราวไม้เสียบลูกชิ้น ส่งผลให้ฝ่ายกำลังเสริมของฝ่ายรุกรานเสียยานไปเกือบหมด
“แย่แน่ แย่แน่ เราต้องทำอะไรสักอย่างกับที่มาของลำแสงพวกนั้นแล้ว โดยด่วนด้วย ไม่รู้เบื้องบนทำอะไรอยู่ เหมือนไม่ได้วางแผนรับมือกับมันเลย”
ณ สะพานเดินเรือของยานรบฝ่ายโนเบิลลำหนึ่ง ผู้บังคับการยานโพล่งขึ้นอย่างทนดูไม่ได้ จิตใจของเขากำลังกระวนกระวายอย่างหนัก ไม่ต่างจากลูกเรือทุกคน เขามองออกไปนอกกระจกมองดูสถานการณ์ที่ฝ่ายตนกำลังเสียเปรียบ
“ข้าจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเหมือนเมื่อ 400 กว่าปีก่อนแน่... งานนี้ต่อให้ต้องโดนลดขั้นเหลือพลทหารก็ต้องยอมล่ะ”
เขาพูดต่อไปอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปมองผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนที่อยู่กับเขา และทันใดนั้นหนึ่งในเจ้าหน้าที่สื่อสารก็รายงานขึ้นว่า
“กัปตันครับ มีคำสั่งด่วนจากเบื้องบนครับ”
ผู้บังคับการยานหันไปมองพร้อมพยักหน้าให้ เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงกดปุ่มบนแผงตรงหน้า แล้วเสียงของหญิงวัย 20 ปลายๆ (ถ้าเทียบกับมนุษย์) คนหนึ่งก็ดังขึ้นผ่านทางลำโพงทุกตัวในสะพานเดินเรือ
“คำสั่งจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดถึงผู้บัญชาการภาคสนามทุกท่าน เราได้วิเคราะห์ระบบป้องกันดาวของพวกสวะแล้ว พวกท่านต้องรีบทำลายฐานยิงลำแสงขนาดใหญ่ 3 แห่งบนดาวดวงนั้นในเขตประเทศที่อยู่บริเวณขั้วโลกเหนือโดยด่วน มันสามารถทำลายยานของพวกท่านได้เพียงแค่กวาดผ่านเท่านั้น มันสามารถยิงได้เร็วเต็มที่ก็ 3 ครั้งต่ออัสมานิค (หน่วยตั้งขึ้นเอง เท่ากับ 1 ชั่วโมงครึ่ง) กำลังเสริมจะไปถึงในเร็วๆ นี้ขอให้พวกท่านล่วงหน้าไปก่อน การปฏิบัติการครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ซูเปอร์เวพอน ฮันท์’ ขอให้โชคดี ขอองค์เอกกริ๊ซมอบพลังแก่พวกท่าน”
เมื่อสิ้นข้อความ กัปตันยานก็ฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหัวเราะดังลั่น แล้วจึงเดินไปที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง ซึ่งอยู่บนแท่นที่เหนือขึ้นไปจากที่นั่งของเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ โดยมีนายทหารอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าเยื้องออกไปทางขวามือ
“มันต้องได้อย่างนี้ แต่เสียดายตั้ง 400 กว่าปีมาดันไม่คิดถึงเรื่องนี้ แล้วก็ดันมาช้าอีก เอาเถอะ มาช้ายังดีกว่าไม่มา ข้าจะได้ไม่ต้องถูกลดขั้นลงเป็นพลทหาร ทุกคนได้ยินแล้วนะ...”
กัปตันพูดอย่างจริงจังแล้วหันไปบอกกับนายทหารที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ว่า
“ต้นหน ถ่ายทอดคำสั่งไปที่กำลังพลที่เตรียมไว้ บอกว่าเบื้องบนมีคำสั่งลงมาแล้ว ในชื่อปฏิบัติการ ‘ซูเปอร์เวพอน ฮันท์’ ให้เริ่มปฏิบัติการได้เลย เป้าหมายแรก คือ ฐานยิงลำแสงที่ภาคตะวันออก เมื่อลงไปถึงก็น่าจะมีกองกำลังฝ่ายเราอยู่แถวๆ นั้น ให้แจ้งข่าวพวกเขาเรื่องปฏิบัติการครั้งนี้เพื่อขอการประสานงาน”
คำสั่งออกมารัวเป็นชุด ต้นหนทำหน้าเหมือนจับจดไม่ถูก แต่ก็ขานรับคำสั่ง ก่อนจะกดปุ่มหนึ่งบนที่วางแขนขวาแล้วเริ่มถ่ายทอดคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบรื่นและถูกต้องทุกตัวอักษร
ณ ห้องโถงที่ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเหล่านักรบนับพันยืนเข้าแถวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบอยู่บริเวณหน้าทางขึ้นห้องโดยสารของยานลำเลียงพลพร้อมด้วยยานรบทั้งสำหรับภาคพื้นดินและภาคอากาศประเภทไจโรเพลน เป็นแบบเดียวกับที่โจมตีคู่หูซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คและมนุษย์ถึงที่โรงเรียนที่ซูเปอร์โซลเจอร์ฝ่ายออร์คทำงานอยู่ นอกจากนี้ยังมีกล่องโลหะคล้ายกล่องไม้ขีดยักษ์วางนอนอยู่ซ้อนเป็นชั้นๆ โดยชั้นบนสุดถูกเลื่อนเข้าสู่รางที่มีขนาดพอดีโดยหันออกไปทางม่านพลังงานสีฟ้าใสที่กั้นบรรยากาศภายในยานกับห้วงอวกาศด้านนอก
