นิรันด์นั้น...ฉันมีเธอ
2) เรียบง่ายด้วยความสุข
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ร่างสูงใหญ่ยืนขึงชิดหน้าต่างในห้องพักครูที่อยู่ชั้นสาม มองทอดไปยังสนามหญ้าเบื้องล่าง ท่ามกลางหมู่นักเรียนชายหญิงในชุดกีฬาสีขาวแทบส้มที่ยืนเข้าแถว วอร์มอุ่นเครื่อง รอลงแข่งวิ่งผลัดเพื่อเก็บคะแนน เขารู้ในทันทีว่าเธออยู่ตรงไหน ผมสีน้ำตาลเข้มมัดรวบเป็นหางม้าที่ส่ายไหวตามแรงสะบัดข้อมือ และข้อเท้า อยู่กลางแถวเรียงตามความสูง
เขารู้ว่าเธอเกลียดกิฬากลางแจ้งมากแค่ไหน เพราะทุกครั้งที่เธอออกแดดนานๆ ผิวละเอียดคล้ายเด็กของเธอนั้น จะแสบแดงจนบางครั้งต้องหาผ้าเย็นหรือโลชั่นมาทาชโลมไว้ ครั้นเสียงนกหวีดเป่ากลุ่มนักเรียนก็แยกย้าย ทีมแรกเตรียมประจำที่สี่จุดจุดละสี่คน แต่ในนั้นไม่มีจาคี เพราะเธอเดินกลับมายืมข้างสนามกับเพื่อนในกลุ่มที่เหลือ ยืนโดดเด่นราวกับดอกไม้กลางทุ่ง และดอกไม้งามนั้นกลับอยู่ในอุ้งมือมารอย่างเขา
เสียงกระแอ่มไอทำให้เขาได้สติ จึงสำรวจท่าเคร่งขรึมครู่หนึ่งก่อนหันไป เจอหัวหน้าฝ่ายที่อยู่ห้องแนะแนว เธอเป็นหญิงชราร่างผอมบาง พูดจาได้นุ่ม หวานจนเขาอดนึกถึงยายไม่ได้ “อาจารย์อานนท์ ฉันไม่อยากรบกวนหรอกนะค่ะ แต่แบบสอบถามของห้องอาจารย์ยังไม่ส่งเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าค่ะ ”
คิ้วหนาย่นขึ้น ไม่พอใจที่ตัวเองทำงานบกพร่อง “ครับ ผมตรวจแล้วแต่ยังมีนักเรียนบางคนเติมไม่ครบ แต่ผมจะรวบรวมส่งเย็นนี้”
“แม้ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ ฉันก็แค่สงสัย ก็คนทำงานไม่เคยพลาดอย่างอาจารย์ ส่งงานช้าแบบนี้ฉันก็นึกว่ามีปัญหากับเด็กทโมนห้องนั้นซะอีก “
“ขอโทษจริงๆ ครับอาจารย์ ผมจะทำให้เรียบร้อย”
อาจารย์ชราพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนผลจาก อานนท์รออยู่ครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปทางสนาม แล้วทันเห็นร่างจาคีวิ่งรั้งท้ายเพื่อนเข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มยิ้ม เธอไม่เหมาะกับการเป็นนักกีฬาจริงๆ เมื่อรอให้กลุ่มต่อไปประจำที่เขาก็กลับยังโต๊ะที่เบียดเสียดโต๊ะอื่นอีกสิบโต๊ะ หลายครั้งที่เขาอยากให้ตัวเองหุ้นเล็กเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ด้วยร่างสูงร้อยแปดสิบแปด และโครงสร้างที่ใหญ่เหมือนตาทำให้เขาดูเหมือนยิ่งกับยักษ์ปักหลัก เทอะทะในพื้นที่อันคับแคบของห้องพักครูแบบนี้
