Epidemia: Epic World on Fire
25) Nuclear Winter [Part 2]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมืองทอชกิน่า สหรัฐโวลก้า เวลา 0720 1 วันหลังศึกเมืองมอสกาเชีย
ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางเมืองทอชกิน่า ซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นศูนย์การแพทย์ประจำที่มั่นของทหารโวลกัน ที่ชั้น 5 ซูเปอร์โซลเจอร์โทรลที่ได้รับผลจากเวทมนตร์โจมตีชั้นสูงกำลังนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงคนไข้ที่จัดขึ้นอย่างง่ายๆ หันปลายออกไปทางหน้าต่าง ขณะนี้โอเคอร์ได้สติกลับมาแล้ว ข้างๆ มีนายทหารออร์คหนุ่มยศพันโทนั่งเฝ้าไข้อยู่
ที่นอกหน้าต่างห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรมีดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งกำลังทอแสงสว่างกว่าดวงที่อยู่เหนือหัวขึ้นไปพร้อมกับส่งเสียงคลืนๆ มาให้ได้ยินและแรงสั่นสะเทือนมาให้ได้รับรู้กันทั่วหน้า จากนั้นก็เป็นกลุ่มควันรูปดอกเห็ดลอยขึ้นมา ในขณะเดียวกันโทรทัศน์ที่แขวนอยู่บนเพดานเองก็นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติการด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพทั่วเอไพด์เมียร์ โดยเฉพาะกับสหรัฐโวลก้าที่มีการรายงานว่ามีการใช้ซีดเดอร์ติดหัวรบนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ แบบเดียวกับที่ใช้ยิงใส่กองยานโนเบิลนอกชั้นบรรยากาศ แต่กลับมาใช้ในชั้นบรรยากาศแทน รวมถึงรายงานการใช้หัวรบนิวเคลียร์ซ้อน (Tandem Nuclear) โดยสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่
“เป็นอีกครั้งที่พวกผู้ดีขวัญกระเจิง ต้องขอบคุณเหล่านักการเมืองผู้ปราดเปรื่อง”
เสียงแหบแห้งของอดีตหน่วยจอมเวทชั้นเซียนเปล่งออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแบบกึ่งๆ เยาะเย้ยพวกผู้ดีจอมปลอมกึ่งประชดรัฐบาล เพราะเมืองที่พวกตนพยายามรักษาแต่ถูกยึดจนต้องถอนกำลังออกมา และหวังจะกลับเข้ายึดคืนโดยหวังจะให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด แต่บัดนี้มันกำลังถูกระดมยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ติดหัวรบนิวเคลียร์เป็นระยะๆ
“ไม่ต้องมาทำประจบเลยนะ อย่าลืมว่าพวกแกยังไม่พ้นข้อหากบฏ”
พันโทออร์คว่าเสียงเรียบพลางมองออกนอกหน้าต่างอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“แกเชื่อเหรอวะ เยฟเกนี่ ว่าพวกเรายิงพวกเดียวกัน”
โอเคอร์เหลือบตามองพันโทออร์คหนุ่มพร้อมเลิกคิ้ว เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ไม่เชื่อหรอกจนกระทั่งได้เห็นภาพที่ส่งมา”
พันโทเยฟเกนี่หันไปตอบ
“ภาพที่แกได้ดูไปมันบอกไม่หมดหรอก”
“จริงๆ ฉันก็ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก มีหลายอย่างที่น่าสงสัยในภาพที่ส่งมา ผู้การมาโกลอฟกับไอ้โคจิโร่เองก็คิดเหมือนฉัน แต่คนอื่นๆ กลับไม่ตั้งข้อสงสัยอะไรเลย”
“แล้วคนอื่นๆ อยู่ไหน”
“ไอ้โคจิโร่กำลังสอบสวนอยู่”
อีกด้านหนึ่งสองสาวซูเปอร์โซลเจอร์และเหล่าทหารที่รอดจากการปะทะกับกองกำลังกบฏในเมืองมอสกาเชีย (ในความคิดของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์) ภายในห้องกว้างขนาดสี่เสื่อที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายที่สุด คือเป็นผนังทาสีน้ำเงินอมเทา กลางห้องเป็นเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งสำหรับให้ผู้ต้องหานั่ง ในขณะนี้เป็นคราวของจอมเวทเกรย์เอลฟ์สาว มีเสียงดัดแปลงให้ฟังดูทุ้มใหญ่ก้องกังวาลดังออกมาจากผนังรอบห้องว่า
“คุณบอกว่าคุณไปสำรวจเส้นทางเพื่อปลดและทำลายกับดักเพื่อเปิดทางให้รถไฟใต้ดินที่พาพวกคุณมาที่นี่... ใครช่วยคุณปลดกับดัก”
“ไปคนเดียวค่ะ”
ผู้ถูกสอบสวนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตามองไปยังทิศหนึ่งอย่างแน่วแน่
“คนเดียวเหรอ... บอกหน่อยสิว่าอะไรจะทำให้ผมเชื่อคุณ”
“ประสบการณ์ของคุณไงคะ ผู้พัน”
“ถ้างั้นคุณก็คงจะเป็นพวกหัตถ์พระเจ้าละมั้ง เพราะประสบการณ์ของผมมันบอกว่าการจะปลดกับดักที่แน่นหนาขนาดนั้นเป็นระยะทางจากสถานีในเมืองมอสกาเชียที่ใกล้กับสถานีที่ใกล้ที่สุดในเมืองทอชกิน่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 90 นาที แต่จากปากคำของคนอื่นๆ บอกว่าคุณใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง การจะทำให้ได้เวลาขนาดนั้นต้องมีอย่างน้อย 2 คน ตอบมาใครช่วยคุณปลดและทำลายกับดักพวกนั้น”