พวกเขาทั้งหมด กำลังรอคำสั่งออกปฏิบัติการอยู่อย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเสียงของต้นหนดังก้องขึ้น แถวทหารราบก็เคลื่อนเข้าไปในห้องโดยสารของยานลำเลียงพลอย่างพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่ไจโรเพลงเริ่มทะยานออกไป ผ่านม่านพลังงานสีฟ้าใสแล้วเลี้ยวไปสู่ดาวของศัตรู ต่อมาเป็นยานรบภาคพื้นดินประเภทรถถังหนักแบบตินตะขาบ ซึ่งติดอุปกรณ์เสริมหน้าตาคล้ายถาดสำรับอาหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันพอดีกับทุกเหลี่ยมมุมเป็นการล็อกเอาไว้ มันพารถถังเหล่านี้ตามหลังไจโรเพลนไปติดๆ ด้วยการพุ่งไถลออกไปด้วยเครื่องยนต์จรวด จากนั้นจึงตามด้วยยานลำเลียงพล การเคลื่อนพลหยุดชะงักลงครู่หนึ่งเมื่อยานลำเลียงพลทั้งหมดออกไปแล้ว
จากการปล่อยการโจมตีครั้งนี้ มันเป็นการโจมตีขนานใหญ่ที่เตรียมการอย่างลวกๆ ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ทางด้านทัพฟ้าของฝ่ายป้องกันเองก็ได้ส่งเครื่องบินขับไล่หลายฝูงเข้าสกัดรวมทั้งมีการยิงถล่มด้วยปืนประจำยานแม่และอาวุธปล่อยสำหรับอวกาศหวังจะทำลายให้มากที่สุดก่อนที่จะเริ่มเข้าชั้นบรรยากาศ ฝ่ายผู้รุกรานเองก็เคลื่อนทั้งหุ่นยนต์รบและยานประจัญบานเข้าป้องกันเช่นกัน จึงกลายเป็นการตะลุมบอนกันเหมือนเดิมๆ เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งเท่านั้น
เมื่อฝูงไจโรเพลนเริ่มจะแตะชั้นบรรยากาศเกิดเป็นไฟลุกจากการเสียดสีกับอากาศ เมื่อนั้นเอง กล่องไม้ขีดยักษ์ ก็เริ่มถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่องตามกองกำลังส่วนแรกไป และพวกมันก็ได้รับการคุ้มกันจากปืนประจำยานแม่โดยตรง โดยส่วนมากจะเป็นการยิงสกัดกระสุนที่ทางฝ่ายตั้งรับยิงเข้ามาเพื่อหวังทำลายกล่องไม้ขีดยักษ์
ทางด้านกองกำลังแห่งสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ที่ประจำการอยู่ภายใต้ชั้นบรรยากาศเองก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับการโจมตีขนานใหญ่ของกองกำลังโนเบิล จึงมีการรอต้อนรับด้วยทั้งทหารราบและยานเกราะจำนวนนับเป็นกองพลที่กระจายกำลังเกลื่อนไปทั่วท้องทุ่งโล่งๆ ที่ปกคลุมด้วยหิมะบางๆ สลับกับแนวป่าทึบในอาณาบริเวณเล็กๆ เป็นหย่อมๆ รวมทั้งมีการส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นสกัดกองกำลังขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนพลลงมายังพื้นผิวดาว ด้านกองกำลังภาคพื้นดินเอง ก็ได้มีการนำอาวุธต่อสู้อากาศยานทั้งแบบอัตตาจรและแบบลากจูงมาประจำอยู่ทั่วพื้นที่อย่างเกลื่อนกลาด ทั้งปืนใหญ่และอาวุธปล่อยพื้นสู่อากาศถูกยิงขึ้นฟ้าเป็นเทน้ำทิ้ง ส่งเสียงดังระงมยาวเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ผนวกกับเครื่องบินขับไล่ที่บินขึ้นสกัดก็แทบจะทำให้ฝ่ายรุกแทบจะตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางส่วนสามารถเล็ดลอดลงถึงพื้นดินได้ แต่มันก็เป็นพื้นที่โล่งๆ ไร้ที่กำบังเว้นแต่ซากยานลำเลียง และไจโรเพลนที่ถูกยิงตกก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ยังคงไม่พ้นจากปากกระบอกปืนรถถังและปืนประจำกายทหารราบ รวมทั้งเวทมนตร์จู่โจมไปได้
เหล่านับรบโนเบิลถูกเล่นงานจนแทบย่อยยับ พวกเขาตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูอย่างไม่คาดฝันมีความรู้สึกเหมือนถูกส่งลงมาตาย ไจโรเพลนที่ส่งลงมาหวังจะสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินก็ดูเหมือนแทบจะไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญกับเครื่องบินขับไล่ คงมีแต่รถถังเท่านั้นที่ส่วนมากปลอดภัยลงมาถึงพื้นดินได้ แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดีเมื่อเผชิญกับอาวุธต่อต้านยานเกราะจากทหารราบ และปืนหลักจากรถถังที่รุมถล่มมาจากทุกทิศทาง เรื่องการจะประสานงานกับกองกำลังระลอกแรกนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน และก็ไม่แน่ว่ากองกำลังระลอกแรกนั้นอาจจะถูกกำจัดไปจนหมดแล้วก็ได้ เพราะการที่ขาดการติดต่อไปดื้อๆ
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไปซะทีเดียว เพราะกล่องไม้ขีดไฟยักษ์ที่กำลังผ่านชั้นบรรยากาศลงมาเรียกร้องความสนใจจากนักบินรบฝ่ายเอไพด์เมียร์ได้ไม่น้อย กำลังรบเครื่องบินขับไล่และอาวุธต่อสู้อากาศยานถึง 3 ใน 4 หันความสนใจไปยังกล่องไม้ขีดยักษ์เหล่านั้นราวกับว่า ถ้าปล่อยมันตกถึงพื้นจะเกิดความหายนะขึ้น จากการยิงกระหน่ำด้วยทั้งปืนและขีปนาวุธกล่องไม้ขีดกล่องแรกก็แตกออก เผยให้เห็นคำตอบที่อยู่ด้านในว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับมันนัก เพราะสิ่งที่กล่องไม้ขีดเหล่านี้หุ้มอยู่ก็คือ หุ่นยนต์รบตัวเท่าตึกสตอร์มวอร์ริเออร์นั่นเอง พวกเขากระหน่ำยิงไปอีกครู่หนึ่งสร้างความเสียหายที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยก่อนหันไปสนใจตัวอื่น ซึ่งเมื่อสตอร์มวอร์ริเออร์ตัวนั้นตกลงถึงพื้นมันก็ยืนไม่อยู่ แม้พลขับจะพยายามทรงตัวเท่าไหร่ตาม มันเป็นเหมือนกับคนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะนั่ง และแน่นอนมันจึงกลายเป็นเป้านิ่งให้กองกำลังภาคพื้นดินจัดการต่อ
