B(loo)D VS M(oo)N : [Legend of the War]
2) บทที่ 1 การเริ่มต้นของสงคราม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆที่บดบังท้องฟ้า เสียงสายลมกรรโชกอย่างรุนแรงเสียจนหมู่ไม้ต่างเอนไปตามแรงของมัน คืนนี้เป็นค่ำคืนที่ไม่น่าพิศมัยสำหรับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแต่ถ้ามองดูในฐานะผู้ล่าแล้วละก็คืนนี้คือค่ำคืนสุดวิเศษ
“อีกแล้ว” ผมกล่าวกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่ผมกำลังนอนอยู่ที่เตียงนอนของผม
ผมชื่ออาทัส ไรเนอร์ สะกดด้วยตัวAใหญ่นั่นละครับ จริง ๆ แล้วผมมีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้นแต่ 12 ปีของผมมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน หลายคนคงไม่เชื่อผมแน่ถ้าผมบอกว่าผมคือมนุษย์หมาป่าแต่ผมไม่ใช่แวร์วูฟนะครับผมเป็นไลแคน อันที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่มักคิดว่าไลแคนกับแวร์วูฟเหมือนกันแต่ไม่ใช่เลยในความเป็นจริงแล้วมันต่างกัน ไลแคนคือมนุษย์ที่เป็นมนุษย์หมาป่าตั้งแต่กำเนิดหรือเรียกได้ว่าเป็นสายพันธ์แท้นั่นแหละครับส่วนแวร์วูฟคือมนุษย์ที่โดนไลแคนอย่างเรา ๆ กัดแต่ไม่ตาย ไลแคนอย่างผมเมื่อแปลงร่างแล้วผมสามารถควบคุมร่างตัวเองได้ตามใจชอบรวมถึงการแปลงร่างได้ตามใจนึกอีกด้วย แต่ถ้าเป็นอย่างแวร์วูฟละก็น่าสงสารหน่อยนะครับ แวร์วูฟจะไม่สามารถควบคุมร่างได้แล้วก็แปลงร่างตามใจนึกอย่างไลแคนไม่ได้ด้วยแต่แวร์วูฟจะแปลงร่างได้ก็คือวันที่พระจันทร์เต็มดวงนั่นเองและนั่นก็คือวันนี้ พวกเราแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนทั่วไปกลางวันใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ส่วนกลางคืนใช้ชีวิตอย่างไลแคน แต่ไม่ต้องห่วงครับไลแคนอย่างผมไม่กินมนุษย์เป็นอาหารเพราะผมมีของทดแทนได้นั่นก็คือเนื้อสัตว์ไงละครับ แต่มนุษย์ก็คงไม่เข้าใจอยู่ดีและไม่ยอมรับเราจึงได้ไล่ล่าเรา คืนนี้ผมเองก็รู้สึกได้ว่าเราเสียพวกพ้องไปอีก 1 ตัวทั้ง ๆ ที่พวกเราเองก็เหลือน้อยเต็มที แต่คืนนี้ผมสัมผัสได้ว่าคนที่ฆ่าพวกพ้องของผมไม่ใช่มนุษย์แต่คงเป็นแวมไพร์เพราะผมรู้สึกได้ พวกเรามนุษย์หมาป่าจะรู้สึกถึงกันได้เสมอยิ่งเมื่อตอนเวลาที่ใครบางคนหายไปความรู้สึกนั้นก็จะส่งให้ไลแคนทุกตัวแต่สำหรับแวร์วูฟแล้วพวกนั้นก็มีเพียงแค่สัญชาติญาณในการล่าไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ดังนั้นคืนนี้ผมจึงต้องออกไปข้างนอก ผมกวาดสายตาไปยังห้องนอนเล็ก ๆ แคบ ๆ อันรกรุงรังของผมพลางควานหาเสื้อโค้ชตัวโปรดของผมซึ่งผมก็เห็นมันวางไว้กับพื้น ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะใช้มือปัดฝุ่นไปมาแล้วจึงสวมมันก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้องไปแต่ก็ไม่ลืมที่จะล็อคห้องของผมแม้มันจะไม่มีอะไรที่น่าขโมยเลยก็ตาม ผมอาศัยอยู่ในห้องเช่าแถบสลัมรูหนูเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของคนอื่นมากนักเพราะถ้าความลับเรื่องการเป็นไลแคนของผมแตกนั่นก็หมายถึงการถูกไล่ล่าบางทีอาจหมายถึงความตาย เมืองแห่งนี้มีชื่อว่าอนาสทอเรียนเป็นมหานครที่ใหญ่โตและรุ่งเรื่องแต่ก็ยังมีบางส่วนของอนาสทอเรียนยังคงเป็นสลัม แต่ผมได้ข่าวมาว่ารัฐบาลผู้ดูแลมหานครอนาสทอเรียนแห่งนี้มีแผนที่จะเข้ามาฟื้นฟูเขตสลัมแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของผม ห้องที่ผมอยู่นั้นอยู่ที่ชั้นที่ 7 แถมยังไม่มีลิฟต์ให้บริการอีกผมจึงจำต้องเดินลงบันไดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จริง ๆ แล้วห้องพักที่นี่ก็ดูโทรมจัดจนแยกไม่ออกเลยว่าสลัมกับห้องพักที่นี่อะไรมันแย่กว่ากัน ไม่นานผมก็เดินลงมาถึงชั้นหนึ่งและไม่รอช้าที่จะเดินออกจากตึกไปแต่ก็ไม่ลืมแวะที่จะเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้ตรงผนังทางออกซึ่งมันกำลังบอกเวลาว่าตอนนี้จะใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ตลอดสองข้างทางที่ผมก้าวผ่านนั้นมีบ้านที่สภาพแย่เกินจะเรียกว่าบ้านได้ ถ้ามันมีคำให้ผมเลือกระหว่างคำว่าบ้านกับกองขยะผมก็คงเลือกคำหลังมากกว่าเพราะที่แห่งนี้คือสลัมจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นภาพเหล่านี้ บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งที่เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่ทำไมมันถึงมีความแตกต่างกันได้ขนาดนี้ซึ่งผมก็คิดว่าคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้คำตอบ ทว่าผมเองนั้นตระหนักได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาเดินเอื่อยเฉื่อยแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้หนักสมองแต่ว่าตอนนี้มีศพของไลแคนที่ถูกฆ่าเมื่อ 5 นาทีก่อนซึ่งถ้าผู้สังหารเป็นแวมไพร์จริง ๆ แล้วละก็ป่านนี้เพื่อนไลแคนของผมคงกลายเป็นเศษเนื้อกระจายเต็มพื้นไปแล้วก็ได้ ผมเริ่มวิ่งเร็วขึ้นไปตามถนนที่ไร้ซึ่งแสงไฟขณะที่สมองของผมมันสั่งการให้ผมรีบไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานผมก็เริ่มออกจากเขตของสลัมเข้าสู่ตัวเมืองของอนาสทอเรียนอย่างแท้จริง เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยแสงไฟจากตึกที่สูงใหญ่มากมายถึงแม้ตอนนี้จะใกล้เที่ยงคืนแล้วก็ตามแต่ผู้คนก็ยังพลุกพล่านเต็มไปหมด ผมรู้สึกได้ว่าผมเข้าใกล้ศพของไลแคนที่ถูกฆ่าได้แล้วและผมก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งตัวออกไปเพื่อไปให้ถึงก่อนที่จะมีมนุษย์คนไหนมาเจอ ผมวิ่งไปโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างไม่ได้สนใจกับสายตาของผู้คนที่มองผมอย่างแปลก ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะผมกำลังรีบร้อนอย่างผิดปกติหรือไม่ก็เสื้อโค้ชสีน้ำตาลเก่า ๆ ของผมที่ทำให้คนอื่นมองผมอย่างสงสัย ไม่นานผมก็รู้สึกได้ว่าใกล้มากแล้วจึงค่อย ๆ หยุดแล้วเปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินแทนจนกระทั่งผมมาหยุดอยู่ที่ซอยมืด ๆ ที่ไร้ซึ่งแสงไฟ มันอาจจะดูเป็นซอยธรรมดาสำหรับมนุษย์แต่ถ้าสำหรับพวกเราที่เป็นไลแคน แวร์วูฟ หรือเหล่าแวมไพร์จะรู้ได้ทันทีเพราะกลิ่นเลือดมันลอยเตะจมูกอย่างรุนแรง ผมเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ ด้วยความระวังแต่ไม่ใช่เพราะกลัวที่คนจะเห็นผมแต่ว่าอาจมีอะไรข้างหน้าที่ผมก็ไม่สามารถรับรู้ได้ ไม่นานนักผมก็เดินมาจนสุดซอยโดยที่เบื้องหน้าของผมมีเพียงแค่ก้อนเนื้อกระจายเต็มพื้นจนยากที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง ผมเอามือปิดปากเอาไว้พลางนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น
“อาทัสหรอ?” เสียงของชายคนหนึ่งเรียกชื่อของผมออกมาซึ่งมันก็ทำให้ผมตกใจจนรีบหันหลังกลับไปมองยังชายที่เรียกผมแต่สิ่งที่ผมเห็นก็มีเพียงร่างที่แฝงอยู่ใต้เงาของตัวตึกไม่สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
“เอลเดอร์! ตกใจหมดเลย” ผมเอ่ยออกมาอย่างโล่งอกที่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ศัตรู
“เกิดอะไรขึ้น” เอลเดอร์ถามผมในขณะที่เขากำลังเดินออกมาจากมุมมืด
