นิรันด์นั้น...ฉันมีเธอ
-
1) ครูคนใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ทุกคนเกิดมาต้องตาย ทุกครั้งที่ฉันคิดว่าตัวเองจะต้องแก่เฒ่าและตายไป ฉันก็อดใจหายไม่ได้ คิดตลอดเวลาว่าทำไมคนเราถึงไม่มีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะนะ ฉันกลัวมากกลัวการไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีก กลัวการพลัดพรากและจากลา ฉันจะทำอย่างไรถ้าวันหนึ่งมาถึง แต่ก็คงอีกนาน ฉันพยายามปัดความคิดนี้ออกไป ไม่พยายามมองมือแล้วจินตนาการว่ามันต้องเหี่ยวย่น ไม่ ไม่ ฉันไม่อยากคิด สำหรับฉันการตายเป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าจะใส่ใจ ตอนนี้ก็แค่...อย่าไปนึกถึง”
ตอนที่1...........
เป็นแบบนี้ทุกครั้งเสมอ เวลาที่อานนท์พาร่างสูงใหญ่เข้าห้อง หน้าชั้นเรียนก็คับแคบทันตา เขาสอนวิชาสังคาศาตร์ให้ชั้นมัธยมสี่ แต่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้กับห้องของเธอที่อยู่ม.6 และอีกไม่กี่เดือนก็จบการศึกษาได้ เกือบสองเดือนแล้วที่เขาสอนที่นี่ แต่ก็ยังมีเสียงพึมพำนินทาลับหลังว่าเขาน่าจะเป็นครูพละมากกว่า ร่างสูงและหนากว่าคนทั่วไปทำให้ผู้คนกลัวเขาโดยไม่มีเหตุผล ยิ่งบวกกับหน้าตาที่เคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ทำให้นักเรียนหลายคนแทบไม่กล้าหือหรือดื้อแพ่ง
เมื่อดวงตาดุดันใต้กรอบแว่น มองกราดทั่ว เสียงจ๊อกแจ๊กของนักเรียนทั้งห้องเงียบลง ก่อนมีเสียงเล็ดลอดเล็กๆพึมพำขึ้นมาว่า เขาน่าจะเป็นมาเฟียมากกว่า มือใหญ่นั้นลดลง เผยให้เห็นเรียวปากหยักได้รูปที่เม้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงกังวานหนักแน่นหากยังคงอ่อนนุ่มในที
“สวัสดีนักเรียน วันนี้ ครูจะเริ่มด้วยการให้เรากรอกแบบสอบถามที่เกี่ยวกับอนาคตแต่ละคน รุ่งไพลินมารับไปแจกให้เพื่อนที“
หัวหน้าห้องตัวเล็กขานรับ ค่ะ แล้วปรี่ไปรับเอกสารแจกเพื่อนๆ ทั่วห้อง
“เธอว่าเป็นความจริงรึเปล่าที่เขากับอาจารย์เพียงดาวเป็นแฟนกัน” กัลยาหญิงผู้ชอบการนินทาเอ่ยข้างๆหูเธอ
จาคียิ้มนึกถึงอาจารย์ผู้หญิงหุ้นสูงผอมสอนวิชาฟิสิกส์ที่มักมีแนวโน้มเอนเองเข้าข้างให้คะแนนนักเรียนชายง่ายกว่านักเรียนหญิง”ไม่หรอกมั้ง”
“เธอแน่ใจได้ไง ฮึ อาจารย์เพียงดาวเห็นใครสูงกว่าไม่ได้ เล่นจีบดะ ถึงอาจารย์อานนท์หล่อไม่สู้ครูฝึกสอนหน้าหยก แต่เขาก็ดูดีระดับหนึ่งเธอว่าไหม “