การทำลายระบบทรงตัวของหุ่นยักษ์ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ละตัวนั้นเสียเวลาไปไม่น้อย แม้จะมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับกองกำลังอื่นๆ แต่มันก็ยังคงเยอะเกินกว่าจะจัดการได้โดยไม่มีตัวไหนตกถึงพื้นในสภาพสมบูรณ์ จนกระทั่วตัวแรกที่ลงถึงพื้นได้สำเร็จ ผนังทั้งสี่ด้านเปิดออก สิ่งแรกที่พลประจำหุ่นทำ คือ จับปืนไรเฟิลเลเซอร์ปล่อยลำแสงกวาดทำลายกองกำลังภาคพื้นดินของฝ่ายตั้งรับในทันที ก่อนที่จะถูกรุมโจมตีด้วยปืนใหญ่พลาสมาจากรถถังสัญชาติฟรีแรนเซอรี่แล้วจึงพังพินาศไปตามระเบียบ เมื่อมีตัวแรกลงถึงพื้นได้สำเร็จตัวที่สองก็ตามมาติดๆ แล้วทำแบบเดียวกัน ในเวลาไม่นานก็มีตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบจำนวนที่เหลือรอดอยู่ถึงร่วม 40 หน่วย
ทั้งกองทัพบกและกองทัพอากาศของฝ่ายตั้งรับถอนกำลังออกไปอย่างแทบไม่เป็นขบวน โดยมีกระสุนของฝ่ายข้าศึกจี้ท้ายตาม แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายรุกรานเองก็สัมผัสได้ถึงเสียงคำรามเหมือนเสียงปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่มากๆ ดังรัวระงมล่องลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่าลูกปืนจะตกลงบนหัวของพวกตนรึเปล่า แต่ต่างก็รีบย้ายตำแหน่งหนีกันอย่างเร่งด่วนโดยสัญชาตญาณการระวังภัยชนิดที่เกือบจะเป็นตัวใครตัวมัน
ในขณะที่กำลังพลระลอกที่ 2 กำลังตื่นตระหนกกับเสียงปืนยักษ์อยู่นั้น ก็มีบางส่วนมองเห็นพลุไฟสีแดงสว่างจ้าพุ่งขึ้นมาจากทิศทางหนึ่งตามด้วยสีเขียวในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะเรียกพวกของพวกตนให้หันไปมองยังพลุนั้นในขณะที่พวกตนวิ่งไปทางนั้นอย่างไม่คิดชีวิตในขณะที่เหนือหัวขึ้นไปกำลังเสริมที่มีจำนวนมากกว่าถึง 3 เท่าได้ผ่านชั้นบรรยากาศลงมาอย่างไม่รู้เรื่องอะไร บ้างก็มองเห็นกองกำลังที่ประจำอยู่ก่อนแล้ววิ่งไปในทางเดียวกันแต่ก็ไม่มีใครคิดเอะใจอะไรทั้งสิ้น เพราะเสียงคำรามของปืนยักษ์ได้เงียบไปก่อนแล้ว กองกำลังที่ลองถึงพื้นแล้วเองก็พยายามติดต่อกองกำลังชุดหลังให้ได้ แต่สิ่งที่ตอบมานั้นมีแต่ความเงียบราวกับสิ่งที่ผ่านชั้นบรรยากาศลงมานั้นไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก พวกเขาพยายามติดต่อใหม่อยู่หลายครั้งจนกระทั่งติดต่อได้ แต่ทว่ากำลังเสริมนั้นได้เคลื่อนกำลังลงมาจนสามารถมองเห็นและจำแนกได้อย่างชัดเจนแล้ว จึงรีบรายงานอย่างละล่ำละลักขึ้นไปว่า
“ออก...”
กระแสเสียงดังออกไปได้แค่นั้นก็ขาดหายไป ไม่มีใครตีความออก แต่ทุกคนรู้แน่ว่าฝ่ายเอไพด์เมียร์มีการรบกวนการสื่อสาร และต้องมีสถานีรบกวนการสื่อสารอยู่ในละแวกนี้แน่
ในเวลาไม่นานนักหลังจากการสื่อสารถูกรบกวน ลำแสงสีขาวสว่างจ้าก็พุ่งสาดขึ้นฟ้าอีก 3 ครั้งจาก 3 สถานที่ ก่อนจะขาดหายไป กำลังเสริมจำนวนมหาศาลลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย และเริ่มการถ่ายเทกำลังพลออกจากยานลำเลียง แต่ยังไม่ทันจะเสร็จดี ก็เกิดมีเสียงครางดังหวือมาจากด้านเหนือหัว เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปก็พบกับลูกปืนขนาดมโหฬารกำลังย้อยโค้งตกลงมาเป็นอาณาบริเวณกว้างพอๆ กับตำบลที่กองกำลังเสริมยืนจัดขบวนอยู่ มันใหญ่กว่ากระสุนอัลตร้าแคนนอนร่วม 2 เท่า สายเกินไปที่จะหลบ ทุกคนรู้แล้วว่าคำว่า ‘ออก’ ที่ดังขึ้นจากกองกำลังชุดแรกหมายถึงอะไร
กระสุนปืนยักษ์ตกกระหน่ำลงมาราวกับห่าฝน ระเบิดทุกสิ่งในอาณาบริเวณกระจุยกระจายไปหมด เกิดเสียงดังกึกก้องสะเทือนเลือนลั่นไปไกล พื้นหิมะปนดินถูกขุดลอยขึ้นมา ทั้งฝุ่นและละอองหิมะฟุ้งกระจายปะปนกันจนเป็นเนื้อเดียว