สิ่งที่ผมเห็นก็คือชายหนุ่มผมสีดำที่เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น รูปร่างของเขาดูใหญ่โตมากถ้าเทียบกับผมซึ่งนั่นอาจะเป็นเพราะร่างกายของเขามีแต่กล้าม ใบหน้าของเขาดูดุอย่างไม่น่าเชื่อและยิ่งเขาไว้หนวดด้วยแล้วยิ่งเสริมความน่ากลัวเพิ่มเข้าไปอีก การแต่งตัวของเขาก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นักคือเสื้อยืดเก่า ๆ กับกางเกงขาสั้นไม่ได้ใส่เสื้อคลุม
“ผมก็ไม่รู้ครับ ผมมาไม่ทัน” ผมกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือพวกพ้องของตัวเองได้เลย
“อย่าโทษตัวเองไปอาทัส ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก” เอลเดอร์พูดปลอบใจก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เดินเข้าไปยังเศษซากที่กระจายเต็มพื้น “โหดร้ายเหลือเกิน”
“ฝีมือแวมไพร์” ผมพูดตามความคิดของตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่านี่เป็นฝีมือแวมไพร์อย่างแน่นอน
“แล้วก็คงไม่ได้มีแค่หนึ่งด้วย” เอลเดอร์พูดเสริมก่อนที่เขาจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกองซากศพที่กระเด็นเต็มพื้น
สิ่งที่ผมเห็นในมือของเอลเดอร์คือสร้อยคอรูปไม้กางเขนกลับหัวสีดำและนั่นหมายถึงสัญลักษณ์ที่แวมไพร์ชอบใส่ห้อยคอเมื่อเวลาที่มีการรวมตัวกันเกิดขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วมันอาจมีสีอะไรก็ได้แต่สำหรับไม้กางเขนกลับหัวสีดำนี่ผมคุ้นเคยดีกว่าไลแคนตัวไหน ๆ
“ดาร์ก!” ผมพูดออกมาเมื่อเห็นมันซึ่งเอลเดอร์ก็พยักหน้าเชิงบอกว่าผมคิดถูกต้องแล้ว “มันโผล่มาอีกแล้ว”
จิตใจของผมในตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและผมก็จะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของแวมไพร์ตัวหนึ่งซึ่งมันถูกเรียกว่าดาร์ก ท่ามกลางบรรดาแวมไพร์มากมายบนโลกสำหรับผมแล้วแวมไพร์ที่มีชื่อว่าดาร์กนี่ละคือคนที่ผมไม่มีวันให้อภัย ดาร์กเป็นหนึ่งใน 10 ผู้คุมกฎของโลกแวมไพร์แต่ทว่ากลับชั่วช้าและรังเกียจเหล่ามนุษย์หมาป่าอย่างเราเข้าใส้ชนิดที่ว่าถ้าเจอที่ไหนจะต้องฆ่าให้ตายไปข้างหนึ่งเลย เมื่อ 9 ปีก่อนตอนที่ผมพึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกพ่อแม่ของผมถูกดาร์กฆ่าและถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างเลือดเย็น ส่วนผมรอดมาได้เพราะว่าเอลเดอร์เข้ามาช่วยผมไว้ทันก่อนที่จะถูกขย้ำเละคาเขี้ยวของมัน หลังจากนั้นผมก็สัญญากับตัวเองว่าผมจะต้องไล่ล่ามันให้ได้ ทว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนที่พูดหรอกเพราะว่าดาร์กนั้นเป็นแวมไพร์ระดับสูงที่มีเหล่าแวมไพร์เฝ้าดูแลความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา แล้วดาร์กเองก็มักอยู่ไม่เป็นที่เสียด้วยจะใช้วิธีการลอบโจมตีก็เสี่ยงไปสุดท้ายแล้วจนถึงบัดนี้ผมก็ยังไม่สามารถแก้แค้นให้กับครอบครัวของผมได้เลย
“เดี๋ยวข้าจะแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้เอง ส่วนเจ้ากลับบ้านไปก่อน” เอลเดอร์ร้องบอกในขณะที่เดินมาดันตัวผมออกไป
“ครับ......ระวังตัวด้วยนะครับ” ผมเดินออกมาจากตรอกมืด ๆ แบบนั้นและปล่อยให้เอลเดอร์เป็นผู้จัดการทุกอย่างต่อไป
