B(loo)D VS M(oo)N : [Legend of the War]
3) บทที่ 2 ผู้มาเยือน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2 ผู้มาเยือน
กริ๊งงงงงง! เสียงนาฟิกาปลุกตอนเช้าดังขึ้นซึ่งผมเป็นคนตั้งมันไว้ให้ปลุกตอน 6 โมงเช้าของทุกวัน ผมลุกขึ้นจากที่นอนโทรม ๆ พลางบิดตัวไปมาอย่างขี้เกียจ เสียงสายฝนที่ตกลงมายามเช้าพร้อมกับเมฆหมอกที่บดบังท้องฟ้าสำหรับผมแล้วมันช่างเป็นวันที่ให้ความรู้สึกหกหู่อย่างบอกไม่ถูก ผมเดินไปที่หน้าต่างพลางมองดูยามเช้าที่ไม่สดใสและสิ่งที่ผมเห็นก็คือเหล่าผู้คนในสลัมแห่งนี้ต่างพากันออกมาจากบ้านด้วยสภาพที่สิ้นหวัง ใจจริงแล้วผมเกียจสภาพแบบนี้เป็นที่สุด สภาพที่ไม่มีแม้กระทั่งความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป อยู่เพียงเพื่อต่อลงหายใจเพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็เป็นแหล่งที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุดของผมเพราะเหล่าแวมไพร์ไม่เคยมาถึงที่นี่ดังนั้นผมจึงปลอดภัยอยู่ได้ถึงแม้จะต้องหลบซ่อนตัวในสถานที่แบบนี้ก็ตาม เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงอาบน้ำแต่งตัวและไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อโค๊ชตัวเก่งซึ่งเมื่อคืนผมโยนทิ้งไว้ในห้องรูหนูของผมซึ่งมันก็ตกอยู่กับพื้นไม่ไกลจากประตูเท่าไหร่นัก หลังจากที่ผมใส่เสื้อโค๊ชสีน้ำตาลตัวเก่งแล้วผมก็ออกจากห้องและไม่ลืมที่จะล็อคห้องตามระเบียบ ผมเดินลงบันไดมาเรื่อย ๆ ขณะที่ในหัวของผมก็มีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมายว่าวันนี้ผมจะทำอะไรดีและพอผมรู้สึกตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ที่ชั้นล่างสุดแล้ว
ในเวลากลางวันผมจะปลอดภัยจากพวกแวมไพร์เพราะแวมไพร์ไม่ค่อยชอบแสงแดดเท่าไหร่นัก ไม่ใช่ว่าพวกมันโดนแสงแดดไม่ได้นะแต่แสงแดดจะทำให้พวกมันเรี่ยวแรงเปรียบเสมือนคนธรรมดาดังนั้นตลอดกลางวันพวกมันจะซ่อนตัวหรือไม่ก็นอนหลับ ดังนั้นเวลากลางวันผมจึงสามารถทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างโดยที่ไม่ต้องกลัวพวกมัน ผมตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในเมืองถึงแม้ฝนจะตกแบบนี้ก็ตาม ไม่นานนักผมก็เดินพ้นเขตสลัมเข้าสู่เขตของมหานครอันรุ่งเรือง ถึงแม้จะเป็นยามเช้าที่ฝนตกอย่างหนักแต่ทว่าประชาชนในเมืองก็ไม่ได้ลดน้อยไปเลยแต่ในทางกลับกันพวกเขาดูยุ่งวุ่นวายกับเช้าวันนี้มากกว่าทุก ๆ วันเสียอีก ผมเดินไปตามเส้นทางเรื่อย ๆ ขณะที่ดวงตาทั้งคู่ของผมเอาแต่เฝ้าของวิถีชีวิตของคนธรรมดา สำหรับผมแล้วชีวิตธรรมดามันช่างวิเศษเสียจริงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวเหมือนกับผมเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าในความมืดนั้นมีอะไร ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะที่เท้าทั้งสองข้างของผมก็ยังคงก้าวต่อไปไม่หยุดแต่ในสมองของผมมันกลับไม่มีอะไรแม้กระทั่งสถานที่ซึ่งผมจะไป