อานนท์ยังคงนั่งง่วนกับโต๊ะขณะที่ครูคนอื่นพากันไปทานข้าว แต่เขายังรอ...หลังจากที่สั่งผ่านรุ่งไพลินที่เอางานมาส่งอาจารย์ท่านหนึ่ง เขาก็ ฝากบอกให้เธอไปตามตัวทโมนที่ว่าทันที เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จาคีก็ยื่นหน้าแดงปลั่งเข้ามา เธอแลซ้ายเลี้ยวขวาเมื่อรู้ว่ามีเขาอยู่คนเดียวเธอก็ยิ้มร่าเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงกันข้าม “ว่าไงค่ะ อาจารย์”
“กรอกใหม่ให้เรียบร้อย จริงจังหน่อยจาคี” เขาตั้งตัวตรงวางท่าในแบบอาจารย์เข้มงวด ยื่นแบบฟอร์มให้
“อะไรเกลียดจริงๆ กรอกแบบพวกนี้” เธอบ่นพึมพำ แต่ก็ดึงไปเขียนในที่สุด ระหว่างที่เธอจดจ่อกับกระดาษตรงหน้า เขากลับอดไม่ได้ที่จะมองแก้มเนียนที่มียังแดงประปราย
“แสบหรือเปล่า” เขากระซิบ
“ไม่ แดดหน้าหนาวถึงจะแรง แต่ก็ไม่ร้อนเท่าไร ดีกว่าหน้าร้อนเยอะ”เธอเงียบอีกครั้งก้มหน้าก้มตาเขียนไปจนถึงแผ่นสุดท้ายแล้วเอ่ยขึ้นลอยๆ “อาจารย์...ฉันอยากบอกให้รู้ไว้ ว่าแบบฟอร์มก่อนหน้านั้นเป็นความจริงทุกคำเลยนะค่ะ เสียดายที่ใช้ไม่ได้”
เขารู้ว่าเธอหมายถึงอะไร แต่พวกเขาเพิ่งคบกันแค่สองเดือนยังเร็วไปที่จะเชื่อได้แบบนั้น ดูอย่างธารินที่ทั้งเป็นผู้ใหญ่ เยือกเย็น และอายุมากว่าเขาสามปี ยังบอกเลิกได้ง่ายๆแค่เพราะระยะทาง ภาษาอะไรกับเด็กม.ปลาย
“เธอแน่ใจเหรอ บางทีอาจเป็นความคิดชั่ววูบก็ได้ รอให้ผ่านไปสักปีสองปีเธออาจเปลี่ยนใจ”
จาคีเงยควับสบตาเขานิ่ง ดวงตาแข็งกร้าวสะท้อนแววกล่าวหา เสียงเก้าลากครืนเมื่อเธอลุกขึ้นเอ่ยอย่างช้าๆ “อาจารย์คิดว่าความฝันเป็นแค่ของเล่นงันเหรอค่ะ ถ้าอาจารย์พูดแบบนี้ อาจารย์ก็ไม่รู้จักฉันดีพอ”
“จาคี” เขาค่อยยืนขึ้นค้ำศีรษะเล็ก เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ไม่ใช่...” เขาเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระแทกพื้น ต๊อก ต๊อก ใกล้เข้ามา ช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้ จาคีก็ได้ยินเช่นกัน จึงสะบัดตัวเดินออกไป สวนทางกับอาจารย์เพียงดาวที่เดินเข้ามา
“อุ้ย นั้นเด็กนักเรียนที่ปรึกษาของคุณไม่ใช่หรือค่ะ” หญิงร่างสูงเพรียวยิ่งกว่านางแบบเอ่ยทัก
อานนท์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วยิ้มแห้งๆ “ครับ เธอกรอกแบบฟอร์มเกี่ยวกับแผนอนาคตไม่หมด ผมเลยให้เธอกรอกใหม่ อาจารย์มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เพียงดาวฉีกยิ้มกว้าง เดินโย่งๆไปนั่งเก้าอี้ที่จาคีเพิ่งลุกออกไปแล้ววางเข้ากล่อง ผลไม้ตรงหน้าเขา “ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์ยังทำงานอยู่ กลัวโรงอาหารจะปิดก่อน ก็เลยซื้อมาให้นะค่ะ”