“อืมม” หญิงสาวนึกขัน ในความคิดเธอแล้วก็ดึงดูดเชี่ยวล่ะ สำหรับกัลยาและเด็กสาวอื่นๆที่ชื่นชอบผู้ชายแบบเกาหลี ผิวขาว หน้าตี๋ สูงเพรียว ถ้านอกนั้นหลุดมาตรฐานความหล่อพวกหล่อนหมด
“แล้วเธอคิดว่า เขาจะชอบอาจารย์เพียงดาวหรือเปล่า” กัลยากระซิบอีก หลังจากรับแผ่นสอบถามรอให้หัวหน้าเดินไปถึงท้ายห้อง
“แต่ฉันว่าเขาน่าจะมีแฟนสวยๆอยู่แล้วก็ได้” จาคีพึมพำมองคำถามเกี่ยวกับมหาลัยที่เธออยากเข้าสามอันดับ คิ้วก็ขมวดขึ้น ก่อนไล้สายตาดูข้ออื่นๆที่จะตอบก่อน เมื่อเห็นหัวข้ออาชีพที่อยากเป็นที่สุด เธอก็ยิ้ม
“ จริงอย่างที่เธอว่านั้นแหละ เฮ้อ...ฉันจะเขียนตามความจริงไหมนะ แต่ถ้าอาจารย์รู้ว่าฉันอยากเป็นนักร้อง เขาต้องคิดว่าฉันล้อเล่นแน่”
“ไม่ผิดนี่น่า ก็มันเป็นความจริง” จาคีเริ่มตอบคำถามข้ออื่นๆจนถึงคำถามเกี่ยวกับอาชีพ เธอก็ปลายตาไปยังโต๊ะหน้าห้องที่มีร่างเทอะทะครอบครองอยู่ ดูเหมือนลิงยักษ์นั่งโต๊ะเด็กประถมก็ไม่ปาน กำลังวุ่นอยู่กับเอกสารบางอย่าง สักพักมือที่จับปากกาก็ยกขึ้นเอาปลายด้ามถูสันจมูก ภาพนั้นทำให้เธอเกือบหลุดเสียงหัวเราะ เขาทำแบบนี้เสมอเวลากลัดกลุ้มหรือคิดไม่ออก
ครู่หนึ่งเหมือนเขารู้ว่าเธอมองอยู่ ก็หันมา ปากเม้มอยู่แล้วก็เม้มหนักย่นคิ้วใส่ดุเธอกลายๆ ทางสายตา
“ทำแบบนี้บ่อยๆสิ จะยิ่งหน้าแกไม่รู้ตัว” จาคีงึมงำเขียนข้อสุดท้ายลงไป
กัลยาหันควับ “อะไรนะ เธอว่าอะไร ”
“เปล่า “ เธอทำทีเหมือนยังไม่เสร็จ รอให้เพื่อนๆไปลุกขึ้นไปส่งทีละคน จนเหลือเป็นคนสุดท้าย
“เธอเสร็จยัง ฝากฉันไปไหม”
จาคีส่ายหน้ารอให้กัลยาลุกไปส่งถึงมืออาจารย์ เธอก็ลุกตาม ยื่นให้ “เสร็จแล้วค่ะ ตรวจดูก่อนก็ได้นะค่ะ”
“อืมม” เขาพยักหน้าเคร่งขรึม แล้วเธอสังเกตเห็นเขากวาดตามองลงเป็นข้อๆ คงเช็คดูว่าเธอเขียนครบหรือเปล่า แล้วเปิดผ่านหน้าที่สอง หน้าที่สาม จนไปถึงหน้าสุดท้าย ตรงอาชีพที่เธออยากเป็น หน้าเขาก็เงยขึ้นปุบปับ สันกรามนูนขึ้นพร้อมกับมือที่โต๊ะนั้นกำแน่น หากใครบางคนเห็นคงถอยพรวดเข้าผนัง แต่จาคีกลับยิ้มทะเล้นใส่
“บ้า” เขาเบือนหน้าหนี แต่เธอก็สังเกตว่าหน้ากล้ำแดดของเขานั้นยิ่งกล้ำแดงคล้ายสีสนิมยิ่งขึ้น
เธอหมุนตัวกลับอย่างเบิกบาน ยกนี้เธอชนะที่ทำให้เขาเสียศูนย์ได้ แต่ให้ตายเถอะ เธอก็รักผู้ชายคนนี้จริงๆ
Kingkong’s wife … Kingkong’s wife…Kingkong’s wife
ตัวอักษรพวกนั้นยังแล่นอยู่ในหัวอานนท์ติดหนึบตลอดทั้งวันกระทั่งเลิกเรียน มืออีกข้างกำแบบสอบถามที่ดึงมาจากกองในโต๊ะทำงาน ขณะที่มืออีกข้างกำยกขึ้นเตรียมเคาะ ประตูก็เปิดผางเข้าไป เผยให้เห็นตัวปัญหาที่ยืนมือไพล่หลัง ยิ้มร่า
