Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  32 วิจารณ์
  38.11K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) War against the Noble 3 [Part 1]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกในอีกมิติหนึ่ง เป็นโลกที่เหมือนนิยายแต่ไม่ใช่ จะว่าเป็นโลกแฟนตาซีก็ไม่เชิง เพราะจะว่าตามเหตุผลของประชากรบนโลกนี้แล้ว มันไม่ใช่โลกแฟนตาซี แต่มันเป็นโลกแห่งวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์ แม้จะเรียกว่าวิทยาศาสตร์ก็ตามแต่มันก็ได้ผนวกศาสตร์หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกัน รวมทั้งด้านมนตราอาคมด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ตามมุมมองของคนในโลกนี้จึงไม่เห็นว่ามันเป็นโลกแฟนตาซี

โลกวิทยาศาสตร์แห่งนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ร่วมกัน หลายเผ่าพันธุ์มักเห็นในนิยาย ดังเช่น มนุษย์ครึ่งสัตว เอลฟ์ คนแคระ ออร์ค โทรล และอีกมากมาย

อาณาจักรต่างๆ ถูกแบ่งเป็นประเทศ โดยใช้เกณฑ์ในการแบ่ง คือ สภาพแวดล้อม จึงแบ่งออกได้เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น แต่ละประเทศมีการปกครองที่ไม่เหมือนกัน แต่ต่างก็มีอุดมคติการใช้ชีวิตเหมือนกัน

ดูจะเป็นโลกที่สวยงามใช่ไหม?

ใช่ ก่อนหน้านี้มันเคยสวยงามราวกับเทพนิยาย ก่อนที่จะถูกบุกรุกโดยเผ่าพันธุ์ลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ‘โนเบิล’ หรือความหมายตรงตัว คือ ผู้ดี หรือ ผู้ที่เจริญแล้ว นั่นเอง เผ่าพันธุ์นี้มีนโยบายการต่างประเทศที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง “เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เผ่าพันธุ์อื่นทุกเผ่าพันธุ์ต่างด้อยกว่าเรา เพื่อจักรวาลที่สวยงาม เราต้องเผยแพร่วัฒนธรรมของเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับมัน คือ สวะ และ สวะ ต้องถูกกำจัด”

“เราคือผู้ที่เจริญแล้ว มาเถิดเจ้าพวกชั้นต่ำทั้งหลาย จงยอมรับวัฒนธรรมของเรา และละทิ้งวัฒนธรรมอันป่าเถื่อนของพวกเจ้าซะ เพื่อตัวของพวกเจ้าเองจะได้เป็นผู้ที่เจริญแล้วอย่างพวกเราบ้าง”

นี่คือประโยคแรกของผู้แทนเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวโนเบิลที่เหยียบย่างเข้ามาในโลกแห่งนี้ แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยความเห็นที่พ้องต้องกันของผู้นำของทุกประเทศ พร้อมกับเหตุผลอันอ่อนน้อมและมีน้ำหนัก

“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็จงตายซะ พวกสวะ”

เป็นคำประกาศสงครามของผู้แทน

ในขณะนั้นโลกนี้ยังไม่มีกองทัพ หรือกำลังทหารอะไรเลย มีเพียงกลุ่มนักสู้ทั่วโลกที่รวมตัวกันต่อต้าน และสามารถขับไล่ออกไปได้สำเร็จแม้ว่าจะเกือบพ่ายแพ้ก็ตาม

ตั้งแต่นั้นมาโลกนี้ก็เริ่มที่จะมีกองทัพ แม้ระยะเริ่มแรกมันจะดูเหมือนว่าจะล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างด้วยซ้ำ แต่ด้วยความกลัวการกลับมาของพวกโนเบิลเป็นแรงผลักดันพวกเขาจึงก้าวต่อไปจนกระทั่งมันเริ่มดูดีขึ้นเป็นลำดับ ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ของเหล่านักสู้ ผนวกเข้ากับวิทยาการที่เป็นทุนเดิมทำให้กำลังทหารของโลกนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพร้อมรบกับใครหน้าไหนก็ได้