“ขอบคุณครับ ที่จริงไม่ต้องลำบากก็ได้ผมกำลังลงไปพอดี ”
เพียงดาวในวัยใกล้สามสิบนั่งบิดไม้บิดมืออย่างเขินอาย คิดในใจว่าโอกาสไม่มีมากนัก หากไม่ฉกฉวยไว้ ก็ไม่มีครั้งที่สอง “คืออย่างนี่นะค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์แล้วพวกอาจารย์คุยๆ จะไปเที่ยวตามประสาอาจารย์ด้วยกัน แบบว่าทานข้าวแล้วก็ไปร้องคาราโอเกะ แล้วตั้งแต่เลื้ยงต้อนรับ ฉันก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ออกเที่ยวเลย ฉันก็..ก็เลยอยากชวน อาจารย์ไปด้วย” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งบิดมือหนักขึ้น “แต่ แต่เป็นกลุ่มนะค่ะ ไม่ใช่สองต่อสอง”
ตลอดที่เพียงดาวเอ่ยนั้น สายตาอีกฝ่ายกลับมองตัวหนังสือเขียนหวัดๆ อย่างสะอาด ในนั้นเธอเขียนถึงอาชีพแรกที่อยากเป็น กุ๊กชื่อดัง ตามด้วย ครู และแม่บ้านของสามี ยัยนี้! เรียวปากกระดกอย่างขบขัน ช่างเป็นจาคีจริงๆ แต่เมื่อมองลำดับความสำคัญแล้ว เขาถึงเชื่อว่านี้ต่างหากที่เป็นความฝันแท้จริงของเธอ เรื่องกับข้าวฝีมือเธอยอดเยี่ยมที่เดียว
“อาจารย์ค่ะ ยิ้มแบบนี้แปลว่าตกลงหรือค่ะ”
“อ้อ” เมื่อมองนัยน์ตาที่แสดงออกถึงความหวังเจ้าหล่อน เขาก็อดเห็นใจไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างสุภาพ “ผมขอโทษด้วยจริงๆ ครับ พรุ่งนี้ผมติดธุระสำคัญ คงไปด้วยไม่ได้”
“หรือค่ะ” หน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางง่อยลงอย่างผิดหวัง
“ไว้โอกาสหน้านะครับ” เขาเอ่ยเพื่อรักษาน้ำใจ เธอเพียงยิ้มแห้งๆตอบรับก่อนประตู
ชายหนุ่มหันมาสนใจแบบสอบถามอีกครั้ง แล้วนึกถึงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อเขากลับมาถึงห้องแล้วปรากฏว่ามันล๊อคอยู่ แน่ล่ะเธอยังโกธร เขาคิดระหว่างที่ไขกุญแจเข้าไปแล้วพบกับความเงียบสงัด สัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ขาดไป แค่สองเดือนเธอกลับมีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้ ถ้าอยู่เป็นปีเขาไม่คลั่งหรอกรึ
อานนท์ถอดรองเท้า ถุงเท้า แล้วยิ้มกับความทรงจำที่เธอมักบ่นเรื่องเท้าเหม็นของเขา แต่พอไร้เสียงจู้จึ้ของเธอ มันก็ว่างเปล่า ห้องทั้งห้องกว้างถนัดตา ชายหนุ่มถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่จำขึ้นใจ แล้วหน้าจอก็ขึ้นชื่อหวานใจ เพราะจาคีเอาโทรศัพท์เขาไปตั้งชื่อเบอร์เธอไว้
เสียงเพลงรอสาย I see you เพลงประกอบภาพยนต๋ซาตานก็ดังขึ้น “โทรมาทำไม!”
“อย่างอนน่า...ฉันขอโทษ..”