“ฮาโหล ฮันนี่ คิงคอง”
แม้ว่าเสียงนั้นจะหวานชวนเคลิ้มเคลิมอย่างไง เขาก็ต้องใจแข็ง ปิดประตูปัง ยื่นเอกสารให้ “อย่าเล่นแบบนี้อีก ไม่ตลกเลยนะคีย์”
คีย์หรือจาคีเงยมองเขาอย่างใสซื่อ “อะไร ก็เป็นความจริงนี่น่า เล่นๆตรงไหนจริงจังออก ผิดหรือไง”
เขาน่าจะเรียนรู้มาแล้วว่าตลอดสองเดือนที่รู้จักกัน ว่าการทำหน้ายักษ์ใส่เธอยิ่งทำให้เธอนึกสนุก เมื่อรู้ว่าไม่ได้ผลก็ผ่อนหายใจถอนรองเท้าถุงเท้า “หัดจริงจังบ้างสิ นั้นเป็นอนาคตเธอนะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าจริงจัง ผิดตรงไหน คิงคองบ้า นี่! ล้างเท้าก่อนสิ ยี้...เหม็นหึ่งเลย”
“รู้แล้ว รู้แล้ว เธอนี่อายุแค่นี้บ่นยิ่งกว่ายัยแก่อีก”เสียงทุ้มนั้นกังวานหัวเราะ ก่อนเข้าห้องน้ำ
“คนที่แก่นะ ใครกันแน่” จาคีบ่นเสียงดังให้อีกฝ่ายได้ยิน พลางเดินไปที่มุมครัวที่มีเพียงตู้เย็น ตู้ไมโครเวฟและซิงค์ล้างจาน เธอเปิดตู้เย็นขนาดย่อมหยิบกระป๋องเบียร์ให้เขา ชามะนาวให้ตัวเอง แล้ววางบนโต๊ะญี่ปุ่นที่เธอกำลังทำการบ้านอยู่
“อย่าพูดเรื่องนั้นเชียว”เขาเอ่ยพลางพันแขนเสื้อขึ้นเหนือศอก นั่งลงข้างเธอก่อนหยิบเบียร์ไปซดอึกใหญ่ แต่ระหว่างนั้นก็หรี่มองใบหน้ารูปไข่ที่ปล่อยผมยาว เกลี่ยแก้มขาวอมชมพู เสียวหน้างาม นัยน์ตากลมโตยิ่งกว่าตุ๊กตา จมูกเป็นสันตรงรับกับริมฝีปากแดงอิ่ม ที่ตอนนี้กำลังเปียกช่ำด้วยชาเย็นที่เธอจิบอยู่คำสองคำแล้ววางลง ก่อนหันมาทางเขา มุมปากน่ารักหยักขึ้นเมื่อรู้ว่าเขามองอยู่ เวรแล้ว เวรแล้ว เวรแล้ว
“ทำไมไม่ให้พูดเรื่องนั้นล่ะ” เธอเอ่ย
อานนท์ค่อยๆลดกระป๋องเบียร์ที่พร่องไปเกือบครึ่ง พอสงบอารมณ์ลงได้ ก็แทบคำรามในลำคอ “เพราะมันเตือนให้ฉันรู้ว่าเธอโกหกเก่งแค่ไหนน่ะสิ”
“แม้...ต้องเอามาพูดอีกเหรอ เรื่องมันตั้งนานแล้วนะ”เธอทำหน้าเง้า
อานนท์เผลอกำกระป๋องเบียร์ นึกถึงความโกธรที่อยากบีบคอเจ้าหล่อนตอนเข้ารู้ความจริง เขากลับมาบ้านเกิดอีกครั้งพักผ่อนและรอทำงานสอนที่กว่าจะเริ่มก็เปิดเทอมหน้า ระหว่างที่เดินซื้อของจัดห้องใหม่ จาคีย์ก็โผล่เข้าสู่ชีวิตเขาปุบปับ
คิงคอง! เขาจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักผู้หญิงสวยจนน่าทึ่งแบบนี้มาก่อน หากจำเสียงที่มักแฝงแววกระติอรื้อร้นนี่ได้ ไม่นับความจริงที่ว่า มีมนุษย์คนเดียวในโลกที่กล้าเรียกเขาต่อหน้าแบบนี้โดยยังมีชิวิตอยู่ แต่เธอก็ยังอยู่ นับตั้งแต่หลายปีที่เขาเห็นเธอครั้งแรกตอนเขาอยู่ม.ต้นปีสุดท้าย และเธอก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆที่เขาไม่แน่ใจว่าอนุบาลหรือประถมกันแน่