ผมเดินไปตามทางขณะที่สายฝนยังคงโปรยปรายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่ที่แห่งหนึ่ง สถานที่ซึ่งทุกคนเรียกว่าโรงเรียน ผมจ้องมองเด็กอายุเท่าผมหรืออาจจะแก่กว่าหลายคนต่างวิ่งเข้าโรงเรียนด้วยสีหน้าที่มีความสุขแต่ก็มีบางคนที่ทำหน้าเหม็นเบื่อจนอยากอ้วกออกมา เมื่อผมมองคนเหล่านี้ทีไรมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจของผม ทั้งที่อายุเท่ากันแต่พวกเขากลับมีอนาคตและมีความสุขมากกว่าผมแต่ตัวของผมกลับต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อปกป้องตัวเองจากฝูงปิศาจกระหายเลือดพวกนั้น บางครั้งผมเองก็อยากที่จะมีชีวิตเป็นคนธรรมดาบ้างทว่าผมนั้นก็ตระหนักดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
“เฮ้! หนูคนนั้น เฮ้! เจ้าหนูตรงนั้นเปียกหมดแล้ว ไปยืนอะไรอยู่ตรงนั้นละ” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมาจากข้างหลังของผมจึงทำให้ผมหันกลับไปมอง
สิ่งที่ผมพบก็คือชายหนุ่มวัย 30 ใส่สูทผูกเนคไทค์อย่างดีกำลังถือร่มกันฝนและยืนอยู่ห่างจากผมประมาณ 5 ก้าวได้ ผมของชายหนุ่มมีสีดำที่สั้นดูเรียบร้อย ใบหน้าของชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ดูหล่อเฟี้ยวแต่ก็ไม่ถึงกับขี้เหร่จนเกินไปซึ่งมันก็เขากับผิวสีขาวของเขาเป็นอย่างดี ผมจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ร้องเรียกผมหรือเขามีธุระอะไรกับผม
“เรียกผมหรอฮะ” ผมเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“ก็ใช่หน่ะสิ ทำอะไรอยู่เปียกหมดแล้ว” ชายหนุ่มคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาผมก่อนที่เขาจะยืนผ้าเช็ดหน้าให้กับผมแต่ผมไม่ได้รับ “แล้วพ่อแม่ของเธอไปไหน”
“ผมไม่มีพ่อแม่” ผมตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความซึ่งชายคนนั้นก็แสดงถึงสีหน้าที่บ่งบอกถึงอาการเศร้าออกมา
“ฉันเสียใจด้วยนะ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเก็บผ้าเช็ดหน้าที่เขาต้องการให้ผมไป
“ผมต้องไปแล้ว” ผมรีบตัดบทก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายเพราะผู้ไม่รู้ว่าชายคนนี้คือใครและเขาต้องการอะไรที่แน่ ๆ ผมควรรีบไปเสียก่อนดีกว่า
“เดี๋ยวแล้วจะไปไหน” ชายคนนั้นยังคงไม่เลิกล้มในความพยายามแต่ผมทำเป็นไม่สนใจและเดินจากไปโดยทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตน
จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพราะว่าผมไม่ได้อยากคุยกับเขาหรอกแต่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมทำแบบนี้เพราะผมไม่รู้ว่าชายคนนั้นคือใครหรือต้องการอะไร ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นพวกมนุษย์ที่ทำการค้ากับพวกแวมไพร์ละก็การนำข่าวสารเรื่องมนุษย์หมาป่าอย่างพวกผมไปส่งให้กับพวกมันคงได้เงินไม่น้อยแน่นอน