“ฉันทำคนเดียวค่ะ ใช้เวทมนตร์โจมตีไงคะ”
นายทหารจอมเวทสาวยังคงยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น สายตายังคงจับไปยังทิศทางเดิมเหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างอยู่ และมีอะไรบางอย่างกำลังมองตอบ
“ก็ 90 นาทีเนี่ยแหละสถิติพวกจอมเวทล่ะ ถ้าไม่เชื่อลองไปถามคนที่เกือบแห้งตายเพราะระเบิดสุริยะทมิฬที่กำลังนอนพักฟื้นอยู่ก็ได้”
“แต่เขาเป็นซูเปอร์โซลเจอร์ไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ ตอนนี้เขาสังกัดหน่วยซูเปอร์โซลเจอร์... ถ้าคุณอยู่ในหน่วยจอมเวทมานานพอคุณคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสิบอันดับจอมเวทหัตถ์พระเจ้ามาบ้าง หนึ่งในสิบนั่นเป็นเพื่อนรักของผมคนหนึ่ง อันดับ 5 เดอะแบล็คเฮลไรเซอร์ (The Black Hell Raiser) หรือในขณะนี้ก็คือ ร้อยเอก โอเคอร์ เอลวาดอน รหัสเรียกขาน แมดอาร์ม คนนี้แหละเจ้าของสถิติ 90 นาที”
สิ้นเสียงก้องใหญ่ๆ จอมเวทเกรย์เอลฟ์สาวก็ต้องอึ้งจนพูดไม่ออก ผู้สอบสวนจึงว่าต่อไป
“เอาล่ะ มาต่อกันดีกว่า คุณคิดว่าจอมเวทต๊อกต๋อยอย่างคุณจะมีอะไรที่ทำให้ผมเชื่อได้บ้างว่าคุณสามารถทำอย่างที่คุณว่ามาได้ภายใน 1 ชั่วโมง”
จ่าสิบเอกซาแมนธ่าเงียบ ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างกลุ้มๆ พลางก็ร่างความคิดในหัวอย่างหนักไปด้วย แต่คิดเท่าไหร่ก็มีแต่ความคิดที่ไม่น่าจะใช้ได้ ฝ่ายผู้สอบสวนจึงว่าความต่ออย่างเยือกเย็นด้วยน้ำเสียงใหญ่ที่ถูกดัดแปลงผ่านเครื่องแปลงเส้นเสียง
“เอาแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อคุณเองก็ไม่มีอะไรจะทำให้ผมเชื่อว่าคุณทำแบบนั้นได้ ในขณะเดียวกันผมเองก็ไม่มีอะไรจะพิสูจน์ว่าคุณมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกบฏ ผมจะเลื่อนการสอบสวน...”
พูดยังไม่ทันได้ขาดคำ ท่วงทำนองการพูดก็เปลี่ยนไป ซึ่งฟังดูเหมือนมีการเพิ่มจำนวนผู้พูดและมีเสียงเอะอะผ่านออกมา แม้จะเป็นน้ำเสียงเดียวกันหมดแต่ก็พอจับใจความได้ว่า “อย่าเชื่อตัวเลขให้มากนักผู้พัน ตอนผมทำสถิตินั่นผมก็เป็นจ่าจอมเวทต๊อกต๋อยเหมือนกัน”
“หยุด พวกคุณออกไปก่อน จ่าสิบเอก ซาแมนธ่า แมคโกเฮล์ม ผมจะเลื่อนการสอบสวนคุณไปก่อน ส่วนพวกแก...”
กระแสเสียงสังเคราะห์หยุดไปเพียงแค่นั้น จ่าสิบเอกเกรย์เอลฟ์สาวรู้ได้ทันทีว่ามีการลัดคิวการสอบสวนเกิดขึ้น และผู้ที่มาลัดคิวนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของสถิติปลดและทำลายกับดักในทางรถไฟใต้ดินภายใน 90 นาที จากนั้นไม่นานประตูอัตโนมัติบานเดียวที่ใช้เข้าออกก็เลื่อนเปิดออก ทหารสองนายเดินเข้ามาคุมตัวเธอไปเพื่อไปกักตัวรวมกับคนอื่น
“นี่แกจะบอกฉันว่าแค่ครึ่งชั่วโมงแกก็กวาดพวกมันได้หมดแล้วเปิดทางให้รถไฟวิ่งอย่างปลอดภัยได้เหรอ”
เจ้าของน้ำเสียงแห่งความประหลาดใจคือนายทหารเอลฟ์หนุ่มหน้าอ่อนติดยศพันโทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมุนบุนวมเบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งเอากำปั้นเท้าแก้มเอาไว้ในขณะที่ส่งสายตาขุ่นเขียวไปยังโอเคอร์และเยฟเกนี่ที่กำลังพยุงตัวผู้ป่วยพิษเวทมนตร์ขั้นสูงเล่นงาน นายทหารผู้สอบสวนเห็นท่าทางของทั้งคู่แล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกให้พันโทเยฟเกนี่ลากเก้าอี้มานั่ง
“จะให้เร็วกว่านั้นก็ได้ ถ้าแกให้จอมเวทพลเรือนมาร่วมการฝึกด้วย”
โอเคอร์เปล่งเสียงแหบๆ ตอบกลับอย่างมั่นใจ ทำเอาพันโทโคจิโร่แทบผงะ แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วก่อนตอบกลับไปด้วยประสบการณ์ของตนเช่นกัน
“เคยแล้ว มีแต่พวกขี้หมาทั้งนั้น แต่ละคนไม่มีใครเทียบแกติดฝุ่นเลย หรือแม้แต่จะเทียบรุ่นกับแม่จอมเวทหนึ่งชั่วโมงคนนั้นก็ยังห่างไกล เห็นแต่ละคนอวดอ้างซะ โอ้โห ท่านประธานสมาคมเวทมนตร์โบราณ จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่แห่งซานตินาสตอนใต้ ท่านเจ้าสำนักคริมสันสตอร์ม ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนจอมเวทอนาสโตเรีย และอีกหลายท่านผู้ทรงพลังอำนาจ แค่ฉันบอกว่าจ่าสิบเอกในหน่วยจอมเวทกองทัพบกสหรัฐโวลก้าคนหนึ่งทำได้ดีกว่านั้นมากก็มาหาว่าฉันขี้คุย ขี้อวด แล้วก็ไม่รักษาน้ำใจ แถมมาขู่ฉันอีกว่าจะแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท”