เธอยิ่งกว่าตัวไรเล็กๆที่คอยเกาะเขาตั้งแต่วันที่พบกันอีก เธอตามเขามาถึงห้อง รือนั้นดูนี่ “โห คุณเป็นนักฟุตบอลด้วย โห เท่ห์มากเลยคิงคอง เอ๊ะ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร พี่สาวเหรอ แต่งตัวดีจัง ท่าทางจะรวย”
แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวที่อยู่ในซอกหลืบ ที่เขาไม่ชอบให้ใครมาป่วนเปี้ยน เธอก็งัดออกมาจากลังเก็บของจนได้
“ธาริน รูปแฟนเก่าฉันเอง เธอบอกเลิกกับฉันก่อนฉันย้ายมาที่นี่”
จาคีย์แสดงสีหน้าขุ่นมัวอย่างชัดเจน “เหรอ คุณเสียใจไหมที่เลิกกับเธอ”
เขาเพียงยักไหล่เป็นคำตอบ จาคีย์ก็ฉีกรูปแคว็กแล้วก็ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าต่อตาจนชายหนุ่มอึ้ง หากนั้นยังไม่พอเธอทำหน้าตายเอ่ยขึ้น “มีรูปผู้หญิงคนนี้อีกไหม”
“คิดว่าเป็นรูปสุดท้ายแล้วนะ”
นั้นเรียกรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าจิ้มลิ้มได้ทันควัน สมองเขาตอนนั้นคิดว่าผู้หญิงคนนี้สวยเป็นบ้าและ...เขาอดเหลือบมองรายละเอียดที่บ่งบอกว่าเธอน่าดึงดูดแค่ไหน เธออาจสูงกว่าผู้หญิงเตี้ยขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังตัวเล็กอยู่ดีสำหรับเขา ไม่ต้องพูดถึงลำตัวของเขาที่ใหญ่กว่าเธอถึงสองเท่า แต่...ถ้าหน้าอกกับสะโพกแล้วไม่มีส่วนใดเล็กเลย ให้ตาย..ซี..น่าจะคัพซี
“ได้ไหม คิงคอง”
“หา อะไรนะ” ชายหนุ่มกระพริบตา มองกรอบรูปที่เคยวางรูปธาริน แต่ตอนนี้กลับเป็นรูปขนาดเล็กของเธออยู่แทนที่ “ได้สิ”
เสียงกรีดเล็กดังขึ้นพร้อมกับร่างยั่วยวนที่โถมใส่เขาจนจุก “ห้ามถอนคำพูดนะ แล้วฉันสัญญาฉันจะทำหน้าที่แฟนให้ดีที่สุด”
เขานิ่วหน้ามึนงงกับคำพูดเธอ แต่พอฟังคำถามเธออีกครั้ง เขาก็ร้องเฮ้ยทันที
“อะไร พูดเองนะ”ปากน้อยๆยื่นใส่ “ก็ถามแล้วนี่ว่าให้ฉันเป็นแฟนได้รึเปล่า แล้วคุณก็บอกว่าได้สิ จะมาถอนคำพูดรึไง”
“เธอเด็กเกินไป”เขานิ่วหน้า “อายุเท่าไรแน่”
“นี่ อย่ามาว่าฉันเด็กนะ! ฉันเรียนอยู่ปีสองแล้วนะจะบอกให้ ยี่สิบแล้วด้วย”
ห่างกันห้าปีเขาคำนวณในใจ แต่ก็ยังดีอย่างน้อยก็ไม่ติดคุก