เอลเดอร์เองก็เคยบอกผมหลายครั้งว่าผมไม่ควรจะคุยกับคนที่ไม่รู้จักนานนัก ผมเดินต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ผมจะรู้สึกเบื่อเลยตัดสินใจที่จะกลับไปยังห้องของตัวเองและนอนเล่นรอเวลากลางคืนจะดีกว่า เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงเดินกลับบ้านแต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อเนื้อสัตว์ติดมือกลับบ้านไปด้วย จริง ๆ แล้วการกินเนื้อสัตว์เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ไม่เลวนักเพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องไปฆ่าใคร
คือเหล่าผคนในสลมต เมื่อผมเดินเข้าสู่เขตสลัมสายฝนที่โปรยปรายลงมาเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นผมจึงจำต้องรีบวิ่งกลับห้องอย่างรวดเร็ว
“บ้าชะมัดมาตกหนักอะไรตอนจะถึงห้องแล้ว” ผมเอ่ยออกมาอย่างหัวขณะที่สายตากำลังจับจ้องไปยังตึกสภาพโทรม ๆ ที่ซึ่งผมอาศัยอยู่ทว่าผมกลับเห็นบุคคลแปลกหน้า 2 คนกำลังยืนอยู่ที่หน้าตึกแห่งนั้น
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักถ้าผมไม่ได้สังเกตุเห็นว่าชาย 2 คนนั้นใส่ชุดสูทสีดำซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถเห็นคนที่ใส่เสื้อแบบนี้ได้จากเขตสลัมแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้นแต่ผมกลับรู้สึกถึงอันตรายจากผู้ชาย 2 คนนั้นได้ดีและสัณชาตญาณของผมมันฟ้องว่าผมไม่ควรเข้าใกล้ผู้ชายคู่นั้น ผมจึงค่อย ๆ วิ่งช้าลงจนกระทั่งหยุดและเฝ้ามองดูผู้ชาย 2 คนนั้นซึ่งก็กำลังมองมาทางผมอย่างแน่นอน
“ใช่รึเปล่า?” ชายคนแรกที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือของผมเอ่ยถามขึ้นทำให้สายตาของผมจำต้องจับจ้องไปที่ชายคนนั้น
“ไม่รู้สิ” ชายอีกคนตอบกลับมาก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
สิ่งที่ผมพบก็คือผู้ชาย 2 คนใส่ชุดสูทสีดำเหมือนกันแต่ทว่ารูปร่างหน้าตาไม่ได้เหมือนกันเท่าไหร่นัก โดยคนแรกที่ยืนอยู่ทางซ้ายของผมจะดูเหมือนตัวเล็กกว่าอีกคน เขาไว้ผมสั้นซึ่งก็ทำให้เขาดูเป็นคนที่ว่องไว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของชายคนนั้นก็กำลังจับจ้องมาทางผมเสียด้วย แต่ในทางกลับกันชายอีกคนมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัดแถมที่หัวของเขายังไร้ซึ่งเส้นผมอีกต่างหาก เขาสวมแว่นตาสีดำจึงทำให้ผมนั้นดูเขาไม่ชัดแต่ที่แน่ ๆ คือเขามีผิวสีแทนและเขาก็ดูน่ากลัวว่าคนแรกเสียด้วย
“เฮ้ย!ไอ้หนู........แกเป็นใครกัน” ชายหนุ่มคนตัวเล็กกว่าเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับทำท่าว่าจะเดินเข้ามาหาผมซึ่งผมก็รู้งานดีจึงถอยห่างผู้ชายคนนั้นออกมา
“ดูท่านายจะทำให้เขากลัวนะ ฟรินเซียส” ชายหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่าพูดออกมาซึ่งน้ำเสียงของเขาฟังดูทุ้มและนุ่มผิดคาด
“หนวกหูน่า เคน ทำงานของเราให้เสร็จก็พอ” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าฟรินเซียสคำรามใส่เพื่อนคู่หูของเขาก่อนที่จะหันกลับมาหาผมต่อ “เอาละไอ้เด็กบ้า ฉันรู้นะว่าแกเป็นใคร.........แกมันไม่ใช่คนธรรมดาสินะ”