“ขอโทษแล้วไง ”
เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่งก่อนถาม “เธอถึงบ้านหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงฉันจะไปรับกลับ มาเถอะ...หวานใจ”
เสียงปลายเงียบกริบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยห้วน “ก็ได้ ยอมให้ก็ได้ แต่คุณไม่ต้องมารับฉันหรอกคิงคอง ฉันมาถึงแมนชั่นตั้งนานแล้ว แต่แอบอยู่ตรงบันไดหนีไฟหนีเอง ชายหนุ่มเอาโทรศัพท์แนบหู เดินเท้าเปล่าออกนอกประตู แล้วมองบันไดหนีไฟตรงสุดทางเดิน พร้อมเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นก่อนร่างน้อยจะโผล่ พร้อมถุงใส่ของสดเต็มสองมือ
มุมปากชายหนุ่มยกขึ้นมองเธอด้วยความอุ่นซ่านที่ก่อตัวอยู่ภายใน เดินปรี่เข้าไปช่วยเธอ
“ยี้ เดินเท้าเปล่าอีกแล้ว พื้นสกปรกออก คนอะไร”
เขาหยี่ผมที่ยังมัดรวบเป็นหางม้าจนยุ่งเยิง ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอีกข้างกุมมือนุ่มไว้แล้วจูงไปที่ห้อง
จาคีกระชับมือเขาแน่น มองเสี้ยวหน้าอันดุดัน กรามเป็นสันอย่างมั่นคงและรกครึ้มด้วยต่อหนวดเคราที่เริ่มขึ้น บ่อยครั้งที่เธอชอบลูบกรามของเขา ที่ให้ความรู้สึกสากคายและจั้กจี้ เวลาที่ฝ่ายนั้นเผลอหลับ เรียวปากที่มักเม้มเน้นราวกับจะกั้นผู้คนออกห่างด้วยความกลัว ตอนนี้กลับกระดกขึ้นคล้ายคนเบิกบานตลอดเวลา
“พรุ่งนี้เธออยู่ได้นานแค่ไหน”
“ฉันตั้งใจว่าจะค้างที่นี่คืนหนึ่ง”
“อะไรนะ” มือที่จับประตูชะงักกึก “พูดเล่นหรือเปล่า เธอจะค้างได้อย่างไง พ่อคนไหนยอมให้ค้างกับผู้ชายสองต่อสอง”
หญิงสาวผลักประตูเดินตะบึงตะบอนเข้าไปก่อน “พรุ่งนี้พวกเขาจะไปต่างจังหวัด แต่ฉันบอกว่ามีงานกลุ่มต้องทำเลยไปด้วยไม่ได้” เธอละความจริงบางอย่างที่ว่าพ่อกับแม่เลี้ยงพาน้องๆเธอหนีเจ้าหนี้ชั่วคราวและระหว่างนั้นก็แวะไปเล่นกับเพื่อนเก่าเพื่อยืมเงิน “ไม่ได้เหรอ”
ดวงตาเรียวยาวนั้นหรี่มองอย่างสงสัย “เธอ...ไม่ได้โกหกฉันนะ ถ้าฉันรู้ทีหลังฉันตีก้นเธอแน่”
คำพูดเขาเรียกเสียงหัวเราะกังวานใส “จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่เด็กสักหน่อย เอาของมานี่ แล้วก็ไปล้างเท้าเลย จะให้ดีก็อาบน้ำด้วยนะเจ้าค่ะ คุณคิงคอง เหม็นเหงื่อเชียว เอ๊ะ หรือว่าอยากให้ฉันอาบให้...” เธอใช้มือที่ไม่ได้ถือของเคาะนิ้วใส่คางอย่างครุ่นคิด หากอดขำไม่ได้ที่ร่างสูงใหญ่กำผ้าเช็ดตัวที่พาดบนไหล่ชะงักกึก มองเธอตาเขียว สันกรามนูนขึง และงึมงำคล้ายกับว่า รอให้จบก่อนเถอะ ตัวแสบ!
ระหว่างที่เธอทำกับข้าวโดยใช้เครื่องไมโครเวฟอย่างคล่องแคล่ว อานนท์ในชุดเสื้อยืดกางเกงกีฬาขาสั้น ก็เดินมาหยุดตรงมุมครัวขนาดเท่าห้องน้ำ มองสะโพกใต้กางเกงบอกเซอร์ของเขา และเสื้อยืดฟุตบอลลิเวอร์พูลมา ปิดคลุมก้นน่ารักๆที่ส่ายไปตามจังหวะที่เธอฮัมเพลง “วันนี้ ทำอะไรกินเหรอแม่ครัว”
เธอสะดุ้งน้อยๆ หันควับมาทางเขา “มาเงียบๆตกใจหมด คิงคองบ้า!”