ถึงเขาจะไม่ตอบเธอชัดเจนว่าเป็นความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่ฐานะไหน แต่หลังจากวันนั้นจาคีกลับไม่ยอมทำให้เป็นอื่น เธอมาห้องเขาเกือบทุกวัน รื้อนั้นทำนี้ และเขาก็เริ่มชอบทุกๆนาทีที่เธอวนเวียนใกล้ บ้างก็น่ารำคาญ บ้างก็ยั่วยวนตา จนเขากระทั่งเขาเริ่มงานที่โรงเรียนมัธยมวันแรกและเห็นเธอนั่งอยู่ท่ามกลางนักเรียนที่เขาต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา เขารู้สึกราวกับถูกหมัดซัดเข้าท้องอย่างแรง ขณะที่ยัยจอมโกหกได้แค่ยิ้มแห้งๆใส่ เขาไม่พูดหรือมองหน้าเธออีก แต่ก็เป็นเรื่องยาก ทุกครั้งที่เขากลับห้องแล้วเห็นเพียงรอยยิ้มของเธอเกลื่อนไปทั่ว สุดท้ายเขาเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเธอมาเอง
อาจารย์กับลูกศิษย์กรรมแท้ๆ ยังดีนะที่ไม่มีใครรู้ และเขาก็จะให้ใครรู้ไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาคลายใจลงคือ เหลืออีกไม่กี่เดือนเธอก็พ้นสภาพนักเรียนมัธยมปลาย
มือน้อยที่สะกิดเขาทำให้อานนท์กระพริบตากลับสู่ปัจจุบัน
“วันนี้เพื่อนฉันนินทาคุณด้วย คิงคอง เขาบอกว่าอาจารย์เพียงดาวชอบคุณจริงรึเปล่า”
“เหลวไหล ” เขามองเธอค่อยจิบน้ำชาและเห็นลิ้นน้อยตวัดมุมปากแดงเรื่อ เขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันควัน “อากาศร้อนนะ ทำไมไม่เปิดแอร์” กล่าวพลางคว้ารีโมทที่วางไว้บนโต๊ะใกล้โทรศัพท์
“ไม่เอา เปลื้องไฟ เปิดพัดลมก็ได้นี่ เดี๋ยวสิ้นเดือนก็ได้จ่ายค่าไฟกันบานพอดี”
นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งเกี่ยวกับจาคีที่เขาไม่รู้ว่าควรรำคาญหรือน่าปลื้มใจ เพราะเธอมักประหยัดเกินเหตุกับทุกเรื่องของกินของใช้
“ช่างเถอะน่า...ฉันมีเงินจ่ายก็แล้วกัน วันนี้ทานข้าวที่นี่รึเปล่า หรือว่ากลับเลย”
จาคีกัดดินสองึมงำ จดจ่อกับสูตรการคำนวณกราฟอยู่“วันนี้พ่อฉันกลับค่ำ ฉันจะกลับสักสองทุ่มดีกว่า โอ้ย ปวดหัวลอกเพื่อนพรุ่งนี้ง่ายกว่า” เธอปิดสมุดฉับ
“เฮ้ๆ ฉันเป็นครูนะ อย่าได้คิดเชียว ลุกขึ้นมา ไม่เข้าใจข้อไหนจะสอนให้ แล้วค่อยหาอะไรกิน”
เธอกลับตะแคงหลังใส่เขา บ่นงึมงำที่ทำให้เขาเผลอยิ้ม “ทำยังกะตอนเด็กๆไม่เคยลอกการบ้านเพื่อน “ จาคีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาทางเขา แววตาส่อความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยม “คิงคอง...ทำไมไม่จูบฉันเลยล่ะ ตั้งแต่ทำงานแล้ว”
อานนท์ค่อยยื่นนิ้วและดีดหน้าผากมนเบาๆ “อย่ามาล้อเล่น ฉันจะทำแบบนั้นกับนักเรียนตัวเองได้ไง จบก่อนสิ ถึงไม่ขอฉันก็จัดให้” ว่าแล้วก็ยิ้มอย่างร้ายกาจ
“ไม่เห็นต่างกันตรงไหน อีกสองวันฉันก็สิบแปดแล้ว ไม่ผิดกฎหมายสักหน่อย เด็กนักเรียนบางคนยังนอนกับแฟนเลย เอากันเป็นว่าเล่น”