ทันทีที่ผมได้ยินคำนั้นจากปากของผู้ชายที่ถูกเรียกว่าฟรินเซียสมันก็ทำให้ผมนั้นถึงกับยืนตัวแข็งทื่อเลย สำหรับผมแล้วความลับเรื่องผมเป็นใครหรือเป็นอะไรมันสำคัญมากยิ่งเพราะถ้าความลับนั้นรั่วไหลออกไปนั่นก็หมายถึงความตายกำลังจะมาเยือน เอลเดอร์เองก็เคยสอนผมในเรื่องนี้เหมือนกันคือเรื่องรักษาความลับเอาไว้ว่ามันสำคัญเท่ากับชีวิตของผม
“พวกนายเป็นใคร” ผมร้องถามออกไปพลางค่อย ๆ ถอยห่างออกจากผู้ชายทั้ง 2 คนนั้น
“พวกฉันหรอ......เดี๋ยวจะบอกตอนที่แกกลายเป็นศพก็แล้วกัน” ฟรินเซียสไม่เพียงแค่พูดเฉย ๆ เท่านั้นแต่เขายังควักปืนคู่ที่ซ่อนอยู่ออกมา
“จะเปิดกันที่นี่เลยหรอฟรินเซียส” ผู้ชายที่ถูกฟรินเซียสเรียกว่าเคนเอ่ยถามออกมาแต่เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาร่วมวงด้วย
‘บ้าจริง!.........เป็นเช้าที่ซวยชะมัด เอาละยังพอจะหนีได้’ ผมคิดในใจขณะที่กำลังพยายามหาทางรอดอยู่แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้ผมหนีไปได้ง่าย ๆ แน่นอน
“เอาว่าไง จะทิ้งถุงเนื้อไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้นะ” ฟรินเซียสร้องบอกพลางเดินเข้ามาซึ่งนั่นก็ทำให้สัญชาตญาณในส่วนของไลแคนอย่างผมมันฟ้องว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
“ก็ได้..........แต่ฉันอยากรู้อย่างหนึ่ง พวกนายเป็นใคร” ผมยอมวางถุงใส่เนื้อที่อุส่าห์ซื้อมาลงอย่างเสียดาย ในความเป็นจริงแล้วผมกะจะฉลองด้วยเนื้อชิ้นใหญ่ในคืนนี้เสียด้วยแต่ดันต้องมาเจอเรื่องน่าหงุดหงิดในตอนเช้าเสียก่อน
“เราคือ เซฟทรอน” เคนเป็นคนตอบแทนซึ่งเขาดูจะไม่เดือดร้อนอะไรกับการที่ต้องเผยความลับของตัวเอง
“แล้วพวกนายต้องการอะไรจากฉัน” ผมยังคงพยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จึงได้หลอกถามไปเรื่อย ๆ ซึ่งฝ่ายนู้นเองก็ดูท่าจะยังไม่รู้ตัว
ในระหว่างการสนทนานั้นผมเริ่มสังเกตในความแปลกได้อย่างหนึ่งซึ่งนั่นก็คือผมไม่เห็นใครในแถบสลัมออกมาจากที่กองขยะที่พวกเขาเรียกว่าบ้านเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเหมือนจงใจให้ผมได้อยู่ตามลำพังกับไอ้บ้า 2 ตัวนี้
“พวกฉันก็แค่ได้รับคำสั่งให้มาเก็บกวาดที่นี่” คราวนี้ฟรินเซียสเป็นคนตอบแทนแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องรอแบบนี้ “ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วนะ เมื่อไหร่เราจะฆ่ากันเสียทีเจ้าหนู”
“เอาละ ตาพวกฉันถามบ้างหนูน้อย.........นายเป็นตัวอะไรกันแน่” แต่ถึงเจ้าฟรินเซียสอยากที่จะกระโจนใส่ผมอย่างไรก็คงทำไม่ได้เพราะดูเหมือนเคนคู่หูของเขายังคงห้ามปรามไว้เพื่อต้องการจะคุยกับผม
“จะบอกยังไงดีละ ถึงโกหกไปพวกนายก็คงไม่เชื่ออยู่ดีใช่ไหมละ” ผมหัวเราะเบา ๆ แสดงถึงการไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรออกมาแต่ทว่าในใจของผมกลับรู้สึกหวั่นเกรงในผู้ชายพวกนี้เป็นอย่างมาก
“ก็รู้นี่” ฟรินเซียสแสยะยิ้มออกมาพลางทำสีหน้าที่ดีใจสุดขีด
“เฮ้อ!ก็ว่าแล้ว....... ฉันเป็นมนุษย์หมาป่า” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนที่จะตอบออกไป