“แล้วใครบอกว่าฉันหมายถึงพวกจำอวดพวกนั้นกัน”
ร้อยเอกจอมเวทยอดชั้นเซียนเอ่ยเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงแหบๆ แต่มีพลังจนพันโทเจ้าหน้าที่สอบสวนต้องชะงักกึก สายตาจ้องเขม็งไปยังโทรลเพื่อนรักพลางเม้มปากด้วยความอึ้งกับความหมายของคำพูดนั้น จากนั้นจึงยิงคำถามไปว่า
“นี่แกคงจะไม่ได้หมายถึงคุณวลาดิเมียร์ ซาโดรนอฟ อาจารย์ของแกหรอกนะ จะอัญเชิญวิญญาณของเขามารึยังไง”
“เปล่า แต่เป็น เลฟ ซาโดรนอฟ ลูกชายของท่านต่างหาก”
โคจิโร่ทำหน้าแหยทันใด
“นี่แกกะจะเชิญเขามาพิสูจน์ให้ดูรึไง ไม่ได้นะโว้ย เราต่างก็รู้ว่าเมืองนี้จะถูกโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ เรามีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชน เราจะไม่ทำให้เขาต้องเสี่ยงภัยโดยไม่จำเป็น แม้จะเป็นอาชญากรต้องโทษประหารก็ตาม”
สิ้นเสียง เยฟเกนี่ก็ยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะหึหึแล้วเริ่มพูดบ้าง
“นั่นแหละประเด็น ในเมื่อคนที่อ้างว่าทำได้ใน 30 นาทีกำลังทุพพลภาพและคนที่ทำได้เร็วกว่านั้นมาไม่ได้ ทำไมไม่ลองให้คนที่ทำได้ใน 60 นาทีลองพิสูจน์ดูล่ะ แล้วก็เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้อีกขั้นก็ให้ทดสอบอีกรอบโดยให้ทำตามคำบอกของ... เจ้าของสถิติ 90 นาที”
โคจิโร่เงียบ นั่งนิ่งทำตาเหลือกมองเพื่อนรักทั้งสองสลับกันไปมา ในขณะที่โอเคอร์พยักหน้าเนิบๆ พร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยกับความคิดของเยฟเกนี่ ...ไอ้เยฟเกนี่เอ้ย จะบอกว่าแกกล้าหาญโคตรๆ หรือโง่ชั่วขณะดีวะ แกเป็นถึงเสนาธิการหัวกะทิที่แม้แต่พวกนายพลยังเกรงใจ แต่แกพามันถ่อสังขารมาก็เพราะจะช่วยผู้ต้องหาที่อาจบริสุทธิ์แต่ดันโดนกับดักพวกกบฏเข้าเต็มๆ แต่ถ้าแม่นั่นทำพลาดแกจะซวยไปด้วยรู้ตัวรึเปล่า... เจ้าหน้าที่สอบสวนบ่นในใจก่อนถอนหายใจหนักหน่วงแล้วตอบตกลง
“ก็ได้ ทดสอบครั้งเดียว ห้ามเกิน 1 ชั่วโมง ถ้าเกินพวกแกและผู้ต้องหาคนอื่นจะถูกจับส่งศาลทหารข้อหาให้ความช่วยเหลือกับกบฏ และเธอคนนั้นก็จะถูกจับยิงเป้าข้อหาเข้าข้างและสมรู้ร่วมคิดกับกบฏเป็นเหตุให้เราเสียพื้นที่เมืองมอสกาเชีย”
อีกด้านหนึ่งในใจกลางเมืองมอสกาเชีย นักรบโนเบิลผู้หนึ่งกำลังขดตัวกลมอยู่ภายในตู้เซฟใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่ง ในขณะที่เบื้องนอกมีแสงสว่างวาบยิ่งกว่าดวงตะวันสาดไปทั่วภูมิประเทศพร้อมกับส่งเสียงกัมปนาถสะเทือนถึงทรวงและแรงสะเทือนปานแผ่นดินไหว
“พวกสวะเสียสติไปแล้วรึไง ยิงถล่มเมืองตัวเองด้วยปืนใหญ่โอเวอร์บูมเมอร์”
เสียงบ่นของพันเอกวัยกลางคนผู้บัญชาการกองกำลังบุกจู่โจมเมืองมอสกาเชียดังงึมงำออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อทุกอย่างสงบลงเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางที่เมื่อยล้าแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบที่สุดเท่าที่ร่างกายอันอ่อนล้าของเขาจะอำนวย จากนั้นจึงเริ่มติดต่อไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของตนท่ามกลางความเงียบสงัด รายล้อมไปด้วยตึกร้างที่พังทลายเพราะกระสุนปืนใหญ่ติดหัวรบนิวเคลียร์
“นี่พันเอก ลีออน คาลิสตัน ถึงทุกหน่วย รายงานความเสียหายด้วย”
เขาเปล่งเสียงเรียบๆ เข้าอุปกรณ์สื่อสารที่ส่งเสียงซ่าอย่างสม่ำเสมอเพราะคลื่นช็อกที่มากับระเบิดนิวเคลียร์ แม้จะเคยผ่านศึกมาครั้งหนึ่งแต่บรรยากาศโดยรอบก็ทำให้เขารู้สึกสยองใจขึ้นมาได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่ดังแทรกเสียงซ่าของอุปกรณ์สื่อสารออกมานั้นเป็นของทหารใต้บังคับบัญชาของตน เป็นเสียงที่แสดงถึงความตกใจและหวาดกลัวได้เป็นอย่างดี แม้จะมีบางกลุ่มยังคงรักษาขวัญกำลังใจเอาไว้ได้อย่างดีก็ตาม แต่โดยรวมนั้นมีแต่สัญญาณที่บ่งบอกถึงการยอมจำนน และในเวลานี้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกสถานการณ์รอบข้างบีบบังคับให้ยอมจำนน
“ลีออน! ลีออน!”
ทันใดนั้นพันเอกวัยกลางคนก็ได้ยินเสียงร้องเรียกจากชายวัยเดียวกันดังมาจากข้างหลัง เขาจึงหันกลับไปแล้วร้องเรียกตอบ
“อัล! นั่นเจ้ารึเปล่า”
“นี่ข้าเอง ลีออน”
สิ้นเสียงเจ้าของเสียงก็วิ่งกะเผลกเข้ามาหาพันเอกเพื่อนซี้ ในขณะเดียวกันเพื่อนซี้ก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปพยุงร่างของจ่าสิบเอกพลขับยานบัญชาการเอาไว้ คำถามแรกที่ออกจากปากของผู้บัญชาการกองพลน้อยคือ
“แล้วคนอื่นๆ อยู่ไหน เจ้าเด็กอวดดีนั่นด้วย”
“ไว้จะบอก แต่เห็นหน้าเจ้าเด็กอวดดีนั่นครั้งสุดท้ายก็ตอนที่กระสุนปืนใหญ่โอเวอร์บูมเมอร์นัดที่สองลง... โอ้ย จะบ้าตาย มันลงมา 3 นัดทุกๆ สองอัสมานิค”
แม้จะได้ยินแต่เสียง แต่ลีออนก็นึกภาพใบหน้ายู่ยี่ของเพื่อนรักของตนภายใต้หมวกรบได้อย่างชัดเจน ซึ่งใบหน้าของเขาในขณะนี้ก็ยับไม่แพ้กันเพราะความหงุดหงิดและความเครียด
“ชั่วโมงละนัด บวกลบไม่เกิน 5 นาที”
คำแรกลีออนว่าเป็นภาษาโอเคอร์โน
“อะไรนะ”
อัลขึ้นเสียงเล็กน้อย
“หน่วยเวลาของที่นี่ 1 อัสมานิคเท่ากับ 90 นาที 1 ชั่วโมงมี 60 นาที และ 2 นาทีเท่ากับ 1 มานิค พวกมันจะยิงถล่มเราทุกๆ 30 มานิค จับเวลาเอาไว้เลย”
“เราต้องแจ้งทุกคนด้วย เดี๋ยวนี้เลย”
“นั่นแหละปัญหา ครั้งล่าสุดที่ข้าพยายามสื่อสารกับทุกหน่วยมันมีแต่เสียงซ่า เสียงที่ตอบกลับมาก็แทบฟังไม่รู้เรื่อง รู้สึกว่าสิ่งที่มากับโอเวอร์บูมเมอร์จะไม่ได้มีแต่แรงระเบิดขนาดมโหฬารและกัมมันตภาพรังสี แต่มันปล่อยคลื่นช็อกออกมาด้วย ซึ่งมันจะทำให้อุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดได้รับความเสียหาย”
“ถ้างั้นเราน่าจะลองลอบเข้าไปทำลายที่ตั้งปืนใหญ่ของพวกมันดู”
ลีออนส่ายหน้า
“พวกเราเนี่ยนะ ลอบเข้าไปทำลายฐานปืนใหญ่ของพวกมัน...”
แล้วผู้บัญชาการกองกำลังจู่โจมก็หัวเราะออกมาเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน แล้วว่าต่อแบบกึ่งเสียดสี
“พวกเราชาว ‘โนเบิล’ โนเบิล แปลตรงตัวในภาษากลางของดาวดวงนี้แปลว่า ผู้ดี ผู้ที่เจริญแล้ว ผู้สูงศักดิ์ แล้วจะให้ลอบโจมตี... พวกผู้ดีเขาไม่ลอบกัดกันหรอกจริงไหม ดูอาวุธอันทรงพลังของเราซะก่อน ยิงออกไปแต่ละทีก็เหมือนประกาศตัวออกไปว่า “ข้ามาแล้ว” จากนั้นพวกสวะก็จะออกมาต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างสมเกียรติ ด้วยเสียงเพลงที่แต่งสดขึ้นด้วยปืนกล กลีบดอกไม้ที่ทำจากกระสุนปืนใหญ่ ระบำดาบของซูเปอร์โซลเจอร์ พร้อมด้วยรอยยิ้มของนกเหล็ก ของว่างก็คงจะเป็น...”