ชายหนุ่มสำลักเบียร์จนหกเลอะปกสมุดเธอ เขาไอแค็กๆขณะที่จาคีเอามือลูบแผ่นหลังกว้าง รอให้ตัวเองหายใจได้อีกครั้งก่อนตะวาดใส่ “อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ! เธอไม่เข้าใจความหมายนั้นสักหน่อย เด็กอะไรแก่แดดจริงๆ แล้ว ...จะบอกอีกครั้งสุดท้ายไม่มีจูบจนกว่าเธอจะจบ เข้าไจ้ “
จาคีลุกนั่งปุบปับ ยื่นปากเล็กๆอย่างเง้างอน “ก็ได้ แต่ถ้าวันเกิดฉัน ฉันขออะไรก็ต้องให้ฉันนะ สัญญา”
ชายหนุ่มนิ่วหน้า มองนิ้วก้อยเล็กที่กระดิกใส่เขาอย่างระแวง ก่อนจะพยักหน้ายื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับเธอ “อืมม”
เธอหวีดร้องกำลังโผกอดเขา แต่คิงคองร่างยักษ์ของเธอกับถอยพรวดด้วยแววตาตื่นตระหนก “ฮึ อะไรท่าทีแบบนั้น ก็ได้ๆ ไม่กอดไม่จูบจนกว่าจะเรียนจบ”
จาคีเห็นเขาเกร็งตัวพักหนึ่ง ก่อนจะผ่อนนั่งด้วยสีหน้าโล่งอก เธอทำเสียงขึ้นจมูก ลุกขึ้นไปยังห้องครัวแล้วตะโกนถามเขา “ฉันหิวแล้ว คุณล่ะกินพร้อมกันไหม”
อานนท์รู้ดีอยู่แล้วถ้าเขาตอบว่าไม่ เธอก็จะเตรียมของกินเพื่อสองคนวางตรงโต๊ะต่อหน้าเขา จับช้อนโบกไปมาแล้วก็สาธยายว่าการที่ไม่กินข้าวพร้อมกัน ยิ่งทำให้สิ้นเปลืองแค่ไหน ต้องเปิดปิดตู้เย็นหลายครั้ง เปลื้องไฟปรุงกับข้าว เปลื้องไฟอุ่นอาหาร และอีกหลายๆอย่างที่ทำให้เขารู้สึกผิด “กินพร้อมกันสิ ทำมาเลย”
เธอใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ก็ยกถาดอาหารมาวางโต๊ะที่เขาหยิบสมุดเธอออกเรียบ เหลือเพียงโต๊ะโล่ง แล้วหมูย่างหันเป็นชิ้น กับข้าวผัดไข่ที่เขาจำได้ว่าเหลือจากเมื่อคืนวาน วางเรียงลง
“นี่มัน ของเมื่อวานไม่ใช่เหรอ ฉันให้เงินไปแล้วนี่”
จาคียกซุปไข่เจียวที่เธอทำเผื่อให้เขากินตอนเช้าแล้วยังเหลือ วางลงเป็นเมนูสุดท้ายก่อนยื่นเงินทอนให้เขา “ฉันไปซื้อมาแล้วแต่ไว้ทำวันหลัง แล้วเงินสำหรับมื้อนี่”เธอชี้ไปที่กระปุกเงินออมที่เธอมาหลังจากขอเขาเป็นแฟนได้สองวัน “ฉันหยอดใส่ไว้แล้ว”
เขามองกระปุกรูปหมูสีเหลืองซีด เธอบอกว่าเอาไว้ใช้เก็บเงินฝากธนาคารตอนเด็กๆ แต่พอเธอโตขึ้น เธอก็เก็บเงินซื้อแบบทรงกระบอกที่ใหญ่กว่า แล้วเอาตัวเก่ามาตั้งในห้องเขาแทน ‘เอาไว้เก็บเงินทีละนิดทีละหน่อย เดี๋ยวก็ได้เงินก้อนเอง ดีไม่ดี เอาไว้จ่ายแทนค่าห้องยังได้เลย”
คำพูดอย่างเอาจริงเอาจังตอนนั้นทำให้เขายิ้มได้เสมอ “วันเกิดเธอ...อยากได้อะไรพิเศษไหม”
ดวงตากลมน่ารักยิ่งกว่าตุ๊กตาเป็นประกายสะท้อนความสุขอย่างล้นปรี่ “ฉันจะบอกคุณเมื่อมาถึง คิงคอง”
........................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