เขาเพียงยิ้มกริ่ม เดินมาแย่งมีดจากเธอแล้วลงมือปลอกหอมหัวใหญ่ต่อ “ทำผัดเปรี้ยวหวานเหรอ ฉันช่วย ไปดูข้าวเถอะว่าสุกหรือยัง” จากนั้นปลอกและหั่นผักอื่นๆ อย่างคล่องมือ ระหว่างนั้นก็ซึมซับบรรยากาศที่เรียกว่าความสุขแบบเรียบง่าย เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผย พวกเขาจึงได้แค่หาอะไรทานในห้อง บางครั้งเขาเองก็นึกอยากพาเธอไปทานร้านอาหารดีๆ แพงๆ บ้าง อาจเป็นต่างจังหวัดที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา หากจาคีกลับตอบคำเชิญชวนเดิมๆ ว่า เปลื้อง!
ถ้าสิบปีข้างหน้าเธอยังทำแบบนี้ เงินเขาได้กองท่วมภูเขาแน่
เกือบชั่วโมงกว่าที่พวกเขาทานข้าวเสร็จ และจาคีก็แอบเก็บกับข้าวที่เหลือใส่กระปุกในตู้เย็นตามเดิม เขานั่งทำงานโดยที่หญิงสาวนอนแผ่กับพื้นเอาศีรษะหนุนตักเขาต่างหมอนอ่านหนังสือภาษาไทยเพื่อเตรียมสอบเก็บคะแนน อ่านไปได้เพียงสองหน้าหนังตาเธอก็เริ่มหนักอึ้ง หากนิ้วชี้อวบหนาของเขาก็ดีดฉึบใส่หน้าผากเธอ
“ลุกขึ้นอ่านดีๆสิ นอนแบบนี้เดี๋ยวก็หลับ คะแนนวิชานี้ยิ่งน้อยอยู่ไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวห้าวหวอด ยื่นแขนบิดขี้เกียจ นอนราบกับพื้นต่อ “แต่เทอมที่แล้วฉันได้ที่ห้านะ”
“นับจาก” เขาหน้าเคร่งใส่เอกสารบนโต๊ะญี่ปุ่น จดจ่อกับการแผนการสอนอาทิตย์หน้า เมื่อเห็นจาคีเงียบไปพักใหญ่ ก็เหลือบตาลงเห็นใบหน้าราวนางฟ้ายิ้มแห้งๆใส่
“นับจากข้างหลัง”
เขาอยากโมโหใส่เธอที่ยังยิ้มอยู่ได้ “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้ยังไง ในชีวิตฉันเคยหล่นจากอันดับหนึ่งแค่ครั้งเดียวตอน ป.สี่ เพราะครูสาวหนังยานจับได้ว่ากลุ่มพวกฉันแอบเห็นกางเกงในหล่อน ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสีอะไร แต่ฉันเจ็บใจที่ครูตัดคะแนนให้ฉันเหลือแค่เกรดสอง จากวันนั้นฉันไม่พยายามส่องกระโปรงใครอีกเลย ถึงมันจะสั้นหรือ อหลางฉ่างแค่ไหน ก็ตาม”
เขาหยุดมองร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงหัวเราะของจาคี เธอปาดน้ำที่เล็ดออกมา ยื่นมือขึ้นลูบปลายคางเขา แกล้งทำเสียงจุ๊ๆใส่คล้ายดุกลายๆ “เด็กนิสัยไม่ดี อย่าทำอีกเชียว ดีนะที่คุณไม่ได้เป็นผู้หญิง ไม่งันโดนกรรมตามสนองแน่” เธอหยุดเพียงกุมหน้าเขา สายตาอ่อนเชื่อมสบตรึงผ่านดวงตาเขา สะท้อนแววโหยหาละคนเปี่ยมสุข “ คุณเก่งแบบนี้ทำไมต้องมาเป็นครูด้วยล่ะ คุณไม่มีความฝันอย่างอื่นเหรอ”