สำหรับในสถานการณ์อย่างนี้แล้วการที่จะสู้แล้วเอาชนะคนพวกนี้ได้มันแทบจะไม่มีเหลืออยู่เลย ก็จะให้ผมสู้อย่างไรได้ในเมื่อผมก็แค่เด็กอายุ 12 ถึงจะมีพลังของมนุษย์หมาป่าก็ตามแต่จะให้เอาชนะคนที่อายุมากกว่าผมร่วม 10 ปีถึง 2 คนคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ ดังนั้นแผนสุดท้ายที่ผมคิดออกในตอนนี้คือการหนี!!!!เท่านั้น แผนที่ว่าของผมก็คือหลอกล่อทำเป็นต่อสู้กันและหาโอกาสช่องว่างเพื่อที่จะหนี
“ถ้าอย่างนั้นพวกฉันก็ต้องขอโทษด้วยแต่จะปล่อยให้นายมีชีวิตต่อไปคงไม่ได้” คราวนี้เคนเป็นคนพูดเองแถมยังเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นได้มากกว่าฟรินเซียส
“ชิ!!!! ไม่อยากใช้แต่ก็ต้องใช้ไอ้นั่นไม่งั้นไม่รอดแน่เรา” ผมเอ่ยกับตัวเองอย่างหัวเสียเมื่อคิดได้ว่าทางรอดของผมมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้นก็คือต้องแปลงร่าง
ทันทีที่ผมพูดจบร่างกายของผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีซึ่งชายหนุ่มทั้ง 2 คนนั้นก็ดูเหมือนจะยืนตะลึงกับสิ่งที่กำลงจะเกิดขึ้นกับผม ร่างของผมเริ่มโค้งงอพร้อมกับมีขนสีขาวเริ่มงอกออกมาตามตัวทั้งหมด เล็บและฟันของผมก็งอกยาวออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ค่อย ๆ ฉีกขาดเนื่องจากร่างกายที่ใหญ่ขึ้นของผม หูของผมก็เริ่มตั้งเหมือนหมาก่อนที่หางของผมจะงอกออกมา
“โห! น่าตกใจจริง ๆ” ฟรินเซียสร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นขณะที่กำลังจ้องมองผมอยู่
“อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ระวังแกจะเจอดีหรอก” เคนพูดแต่เขากลับไม่ได้แสดงความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจอะไรเหมือนกับคู่หูของเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานการกลายสภาพของผมก็สิ้นสุดลงเหลือเพียงแค่ร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งหมาป่าที่มีขนสีขาวพร้อมกับเขี้ยวเล็บที่เตรียมพร้อมที่จะฉีกกระชากร่างของเหยื่อให้เป็นชิ้น ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแตกต่างจากเหล่าแวร์วูฟก็คือเมื่อกลายร่างแล้วผมยังสามารถควบคุมความคิดของตัวเองไว้ได้ ถ้าอยู่ในสภาพของไลแคนแบบนี้ผมยังอาจจะมีโอกาสรอดจากเงื้อมมือของผู้ชายทั้ง 2 คนนี้ไปได้
“เอาละ ฉันขี้เกียจรอแล้วมาเปิดศึกกันเถอะ” ฟรินเซียสไม่ได้พูดเปล่า ๆ แต่กลับหันปืนคู่ที่อยู่ในมือของเขามาหาผม
“ถ้าอย่างนั้นนายก็จัดการไปแล้วกันนะฟรินเซียส” เคนร้องบอกฟรินเซียสอย่างเหนื่อยหน่ายแต่ทว่าคำพูดของเขากลับดูมั่นใจว่าคนชื่อฟรินเซียสจะสามารถเอาชนะผมได้อย่างสบาย ๆ
“ดูถูกกันเกินไปแล้ว” เมื่อผมพูดจบผมก็กระโจนเข้าใส่ฟรินเซียสอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เขาตั้งตัวได้แต่ทว่าฟรินเซียสกลับแสยะยิ้มของเขาออกมาพร้อมกับระดมยิงปืนคู่ที่อยู่ในมือของเขาใส่ผม