ปี 3107 ยุคอวกาศ โลกนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Epidemia (ภาษารัสเซียแปลว่า Epic) เพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่านักสู้ผู้กล้าหาญในอดีต

พวกเขาเริ่มมองหาดาวแนวร่วมในละแวกใกล้ๆ ในรัศมีทำการของยานอวกาศของพวกเขา แต่ก็พบว่าดาวทุกดวงกลายเป็นอณานิคมของพวกโนเบิลไปหมดแล้ว และข่าวการค้นหาแนวร่วมก็ดังไปถึงหูของผู้นำชาวโนเบิล สงครามครั้งที่สองจึงเกิดขึ้น แต่ด้วยกองทัพที่ได้รับการสร้างมาเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการผสมผสานของวิทยาศาสตร์และเวทมนต์อย่างลงตัว ทำให้พวกโนเบิลได้พบว่าพวกตนได้ล้าหลังไปซะแล้ว และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่วันแรกที่เปิดฉากการโจมตี สงครามจบลงในเวลาอันสั้นเพียงไม่ถึง 7 วัน ด้วยความพ่ายแพ้ย่อยยับของโนเบิล

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

เป็นคำถามคาใจของชาวโนเบิลอยู่นานนับร้อยๆ ปี และคำตอบก็ปรากฏขึ้นเมื่อสายลับของพวกเขาที่แทรกซึมหาข่าวอยู่ในกองทัพ Epidemia

ปี 3592 ยุคทองหน่วยรบพิเศษ

‘Super Soldier’

เป็นคำที่สายลับของพวกเขารายงานกลับไปก่อนจะขาดการติดต่อไปอย่างลึกลับ คำๆ นี้ทางเจ้าหน้าที่ทางทหารของโนเบิลได้นำไปวิเคราะห์ร่วมกัน แล้วก็ได้ผลสรุปออกมาว่ามันน่าจะเป็นหน่วยรบพิเศษระดับสูงหน่วยหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สงครามครั้งที่สองจบลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า ในเมื่อพวกสวะนั่นมีได้ ทำไมเราจะมีไม่ได้

เป็นความบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ หน่วยรบพิเศษของกองทัพโนเบิลที่ตั้งขึ้นมาใหม่นาม Glory Liberator มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Super Soldier มาก จะต่างกันก็คงจะเพียงแนวความคิดเท่านั้น ในขณะที่ Super Soldier ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพวกของตนเอาไว้ แต่เหล่า Glory Liberator จะไม่ยอมใช้วิธีสกปรก คดโกงใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อที่จะทำลายศัตรู

สงครามครั้งที่สามกำลังจะปะทุขึ้น Epidemia ที่หวังเพียงจะอยู่อย่างสงบแต่ก็พร้อมจะขับไล่การรุกรานทุกรูปแบบออกไป ในขณะที่ Noble ต้องการที่จะทำลายผู้ต่อต้านวัฒนธรรมของตนให้หมดไป เพื่อจักรวาลที่สวยงาม

โรงเรียนมัธยมอัสกาลิน มณฑลโอกาไลนา ประเทศสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ เวลา 1500

ในห้องเรียนห้องหนึ่ง มีชายออร์คร่างสูงประมาณ 2 เมตรเศษ อายุราว 35-37 ถ้าเทียบกับมนุษย์ สวมเสื้อผ้าสบายตัวแบบกึ่งทางการ เสื้อเชิ้ตแบบรูดซิปแขนสั้นสีเขียวเข้มโดยปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงสแลคสีดำเรียบๆ ขาดเพียงเนคไทและแทนที่จะเป็นรองเท้าหนังกลับเป็นรองเท้ากีฬาผ้าใบหุ้มข้อแทน ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมเป็นงานเป็นการ ผมสีทองแดงสั้นรองทรงหยักศกเสยไปข้างหลังเป็นมันราวกับชโลมเจลทุกวัน จมูกที่ปลายงุ้มลงหายใจแผ่วเบาเรื่อยๆ มือหนึ่งถือหนังสือแบบเรียนวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณกรรม ก้าวเดินไปมาอย่างช้าๆ บนเวทีไม้เนื้อแข็งเตี้ยๆ หน้าห้องเรียน อ้าปากพูด หน้าทรงเหลี่ยมแต่ผอมก้มลงอ่านหนังสือ พลางนัยน์ตาสีเขียวอ่อนก็กวาดจับอยู่ที่เนื้อหาในหน้าหนังสือ คิ้วหนาแทนที่จะขมวดลงอย่างคนที่กำลังคร่ำเคร่งกับอะไรสักอย่าง กลับอยู่ในแนวปกติแบบคนที่กำลังสบายๆ ริมฝีปากหนานานๆ ทีจะมีเม้มปากหรือตวัดปลายลิ้นเลียริมฝีปากกันปากแห้ง