“พอแล้ว ข้ารู้แล้วว่าเจ้าจะบอกอะไร”
อัลร้องออกมาแทบจะแหกปากอย่างสยดสยอง เขาเสนอความคิดออกไปเพราะความกดดัน ซึ่งเพื่อนของเขาก็กดดันไม่แพ้กัน แต่ดูท่าทางแล้วจะสุขุมกว่าเยอะ พลขับยานบัญชาการจึงถามต่ออย่างจนปัญญาว่า
“แล้วจะเอายังไง”
“เราจะลอบเข้าไป...”
พูดออกมาเพียงแค่นั้น อัลก็ทำท่าจะเถียง แต่ลีออนก็ยกมือปรามเอาไว้
“ฟังก่อน เราจะไม่ทำลายฐานปืนใหญ่ของพวกมัน แต่เราจะลอบเข้าไปลักพาตัวคนสำคัญของพวกมัน แล้วประกาศออกไป พวกมันก็จะหยุดประเคนระเบิดมหาประลัยพวกนี้ใส่เรา... คิดว่านะ”
“เดี๋ยวๆ นี่มันหนักกว่าการลอบทำลายอีกนะ ถ้าโดนจับได้เราก็จะมีสภาพไม่ต่างจากพวกนอกรีต”
คราวนี้อัลแย้งเสียงหลง ทว่าลีออนกลับหัวเราะหึหึ
“แล้วตอนนี้เราไม่ใช่เหรอ อัล จะบอกให้นะแค่คิดต่างก็ถือเป็นพวกนอกรีตแล้ว หลังสงครามครั้งที่สองพวกเราก็ได้หยั่งขาข้างหนึ่งเข้าไปในเขตพวกนอกรีตแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าไอ้เด็กอมมือนั่นเขียนรายงานเกี่ยวกับคำสั่งของข้าขึ้นไปถึงเบื้องบนได้เราก็โดนอยู่ดี... ความจริงเจ้าฉลาดมากนะอัล แต่เสียตรงที่เจ้ากลัวพวกผู้เฒ่ามากไปหน่อย ไหนๆ เจ้าก็คิดแผน ‘สกปรก’ แบบนั้นได้แล้วทำไม ‘สกปรก’ อีกหน่อยจะเป็นอะไร”
สิ้นเสียงของผู้บัญชาการกองกำลังจู่โจม จ่าสิบเอกพลขับยานบัญชาการก็อึ้งเงียบไปพักหนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างหวาดระแวง กลัวว่าจะมีกระสุนปืนใหญ่ติดหัวรบโอเวอร์บูมเมอร์ตกลงมาอย่างไม่คาดฝัน และในขณะเดียวกันก็ตั้งความหวังให้มันเลิกตกลงมาเสียที จากนั้นก็กลับลงมามองหน้าเพื่อนของตนทะลุผ่านหมวกรบ จากนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วตอบตกลง
“เยี่ยม เป็นเพื่อนข้าต้องใจถึงแบบนี้ ตอนนี้เรากำลังจะปฏิบัติการช่วยชีวิต ไม่ใช่ทำสงคราม การลักพาตัวคนสำคัญของพวกสวะจะช่วยชีวิตพวกเราได้มาก”
ภายใต้หมวกรบนั้นลีออนยิ้มแก้มปริ นึกนับถือน้ำใจของเพื่อนซี้ ซึ่งทีแรกเขาไม่คิดว่าจะเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จด้วยซ้ำ แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า
“ทีนี้ถ้าเกิดเบื้องบนระแคะระคายขึ้นมาก็บอกว่าข้าขู่จะยิงเจ้าแล้วกัน”
“ไม่ ถ้ารอดก็รอดด้วยกัน ถ้าโดนก็ต้องโดนด้วยกัน ข้าไม่มีทางขายเจ้าเด็ดขาด”
“เพราะแบบนี้ข้าถึงนับถือเจ้าเป็นเพื่อนแท้ไง อัล เอาล่ะ งานนี้ข้าคงจะลากเจ้าไปซวยคนเดียวคงไม่ได้ ต้องขออาสาอีกอย่างน้อย 3 คน”
“ข้าพอจะรู้ว่าพวกเราไปหลบอยู่ที่ไหนบ้าง ตามข้ามาเลย”
จ่าสิบเอกพลขับยานบัญชาการว่าพร้อมกับหันหลังเดินนำไปด้วยท่าทางกะเผลกแบบเดียวกับขามา ซึ่งทำให้เพื่อนซี้ยศพันเอกอดห่วงไม่ได้ ลีออนจึงทักขึ้นว่า
“ว่าแต่ ขาแบบนั้นแน่ใจว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงเหรอ อัล”
“เท้าแพลงนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย”
คุยกันจบเท่านั้น อัลก็ยังคงวิ่งขากะเผลกต่อไป แต่ลีออนก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ในชุดรบจะยังคงทำงานได้ปกติอยู่หรือไม่ หลังจากที่โดนคลื่นช็อกระลอกแล้วระลอกเล่าที่มากับหัวรบโอเวอร์บูมเมอร์ ซึ่งรวมทั้งอุปกรณ์ปฐมพยาบาลด้วย เขาจึงเริ่มตรวจจากของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าแม้อุปกรณ์เหล่านั้นจะมีอาการรวนๆ อยู่บ้างแต่ก็ยังคงอยู่ในระดับปลอดภัย
เพื่อนรักยศจ่าสิบเอกพาออกกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามถนนใหญ่โล่งๆ สลับกับผ่านอาคารที่ยังไม่ถูกทำลายเป็นทางลัดไปเรื่อยกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่หลบของคนที่จะอาสาร่วมภารกิจที่ไม่เป็นทางการอัน ‘สกปรก’ ของผู้บัญชาการกองกำลังจู่โจม อัลหยุดวิ่งพลางโบกมือเป็นสัญญาณให้กับลีออนหยุดตาม จุดหมายแรกของทั้งคู่เป็นตึกหอพักนักศึกษาขนาดเล็กที่ยังมีสภาพดีอย่างเหลือเชื่อ