กองกำลังชุดแรกและระลอกแรกก็ยังขนลุกชูชันไปตามๆ กัน แม้จะอยู่ไกลจากจุดตกไปเป็นร้อยเมตร แต่แรงสะเทือนก็แผ่กระจายไปอย่างทั่วถึงจนรู้สึกได้ราวกับแผ่นดินไหว การยิงถล่มดำเนินไปได้เพียงไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับรู้สึกเหมือนมากกว่า 1 ชั่วโมง และในเวลาไม่นานซากศพและเศษซากยุทโธปกรณ์จากการถล่มด้วยปืนยักษ์ก็ร่วงลงมาทั่วอาณาบริเวณรอบตำบลกระสุนปืนใหญ่ตก ซึ่งแน่นอนรวมถึงบริเวณที่รวมพลของกองกำลังโนเบิลรอบๆ ด้วย สร้างความสยดสยองโดยทั่วหน้า
“ล้มเหลว เราไม่มีทางทำสำเร็จแล้ว เราต้องตายกันหมดแน่ ถ้าพวกมันหาเราเจอ”
หนึ่งในนั้นตัดพ้ออย่างสิ้นหวัง มีความรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังอำนาจอย่างเหลือล้น และไม่ควรจะประกาศสงครามกันตั้งแต่แรก คำพูดนี้ทำเอาคำอื่นคล้อยตามไปด้วย
“พวกท่านสิ้นหวังเพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ”
กลอรี่ลิเบอเรเทอร์หนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเตือนสติ ทุกคนหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว
“พวกมันยังหาเราไม่พบซะหน่อย พวกเราแค่ต้องรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น แน่นอน เราจะให้ยุทธวิธีเก่าๆ ที่พวกผู้ใหญ่ยึดมั่นไม่ได้เหมือนกัน เพราะเท่าที่ข้าวิเคราะห์ออกมา ยุทธวิธีแบบนี้มันอาจดูกล้าหาญและมีเกียรติ แต่ว่าข้าว่ามันเป็นวิธีที่โง่มาก มันเหมือนการโยนก้อนเนื้อเข้าหาเครื่องบดเนื้อ ไม่ว่าเนื้อนั้นจะแข็งหรือเหนียวขนาดไหน แต่เครื่องบดเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องบดเนื้อ เป็นสิ่งที่ก้อนเนื้อไม่มีทางผ่านมันไปได้โดยไม่ถูกบด ดังนั้นถ้าเราไม่อยากถูกบด เราก็ต้องใช้เครื่องบดเนื้อนั้นให้ผิดวัตถุประสงค์ จะว่าไปก็อยากไปกินสเต็กเนื้อที่บ้านอีกครั้งเหมือนกันนะเนี่ย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ จัดการกับสถานีรบกวนการสื่อสาร ด้วยกองกำลังขนาดเล็ก ส่วนที่เหลือให้ย้ายตำแหน่งซ่อนตัวเหมือนที่เคยทำ ข้าจะนำกำลังไปจำนวนนึงเพื่อจัดการกับสถานีนั่น ใครจะอาสาไปกับข้าขอให้มายืนเรียงหน้ากระดานตรงหน้าข้าได้เลย ขอสัก 20 คนก็พอ”
จีแอลหนุ่มจัดแจงตักเตือน เทศ และคิดนอกเรื่องไปในเวลาเดียวกันสำเนียงดูเหมือนคนที่มีความผิดปกติทางจิตประสาทหรือไม่ก็มีมันสมองสูงเกินกว่าจะเรียกว่าอัจฉริยะ
ทุกคนมองหน้ากันด้วยท่าทีกึ่งๆ สิ้นหวังกว่าเดิมกึ่งมองเห็นความหวัง เพราะด้วยท่าทีที่เหมือนคนสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นมันก็เป็นสิ่งที่น่าเก็บไปคิดเช่นเดียวกัน ในเวลาไม่นานเหล่านักรบโนเบิลตั้งแต่ทหารเลวยันนายกอง ต่างก็มายืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าของหนุ่มบุคลิกเหมือนไม่เต็มบาทครบตามจำนวน โดยหนึ่งในนั้นมีหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ชายรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง
“เอาล่ะ ครบแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ แล้วก็ ไนท์ บารอน มีเจ้ามาด้วยทำให้ข้าอุ่นใจขึ้นเยอะ...”
ไนท์บารอนไม่ตอบ หนุ่มเกินอัจฉริยะโบกมือเป็นสัญญาณให้เคลื่อนพลในขณะเดียวกันก็หันไปหากลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวหน้าอกแบนแล้วกำชับว่า
“ฮอล์ก ข้าไว้ใจเจ้านะ ช่วงที่ข้าไม่อยู่อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดอยู่กับเจ้า ถ้าพวกสวะมาพบเข้าก็จัดการได้ตามสบาย”
“ได้”
จีแอลสาวอกแบนตอบสั้นๆ ห้วนๆ และนิ่งเฉย ในขณะที่มองดูหนุ่มเกินอัจฉริยะหันกลับเดินตามขบวนนักรบอาสาไป จากนั้นเธอก็หันกลับมาแล้วเริ่มออกคำสั่งแรกว่า
“เหมือนเดิม ย้ายตำแหน่งซ่อนตัว เร็วเข้า”
คำสั่งกระจายผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่ติดไว้ในตัวชุดรบไปยังนักรบทุกหน่วย ซึ่งก็ต่างขานรับมาด้วยน้ำเสียงยานๆ ฟังดูก็สามารถรู้ได้ชัดเลยว่าตอนนี้ทุกคนกำลังเบื่อหน่ายกับการหลบซ่อนตัวเต็มทีแล้ว และมันก็แฝงไปด้วยความกดดัน พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าศึกจะมีอะไรมาให้ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอีก และจากท่าทางของพวกเขาก็ส่อถึงความกลัวและหวาดระแวง บางคนถึงกับวิตกจริต ไม่เว้นแม้แต่จีแอลสาวอกแบนที่พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกหวาดระแวงเอาไว้ให้ได้ แต่จังหวะการเต้นหัวใจของเธอมันก็ฟ้องถึงความตื่นเต้น แต่ภายใต้ชุดรบทำให้ไม่มีใครสามารถสังเกตได้ เห็นเป็นเพียงแค่ผู้บังคับบัญชาหญิงที่มีกำลังใจดีเยี่ยมคนหนึ่ง