เมื่อผมเปลี่ยนร่างเป็นไลแคนจะทำให้ความสามารถของผมเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่ารวมถึงความเร็วด้วย ดังนั้นผมจึงเห็นลูกกระสุนจากปืนนั้นกำลังพุ่งตรงดิ่งเข้ามายังร่างกายของผม ในเวลานั้นสัญชาตญาณของผมได้บอกให้ผมกระโดดหลบกระสุนอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะกระทบกับร่างของผมซึ่งผมก็ยอมทำตามแต่โดยดีทั้งที่โดยทั่วไปแล้วร่างกายของไลแคนและแวร์วูฟจะแข็งแกร่งเหมือนกับใส่เสื้อเกราะกันกระสุนอย่างดีเชียว
ผมลุกขึ้นมาตั้งหลักอย่างรวดเร็วแต่ทว่าฝั่งคู่ต่อสู้ของผมเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้ผมได้หยุดพักด้วยการสาดกระสุนใส่ผมอย่างไม่ยั้ง ผมรู้สึกได้ทันทีว่าลูกกระสุนหรือไม่ก็ปืนนั่นจะต้องมีอะไรพิเศษกว่าปืนทั่วไปแน่และผมก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะยืนรับลูกกระสุนจึงได้แต่กระโดดหลบกระสุน
“อ้าว ๆ เป็นอะไรไปละ ไม่บุกเข้ามารึไง” ฟรินเซียสพูดพลางเลียริมฝีปากของตัวเองขณะที่ยังคงระดมยิงใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าสถานการยังคงเป็นแบบนี้ก็คือผมถูกไล่ต้อนด้วยการระดมยิงต่อไปเรื่อย ๆ ฝ่ายที่เสียเปรียบก็คงจะกลายเป็นผมอย่างแน่นอนดังนั้นจุดอ่อนเดียวที่ผมพอจะคิดได้ก็คือต้องรอจังหวะที่ฟรินเซียสกระสุนหมดและเปลี่ยนกระสุน ซึ่งเท่าที่ผมคำนวนแล้วฟรินเซียสยิงมาหลายนัดแล้วและอีกไม่นานกระสุนก็กำลังจะหมดอย่างแน่นอน
“ฮิ!......กำลังรอให้ฉันกระสุนหมดสินะ” ฟรินเซียสร้องบอกก่อนที่จะแสยะยิ้มอันชั่วร้ายของเขาออกมา “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่มีจุดอ่อนหรอกเฟ้ย”
พริบตานั้นหลังจากที่ฟรินเซียสพูดจบเขาก็หายวับไปจากจุดที่เขาเคยยืนอยู่ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของผมคือความรู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามาก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังของผมชนิดที่เรียกได้ว่าหายใจรดต้นคอของผมเลย
ผมตัดสินใจหันหลังกลับไปพร้อมกับตวัดกรงเล็บในมืออย่างรวดเร็วแต่........ ปังงงงงงง!!!!............ กระสุนนัดเดียวที่ถูกลั่นไกลออกมาจากกระบอกที่อยู่ในมือของชายผู้ซึ่งเป็นศัตรูของผม มันวิ่งทะลุร่างของผมอย่างง่ายดายราวกับร่างกายของผมเป็นเพียงแค่กระดาษบาง ๆ แผ่นหนึ่ง สิ่งที่ผมรับรู้ได้คือใบหน้าที่ราวกับปิศาจกำลังแสยะยิ้มออกมาอย่างดีใจหรือสะใจผมก็ไม่มั่นใจกับอีกสิ่งคือรูที่ท้องของผมพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่พุ่งทะลักออกมา ภายในสมองของผมนั้นกลายเป็นสีขาวก่อนที่ร่างของผมจะล้มลงกับพื้น
“บ้าชะมัด” ผมเอ่ยอุทานกับตัวเองในขณะที่ดวงตาของผมกำลังมองไปยังชายผู้เหมือนปิศาจ
“นั่นสิ.........มันเป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดีใช่ไหมละ” คำพูดของฟรินเซียสราวกับคำกล่าวอำลาก่อนที่เขาจะหันปลายกระบอกปืนคู่ของเขามาที่หัวของผมปากของเขาขมุบขมิบเหมือนกับกำลังพูดอะไรบางอย่างและคำพูดนั้นก็ดังก้องกังวาลอยู่ในหัวของผม
“ลาก่อนหมาป่าตัวน้อย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