ผมค่อย ๆ เดินกลับไปอย่างช้า ๆ ทั้งที่ในใจของผมนั้นกลับรุ่มร้อนไปด้วยไฟแห่งความโกรธแค้นแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เอลเดอร์เคยบอกเสมอว่าผมยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าสู่สงครามอันเลวร้ายระหว่างปิศาจผู้เป็นอมตะกับมนุษย์ที่ถูกสาป หัวใจของผมเต้นแรงในขณะที่ความหนาวเย็นเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและนี่ก็เป็นสภาพอากาศที่เหล่าแวมไพร์ชอบออกล่าเสียด้วย ไม่นานผมก็พ้นเขตุเมืองเข้าสู่เขตุแห่งสลัมอันเป็นสถานที่ที่ผมใช้หลบหนีจากการไล่ล่าของแวมไพร์ สิ่งที่ทำให้แวมไพร์ต่างจากเราก็เพราะแวมไพร์มักอยู่กันเป็นกลุ่มออกล่ากันเป็นกลุ่มทว่าพวกเรานั้นกลับแยกกันอยู่ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบของพวกมัน ดังนั้นพวกเราที่ต่างอยู่กันอย่างโดดเดี่ยวจึงโดนไล่ล่าได้อย่างง่าย ๆ ไม่นานผมก็ได้มายืนอยู่ที่ตึกที่ผมได้อาศัยอยู่นั่นเอง ผมยืนมองดูมันด้วยความหดหู่ใจกับการที่ต้องเสียเพื่อนไปอีกหนึ่งก่อนที่จะค่อย ๆ เดินขึ้นไปยังชั้น 7 ซึ่งห้องพักของผมได้อยู่ในชั้นนั้น เมื่อผมเข้าห้องพักได้แล้วผมก็ถอดเสื้อโค๊ชตัวโปรดของผมออกแล้วโยนมันไปไว้ในมุมไหนสักแห่งของห้องก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงอันแสนนุ่มนิ่ม ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองกำลังเต้นอย่างแผ่วเบาราวกับมันสามารถหยุดเต้นเมื่อไหร่ก็ได้ หัวสมองของผมมีเรื่องมากมายที่ตีกันขณะที่เปลือกตาของผมเริ่มหนักอึ้งจนไม่สามารถประคองมันไว้ได้ ในไม่ช้าความมืดจะนำผมสู่ห้วงแห่งความมืดที่ซึ่งผู้คนเรียกว่าความฝันก่อนที่ผมจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไป
“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน” ผมเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะปล่อยให้เรื่องทุกอย่างลอยไปตามสายลมที่กรรโชกอย่างรุนแรง
********************
ท่ามกลางสายลมกรรโชกอย่างรุนแรง เอลเดอร์มองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งดวงดาวก่อนที่เขาจะหันมามองสิ่งรอบข้างที่เต็มไปด้วยเหล่าต้นไม้ที่โอบล้อมเขาไว้ เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่สายตาอันเฉียบคมของเขาจะจับจ้องไปยังบนต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ข้างบนต้นไม้เอลเดอร์ก็พบร่างของชายหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกำลังนั่งเล่นบนต้นไม้อย่างสบายใจโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่รอบข้างเลยแม้แต่น้อย
“เบลเมธ” เอลเดอร์ร้องเรียกออกมาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใจออกมาซึ่งคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้เองก็ดูจะมีปฏิกิริยากับคำพูดของเอลเดอร์ไม่น้อย
“มีอะไรรึเปล่าเพื่อนยาก” น้ำเสียงใสแจ๋วของผู้ชายที่นั่งอยู่บนต้นไม้กล่าวตอบกลับมาซึ่งนั่นทำให้เอลเดอร์ดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
“พวกเรา........คาดว่าน่าจะเป็น........เมลก้า” เอลเดอร์เอ่ยออกไปพลางทำสีหน้าเจ็บใจที่แฝงด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงออกมา
“ฉันรู้แล้วเอลเดอร์ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป.......ใกล้ได้เวลาแล้ว เวลาที่เราจะเอาคืน” ชายที่นั่งอยู่บนต้นไม้ตอบออกมาพร้อมกับหัวเราะคิดคักอย่างชอบอกชอบใจแต่ในทางกลับกันเอลเดอร์กลับทำสีหน้าตกตะลึง
“นายคงไม่ได้หมายถึงเราจะเปิดศึกกับพวกมันหรอกนะ” เอลเดอร์ร้องเสียงหลงออกมาอย่างตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เบลเมธ(ชายที่นั่งอยู่บนต้นไม้)พูด
“ก็ไม่แน่หรอก เตรียมตัวให้ดีละ ได้มันส์แน่” เบลเมธพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่คนฟังอย่างเอลเดอร์กลับรู้สึกสะท้านไปถึงรูขุนขน
“พวกนายคิดอะไรกันแน่เบลเมธ กระหายเลือดขนาดนั้นเลยรึไง!” เอลเดอร์พูดทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะเดินจากมาปล่อยให้ชายที่นั่งอยู่บนต้นไม้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