ทางขวาเกือบชิดแขนของเขาเป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีรอยปากกาเลเซอร์เขียนด้วยลายมือหวัดๆ และดูจากขนาดตัวอักษร แปลว่าเจ้าของลายมือนี้ต้องเป็นคนตัวใหญ่ ทางด้านซ้ายเป็นแถวโต๊ะและเก้าอี้นักเรียนที่ทำด้วยพลาสติก แถวตอนละ 5 หน้ากระดาน 8 มีนักเรียนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เอลฟ์ ดาร์คเอลฟ์ ออร์ค โทรล คนแคระ ฮ็อบบิท ก็อบลิน รวมทั้งพวกลูกครึ่งด้วย บ้างตั้งใจเรียน บ้างก็ไม่สนใจแต่ทำแบบแอบๆ บ้างก็เปิดเผย แต่ดูเหมือนครูที่กำลังสอนอยู่จะไม่สนใจอะไรเลย

แล้วเสียงออดก็ดังขึ้น อาจารย์สอนวิชาวรรณกรรมก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดประโยคคลาสสิกที่อาจารย์ทุกคนพึงจะพูด

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ”

ยังไม่ทันที่จะมีเสียงเฮผสมกับเสียงเก็บของเข้ากระเป๋า เขาก็พูดขึ้นอีกประโยค

“รู้สึกว่าวันนี้ท่านเทพธิดาโดเรนเซียจะสั่นออดสวรรค์เร็วกว่าปกตินะ กำลังเพลินเลย แต่ยังไงก็พรุ่งนี้...”

ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยคดีเขาก็เหลือบไปเห็นมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่ง ท่อนบนสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าลินินสีส้มมีแถบพาดเป็นสีน้ำตาลโดยติดกับเสื้อที่รูดซิบถอดลงมาถึงระดับเอวแล้วเอาแขนเสื้อผูกไว้ที่เอว หน้าตาของเขานับว่าหล่อเหลาไม่เบา นัยน์ตาสองสี ข้างซ้ายเป็นสีฟ้าอมเขียว ข้างขวาเป็นสีส้ม ผมสีน้ำตาลเข้มยาวระดับท้ายทอยปลายงอน

ครูออร์คสอนวิชาวรรณกรรมชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพราะคนที่เห็นเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่เป็นเพราะความคุ้นตา

“เอ่อ... ไม่แน่ครูอาจไม่ว่าง เพราะฉะนั้นอาจมีคนมาสอนแทน ครูไปล่ะ”

จบประโยคเขาก็เดินเข้าหาชายหนุ่มมนุษย์รูปงามในทันทีด้วยท่าทางไม่รีบร้อน ก่อนจะยกท่อนแขนขึ้นก่ายท้ายทอยแล้วกอดคอพาเดินไปในที่ปลอดคนโดยทำทีพูดคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องไปตลอดทาง จนกระทั่งทั้งคู่ลับจากสายตาทั้งจากนักเรียนและบุคลากรของโรงเรียน รวมทั้งกล้องวงจรปิด ทั้งคู่เดินมาที่หลังโรงเรียนในมุมลับตา เรื่องไม่เป็นเรื่องก็หยุดในบันดล สีหน้าของครูสอนวิชาวรรณกรรมเคร่งขรึมลงในทันที แขนข้างที่กองคอก็ปลดออก แล้วเปลี่ยนมายืนเผชิญหน้า