เขาทาบมือเธอที่ยังลูบกรามเขาแผ่วๆ อีกมือก็เกลี่ยผมเธอออกจากหน้า ที่แหงนมองจากตักเขา “เคยสิ ตอนไปเกณฑ์ทหาร ฉันรู้สึกคล่องตัว ชื่นชอบการเดินลาดตระเวน ซ้อมอาวุธ ยิงปืน ตอนนั้นฉันคิดว่าเท่ห์สุดๆ แต่เพราะฐานะทางครอบครัวและพี่ชายคนโต ฉันละทิ้งพวกเขาไม่ได้ ก็ต้องมาลงเอ่ยอย่างที่เห็น แต่ฉันคิดว่าการเป็นครูก็ไม่เหลวนักหรอก”
“น่าสงสาร คนจนๆแบบเราก็ลำบากแบบนี้แหละเนอะ แต่คุณก็ยังเป็นทหารได้นะ เป็นทหารส่วนตัวให้ฉันไง”
เสียงห้าวลึกแฝงด้วยความขบขันเอ่ย ไม่แก้คำพูดที่เข้าใจผิดของเธอ “อะไร ให้เป็นทั้งคิงคองให้เป็นทั้งทหาร ไม่โลภมากหน่อยเหรอ”
“ไม่ ก็แลกกันไง คุณเป็นทหารคิงคองให้ฉัน แล้วฉันก็จะเป็นภรรยาของคิงคอง”
แล้วเขาหยุดมือที่เผลอรูปริมฝีปากแดงอิ่มของเธอ มองเงาตัวเองที่สะท้อนจากนัยน์ตากลม กลางอกเขาอัดแน่นด้วยอารมณ์บางอย่าง แสงตาที่มักจะเข้มดุก็อ่อนแสงลง ถามด้วยเสียงลึกแหบห้าว “อยากเป็นจริงๆเหรอ เธอรู้ความหมายของการเป็นภรรยาหรือเปล่า แล้วยิ่งเป็นภรรยาของคิงคองร่างยักษ์อย่างฉันด้วย”
แววตากลมนั้นส่อความหนักแน่นตรึงสายตาเขา พลางกุมมือที่แตะปากเธอแน่น คล้ายกับทหารรับคำปฏิญาณตน “เข้าใจสิ ฉันจะต้องติดหนึบกับคุณแบบนี้ไปตลอดชีวิต ไปจนแก่จนเฒ่า คุณต้องกินกับข้าวฝีมือฉันไปจนเบื่อ “
“นั้นก็ใช่ แต่มันมีมากกว่านั้น ข้อสำคัญของคู่สามีภรรยา” และเขาพยายามเพ่งสมาธิ ไม่ให้สมองคิดเลยเถิดไปกว่านี้”
“อะไร” คิ้วเรียวโก่งย่นขึ้นอย่างเอ็นดู
เขาตีหน้านิ่งก่อนลูบผมยาวที่สยายเต็มตักเขา “เรียนจบก่อนหวานใจ เรียนจบ เอาล่ะ อ่านหนังสืออย่านอกเรื่อง”
เธอพลิกตัวทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ พลิกหน้าหนังสือแล้วจ่อใส่หน้า หากผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เสียงกรนเล็กๆก็เล็ดลอดผ่านหนังสือที่ปรกเต็มใบหน้าเธอ ชายหนุ่มจึงก้มมองด้วยใบหน้าเกลี่ยยิ้ม หยิบหนังสือออก เผยเรียวปากอิ่มเผยอน้อยๆ “อย่ายั่วกันนักซิ ฉันไม่ใช่ขันทีนะ ยัยตัวแสบ” เขากระซิบ อดใจไม่ไหว ก้มลงไปจุมพิตปากนุ่มคล้ายกับประทับตราฝากไว้ ก่อนชอนศีรษะและตัวเธอไปนอนบนเตียงเขา ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าเขาจะปลุกเธอไปส่งบ้าน
ชายหนุ่มค่อยๆประคองร่างอันเบาวิวที่เต็มไปด้วยสัดส่วนสล้างใจ บนเตียงนุ่ม ส่วนร้ายๆของเขากระซิบว่าเธอจะสิบแปดพรุ่งนี้แล้ว แต่สมองส่วนสำนึกเตือนเขาลั่นว่าเธอยังเป็นนักเรียนอยู่ และเป็นนักเรียนในที่ปรึกษาซะด้วย เวรแท้!
เขาดึงผ้าห่มให้เธออีกครั้งก่อนนั่งหย่อนตัวลงข้างปัดผมออกจากแก้มเนียน นับในใจว่าอีกสามเดือนเธอจะเรียนจบ ชายหนุ่มถอนหายใจ ช่างยาวนานเป็นบ้า
........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