มีเสียงร้องตะโกนดังมาจากห้องซักรีดที่อยู่ทางขวาสุดของอาคารว่า
“ลาซิกต์”
แล้วอัลก็ตะโกนตอบกลับไปทันทีว่า
“เกาเนอร์”
“ขานรหัสป้องกันการยิงพวกเดียวกันเหรอ เมื่อกี้ยังกลัวโดนจับไปเรียนใหม่เพราะรับวัฒนธรรมที่ด้อยกว่ามาใช้อยู่เลย”
เป็นเสียงเรียบๆ ของเพื่อนรักยศพันเอกอย่างเหน็บแนม อัลไม่ตอบอะไร เพียงแต่เผยรอยยิ้มภายใต้หมวกรบเท่านั้นแล้วเดินนำเข้าไปในตัวอาคารอย่างเร่งรีบ
“อาวุธของพวกเราเป็นยังไงบ้าง”
มาถึงที่หลบภัย อัลก็เอ่ยถามกับนายทหาร 2 คนที่นั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ที่โต๊ะโลหะ บนโต๊ะมีทั้งอาวุธเลเซอร์และพลาสม่าที่ทหารโนเบิลใช้กองรวมกันอยู่ ซึ่งถูกแยกชิ้นส่วนออกอย่างมั่วซั่วอยู่ตรงหน้านายทหารยศร้อยเอกร่างใหญ่ที่กำลังกุมขมับอย่างกลุ้มๆ อยู่
“เจ๊ง”
เป็นคำตอบห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงชายวัยกลางคนจากร้อยเอก แล้วอัลก็ถามต่อว่า
“แล้วเอสม่าอยู่ไหน”
“ไปหาอาวุธของพวกสวะที่ยังพอใช้ได้...”
นายทหารยศร้อยตรีเหลือบไปเห็นบุคคลที่จ่าสิบเอกพลขับพามาด้วยก็ถือโอกาสถามขึ้นอย่างเป็นกันเองว่า
“เออ ลีออน ในฐานะของผู้บัญชาการกองกำลังนี้เจ้าว่าเราควรจะทำยังไงต่อ”
ลีออนหัวเราะร่วน ก่อนตอบว่า
“ก็เพราะแบบนี้แหละ ข้าถึงได้ให้อัลพาข้ามาที่นี่ไง ข้ามีแผนจะทำให้พวกสวะหยุดยิงปืนใหญ่โอเวอร์บูมเมอร์ใส่เราได้แล้ว และข้าต้องการอาสาสมัครเพิ่มอีก 3 คน”
สิ้นเสียงของผู้บัญชาการ นายทหารที่นังอยู่ทั้งสองก็สะดุ้งพลันหันมามองที่ลีออนเป็นตาเดียวพร้อมกับเสียงครางอย่างประหลาดใจ ในขณะที่หนึ่งในนั้นกำลังจะเอ่ยปากถามเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว อัลก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“มันออกจะบ้าบิ่นแล้วก็ออกจะเสียสตินิดๆ ถ้าจะว่ากันตามตรงนะ แผนที่ว่าก็คือการลักพาตัวผู้บัญชาการของศัตรูไง ส่วนเรื่องความเสี่ยงก็คงจะรู้ๆ กันดีนะ”
เมื่อได้คำตอบของคำถามที่กำลังจะถาม ทั้งสองก็ถึงกับผงะ และก่อนที่จะได้ปริปากบ่นและคัดค้าน ลีออนก็โบกมือปรามเอาไว้แล้วพูดอย่างรวบๆ ว่า
“ข้าไม่บังคับพวกเจ้า แต่นี่เป็นภารกิจช่วยชีวิตทหารฝ่ายเรา เลือกเอา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนมาจากเบื้องนอกว่า
“เอ็มบ้า!”
“ลาซิกต์!”
ร้อยตรีขานตอบ จากนั้นก็มีเสียงย่ำเท้าเข้ามาอย่างเร็ว
นายทหารยศจ่าสิบเอกวิ่งกระหืดกระหอบมายังห้องซักรีดที่มีนายทหารสี่คนกำลังคุยกันอยู่ก่อนแล้ว หัวไหล่ทั้งซ้ายและขวาสะพายปืนยาวข้างละสองกระบอก ส่วนในอ้อมแขนมีอีกสองกระบอก ในมือก็กำกล่องกระสุนเอาไว้จนแทบล้นมือ รวมถึงในเป้ผ้าใบที่สะพายมาก็มีปืนอีกหลายกระบอก กระสุนอีกหลายกล่องรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นใส่รวมกันไว้
เมื่อนายทหารยศร้อยทั้งสองที่มาอยู่ก่อนเห็นคนที่แบกอาวุธเข้ามาก็พยักหน้าตกลงกับแผนของลีออนโดยปริยาย ก่อนจะลุกขึ้นไปช่วยเอสม่าปลดสัมภาระ
“เมนเดอร์ เซรัท อาวุธของเราเป็นยังไงบ้าง”
เอสม่าเอ่ยถามในขณะปลดเป้วางลงกับพื้น
“เดี้ยงสนิท”
ร้อยเอกตอบเรียบๆ ก่อนเหลือบไปมองร้อยตรี ซึ่งอีกฝ่ายก็มองตอบส่งสายตาให้กันเหมือนเกี่ยงกันบอกเรื่องแผนการของผู้บัญชาการกองกำลังจู่โจมกับจ่าสิบเอกที่แบกอาวุธพะลุงพะลังมาวางกองไว้ จนกระทั่งร้อยตรีเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกเอง แล้วเอสม่าก็ร้องออกมาอย่างตกใจ แหกปากด่าลีออน
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอลีออน แผนของเจ้าจะทำให้โดนส่งกลับไปเรียนใหม่กันหมด”