“ตอนนี้ฉันกำลังพูดอยู่กับโพลี่หรือดาร์คโพลี่”

ครูออร์คเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึมเป็นประโยคแรก

“โพลี่”

หนุ่มรูปงามตอบเรียบๆ

“ถ่อมาหาฉันถึงที่นี่มีเรื่องอะไร”

ครูออร์คถามอย่างใจเย็น แต่น้ำเสียงออกห้วนส่อถึงความร้อนรุ่มในใจ

“เรื่องสำคัญมาก”

“หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ฉันห่วงนะ”

“ทุกคนห่วงทั้งนั้นไม่ใช่เฉพาะนาย”

ครูวรรณกรรมถอนหายใจหนักยาวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่ใช่ไม่สบอารมณ์เพราะคำตอบอย่างใจเย็นของโพลี่ แต่ไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องที่เขาพอจะเดาออก ซึ่งหนุ่มรูปงามกำลังจะบอก

“กี่วันแล้ว”

เขาถามอย่างคนรู้เรื่องแล้ว

“หกวัน นับตั้งแต่วันที่พวกโนเบิลนอกรีดที่แทรกซึมอยู่ในกองทัพโนเบิลส่งข่าวบอกเรา”

เมื่อได้คำตอบครูออร์คก็แทบจะร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูแต่ก็ระงับไว้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ห้วนขึ้น

“ตั้งหกวัน ทำไมถึงเพิ่งเอามาบอกฉัน”

“ก็นั่นแหละ ตั้งหกวัน ก็เพราะแกเล่นมาอยู่ที่มณฑลโอกาไลนา แทนที่จะเป็นกรุงไลด์ ฉันบึ่งมอเตอร์ไซค์ทั่วหมู่เกาะทางตะวันออกจนล้อแทบพัง เพราะข่าวลวกๆ ของชาวบ้านเรื่องครูสอนวิชาวรรณกรรมที่เป็นออร์คที่ชื่อ เซอร์คอเช่ อาบาโคล่า จนสุดท้ายชาวบ้านแถวนั้นก็บอกว่า ‘เขาย้ายไปทางหมู่เกาะตะวันตกแล้ว’ ซึ่งฉันก็บิดจนหน้าดำเสียเวลาไปเต็มๆ อีก 4 วันจนมาเจอแกที่นี่”

โพลี่อยู่ก็มีบุคลิกที่เปลี่ยนไป แล้วให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จ้องตาของครูออร์คอย่างเคืองใจ

“เอาล่ะๆ โพลี่หรือดาร์คโพลี่ จะใครก็ช่าง ฉันขอโทษความจริงแล้วฉันมาเป็นครูที่นี่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฉันไม่ได้จงใจหนีใครหรอกนะ แต่บางทีฉันก็ลืมตัวไปบ้าง ตอบรับเขาไปจนลืมไปว่าตัวเองเป็นซูเปอร์โซลเจอร์”

ขาดคำของเซอร์คอเช่ ก็มีเสียงร้องแหลมขึ้นมาในทันใด ทั้งคู่หันไปมองที่ต้นเสียง ก็พบกับนักเรียนของเซอร์คอเช่สองคน ผู้ชายเป็นเอลฟ์สูงประมาณ 170 ซ.ม. ยืนอ้าปากค้างเบิกตากว้างมองมายังทั้งคู่ และผู้หญิงเป็นลูกครึ่งเอลฟ์กับออร์ค ซึ่งเดาไม่ยากนักว่าคงเป็นเจ้าของเสียงกรี๊ด เธอสูงประมาณ 170 ซ.ม. เช่นกัน กำลังจ้องตาเป็นมันมาที่เซอร์คอเช่

ซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสองลืมเรื่องที่กำลังคุยกันไปชั่วขณะ เงียบไปครู่หนึ่ง

“พวกเธอเก็บความลับได้รึเปล่า”