หนุ่มเกินอัจฉริยะนำทีมนักรบออกเดินหาสถานีรบกวนการสื่อสารอย่างไม่รู้ทิศทาง เพราะด้านไหนๆ ก็ศัตรูทั้งนั้น ซึ่งมันอาจจะไปอยู่ใกล้ๆ กับฐานยิงลำแสงเวทมนตร์เลยก็ได้ แต่ทางที่เขาบ่ายหน้ามาเป็นทิศตรงกันข้ามกับที่ที่ลำแสงเวทมนตร์พุ่งขึ้นสู่อวกาศ โดยหวังว่าจะพบมันในที่ใดที่หนึ่งในทุ่งหิมะโล่งกว้างสลับป่าเป็นหย่อมๆ แถมยังมีหมอกลง ซึ่งก็ยังไม่มีความมั่นใจเหมือนกันว่าทางฝ่ายตั้งรับจะวางข่ายวงเวทพรางตาและเครื่องตรวจจับไว้หรือไม่ หรืออาจจะถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางก็เป็นไปได้
ใจของทุกคนในตอนนี้ถูกครอบงำด้วยความหวาดระแวงสุดขีดทุกคนเปิดเครื่องตรวจจับทุกประเภทที่ติดตั้งพร้อมไว้กับชุดรบอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ต้องกำชับนัดหมาย มองไปทางไหนก็พบเห็นแต่ภาพอินฟราเรดสีแดงส้มเขียวและน้ำเงินกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในระยะไกลลิบๆ
“ออราเคิลถึงไนท์บารอน ข้าเพิ่งนึกอะไรได้บางอย่าง อยากจะให้เจ้าช่วย”
หนุ่มเกินอัจฉริยะเริ่มพูดขึ้นเป็นประโยคแรกหลังแยกกลุ่มขณะที่เขาเดินนำหน้า
“ไนท์บารอน ว่ามาเลยออราเคิล”
ไนท์บารอน ซึ่งอยู่ท้ายขบวนขานรับเรียบๆ
“เจ้าเป็นคนที่รู้จักยุทธวิธีของพวกสวะมากที่สุด ข้าอยากจะให้เจ้ามาเดินนำหน้าขบวน จะเดินนำในลักษณะไหนก็แล้วแต่เจ้า ส่วนข้าจะลงไปเดินคุมหลัง เจ้าว่าไง”
“ทราบแล้วออราเคิล เลิกกัน”
เสร็จสิ้นการนัดแนะ ไนท์บารอนก็เดินนำขึ้นหน้าขบวนแถวตอนเรียงหนึ่งขึ้นไปในขณะที่ออราเคิลชะลอฝีเท้าลงมาจนรั้งท้าย จากนั้นผู้ที่ได้รับความเชื่อมั่นว่ารู้กลยุทธ์ของฝ่ายตั้งรับดีก็โพล่งขึ้นพร้อมทำท่าทาง
“หยุด”
ทั้งขบวนที่เดินตามกันมาแถวหยุดอย่างกะทันหัน แต่ละคนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจเพราะแรงเฉื่อย ไนท์บารอนก้มลงมองพื้นตรงหน้าอย่างสงสัยก่อนจะควักปืนพกออกมาจากบริเวณข้อมือก่อนเปลี่ยนมันเป็นดาบเลเซอร์ ทุกส่วนนอกจากบริเวณด้ามปืนเงยขึ้นเป็นแนวตรงกับด้ามปืน จากนั้นลำแสงสีแดงก็พุ่งขึ้นมาจากปากลำกล้องเป็นแท่งยาว 1 เมตรครึ่ง จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงใช้ใบดาบกวาดเกลี่ยๆ พื้นหิมะเพื่อละลายลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้เป็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้ เขากวาดดาบไปรอบตัวโดยเท้าข้างหนึ่งไม่ได้ขยับไปไหน ปรากฏว่าไม่พบอะไร แต่เมื่อเขาก้มลงมองที่ใต้เท้าเขาก็เสียวสันหลังวาบด้วยความตกใจ
กับระเบิดลูกขนาดฝ่าเท้าพอดี ไนท์บารอนเหยียบมันเข้าอย่างจัง เขาจึงติดต่อออราเคิลทันที ด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“ไนท์บารอนถึงออราเคิล ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย ด่วนมาก”
หนุ่มเกินอัจฉริยะรุดไป ณ ที่เกิดเหตุทันทีด้วยอารมณ์กระวนกระวายเช่นเดียวกัน เมื่อมาถึงเขาก็ผงะหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นคือ ไนท์บารอนกำลังนั่งยองๆ ขาเหยียบพื้นความสูงไม่เท่ากัน โดยข้างหนึ่งนั้นกำลังเหยียบกับระเบิด ส่วนดาบเลเซอร์นั่นตกอยู่ข้างๆ ตัว ซึ่งกำลังเปิดอยู่
ออราเคิลก้าวย่างเข้าไปก้มลงมองดูกับระเบิดลูกนั้นแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะยื่นแขนข้างหนึ่งไปแตะกับระเบิด
ครู่หนึ่ง ออราเคิลก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก
“ปล่อยเท้าออกไปเถอะ ระเบิดลูกนี้ทำงานขัดข้องแต่ระเบิดไม่ด้าน ยังไงข้าก็จะเก็บมันไว้หน่อย เผื่อไว้ ถ้าไม่ได้ใช้ข้าก็จะเอาไปศึกษา”
ไนท์บารอนเป่าลมพลูออกจากปากพลางถอนหายใจหนักๆ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสั่นเกร็งเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงเก็บดาบเลเซอร์ขึ้นมาแล้วใช้มันละลายหิมะตรงหน้าเป็นทางขณะเดินต่อ แต่เขาก็หาเฉลียวคิดไม่ว่า นั่นนอกจากจะเป็นการทำร่องรอยให้คนตามแล้ว มันยังเป็นการเผยตำแหน่งของตัวเองให้ศัตรูรู้ด้วย ไม่มีใครทักท้วง เพราะความกลัวที่จะเหยียบกับระเบิด และทันใดนั้นเองก็มีแสงไฟสปอตไลท์สว่างขึ้นเป็นจุดๆ เดียวแล้วดับลงในเวลาไม่ถึง 1 วินาทีจากนั้นก็สว่างขึ้นอีก มันเป็นไฟกระพริบ และติดๆ ดับๆ เป็นจังหวะ มันคือรหัสมอร์สนั่นเอง จีแอลทั้งสองหันไปดูที่แสงไฟนั้น ท่าทางไม่สู้ดีนัก เพราะมันมีความว่า
“เราเห็นลำแสง ทางนั้นเกิดอะไรขึ้น โปรดแสดงตัว รายงานสถานการณ์ แล้วบอกเป้าหมายด้วย”
จีแอลทั้งสองใจเต้นแรงอีกครั้ง พลางหันไปมองดูพวกพ้อง ซึ่งทหารเหล่านั้นก็พอเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว และพอเข้าใจด้วยว่าที่ทั้งคู่หันมามองพวกตนมันหมายถึงอะไร ต่างส่ายหน้าน้อยๆ เป็นนัยๆ ว่า
“ไม่มี”
เมื่อไนท์บอรอนหันมองออราเคิลก็พบว่าถูกจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้านั่นแหละ ส่งกลับไป ถ้าพวกมันเห็นลำแสงจากดาบเจ้าได้ เจ้าก็น่าจะส่งสัญญาณกลับได้ด้วยดวบในมือนั่นแหละ”
ออราเคิลโยนหน้าที่ให้ทันที เพราะเห็นว่าคนที่น่าจะพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือ คนที่ชำนาญกลยุทธ์ของฝ่ายศัตรูมากที่สุด
ไนท์บารอนหันหน้ากลับไปทางสัญญาณไฟ ซึ่งป้อนคำถามเดิมมาอีก เขาจึงกดเปิดปิดดาบเป็นจังหวะตอบกลับไปว่า
“ไม่มีอะไร ผมแค่ลองดาบเลเซอร์ของพวกหน่วยรบพิเศษโนเบิลที่ยึดมาได้เท่านั้น สถานการณ์ราบรื่นดี ยังไม่พบกองกำลังของศัตรูที่กบดานอยู่ เรากำลังจะไปที่สถานีควบคุมการสื่อสาร เปลี่ยน”
ทั้งขบวนทหาร 20 นายรวมผู้นำด้วยไม่มีใครเข้าใจว่าไนท์บารอนกำลังคุยอะไรกับข้าศึก แต่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า เขากำลังช่วยพวกตนให้รอดจากกระสุนปืนของฝ่ายตรงข้าม ทุกสายตาจ้องไปที่ดาบเลเซอร์ที่เปิดปิดและแสงสปอตไลท์สลับกัน จนกระทั่งฝ่ายเอไพด์เมียร์ส่งมาว่า
“สถานีควบคุมการสื่อสารต้องขึ้นเหนือ อยู่ใกล้ๆ กับฐานยิงลำแสงเวทมนตร์เลย ขอให้โชคดีนะ เลิกกัน”
แล้วไนท์บารอนก็ส่งกลับไปว่า
“ขอบคุณมาก เลิกกัน”
ผู้เชี่ยวชายกลยุทธ์ของศัตรูถอนหายใจออกมาโดยแรงพร้อมกับตัวงอเป็นกุ้งเพราะความตื่นเต้น เหลือบขึ้นมองพรรคพวกทุกคนไล่เรียงกันไป
“ข้ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย จะฟังอะไรก่อน”
“ข่าวดีก่อนแล้วกัน”
ออราเคิลเอ่ยขึ้นเสียงต่ำพลางเอามือเท้าเอวอย่างกระวนกระวายใจเพราะเมื่อหันกลับไปมองยังทิศที่แมจิคเดธเรย์ตั้งอยู่ ก็เห็นลำแสงสีขาวสว่างพุ่งสาดขึ้นอวกาศอีก 3 ครั้งจาก 3 สถานที่
“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าสถานีรบกวนการสื่อสารอยู่ที่ไหน”
“ข่าวร้ายล่ะ”
หนุ่มเกินอัจฉริยะถามต่อโดยยังไม่ละสายตาจากทิศทางที่ลำแสงสีขาวเหล่านั้นพุ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ของศัตรูถอนหายใจอย่างหนักใจยืนเท้าเอวบ้างพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนเงยขึ้นแล้วพูดว่า
“ข่าวร้าย... สถานีนั่นตั้งอยู่ใกล้ๆ กับฐานยิงลำแสงโบราณพวกนั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้นอีก 20 คนก็พากันเสียวสันหลังวาบ มองหน้าซุบซิบพึมพำกันให้แซด ในขณะที่ไนท์บารอนกำลังเดินสวนกลับทางเดิม
“พวกเจ้าเกิดขี้ขลาดขึ้นมารึไง”
ออราเคิลหยั่งเสียงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เปล่าค่ะ มันแค่สมพรปากของพวกเราบางคนเท่านั้น ขอเพียงแต่ท่านสั่งมาเราก็พร้อมจะลุยได้ทุกเมื่อ”
หนึ่งในนั้นตอบมาเสียงแข็งฟังดูจริงใจแน่นอน
“ดีแล้ว จริงๆ ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะไปอยู่ที่ไหนได้นอกจากแถวๆ ฐานยิงลำแสงโบราณนั่นหรอก แต่เพราะความไม่มั่นใจข้าเลยต้องมาทางนี้ก่อน... ถ้ายึดได้จะเป็นสิ่งน่าศึกษามากเลย หลังงานนี้ข้ากล้ารับรองเลยว่าคนละเหรียญแน่นอน”
ออราเคิลพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยสำเนียงภาษาเหมือนคนจิตประสาทผิดปกติ แล้วโบกมือให้เหล่านักรบทำหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าก่อน ก่อนที่ตนเองจะเดินคุมท้ายขบวนเหมือนเดิม
ทางขากลับนั้นราบรื่นกว่าขาไปมาก พวกเขาเดินไปกันอย่างสบายๆ เพราะไม่มีอุปสรรคอันน่าใจหายใจคว่ำดังขามา แต่ก็อยู่ในอาการเร่งรีบเหมือนกัน เมื่อกลับมาถึงจุดรวมพลชั่วคราวที่พวกเขาออกเดินไป มันว่างเปล่า แสดงว่าเหล่าพวกพ้องได้ย้ายตำแหน่งกบดานไปหมดแล้ว ออราเคิลหันไปหานักรบคนหนึ่งแล้วพยักหน้า ทหารคนนั้นจึงหยิบเอาปืนพลุขึ้นมายิงขึ้นฟ้าเปิดพลุสีส้มที่มีความสว่างไม่มากนัก 1 นัด จากนั้นทั้ง 21 คนก็หันออกไปคนละทางโดยแหงนหน้าขึ้นเป็นมุมเฉียงคอยจับสังเกตอะไรบางอย่าง จนกระทั่งหนึ่งในนั้นเห็นพลุสีเดียวกันพุ่งขึ้นมาเขาจึงรายงานขึ้นทันที แต่จากนั้นก็มีสีแดงพุ่งขึ้นมาอีกนัด จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยสีเขียวอีกนัดหนึ่ง
“มีข้าศึกอยู่ระหว่างเราเหรอ”
ออราเคิลพึมพำเบาๆ พลางย่องเงียบไปทางทิศที่พลุพุ่งขึ้นมา โดยโบกมือปรามที่เหลือให้อยู่กับที่ เมื่อเขามองผ่านพุ่มไม้ที่มีหิมะเกาะออกไปก็พบกับกองกำลังของข้าศึกจำนวนหนึ่ง เป็นทหารราบประมาณ 12-14 นาย และรถถังจู่โจมแบบลอยตัวอีก 1 คัน ในที่โล่ง ไกลออกไปเป็นป่าอีกหย่อมหนึ่ง จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองอย่างกว้างๆ ไปทางซ้ายและขวา ก็พบว่าไม่มีใครอยู่นอกจากกำลังทหารที่อยู่ตรงนั้น เขาจึงย้อนกลับไปหาอีก 20 ชีวิตด้วยท่าทางเดิม แล้วรายงานภาพที่เห็นเบาๆ
“ทหารราบอย่างมาก 14 นาย กับรถถัง 1 คัน ห่างออกไปจากนี่ประมาณ 240 กีริน” (หน่วยตั้งขึ้นเอง 1 กีรินเท่ากับ 70 เซนติเมตร)
พูดจบหนุ่มเกินอัจฉริยะก็หันไปมองหน้าของผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู ไนท์บารอนมองตอบแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า
“อะไร”
ออราเคิลเท้าเอวพร้อมกับโคลงหัวเล็กน้อยแล้วบอกไปตามตรงว่า
“เจ้าเป็นคนเดียวที่พวกสวะคาดไม่ถึง ใช้ปืนซุ่มยิงของเจ้าสิ ส่วนรถถังข้าจะจัดการให้เอง”
“ได้”
ไนท์บารอนตอบสั้นๆ ห้วนๆ แล้วนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนชักไรเฟิลซุ่มยิงสัญชาติโนเบิลออกมาจากคลังแสงจิ๋ว ตามด้วยซองกระสุนเปล่า เขาถอดซองกระสุนที่ใส่ไว้พร้อมที่ปืนออกแล้วเก็บเข้าคลังแสงก่อนดึงคันรั้งเพื่อให้กระสุนที่บรรจุพร้อมอยู่ในรังเพลิงกระเด็นออกมาอยู่ในมือที่แบรับพร้อม แล้วเก็บมันใส่คลังแสงเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาก็วางปืนลงกับพื้นแล้วใช้มืออังที่บริเวณคลังแสงก่อนที่กระสุนจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาเต็มกำมือ จากนั้นจึงยัดใส่ซองกระสุนทีละนัด
เหล่านักรบโนเบิลมองดูการตระเตรียมอาวุธในแบบของศัตรูอย่างใจจดใจจ่อ แม้บางคนจะสังเกตได้ว่ามันดูจะผิดขั้นตอนที่ควรจะเป็นไปแต่ก็ไม่มีใครทักท้วงเพราะตัวเองก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อน จึงปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญ (ที่สุดในกลุ่ม) ทำต่อไป
ผู้เชี่ยวชาญวางซองกระสุนลงบนพื้นแล้วหยิบปืนขึ้นมาถอดลำกล้องออก ใส่มันกลับเข้าไปในคลังแสง แล้วล้วงเอาลำกล้องเก็บเสียงซึ่งเป็นท่อนสีขาวอ้วนๆ ออกมาแล้วจึงประกอบแทนลำกล้องเดิม ก่อนจะหยิบซองกระสุนที่บรรจุพร้อมไว้แล้วมาใส่แทนซองกระสุนเดิม
“ข้าพร้อมแล้ว”
ไนท์บารอนพูดขณะลุกขึ้นยืน เขาถือปืนในท่าเฉียงอาวุธ แล้วกระชากคันรั้งเพื่อขึ้นลำปืน ในขณะที่ออราเคิลชักปืนกระบอกไม่ใหญ่นักออกมา แต่ขนาดลำกล้องของมันนั้นใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดทั้งหมด ซองกระสุนอยู่ด้านบนเป็นซองกระสุนในลักษณะของกล่องกระสุน ส่วนศูนย์ปืนเป็นจอแอลซีดีขนาดเล็ก ที่ด้านขวาตอนกลางของปืนเชื่อมต่อกับสายไฟสีดำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ซึ่งต่อไปยังเป้ทรงกระบอกแบนบนหลัง ส่วนพานท้ายเป็นแบบเรียบงายพอให้สำหรับประทับเล็งได้ถนัด
จีแอลทั้งสองนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งเคียงกัน ในท่าเล็งปืนท่าเดียวกัน หันหน้าไปทางกองกำลังของข้าศึกที่ขั้นกลางระหว่างพวกเขาและกองกำลังส่วนใหญ่ ซึ่งจีแอลสาวอกแบนรับผิดชอบดูแลอยู่ และแล้วไนท์บารอนก็เริ่มเปิดฉากยิงด้วยการยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ เสียงปืนนั้นดังเพียงเสียงหายใจเบาๆ เท่านั้น ในขณะที่หัวกระสุนทรงกรวยหัวมนพุ่งออกไปด้วยความเร็วต่ำกว่าเสียง
ทหารฝ่ายเจ้าบ้านเผ่าพันธุ์ออร์คคนหนึ่งอยู่ๆ ก็ล้มลงเหมือนหมดสติกะทันหัน ทำให้ที่เหลือต่างแตกตื่นและรีบเข้าไปดูอาการของทหารออร์คคนนั้น ก็พบว่าที่ท้ายทอยของเขานั้นมีรูกระสุนอยู่รูหนึ่ง พวกเขาจึงคิดไปว่าน่าจะเป็นการยิงพวกเดียวกันเพราะเข้าใจผิด หนึ่งในนั้นจึงรีบติดต่อไปยังหน่วยอื่นในละแวกใกล้ๆ ทันที แต่ทว่าในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นคนที่พูดเป็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็ล้มลงไปนอนอีก แต่ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขาตะโกนลั่นว่า
“ขาฉัน ขาฉัน...”
เมื่อนั้นเหล่าทหารที่เหลือก็พากันล้มตัวนอนราบลงกับพื้นหิมะ ในขณะที่รถถังนั้นหมุนป้อมปืนใช้เซนเซอร์กวาดหาต้นตอ แต่เมื่อกวาดหาไปจนพบก็พบกับกลุ่มศัตรูจำนวน 21 คน อยู่หลังแนวไม้ โดยมี 2 คนนั่งเล็งปืนอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นว่าที่ปากกระบอกปืนของคนหนึ่งเกิดมีควันอันเกิดจากไอน้ำฟุ้งออกมาเล็กน้อย
อยู่ๆ รถถังที่ดูเหมือนจะพบกับต้นตอแล้วก็เกิดระเบิดขึ้น ป้อมปืนหลุดกระเด็นไปไกลเหมือนถูกโยนโดยมือยักษ์ ตัวถังของมันที่ลอยอยู่ก็หล่นลงพื้นเสียงดังปึง หลังจากนั้นการโจมตีอย่างไร้ศักดิ์ศรี (ในทัศนะของชาวโนเบิล) ก็ดำเนินต่อไป นิ่วของไนท์บารอนเหนี่ยวไกอย่างเมามัน จนกระสุนหมด สิ่งที่เหลือไว้ คือ ซากศพทหารฝ่ายตรงข้ามและซากรถถัง 1 คัน สองจีแอลเก็บอาวุธเข้าคลังแสงอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่หนุ่มเกินอัจฉริยะจะโบกมือให้เคลื่อนที่ต่อ
เบื้องหน้าไม่ถึง 1 กิโลเมตร พรรคพวกที่เหลือกำลังซุ่มรอฟังข่าวอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ทั้งกลุ่ม 21 คนรีบวิ่งกันไปอย่างเต็มฝีเท้า จนกระทั่งเข้าไปในป่าอีกฝั่งได้สำเร็จโดยไม่มีอุปสรรคอีก
“ทำไมกลับมาเร็วกันนักล่ะ”
ฮอล์กเอ่ยถามขึ้นก่อนอย่างสงสัย
“เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ว่าเราเจออะไรมา”
ออราเคิลพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น แล้วเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งน่าขบขันและเฉียดตายจากการพบกับหน่วยลาดตระเวนของศัตรูโดยความหละหลวมของไนท์บารอน เมื่อพูดจบ บุคคลที่ถูกพาดพิงถึงก็กระแอมออกมาแล้วเริ่มพูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า
“ข้ามีข่าวดีและข่าวร้าย จะฟังอะไรก่อน”
ฮอล์กและเหล่านักรบที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหูผึ่งทันที แล้วจีแอลสาวอกแบนก็เอ่ยถึงข่าวดีก่อน
“ตอนนี้ข้ารู้ที่ตั้งของสถานีนั่นแล้ว”
ภายใต้หมวกรบฮอล์กยิ้มออกมาอย่างยินดี พร้อมกับเสียงร้องแหลมปนไปกับเสียงหัวเราะ แต่หลังจากที่ได้ฟังข่าวร้ายแล้วเธอก็เปลี่ยนท่าทีไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ซึ่งรวมทั้งเหล่านักรบทุกคนที่ได้ยินด้วย และแล้วก็มีเสียงตัดพ้อดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มาจากหลายคน
“เงียบ...”
ออราเคิลโพล่งขึ้นแหวกเสียงตัดพ้อที่ดังระงม แล้วเสียงแห่งความสิ้นหวังก็เงียบลงในบันดล จากนั้นหนุ่มเกินอัจฉริยะก็เริ่มปลุกขวัญทหาร
“พวกท่านลืมความศรัทธาในตัวจักรพรรดิไปแล้วเหรอ พวกท่านลืมคำปฏิญาณของพวกเราไปแล้วเหรอ ข้ารู้ว่าพวกท่านกลัว เพราะข้าเองก็กลัวเหมือนกัน แม้เราจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล แต่ยังไงซะ ความกลัวเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนมีสิทธิ์กลัว กลัวได้แต่ห้ามขลาด เพราะอย่างน้อยความกลัวจะทำให้เราไม่ประมาท ถ้าเราไม่ขลาดเราก็สามารถฝ่าพันอุปสรรคนั้นๆ ได้ แต่ถ้าพวกท่านกลัวแล้วยังขลาด จะไม่มีอะไรที่พวกท่านทำได้เลย สุดท้ายจะไม่ต่างจากพวกที่ยอมสวามิภักดิ์กับเรา ดูอย่างพวกสวะสิ ตามประวัติศาสตร์พวกมันชนะพวกเราได้ยังไง นั่นเพราะแม้พวกมันจะกลัวเรา แต่พวกมันก็ยังกล้าสู้กับเรา แม้วิธีต่อสู้จะไร้ศักดิ์ศรีก็ตาม แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังสู้ เพราะพวกมันอาจจะกลัวเรา แต่พวกมันไม่ได้ขลาด ขอให้พวกท่านคิดดูเอาเอง”
สิ้นกระแสเสียงก็เกิดเสียงซุบซิบพึมพำกันให้แซด ก่อนที่จะมีตัวแทนออกมาพูดว่า
“ตามที่ท่านได้พูด พวกเรากลัวจนลืมคำปฏิญาณไปจริงๆ ขอบคุณท่านมากที่เตือนสติเรา ขอท่านสั่งมาเลย เราจะทำตาม”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