“ใจเย็นๆ เอสม่า เราจะโดนส่งกลับไปเรียนใหม่เหมือนกันเพราะอาวุธที่เจ้าหามาให้เรา”
ร้อยตรีว่า
“ถูกต้อง มันสายไปแล้วที่จะปฏิเสธ แล้วถ้าเราทำสำเร็จ ถึงเราจะถูกส่งกลับไปเรียนใหม่จริง แต่อย่างน้อยพวกสวะจะได้หยุดยิงเราด้วยปืนใหญ่นรกพวกนั้นซะที”
ร้อยเอกเสริม จ่าสิบเอกเอสม่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เม้มปากเป็นเส้นตรงราวกับจะแสดงใบหน้าทะลุหมวกรบออกมาให้เหล่าเพื่อนพ้องเห็น ก่อนจะพยักหน้าตกลงอย่างจำใจ
“เอาก็เอา ถูกยิงตายก็ยังดีกว่าตายเพราะกัมมันตรังสี ว่าแต่มีใครรู้บ้างว่าทำไมอาวุธเราถึงได้ใช้การอะไรไม่ได้แบบนี้”
“สิ่งที่มีกับโอเวอร์บูมเมอร์พวกนั้นไม่ได้มีแค่รังสีชนิดต่างๆ แต่ปฏิกิริยาการระเบิดของมันปล่อยคลื่นช็อกออกมาด้วย ซึ่งมีผลต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ทำให้รวนไปจนถึงใช้การไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าปืนไฮเทคของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น และชุดรบของเราด้วย”
ผู้อธิบายคือลีออน ส่วนที่เหลือยกเว้นอัลต่างพากันอึ้ง แล้วผู้บัญชาการกองกำลังจู่โจมก็หันไปถามร้อยเอกว่า
“เมนเดอร์ ในฐานะที่เจ้าเป็นนักศึกษาดีเด่นของสถาบันวิทยาศาสตร์ มีอะไรที่จะกันเราจากคลื่นช็อกได้บ้าง”
เสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเศร้าดังขึ้นจากร้อยเอกเมนเดอร์พร้อมกับคำตอบแบบสิ้นหนทางว่า
“ไม่รู้ เพราะทั้งพวกรุ่นพี่ ทั้งอาจารย์ หรือแม้แต่ห้องสมุดไม่มีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับคลื่นช็อกเลย ที่ร้ายกว่านั้นคือรายละเอียดที่ว่ามีแค่ “มันอาจทำให้ท่านรู้สึกวิงเวียนศีรษะ” เท่านั้น แถมยังบอกมาว่ามันเป็น “ทฤษฎี” แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง ลีออน ว่ามันทำให้อาวุธและชุดรบเราใช้การได้ไม่เต็มประสิทธิภาพไปจนถึงใช้การไม่ได้”
“ก็เพราะว่าข้าโดนมันตกใส่ตรงหน้าเลยไง เดินอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงหวีดแหลม แหงนมองขึ้นไปก็เห็นมันสะท้อนแสงอาทิตย์มาแวบหนึ่ง ข้าก็รีบวิ่งเข้าไปหลบในอาคารที่ใกล้ที่สุด หลังจากมันระเบิดแล้วข้าก็ออกมา พยายามติดต่อกับพวกเราแต่สิ่งที่ได้คือสัญญาณที่ขาดๆ หายๆ รวมทั้งอาการรวนของชุดรบ ยังไงตอนนี้อย่าเสียเวลากันเลย งานนี้เราคงต้องพึ่งอาวุธของพวกสวะอย่างเดียว เจ้ารู้วิธีใช้มันรึเปล่าเอสม่า”
ลีออนตัดบทเบนสายตาไปยังเอสม่าที่กำลังยกไรเฟิลล่าสัตว์เล็งออกไปนอกตัวอาคารราวกับจะมีศัตรูอยู่ในศูนย์ปืน และดูเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ ลีออนเรียกซ้ำแต่เสียงของเขาก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อัลเดินเข้าไปตบบ่าจนสะดุ้ง เผลอเหนี่ยวไกจนเกิดเสียงดังแก๊ก
“มีอะไรเหรอ”
เอสม่าถามอย่างงงๆ แล้วลีออนก็เอ่ยถามคำถามเดิม
“คิดว่าได้...”
เอสม่าตอบพลางลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าทุกคนแล้วเริ่มอธิบาย ทว่าก่อนที่เขาจะได้อธิบายอะไรก็มีเสียงหวีดแหลมดังขัดขึ้นมาแม้จะไม่ดังมากก็ตามแต่ก็ทำเอาทุกคนยกเว้นร้อยตรีเซรัทเสียวสันหลังไปตามๆ กัน แต่ร้อยตรีเซรัทบอกว่า
“ไม่เป็นไร มันตกห่างจากที่นี่อย่างน้อยครึ่งเทอริน”
เอสม่าจึงเริ่มอธิบาย พร้อมกับชี้นิ้วไปตามส่วนต่างๆ ของปืนประกอบคำอธิบาย
“เอาล่ะ ก่อนอื่นข้าต้องอธิบายองค์ประกอบหลักๆ ในการปฏิบัติการของปืนพวกนี้กันก่อน... อย่างแรก อย่างที่รู้ๆ กันว่าอาวุธของพวกสวะส่วนมากมักจะใช้กระสุนวัตถุ ซึ่งรวมถึงปืนพวกนี้ด้วย เมื่อยิงออกไปแล้วน่าจะมีก๊าสร้อนหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง ทำให้กลไกในปืนสะท้อนถอยหลังดีดปลอกกระสุนออกมาทางช่องคายปลอกกระสุนก่อนจะดันกระสุนนัดใหม่เข้าตำแหน่งยิง...”
ผู้อธิบายชี้นิ้วไปที่คันรั้งเปิดรังเพลิงพร้อมทั้งดึงๆ ปล่อยๆ ให้ดู
“ด้ามตรงนี้เอาไว้ดันตัวจุดชนวนกระสุนไปที่ตำแหน่งพร้อมยิง และในขณะเดียวกันก็เปิดช่องคายปลอกกระสุนออกด้วย ดึงเข้าหาตัวแบบนี้ พอปล่อยมันก็จะดันเข้าที่เดิมแต่มันจะไม่ยิงกระสุนออกไป ถ้าเราต้องการจะยิง...”
นิ้วชี้เปลี่ยนตำแหน่งมายังไกปืน
“เราก็เหนี่ยวไกตรงนี้ มันก็คล้ายๆ กับของเรานั่นแหละ เพียงแต่เจ้าพวกนี้มันทำงานได้แม้จะถูกคลื่นช็อก และเมื่อไม่มีกระสุนให้ยิงพอเราเหนี่ยวไกมันก็จะเกิดเสียงแบบนี้...”
แล้วเอสม่าก็เหนี่ยวไกอีกครั้ง เกิดเสียงแก๊ก ก่อนจะยกซองกระสุนขึ้นมาโชว์แล้วอธิบายต่อ
“การบรรจุกระสุนจะใช้ตลับนี่ใส่เข้าไปตรงช่องข้างใต้นี่แล้วดันเข้าไปให้แน่นจนเกิดเสียงแบบนี้...”
แล้วการสาธิตก็ดำเนินต่อ เอสม่าจับซองกระสุนใส่เข้าไปในช่องป้อนกระสุนแล้วตบหนึ่งครั้ง เกิดเสียงดังกริ๊ก
“แล้วถ้ากระสุนหมดก็ให้ใช้นิ้วชี้รั้งด้ามเล็กๆ ใกล้ๆ ช่องใส่ตลับนี่แล้วดึงตลับออกมา เอาอีกตลับใส่เข้าไปแล้วชักด้ามช่องคายปลอกกระสุนเข้าหาตัว แล้วก็พร้อมยิง ส่วนที่ยื่นขึ้นมาตรงปากกระบอกกับแผ่นโลหะที่ตั้งอยู่แถวตรงกลางน่าจะเป็นศูนย์ปืน... การเล็งข้าก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่โชคดีที่ข้าบังเอิญไปเห็นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์เข้า ข้าเลยเอามาด้วย...”
ว่าแล้วจ่าสิบเอกแบกปืนก็หยิบแผ่นกระดาษที่พับไว้ในเป้ออกมาแผ่กางให้ทุกคนดูก่อนจะอธิบายวิธีใช้ปืนต่อ
“และสุดท้าย กระสุน จำไว้ว่าให้หันตลับด้านที่รูกว้างไว้ด้านหน้าเสมอ วิธีใส่กระสุนก็เอาด้านท้ายสอดเข้าไปแบบนี้”
ว่าไปพลางก็จับกระสุนปืนล่าสัตว์ใส่เข้าไปทีละนัดเป็นตัวอย่าง ซึ่งเต็มที่เพียง 10 นัดเท่านั้น จนเมื่อบรรจุเสร็จก็ถอดซองกระสุนเปล่าที่ใส่ไว้ก่อนหน้าออกจากปืนบนตักแล้วใส่ซองใหม่ที่บรรจุเต็มเข้าไปแทนก่อนหันหน้าออกนอกตัวอาคารแล้วยิงออกไปสองนัดแบบกึ่งอัตโนมัติ (เหนี่ยวยิงทีละนัด)
จากที่ดูเหมือนการสาธิตจะจบไปแล้ว หัวหน้าทีมลักพาตัวกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ผู้อธิบายก็สะดุ้งขึ้นนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหยิบสายอะไรบางอย่างที่ดูยุ่งๆ ขึ้นมาพร้อมทั้งสาธิตวิธีการใช้ราวกับผู้เชี่ยวชาญ
“เออใช่ และอีกอย่าง เพื่อความสะดวก รู้สึกว่าพวกสวะจะใช้สายสะพายนี่เป็นที่พกตลับกระสุนพวกนี้ ข้าเลยเอามาเผื่อๆ ไว้ แค่นี้แหละ”
ลีออนเว้นระยะหลังสิ้นเสียงอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าการสาธิตของเอสม่าจบแล้วจริงๆ จึงเริ่มออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชา
“รีบเตรียมยุทโธปกรณ์กันเถอะ ยิ่งไปพาตัวออกมาได้เร็วเท่าไรพวกมันก็ยิ่งหยุดยิงเราเร็วเท่านั้น”
สิ้นเสียง ทุกคนก็รีบจัดแบ่งของทุกชิ้นที่เอสม่าหอบเอามาให้อย่างเท่าๆ กันและเร่งมือทำอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีเอสม่าคอยให้ความช่วยเหลือ และมีกระสุนปืนใหญ่ติดหัวรบนิวเคลียร์เป็นเครื่องเร่งความเร็ว ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเกือบจะเสร็จ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของคนหนุ่มโพล่งขึ้นด้วยโทสะมาจากทางประตูหน้า ซึ่งต้นเสียงก็เป็นนายทหารยศพันตรีหรือรองผู้บัญชาการกองกำลังจู่โจมนาม เบลดัม เฮสเกียร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