แล้วบุคลิกเดิมของโพลี่ก็กลับมาอีกครั้ง เอ่ยขอร้องกึ่งบังคับอย่างสุภาพ แต่ดวงตานั้นจ้องไปที่ตาของนักเรียนทั้งสองสลับกันไป ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ารับคำ

“ถ้างั้นไปบอกเพื่อนๆ ด้วยว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาสอนแทนครูแน่นอน”

เซอร์คอเช่ลดเสียงลงจนเป็นปกติ แล้วเดินเข้าไปหานักเรียนของเขาก่อนจะพาเดินเข้าไปในอาคารเรียนอีกครั้ง ซึ่งโพลี่ก็เดินตามไปด้วย

ในเวลาไม่นานทั้งสี่ก็มาถึงห้องส่วนตัวของครูออร์คสองหน้า เป็นห้องที่ไม่ใหญ่โตเลยถ้าเทียบกับขนาดตัวของเจ้าของห้องด้านหนึ่งของผนังเป็นชั้นวางหนังสือสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานโดยชั้นล่างสุดมีการยกพื้นขึ้นมาประมาณ 15 ซ.ม. ชั้นนั้นเต็มไปด้วยหนังสือวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดี ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายทั้งสั้นและยาว เรื่องสั้น มีทุกแนว มีทุกรูปแบบคำประพันธ์ แม้กระทั่งตำราเวทมนต์แขนงต่างๆ

ทั้งสี่นั่งลงที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีเก้าอี้ทำด้วยพลาสติกสี่ตัวพอดี ยังไม่ทันไรนักเรียนเอลฟ์ชายก็เอ่ยปากถยัดคำถามอย่างเร็วด้วยท่าทางเริงร่าของคนที่ไม่ประสา

“งานของอาจารย์เป็นยังไงบ้างครับ ได้ยินว่าใน 1 คนพกปืนกันตั้ง 5-6 กระบอก คงจะสนุกน่าดูเลยสินะครับ ผมเองก็อยากลองเข้าไปอยู่ในกองกำลังนี้บ้างจังเลย แล้วการฝึกนี่เป็นไงบ้างครับ”

เซอร์คอเช่เม้มปากแน่น ก่อนจะย้อนถามอย่างเรียบๆ กลับไปว่า

“เธอเคยล่าสัตวบ้างรึเปล่า”

“เคยครับ ผมเคยยิง...”

ยังไม่ทันที่นักเรียนชายจะพูดจบประโยคคุณครูก็ขัดซะก่อน

“ไม่ใช่ใช้อาวุธยิง แต่ใช้อาวุธของบรรพบุรุษ มีด หอก ดาบ ค้อน หรืออะไรทำนองนี้”

หนุ่มน้อยเอลฟ์นั่งนิ่งไม่ตอบอย่างอึ้งในคำถามที่ได้รับ แล้วครูออร์คก็ถามขึ้นอีกว่า

“แล้วซุ่มดักยิงสัตวได้นานขนาดไหนโดยไม่ขยับเคยื่อน”

หนุ่มน้อยเอลฟ์นั่งครุ่นคิดแล้วตอบกลับไปว่า

“ก็... ประมาณ 2 ชั่วโมงละมั้งครับ”

เซอร์คอเช่ยังไม่ตอบรับคำตอบในทีเดียว แต่ถามต่อว่า

“กล้าฆ่าคนรึเปล่า”

“ถ้าสถานการณ์บังคับ”

“อืม... เธอถนัดเวทมนต์สายไหน”

“อ้าว เป็นชาวฟรีแรนเซอร์ก็ต้องถนัดเวทมนต์แสงสิครับ”

เมื่อสิ้นเสียง เซอร์คอเช่ก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขาแล้วหยิบหลอดไฟมาหลอดหนึ่ง ยื่นให้นักเรียนชายของเขา

“ระหว่างที่ฉันกำลังถามต่อ ก็ทำให้มันสว่างให้ดูหน่อย”

หนุ่มน้อยเอลฟ์รับหลอดไฟไป ในขณะที่เซอร์คอเช่นั่งลง

“เธอเคยยิงปืนขนาดหนักที่สุดขนาดไหน”

หนุ่มน้อยเอลฟ์กำลังก้มหน้าก้มตาใส่พลังเวทแสงเข้าไปในหลอดไฟ พยายามให้มันสว่าง เงยหน้าขึ้นตอบ

“ก็ไรเฟิลล่าสัตวขนาดหนักพิเศษขนาด 14.5 คูณ 120 มิลลิเมตร ของ โบลกอน ฮันติ้ง คอเปอเรชั่น”

“แล้วมีความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

“ยิงได้นัดเดียวผมก็คืนเจ้าของไปเลย แรงเป็นบ้าเลย”

แล้วเซอร์คอเช่ก็ป้อนคำถามต่อไปเรื่อยๆ ทางด้านหลอดไฟที่อยู่ในมือนักเรียนของเขาก็ไม่สว่างสักทีจนกระทั่งหมดความพยายาม
“ทำไมมันไม่ยอมสว่างสักทีนะ”

หนุ่มน้อยเอลฟ์พึมพำเบาๆ อย่างข้องใจ ก่อนจะส่งคืนให้เซอร์คอเช่

“สรุปผล เธอขาดคุณสมบัติการเป็นซูเปอร์โซลเจอร์ทุกประการเลย...”

แล้วเขาก็ยกหลอดไฟในมือขึ้นให้นักเรียนของเขาดูก่อนจะพลิกให้ดูตรงตำแหน่งที่เป็นไส้หลอดไฟ ปรากฏว่านอกจากขดลวดแล้ว ยังมีผลึกอะไรสักอย่างหนึ่งรูปร่างแบนเหมือนเลนส์สีใส เมื่อเขาอัดพลังเวทแสงสว่างเข้าไป ขดลวดก็เรืองขึ้นเล็กน้อยแล้วดับลงอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นผลึกสีใสนั้นมีการเรืองแสงแทนแต่ก็ดับลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“นี่คือผลึกต้านเวท ต่อให้จอมเวทที่เก่งที่สุดในโลกก็ทำให้มันสว่างขึ้นมาไม่ได้ เพราะแบบนี้ซูเปอร์โซลเจอร์ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับจอมเวทอยู่แล้วจึงต้องมีปืนเอาไว้ใช้ไงล่ะ... ครูไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอหมดกำลังใจหรอกนะ ดูอย่างหมอนี่...”

แล้วเซอร์คอเช่ก็ชี้ไปที่โพลี่ ซึ่งตอนนี้นักเรียนหญิงกำลังจ้องตาเป็นมันกับความหล่อเหลา

“เมื่อก่อน ตอนที่สายลับของพวกโนเบิลยังป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่บนดาวดวงนี้ ก็ไม่กล้าฆ่าใครหรอก แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่า ถ้าไม่ฆ่า ถึงตัวเองจะไม่ถูกฆ่า แต่คนอื่นๆ จะถูกฆ่าเพราะความอ่อนแอของตัวเอง...”

ในขณะที่ทั้งสี่กำลังนั่งคุยกันอยู่ ก็ได้เกิดเสียงระเบิดที่ดังเอามากๆ ฟังดูเหมือนเสียงกระสุนปืนใหญ่ตก เซอร์คอเช่และโพลี่ต่างรู้หน้าที่ของตนดีอยู่แล้ว โพลี่รุดไปที่หน้าต่าง ส่วนเซอร์คอเช่เข้ารวบนักเรียนของเขาทั้งสองหมอบลงกับพื้น

“มันเล่นเราแล้ว”

โพลี่กระแทกเสียงหนักๆ ก่อนจะแก้ปมแขนเสื้อที่เขาผูกเอาไว้แล้วจับขึ้นสวมอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่เซอร์คอเช่ผละจากนักเรียนทั้งคู่แล้วรุดไปที่โต๊ะทำงานของเขา หยิบนาฬิกาข้อมือดิจิตอลสายรัดยางมาสวม

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา