Whial I : The Immortal Bladlei ไวอัล ล่าอสูรอมตะ

9.3

เขียนโดย Kuro~Ookami~Youkai~no~Nishi

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 14.59 น.

  4 chapter
  17 วิจารณ์
  13.16K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เหล็กกล้าและเปลวเพลิง+Ova Talk

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter IV : เหล็กกล้าและเปลวเพลิง

ณ จุดสูงสุดของทวีปอาเดน บริเวณรอยต่อระหว่างทวีป ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวผ่านประตูผ่านแดนมาพร้อมสัมภาระเต็มหลัง และความหวังเต็มบ่า ชายผู้เป็นพ่อค้าจากอาเดน เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มและหนวดเคราสีดำดูดุดันราวหมี ผมสั้นสีดำบนหัวถูกเสยขึ้นด้วยน้ำมันแต่งผมจนเงาวับ สวมทับด้วยแว่นตาซึ่งรัดด้วยยางสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งไม่ได้เห็นบ่อยนัก นัยน์ตาคมเข้มสีน้ำเงินครามทอดมองแผ่นดินเบื้องหน้า จมูกใหญ่สมใบหน้าสูดอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะพ่นไอออกมาทางปากที่ค่อนข้างบาง

ผิวกายสีน้ำผึ้งกับรอยแผลเป็นบนแก้มซ้ายดูกลมกลืน ทว่ามันตัดกับปุยหิมะซึ่งปกคลุมยอดเขาไม่น้อย เสื้อคลุมหนังสีดำปลิวตามสายลมกรรโชก กางเกงหนังสีดำเริ่มมีปุยหิมะเกาะ ไม่ต่างจากเคราของเขาเท่าไร เขาติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวเพิ่มอีกสองเม็ด เพื่อกันร่างกายออกจากลมหนาว

“เฮ่อ~ กว่าจะพ้นอาเดนมาได้ เหนื่อยชะมัด แต่ว่า....... ถ้าเอาอาวุธชั้นดีที่ชั้นทำเองมาขายที่นี่ล่ะก็มีหวังรวยแน่ ก็ช่างดีๆมีแต่พวก*ดรอว์ฟนี่นา..... จริงมั้ย? เวโรน่า” ชายหนุ่มกล่าว

“พูดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น มันจะดีเร้อ~ บีท ชั้นไม่เห็นว่ามันจะเข้าท่าซักเท่าไรเลยนะ กับทวีปที่ยากจนกว่าแบบนี้น่ะ”หญิงสาวร่างบางก้าวพ้นธรณีประตูมาอีกคน ก่อนที่ประตูไม้สีน้ำตาลคล้ำบานใหญ่จะปิดไล่หลัง ปล่อยให้คนทั้งสองหนาวเหน็บท่ามกลางหิมะบนเขาสูงชันนี้ เพื่อให้บุคคลภายในได้อิงไออุ่นจากอุโมงค์มืดที่ทอดยาวใต้ภูเขาใหญ่มาจากแดนอาเดน

ไอน้ำถูกพ่นออกมาตามลมหายใจของหญิงสาวร่างบางผู้มีผิวกายขาวสะอาด เรือนผมนุ่มยาวสลวยสีเหลืองทองซึ่งม้วนเป็นเกลียวปลิวตามลมพร้อมกับผมยาวตรงเบื้องหลัง นัยน์ตาใสซื่อสีอำพันเบื้องหลังแว่นตาบางใสมองตรงมาทางชายร่างใหญ่ มือเรียบเนียนที่สั่นสะท้านรับผ้าห่มหนาสีเขียวมาคลุมร่างขณะปากชมพูอวบอิ่มรูปกระจับนั้นเอ่ยขอบคุณเบาๆ กางเกงยีนส์ตัดสั้นสีน้ำเงินที่เธอกำลังสวมพร้อมเสื้อเชิ้ตสั้นแขนยาวสีขาวซึ่งคอเสื้อลึกลงมาถึงจุดอันตราย และตัวเสื้อนั้นสั้นจนเห็นหน้าท้องเรียบอย่างชัดเจนทำให้เธอหนาวเหน็บกับอากาศที่นี่เหลือทน เธอปลดสายดาบคู่ในฝักโลหะซึ่งหุ้มด้วยหนังบนแผ่นหลังมาสะพายไว้ที่เอว เพื่อให้สามารถคุมผ้าห่มได้มิดชิด

บูทหนังสีดำย่ำลงบนพื้นหิมะจมลึกเป็นรอย ขณะที่รอยเท้าของชายร่างใหญ่นั้นชัดยิ่งกว่า ทั้งสองก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มองเห็นแผ่นดินสีเขียวขจีแล้ว หมู่บ้านธานอลอยู่เบื้องหน้า อีกเพียงไม่ไกล หมู่บ้านซึ่งทั้งสองหวังจะค้างแรม หลังการเดินทางอันแสนยาวนานจากอาเดน สู่เครเซน

“นี่มัน....”หญิงสาวกล่าวขึ้นทำลายความเงียบขณะที่ทั้งสองกำลังสำรวจหมู่บ้านเล็กๆที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่แทนคำตอบ ชายหนุ่มวางกระเป๋าสะพายลง ซึ่งหญิงสาวเองก็รู้สึกเช่นกัน เธอจึงชักดาบออกมา แต่ถูกชายหนุ่มห้ามไว้ “แค่6คน ชั้นรับมือได้น่า~”ขณะที่มือของเขานั้นก็ล้วงแท่งโลหะออกจากกระเป๋า ชายฉกรรจ์หกคนเดินออกจากที่ซ่อนและล้อมทั้งสองไว้

“ทั้งหมดนี่ฝีมือพวกแกงั้นรึ?” บีทกล่าวถาม “อ๋อ... เปล่าหรอก เราแค่มาเก็บกวาด หลังจากที่เห็นว่าหมู่บ้านถูกทำลายน่ะ ว่าจะยึดเป็นค่ายโจรซะเลย” ชายคนหนึ่งกล่าวและฉีกยิ้ม ซึ่งเวโรน่าไม่ได้สนใจฟังนักและนั่งลงข้างๆกระเป๋าของบีท

“ถ้างั้น ปล่อยพวกเราผ่านไปเถอะ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่กันครบ...”ชายร่างใหญ่กล่าวและตีท่อนเหล็กลงบนฝ่ามือ “งั้นขอดูว่าเจ้าจะเก่งอย่างปากว่ารึเปล่า เฮ้ย! ลุยมันเลย”ชายผู้เป็นหัวหน้ากองโจรสั่ง ขณะที่พวกลูกน้องลุยเข้ามาทันที แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อท่อนเหล็กในมือชายหนุ่มกลับมีเปลวไฟลุกขึ้น “ถ้ามวลของวัตถุสั่นไหว มันจะร้อนขึ้น...และก็…”เขากล่าวลอยๆ ก่อนจะหลับตาและชี้มันออกทางขวามือ “เหล็กกล้า เปลวเพลิง และจิตวิญญาณของข้า จงรวมเป็นหนึ่ง ปลดปล่อยพลัง สรรสร้างศาสตรา” ชายหนุ่มกล่าวด้วยภาษากลางของอาเดนโดยไม่ต้องใช้ภาษาเฉพาะของเวทย์แม้แต่น้อย ไฟนั้นกลับลุกโชนขึ้นห่อหุ้มท่อนเหล็กเป็นวงกว้าง “จง ก่อ กำเนิด~!!” เขากล่าววลีสุดท้ายด้วยเสียงอันดัง แสงสว่างส่องวาบไปทั่วเขตหมู่บ้าน เมื่อจางลงกลับเห็นว่า ท่อนเหล็กในมือชายหนุ่มกลายเป็นดาบญี่ปุ่นยาวกว่า1.8เมตรไปแล้ว เขาสะบัดเล็กน้อยเพื่อทดสอบน้ำหนัก และตั้งท่าทันที

“วิธีสร้างดาบแปลกดี แต่ฝีมือล่ะ!”หัวหน้าโจรกล่าวและพุ่งเข้าไปทันที คมดาบยาวที่แสนจะคมกริบตัดผ่านมีดสั้น เสื้อผ้า เนื้อหนัง ไปจนถึงกระดูกโดยไม่ติดขัด “ข้าฝึกดาบวันละสามชั่วโมงมากว่าสิบปี ทำไมถึงจะใช้ไม่เป็นได้ล่ะ”บีทกล่าวขึ้นลอยๆและพุ่งสังหารอีกสองคนที่อยู่ใกล้กันในดาบเดียว “ปะ...ปีศาจชัดๆ ไม่เอาด้วยแล้ว!” อีกสามคนที่เหลือทิ้งอาวุธและวิ่งหนีทันที แต่ดูเหมือนคำว่าปีศาจจะทำสะกิดปมอะไรบางอย่างเข้า ชายหนุ่มจึงขว้างดาบลงไปปักลงบนพื้นเบื้องหน้าคนทั้งสาม ‘ขอได้โปรดให้พระเจ้าได้เมตตากับคนพวกนี้ด้วยเถอะ’เวโรน่าคิดในใจขณะก้มหน้าและประสานมือขอพร พร้อมกันนั้นบีทกล่าวเพียงสั้นๆว่า “สลาย…” ดาบที่เขาเพิ่งหลอมขึ้นจึงระเบิดออก ฉีกร่างของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามออกเป็นชิ้นๆจนโลหิตสีแดงกระจายฟุ้งเป็นไอกลางอากาศ

“**โลหะผสมผงสะเก็ดแสง (แมกนีเซียม) ขยะของพวกฟีซัลนี่เอง...” ชายหนุ่มว่าและโยนดาบของพวกโจรทิ้งไปสองเล่ม ก่อนจะเพ่งมองเล่มที่สาม “สำริด...”ว่าแล้วก็ขว้างทิ้งไปเต็มแรง “มีเหล็กแท้อยู่สอง เอามาแทนที่ระเบิดทิ้งไปก็แล้วกัน”ชายหนุ่มว่าและลงมือหลอมด้วยพลังของตนทันที แต่ครั้งนี้ไม่มีไฟเกิดขึ้น เหล็กยังคงเย็นเหมือนเดิม และถูกควบคุมให้เปลี่ยนรูปไป

“ส่วนไอ้มีดที่โดนตัดไปนั่น... หึหึ... เอา***มิธริลมาใช้ได้เสียของจริง... ให้ตายสิ”เขากล่าวยิ้มๆ และห่อมันด้วยหนังก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเสื้อ

“สุดท้ายก็ธาตุโลหะในเลือด...”เขาเริ่มเดินไปสกัดโลหะออกจากเลือดของคนทั้งหกด้วยการวาดวงเวทย์ด้วยดินสอดำ สาดเลือดทับวงนั้น อัดพลังเวทย์ให้เพลิงลุกท่วมวงเวทย์ จนองค์ประกอบอื่นระเหยออกไปหมด เหลือเพียงโลหะร้อนสีแดงฉานที่ไหลมารวมตัวกันกลางวงเวทย์ เขาเก็บมันเข้ากระเป๋ารวมกับช่องใส่เหล็กอื่นๆ“แล้วจะพักกันที่ไหนล่ะ?” เวโรน่าถามขึ้นทำลายความเงียบ

“ก็ที่นี่แหละ ลองหาของในบ้านที่ไม่ถูกทำลายมากก็แล้วกัน บ้านบนเนินนั่นท่าทางจะเหลือของอยู่บ้าง” ชายรางใหญ่กล่าวและชี้ไปทางคฤหาสน์ตระกูลแบล็ค บีทยกกระเป๋าขึ้นสะพายบนหลัง อากาศที่นี่แม้จะหนาวไม่เท่าบนเขาสูงซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ แต่ก็พอที่จะทำให้ลมหายใจกลายเป็นไอได้ ถ้าต้องนอนข้างนอกคงได้หนาวตายเป็นแน่ บีทสะบัดเสื้อคลุมเล็กน้อย และใช้มือปาดโลหิตที่เปื้อนใบหน้าออก เขาค่อยๆย่างก้าวไปช้าๆ และพยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาพอจะเห็นภาพรางๆของการบุกเมืองแบบไม่เป็นระเบียบ การใช้ฝูงผีดิบเป็นทาสในการสู้รบ ซึ่งรุมแทะศพต่างๆอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝูงกาบินว่อนเหนือน่านฟ้า และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปนกลิ่นเหม็นเน่าของศพ ‘ที่นี้มันเลวร้ายเกินกว่าจะนอนพักจริงๆ แต่ไม่แน่ว่าที่คฤหาสน์อาจจะดีกว่านี้ก็ได้’ ชายหนุ่มคิดอย่างพยายามมองโลกในแง่ดี

ทั้งสองเดินตามถนนสู่ตัวคฤหาสน์อย่างเรื่อยเฉื่อย ไม่พ่อค้าก็พวกโจรกวาดของตามร้านรวงไปหมด แต่ที่คฤหาสน์นั้นเหลือของต่างๆอยู่ครบครัน บีทนำอาวุธประดับเพชรพลอยตามห้องหับต่างๆมารวมกันที่โถงใหญ่ ส่วนเวโรน่าเข้าไปสำรวจในห้องครัว ชายร่างใหญ่เดินออกมาด้านหน้าคฤหาสน์และยกรั้วขึ้น ใช้ความร้อนทำให้เหล็กแดงฉานเพื่อดัดเข้าที่ด้วยเวทย์ที่ไม่ต้องร่ายคาถา รั้วถูกซ่อมให้เป็นเหมือนเดิม สภาพบ้านยังคงสะอาดดี บีทเดินกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อเริ่มใส่ลูกเล่นเข้าในอาวุธชั้นดีสำหรับขุนนาง

“ดาบนี่คงแพงน่าดู ด้ามกับใบหนักเท่ากันพอดีเลย แถมยังประดับเพชรพลอยไว้อย่างสวยงามด้วย... ไม่สิ พลอยนี่คงใส่เพื่อความสมดุลระหว่างน้ำหนักให้มากขึ้น ส่วนใบนี่ก็แคบเกินไปทำให้มีความหนาส่วนเกินออกมา...” บีทวิเคราะห์ดาบที่เจอให้ห้องทำงาน ด้านเวโรน่าไม่ได้ให้ความสนใจนัก แม้ลึกๆแล้วเธอจะรู้สึกเหงาอยู่บ้าง แต่เธอก็รู้ดีว่าชายผู้นี้สนใจเพียงโลหะและอาวุธเท่านั้น ซึ่งเธอไม่อยากจะรบกวนเขามาก จึงเลี่ยงออกมาตามลำพัง

“เฮ้อ~ ถ้าหมอนั่นหันมาสนใจชั้นบ้างก็ดีสิ...” สาวร่างบางว่าและเริ่มร่ายรำดาบคู่ในมือด้วยกระบวนท่าที่สวยงามราวเต้นรำ ดาบคู่สีเงินด้ามประดับงาช้างและทองคำอย่างวิจิตร หากแต่ยังไม่สิ้นสุดเท่านี้เธอกำดาบและบิดเข้าสลัก ทำให้ตัวดาบส่งเสียงคำรามและเริ่มมีไฟลุกโชน ทำให้การร่ายรำนั้นดูน่าประทับใจยิ่ง เมื่อเปลวเพลิงร่ายรำส่งเสียงของเพลิงที่ลุกไหม้เป็นจังหวะทุกครั้งที่หญิงสาวเหวี่ยงดาบ ใกล้กันนั้นก็มีแสงไฟสว่างวาบออกจากคฤหาสน์เป็นระยะ จากการดัดแปลงอาวุธชั้นดีของบีทนั่นเอง และด้วยความที่เป็นคนพูดน้อย ดังนั้นทั้งสองจึงสนทนากันเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนที่วันทั้งวันจะหมดลง

_____________________________________________________________________


อาตาเซียตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องสีขาวซึ่งมีพื้นเป็นโลหะชายผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังให้เธอ ซึ่งเขาเองก็กำลังง่วนอยู่กับสารเคมีมากมายบนโต๊ะ “รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ?” ชายหนุ่มร่างเล็กถาม เขามีใบหน้าที่ดูอ่อนวัย นัยน์ตาเล็กตี่ดูนอบน้อมซ่อนอยู่หลังแว่นตาที่เป็นฝ้าเพราะไอจากสารเคมีที่ถูกต้ม ผมสั้นสีดำชี้ไม่เป็นทรงดูยุ่งเหยิง “ขออภัยที่แนะนำตัวช้า... บารานิส บาร์ค ผู้ใช้เวทย์ภายนอก (ชื่อเรียกของนักวิทยาศาสตร์ของโลกนี้) ครับ” เขากล่าวและโค้งตัวให้ อาตาเซียรู้สึกว่าสถานที่นี้โคลงไปมาเล็กน้อย ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอมองดูชายเบื้องหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า และไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ในเมื่อที่นี่มันดูแปลกไปหมด

เขาผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมยาวสีขาวที่ทำจากผ้า เหมือนของผู้ใช้เวทย์ภายนอกทั่วไป เสื้อเชิ้ตด้านในสีขาวมีปากกาหมึกซึมสีดำประดับด้วยทองคำเสียบอยู่ หัวเข็มขัดโลหะธรรมดา กางเกงขายาวสีดำพับขาขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถุงเท้าข้างซ้ายลายข้าวหลามตัดสีแดงที่มีพื้นหลังสีเขียวแก่ กับถุงเท้าข้างขวาลายทางสีน้ำตาลแก่ที่มีพื้นสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าหนังสีน้ำตาลแดงขัดเงาวับ

“ที่นี่ที่ไหน?” อาตาเซียเอ่ยปากถาม “บนเรือครับ... ที่นี่คือห้องส่วนตัวของผม... ต้องขออภัยที่รกไปหน่อย... ผมไม่ค่อยมีเวลาเก็บน่ะ” ชายร่างเล็กพูดค่อนข้างเร็ว ในสำเนียงชาวเมืองฟีซัล คือการพูดอย่างเร็วในช่วงวินาทีละสามถึงสี่คำและเว้นช่วงในระยะสั้นๆ น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่ก็คลุมเครือราวกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง “เรือลำนี้ชื่อIl Quarz (อิลควาซ ถอดความตรงตัวว่าฉลามเหล็ก)... เป็นเรือของเจค เบอร์นู ไคลน์เนอร์... ครับ” ชายหนุ่มกล่าวพลางเขย่าขวดแก้วบรรจุหมอกควันในมือ

ขณะที่อาตาเซียกำลังจะถามต่อเขาก็พูดดักทันที “ตอนนี้สนใจเรื่องคุณดีกว่า... ผมเพิ่งสกัดสิ่งนี้ออกจากเลือดของคุณ... พลังชีวิตในร่างกายถูกดึงไปต่อต้านการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ... ของสสารในขวดนี้... จนเข้าสู่ภาวะจำศีล... การที่คุณต้านทานมันได้... น่าประทับใจ... เราตรวจสอบแล้ว... มันน่าจะถูกควบคุมจากระยะไกล”ชายร่างเล็กเริ่มอธิบาย

“มันมีจุดอ่อน... ตกตะกอนเป็นเลือด... ของอันเดธ... เมื่อเจอความเย็น... พอจะทราบไหมว่ามันเข้ามาในเลือดของคุณยังไง?”บาร์คเริ่มถาม “ส่วนหนึ่งของร่างกายราชาแห่งอันเดธ คิง เบลดลียส์ คงจะเป็นตอนที่โดนแทง...” อาตาเซียตอบอย่างครุ่นคิด โดยลืมไปเสียสนิทว่ากำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า

“อืม.... น่าสนใจ... ราชาอมตะ... จะทดลองดูว่าจะฆ่าเขาได้ยังไง” บาร์คกล่าว เขาเริ่มการทดลองอีกครั้งก่อนจะหันมาพูดกับอาตาเซียเหมือนนึกขึ้นได้ “ทางออกอยู่หน้าประตู... ปีนบันไดขึ้นไป... ตอนนี้ร่างกายคุณเป็นปกติแล้ว” อาตาเซียรู้สึกว่าทุกอย่างกลับเป็นปกติแล้ว จึงไว้วางใจชายล่างเล็กเบื้องหน้า เธอเปิดประตูโลหะสู่โคลงไม้ในลำเรือ บันไดที่เธอปีนขึ้นแข็งแรงราวเหล็กกล้า ทั้งๆที่เป็นไม้ ซึ่งเธอคิดว่ามันน่าจะถูกสร้างมาอย่างดี

เบื้องบนนั้นมีสมาชิกคนอื่นๆของเรืออยู่พร้อมหน้า ชายหนุ่มนามเจคยื่นมือให้หมายจะช่วยแต่หญิงสาวนั้นหาได้สนใจ เธอยังคงปีนขึ้นด้วยตัวเองจนถึงขั้นสุดท้าย เรือลำนี้มีลูกเรือเพียงเท่าทีจำเป็น และมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับเรือโจรสลัดอื่นๆ แต่ก็ถือว่าอยู่ในขนาดทั่วๆไปเมื่อเทียบกับเรือขนสินค้าขนาดย่อม คงสูงราวๆสามชั้น ส่วนความกว้างนั้นอยู่ในระดับที่สามารถต่อสู้บนเรือได้อย่างลื่นไหล เพราะช่องทางลงไปยังข้างล่างเรียบเสมอกับพื้นเมื่อประตูกลถูกปิด ดาดฟ้าถูกแบ่งเป็นเพียงสามส่วน ซึ่งโดยมากมักจะแบ่งเป็นห้า ทำให้เรือลำนี้มีพื้นที่กว้างสำหรับกิจกรรมต่างๆพอสมควร

“เจค เบอร์นู ไคลเนอร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ชายหนุ่มทักด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “อาตาเซีย เวนซ์...” เธอตอบกลับ เสียงเรียบแน่นอนว่าเป็นเพียงตามมารยาท “เธอคงเป็นดรามอนิสต์สินะ เลือดแท้ด้วย...” เจคจุดประเด็น แต่คำตอบกลับเป็นคมดาบที่มีรูนเปล่งแสงสีแดงฉานจ่ออยู่ที่คอ รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว “ต้องการอะไร?” หญิงสาวถามด้วยเสียงเครียด “ลูกเรือน่ะ...”ชายหนุ่มว่าและใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งเพียงสองนิ้วของมือทั้งสองคีบดาบไว้และค่อยๆดันออกอย่างระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าเธอจะสน...” “ยังไงก็ได้ ถ้าพวกนายสามารถกำจัดเบลดลียส์ ชั้นยอมทุกอย่าง” หญิงสาวตอบแทรกเสียงหนักแน่น มือนั้นก็กำชับดาบแน่นขึ้นจนเจคต้องหดมือหนี

ณ ยอดเสากระโดงทรงแปดเหลี่ยมของเรืออิลควาซ ชายผิวคล้ำรูปร่างกำยำกำลังเล็งธนูลงสู่เบื้องล่าง หัวโล้นเลี่ยนทอประกายกับแสงอาทิตย์อัสดง เสื้อกั๊กสีเขียวแก่เปิดโชว์แผงอกที่เนืองแน่นด้วยมัดกล้าม กางเกงขายาวสีดำถูกถลกขาซ้ายขึ้นถึงเข่า เพื่อให้ชันเข่าเล็งได้สะดวก นัยน์ตาคมกริบสีแดงจ้องมองเบื้องล่าง เคราสีดำงอกขึ้นเล็กน้อยหลังผ่านการโกนมาหลายวัน เบื้องล่างคือชายร่างใหญ่ผู้มีผมสีดำอมฟ้าอ่อนที่บัดนี้ถอดเกราะออกแล้วถือขวานไว้อย่างมั่นคง และตั้งท่าเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้าใส่ทุกเมื่อ

“ตกลง...” ชายหนุ่มกล่าวเขาเดินถอยไปเล็กน้อยขณะที่อาตาเซียเก็บดาบ “แนะนำตัวทีละคนนะ บนยอดเสานั่นคือคริส เทรเลอร์ ฮันเตอร์จากทริปเปียน ส่วนที่ถือขวานอยู่ข้างล่างคือ โจฮันเนส บัลธาร์ จากบาบารันท์ฮิล แน่นอนเป็นทายาทของผู้นำเผ่า เขาเป็นน้องชายของเจ้าหญิงเอนัวร์ไงล่ะ ส่วนบารานิส เธอคงรู้จักแล้วสินะ” คริสใช้สองนิ้วทำสัญญาณมือโดยจ่อที่ขมับตัวเองและโยกออกเหมือนทำความรู้จัก ส่วนโจฮันเนสตั้งขวานกับพื้นจนน้ำกระเด็นขึ้นถึงขอบเรือ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะน้ำหนักของอาวุธที่พวกเขานิยม โลหะสีดำ แกลบร็อซ ที่มีน้ำหนักและความทนทานสูงมาก

“นั่นซานเดรโกร เดรค ไม่ต้องสงสัย ซานเดรโกเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่ใหญ่โตที่สุดในก็อนท์นั่นแหละ เขาทำหน้าที่ต้นหนน่ะ” เจคว่าและชี้ไปยังชายที่กำลังนั่งอยู่ที่บันไดด้านหัวเรือ เขาเป็นชายที่ค่อนข้างมีอายุ และลักษณะไม่ค่อยดีนัก หนวดเคราที่ไม่ค่อยได้โกนดูยุ่งเหยิง ผมที่เริ่มยาวก็ไม่เป็นทรงซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าคาดผมสีดำ เขายิ้มแหยๆเผยให้เห็นฟันสีเหลืองที่มีช่องว่างๆปะปน แขนขวาพันด้วยผ้าขาวและคล้องสายกับคอ เจ้าคนมือไวนั่นเอง ชุดต้นเรือสีดำทำให้เขาดูมีมาดขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก

“ได้ยินว่า~ฉาเหตุที่นายแขนหัก... มาจากหล่อน~ม่ายช่าย~เหรอ~?” ชายผู้หนึ่งปรากฏตัวพร้อมเสียงอ้อแอ้จากหลังพังงาเรือที่อยู่บริเวณท้ายเรือ เขาเป็นชายร่างอ้วนและค่อนข้างเตี้ย เสื้อยืดลายขวางสีขาวสลับแดงคับจนพุงปลิ้น กางเกงสีดำก็ส่งกลิ่นน้ำมัน ใบหน้ากลมของเขาแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้า ในมือยังถือเหยือกเบียร์อยู่ “กวีน่ะ... อัลดี บาเรล” เจคยักไหล่พูดเพียงชั่วครู่เขาก็ลงไปนอนกองข้างพังงาเรือไปอีกครั้งด้วยความเมา แสงสีเขียวส่องวาบออกมาจากอกของเจคอีกครั้ง คราวนี้เขาถอดสร้อยที่แขวนมันไว้ออก เป็นหินสีเขียวที่ถูกเจียเป็นทรงสวยงาม มันเปล่งแสงจ้าสีเขียวออกมาเพื่อบอกผู้เป็นเจ้าของถึงพลังปีศาจที่อยู่ใกล้เคียง

“ครอบครัวไคลเนอร์เป็นตระกูลต้องสาป หากได้ดื่มกินเลือดของดรามอนิสต์แท้แม้เพียงหยด พลังที่ลอบเร้นในสายเลือดจะตื่นขึ้น... หินนี่เอาไว้แยกดรามอนิสท์เลือดแท้ มันจะเปล่งแสงออกมาเมื่ออยู่ใกล้กับดรามอนิสต์แท้... อย่างเธอ” เจคกล่าวขณะที่เท้านั้นก็ย่างก้าวไปรอบๆ “มันเป็นของดูต่างหน้าจากพ่อ... แต่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เพราะว่าฉัน...” เขาเว้นระยะและกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ “ยังไม่อยากดื่มเลือดสดๆ” ประโยคนี้สร้างความผ่อนคลายให้อาตาเซียได้มากทีเดียว ขณะที่โจฮันเนสเดินเข้ามาช้าๆ โลหะหนักพันธนาการเต็มร่างของเขาราวข้าทาส แต่โดยไม่ต้องถาม เจคก็ชิงพูดกันเข้าใจผิดออกมาก่อน “เขาเดินทางกับเราเพื่อฝึกฝน และใช้โลหะหนักถ่วงร่างด้วยตัวเอง”

“ลองดวลกันหน่อยไหม?” เสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนดังขึ้นจากเบื้องหลังโลหะหนักซึ่งคล้องอยู่รอบคอ “ด้วยความยินดี”อาตาเซียกล่าว ในใจนึกอยากสอนให้เจ้าชายเบื้องหน้าเลิกอวดดีนัก ทั้งสองเลือกส่วนกลางเรือที่กว้างที่สุด ซึ่งเจคเป็นคนกำหนดขอบเขตด้วยการใช้มีดกรีดพื้นเป็นวงกลมกว้างโดยไม่เสียดาย “คริสจะคอยดู ถ้าออกจากวงคือแพ้ ถ้ามีอันตรายชั้นจะสั่งห้าม”เจคกล่าว

“อาวุธล่ะ?” อาตาเซียถาม ส่วนคำตอบที่ได้รับคือ “ไม่จำเป็น” ซึ่งนั่นเรียกน้ำโหในใจลึกๆได้พอสมควรทีเดียว “งั้นก็ตั้งท่าซะ! ไม่อย่างงั้นล่ะก็ถึงตายแน่...” หญิงสาวกล่าว “ชาวบาบารันท์ ไม่มีการตั้งท่า...” จบประโยค หญิงสาวจึงพุ่งเข้าไปอย่างหมดความอดทนทันที คมดาบตัดผ่านโลหะสีดำ แต่ยังหยุดอยู่บนผิวหนังที่แกร่งกว่าเหล็ก มือนั้นกำไว้แน่นจนดิ้นไม่หลุด “อืม... ร้ายมาก...” โจฮันเนสกล่าวเมื่อมือคู่โตเริ่มมีหยดเลือดสีแดงเข้มซึมออกมา ชายร่างยักษ์จึงเหวี่ยงดาบหมายพาร่างหญิงสาวออกไปนอกวง แต่เธอกลับปล่อยมันโดยง่ายแล้วจึงพุ่งเข้าเตะชายร่างใหญ่จนเซถลาด้วยแรงเตะกับแรงที่ตนใช้เหวี่ยง แต่กระนั้นก็ยังไม่ออกจากวง

เหล็กถ่วงมากมายทำให้เขาเคลื่อนไหวค่อนข้างช้าอาตาเซียจึงอาศัยจังหวะที่เขากำลังทรงตัวพุ่งเข้าชิงดาบคืนพร้อมกันนั้นก็วาดดาบตวัดออกทิ้งบาดแผลไว้ที่มือและต้นขาของชายร่างยักษ์ “ดี!” โจฮันเนสกล่าวและเริ่มกระชากโลหะหนักออกจากตัวด้วยมือเปล่า แต่ละชิ้นที่ร่วงสู่พื้นสร้างแรงสะเทือนอย่างมากจนหลายคนที่ยืนบนเรือถึงกับยืนไม่ติด แต่กระนั้นกลับไม่ทะลุพื้นเรือ ซึ่งไม้นั้นก็เสียหายเพียงพื้นผิว

“โว้ว~ว! ใจเย็นก่อนพรรคพวก นั่นไม่มากไปหน่อยเหรอ” เจคกล่าวอย่างตกใจขณะพยายามทรงตัวไม่ให้ล้ม ส่วนคริสที่ดูอยู่ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นปัญหา เขายังคงคอยดูอยู่เงียบๆ ใบหน้าเบื้องหลังเหล็กถ่วงปรากฏอย่างชัดเจน ใบหน้าที่ดูเหลี่ยมคม กรามกว้าง ผิวหยาบกร้าน นัยน์ตาสะท้อนแดดให้สีม่วงมีแววที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจในการสู้ หนวดเคราเริ่มขึ้นมาเล็กน้อยเป็นเส้นบาง ใบหน้าไร้ซึ่งรอยแผลเป็น จมูกโด่งเล็กน้อยเข้ากับใบหน้า ปากเรียวสีคล้ำเผยรอยยิ้มน้อยๆออกมา แน่นอนว่าเพราะมันเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น

โจฮันเนสพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วขึ้นอีกหลายเท่าตัว แรงกระทืบพื้นตอนพุ่งทำให้เรือโคลงและเคลื่อนตัวเขาจึงอาศัยโอกาสที่หญิงสาวเบื้องหน้าเสียหลัก ฟาดท่อนแขนทรงพลังใส่ดาบจนลอยเฉียดหน้าเดรคเพียงนิดเดียว ปักเข้าไปในเนื้อไม้ที่ใช้สร้างบันได รูนสาดแสงใส่ใบหน้าของเขา ขณะที่อาตาเซียก็ตกใจไม่แพ้กันกระนั้นเธอยังสามารถตั้งสติและกลิ้งตัวหลบได้ทันท่วงทีจนโจฮันเนสที่พุ่งเข้าสุดแรงเสียหลักถลาออกนอกวงไปก่อน

เสียงปรบมือดังขึ้นทำลายสมาธิจากจิตใจในการต่อสู้ที่เกิดจากการประลองที่เพิ่งจบ เจคนั่นเอง “ยอดเยี่ยม... ยินดีที่เจ้าเข้าร่วม แล้วไม่ทราบว่าเรื่องที่เจ้าขอ... เค้าอยู่ที่ไหน?” แน่นอนว่าที่กล่าวเช่นนี้ย่อมเพราะเขาได้ยินข่าวที่พวกอันเดธเข้าโจมตีเมืองต่างๆแล้ว และเขาก็เป็นผู้หนึ่ง ที่ต้องการหยุดมันด้วยเช่นกัน

“สุสานกษัตริย์ทางตะวันออกเฉียงใต้ ล่องเรือจาก…” “สุสานกษัตริย์นี่เอง... แหม ขอบใจนะ”อาตาเซียกล่าวไม่ทันจบก็มีชายผู้หนึ่งพูดแทรกขึ้น ชายผู้แต่งตัวตามแบบทางการทุกกระเบียดนิ้ว ผิดที่จากชุดทหารปกติจะเป็นสีขาว แต่เสื้อคลุมของเขาเป็นสีดำ และไม่มีตรายศใดๆติด เขาอยู่บนยอดเสาเรือข้างๆ ไม่ใช่แค่ที่ยืน แต่เป็นบนปลายทรงกลมของยอดเสากระโดงจริงๆ แต่เป็นเรือเดินทางลำเล็ก จุดยืนจึงต่ำกว่าพื้นเรืออิลควาซนิดหน่อย ผมสั้นสีดำยาวราว12เซนติเมตร เสยขึ้นตรงๆโดยมีเสาอากาศที่ลู่ไปด้านหลังโผล่มาสองเส้น เสื้อในสีขาวมีผ้าสีดำผูกไว้ที่อก ในกระเป๋าเสื้อคลุมมีกระดาษที่พับรูปสามเหลี่ยมสอดไว้อย่างเป็นระเบียบ นัยน์ตาสีดำดูเฉื่อยชา ใบหูเรียวโผล่พ้นเส้นผมเล็กน้อย ผิวกายขาวสะอาด คนที่กล้าแต่งตัวเนี้ยบแบบนี้มายืนท้าแดดบนเสากระโดงเรือ และยังมีใบหน้าคมเข้มกับแววตาเรื่อยเฉื่อยนั่น เขาเป็นบุคคลที่ใครๆในทวีปทั้งสามก็รู้จักดี เจ้าชายนักรับจ้างสารพัดผู้ตกอับ โรมาติโน่ ซิลเวอร์ ที่หก นั่นเอง

“นายเป็นใคร”อาตาเซียถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร เธอทำมือกลางอากาศราวจับดาบทำให้ดาบคู่ใจของเธอถอนตัวออกจากไม้ ผ่านหน้าเดรคอีกครั้งสู่มือเจ้าของ “แหม แหม ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้จักชั้น ลูกชายคนเล็กแห่งราชวงศ์ซิลเวอร์ผู้ถูกเนรเทศโดยพี่ชายของตัวเองเพราะระแวงว่าจะคิดชิงบัลลังก์ โรมาติโน่ ซิลเวอร์ ที่หก เอาล่ะ! ข้อหนึ่ง ชั้นไม่ได้คิดทวงบัลลังก์คืนแม้แต่น้อย และสอง เรื่องข่าวคราวของชั้นกับอานัวร์ที่กำลังถูกเอาไปซุบซิบนินทากันอย่างหนาหูน่ะ ใช่ เรากำลังจะแต่งงานกัน! เอาล่ะจบการแนะนำตัว” ชายเบื้องหน้าแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงทรงพลังและดุดันราวกำลังอบรมทหารเรือแต่รวดเร็วพอที่จะไม่เว้นช่วงหายใจ เนื่องด้วยความอึดอัดในตัวตนที่คนอื่นเข้าใจยิ่ง

“อานัวร์? พี่สาวชั้นเลือกคนอย่างนายรึ ถ้างั้นนายก็เป็นอนาคตผู้นำของบาบารันท์! ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นคนทดสอบเองว่าเจ้าคู่ควรรึเปล่า” โจฮันเนสพุ่งเข้าใส่โรมาติโน่เขาคว้าขวานขณะที่ร่างกำลังลอยผ่านเสาเรือและจามลงจากด้านบนสุดแรง

‘แคร้ง~ง~~!!’ เสียงโลหะประทะกันดังสะท้านแสบแก้วหู ขวานเล่มยักษ์ประทะเข้ากับดาบ... ซึ่งที่จริงแล้วควรจะเรียกว่าท่อนเหล็กด้วยความหนาของใบ โลหะมีลายคลื่นยาวทั่วแนวดาบคมเดียวที่โค้งงอเล็กน้อยตามรูปแบบเดิม ปลายดาบถูกตัดเรียบ ยาวพอๆกับความสูงของผู้ถือ หนาราว15เซนติเมตร บริเวณคมที่ประทะกันเกิดความร้อนจนโลหะเปลี่ยนเป็นสีแดง สะเก็ดไฟสีส้มกระเด็นออกมาเรื่อยๆผ่านการสั่นของแรงประทะ

จากมือเพียงข้างเดียวของสตรีร่างสูงผู้มีนัยน์ตาสีม่วงเมื่อสะท้อนกับแดดแววตาทรงพลังและเรืองอำนาจ เรือนผมสีเดียวกันที่ถูกถักเป็นเปียเดียวปลิวไสวด้วยแรงเฉื่อยจากความเร็วที่พุ่งเข้ามา ใบหน้าสะสวยรูปไข่ ฝีปากอวบอิ่มสีชมพูเผยอยิ้ม จมูกเล็กดูสมดุลกับใบหน้าและผิวขาวนวล เรือนร่างเพรียวบางงามสง่าและหน้าอกอวบอิ่มมีน้ำมีนวล

เธอสวมใส่ชุดคลุมสีขาวที่มีลวดลายเรียบๆรูปสามเหลี่ยมสีทองประดับ ถุงมือสีขาวยาวเลยศอกหุ้มถึงกลางฝ่ามือขอบผ้าแหลมรูปสามเหลี่ยมบนหลังมือเป็นสีทองบนข้อมือก็ประดับด้วยกำไลทองที่ตกแต่งอย่างวิจิตร เสื้อที่คลุมนั้นถูกเปิดไหล่จนเห็นผิวขาวเนียนชัดเจน รวมไปถึงเนินอกคู่โตถึงเกือบครึ่ง ส่วนเอวมัดไว้ด้วยเส้นผ้าบางๆไขว้ส่วนหน้าท้องเป็นรูปกากบาทกว้างๆ สุดปลายสายผ้าสีทองนั้นถูกล็อคไว้ด้วยห่วงสีทอง ถุงน่องสีน้ำตาลมัวตัดกับรองเท้าหุ้มข้อสีขาวที่รัดด้วยเชือกสีทองอย่างลงตัว ชุดออกงานตัวโปรดของเจ้าหญิงแห่งบาบารันท์

“พี่!?” โจฮันเนสร้องออกมาอย่างตกใจ ขณะที่ชายชุดดำกระโดดลังกาหลังลงไปยืนบนพื้นเรืออย่างหมดจดงดงาม การถ่ายเทแรงไร้ที่ติ มือนั้นก็หยิบแว่นกันแดดจากกระเป๋าเสื้อคลุมออกมาสวม ทางด้านหญิงสาวนั้น เธอใช้ดาบดีดชายร่างยักษ์กลับไปบนเรือใหญ่ ส่วนตัวเองก็ถูกดีดลงพื้นเรือเช่นกัน เมื่อถึงพื้นเธอก็ย่อเข่าจนชันลงข้างหนึ่งน้ำข้างเรือกระฉอกเล็กน้อย ส่วนโจห์นเกือบจะทำเรือเล็กของชายชุดดำคว่ำเพราะน้ำที่กระเด็นจากข้างเรือใหญ่

“งาย~ น้องชาย” หญิงสาวกล่าวยิ้มๆด้วยท่าทางยั่วยวน

_____________________________________________________________________


แสงแดดแรงกล้าของยามเทียงเล็ดลอดลงมาจากยอดไม้ที่พริ้วลู่ตามสายลมอ่อนๆของอากาศที่ค่อนข้างหนาวเหน็บแม้จะเป็นกลางฤดูร้อนในเขตเหนือของเครเซนปลุกหญิงสาวร่างบางให้ตื่นขึ้น สายลมพัดพากลิ่นของฟืนที่กำลังแตกประทุ พร้อมๆกับกลิ่นของน้ำซุปที่กำลังถูกเคี่ยวอยู่บนกองเพลิงนั้น ไออุ่นจากกองเพลิงช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น เอลกำลังเตรียมอาหารด้วยความตั้งใจ ใกล้กันนั้นรีเซ่กำลังทำความเข้าใจกับหนังสือเซนอส ไวอัล เล่มแรกอย่างใจจดใจจ่อ ด้านบิลลี่นั้นกำลังบดเขี้ยวของสัตว์บางชนิดเพื่อใช้ปรุงยาบางอย่าง

“เฮ้! เอล ขอแครอทซักหัวซิ” บิลลี่กล่าวขณะเทผงที่บดจากเขี้ยวสัตว์ลงในขวด “เอ้า!”เอลที่กำลังง่วนกับอาหารหยิบและโยนให้ทันที มืออีกข้างนั้นก็พยายามเติมเกลือลงในซุป ทว่ามันหลุดขอบหม้อไปเสียเกือบครึ่งเพราะไม่ทันได้มอง แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสนใจเกลือเพียงเล็กน้อย บิลลี่รับแครอทและบดมันด้วยอุปกรณ์บดสมุนไพรทันที โดยหั่นใส่ถ้วยที่เจาะรูเล็กๆไว้หลายรูและกดด้วยไม้จนน้ำแครอทซึมลงในขวดโลหะ หลังจากนั้นจึงใส่ผงสีเหลืองและสีดำตามลำดับ ไอสีเหลืองลอยขึ้นมาจากขวดโลหะจางๆ บิลลี่จึงพยักหน้าพอใจและใช้คีมจับขวดเพื่อนำไปต้มด้วยกองไฟที่เอลใช้ทำอาหาร

ควันสีเหลืองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวหมอกและส่งกลิ่นหอมฉุนออกมา ชายหนุ่มจึงยื่นขวดโลหะให้กับอีกคนหนึ่งทันที ”ให้เธอดื่มตอนที่มันยังร้อน จะช่วยลดไข้ได้บ้าง แต่คงยืดเวลาได้ไม่นานนัก ต้องไปถึงดาเวียนให้ได้ก่อนคืนวันพรุ่งนี้ ไม่งั้นเห็นทีจะรอดยาก” บิลลี่สั่งกับเอลและเก็บล้างอุปกรณ์ปรุงยากับน้ำดื่มที่พกมาด้วยอย่างเร่งรีบขณะที่เอลพยายามป้อนยาให้หญิงสาว เธอพยายามจะกล่าวขอบคุณแต่ก็ถูกเอลห้ามไว้

น้ำซุปถูกเทใส่ถุงหนังอย่างระมัดระวังเพื่อใช้เป็นอาหารกลางวันระหว่างการเดินทาง หนทางข้างหน้ายังยาวไกล เบื้องหน้าที่เห็นยังคงเป็นป่าบนที่ราบที่แสนกว้างไกลและทอดยาวไปบนผืนดินราวไร้จุดสิ้นสุด พร้อมๆกับความหวังที่กำลังหายไปทุกขณะเมื่อพิษร้ายยังคงพยายามแล่นเข้าสู่หัวใจของหญิงสาวอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน แม้ว่าไข้จะลดลงบ้างแล้วแต่กระนั้นบิลลี่ยังคงนำกิ่งไม้ที่ร่วงแล้วมามัดรวมกันเพื่อขัดเป็นเตียง และให้เอลผูกกับร่างของตนที่เปลี่ยนเป็นหมาป่าอีกครั้ง หมาป่าสาวเริ่มถอดเสื้อผ้าเก็บอีกครั้งหนึ่งเพื่อเปลี่ยนร่าง หมาป่าทั้งสามออกวิ่งสู่ทิศตะวันตกอีกครั้ง มุ่งสู่หุบเขาแห้งแล้งที่โผล่ยอดออกมา ณ ปลายขอบฟ้าสีฟ้าสดใสที่แสนไกลลิบ

_____________________________________________________________________


*ดรอว์ฟ เผ่าพันธุ์คนเคราะซึ่งสามารถหาข้อมูลได้ในฐานข้อมูลนิยายเรื่องนี้
**ผงสะเก็ดแสงหมายถึงแมกนีเซียมโดยชื่อนี้มาจากโคมไฟของชาวฟีซัลที่มักใช้แมกนีเซียมใส่ลงในน้ำร้อนเพื่อให้แสงสว่าง ซึ่งเมื่อผสมแมกนีเซียมกับอลูมิเนียมและตะกั่วในปริมาณที่เหมาะสมจะได้โลหะผสมที่แกร่งกว่าเหล็ก ทว่ากลับมีข้อเสียร้ายแรงคือ ธาตุนี้มีจุดหลอมเหลวเพียง600องศาเซลเซียส ส่วนเหล็กมีถึง1,500องศา เมื่ออัดเวทย์ไฟใส่เหล็กจนร้อนกว่า600องศาก็จะสามารถตัดโลหะผสมชนิดนี้ได้อย่างง่ายดาย
***มิธริลคือธาตุเงินบริสุทธิ์ เป็นธาตุที่ดรอว์ฟนิยมใช้ มีความแกร่งสูง ทนทานต่อไฟ และมีน้ำหนักเบา ซึ่งพวกดรอว์ฟนิยมนำไปใช้ทำอุปกรณ์สำหรับล่ามังกรซึ่งเป็นอาชีพหลักๆของดรอว์ฟนักรบ มีราคาค่อนข้างสูงเพราะเป็นเหล็กระดับสูงที่สามารถหาได้ง่ายกว่าแร่พิเศษบางชนิดแม้ความแกร่งจะเป็นรองแร่ระดับพิเศษต่างๆแต่ก็ถือว่าเป็นของที่ดีที่สุดที่หาได้ทั่วไป


______________________________________________________________________


______________________________________________________________________


Ova Talk I : About …. 黒 狼 溶解 の 西 (くろ おおかみ ようかい の にし) Kuro Ookami Youkai no Nishi



ชื่อ : Kuro Ookami Youkai no Nishi โยวไคหมาป่าดำแห่งตะวันตก แต่ทุกวันนี้ทำตัวเหมือนแมวซะมากกว่า Nyaa~~
ชื่อจริง : ม่ายบอก>.< ลองทายดูสิ
อายุ : เป็นความลับระดับความมั่นคงของ.... หมู่บ้าน(ประเทศชาติใหญ่ไป>.<)
เชื้อชาติ : จีนแท้ๆเกิดที่เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย
สัญชาติ : ไทย อยู่นานพอโอนแล้วล่ะ>.< ถ้าไม่มีม็อบบ่อยๆว่าจะอยู่จนตายล่ะ^^
อาหารจานโปรด : เสี่ยวหลงเปา แบบต้นตำหรับที่ใส่พริกแดงๆจนไส้กลายเป็นสีแดงส้มนะ / เห็ดผัดน้ำแดง / เต้าหู้ยี้
เครื่องดื่มที่ชอบ : เครื่องดื่มผสมแอลอกฮอล์เล็กน้อยพวกพันช์ แต่พวกเหล้า-โซดาไม่ชอบนะ

ผลไม้ที่ชอบ : องุ่น แอปเปิล


Special : Interviewing
By… นักข่าวหัวเห็ด

นักข่าวหัวเห็ด : สวัสดีครับ วันนี้เราอยู่กับนักเขียนนิยายมือเก๋าที่เขียนมาตั้ง6ปีแล้ว แต่ยังไม่มีผลงานจบเป็นชิ้นเป็นอันนะครับ
โอกะจัง : - -*(ฝืนยิ้ม)เอ่อจ่ะ แหม... ประโยคหลังนี้ยังไงๆอยู่นะเจ้าคะ แบบว่าจะหาเรื่องกันใช่ม้าย~~ย!!(กระทืบโต๊ะรังสีอมหิตแผ่ซ่าน)
นักข่าวหัวเห็ด : เอ่อ... ไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ เข้าเรื่องเลยดีกว่า อะไรที่ทำให้คุณคิดเริ่มเขียนนิยายครับ?
โอกะจัง : เอ่อ....... ประมาณหกปีก่อน เค้าก็เริ่มทำความรู้จักกับประมูลผนวกกับอยู่ในช่วงว่างงานและคิดว่าจะได้ฝึกการใช้ภาษาไทยไปในตัวด้วย(จนทุกวันนี้แทบจะลืมภาษาจีน - -“ ) แถมยังได้หาเพื่อนอีก ก็เลยเริ่มเขียนนิยายออริจินอล ทว่ากลับเป็นอะไรที่ไม่ได้รับความนิยมและผลตอบรับไม่ดีนัก จึงต้องพับโครงการไป
นักข่าวหัวเห็ด : แล้วตอนนี้มีโครงการจะทำอะไรต่อไปบ้างครับ ?
โอกะจัง : ตอนนี้..... เขียนเรื่องWhialให้จบเจ้าค่ะ จะได้ส่งโรงพิมพ์แก้จน พร้อมกับเปิดตัวในโปรเจกต์ที่วางไว้รวมๆยี่สิบกว่าเล่มที่เนื้อเรื่องมีความเกี่ยวพันกันทั้งหมด พอได้ส่วนแบ่งยอดขายมากพอก็ลาออกจากงานเก่าแล้วทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับหนังสือชุดนี้เจ้าค่ะ
นักข่าวหัวเห็ด : ในการทำงานชุดนี้มีอุปสรรคมากไหมครับ ?
โอกะจัง : ปัญหาสำคัญคือเวลาว่างน้อยเจ้าค่ะ แถมว่างๆแล้วก็ไม่ค่อยมีแรงบัลดาลใจในการเขียนเท่าไรนัก ครั้นจะเล่นเกมก็กลายเป็นทำให้ไม่อยากเขียนมากขึ้นไปอีก ก็เลยต้องโละเกมออกจากเครื่องเจ้าค่ะ - -“
นักข่าวหัวเห็ด : พักเรื่องนิยายไว้ก่อนนะครับ ทางเราได้ข่าวมาว่า คุณโอคามิมีพฤตติกรรมเข่าข่ายจะเป็นโอตาคุ จริงเท็จแค่ใหนครับ?
โอกะจัง : ว๊าย!! (สะดุ้งเฮือก) เอ่อ ค... คือ ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่ชอบสะสมฟิกเกอร์เอาไว้เป็นแบบเวลาออกแบบตัวละครบ้าง ดูอนิเมเพื่อหาแรงบัลดาลใจกับดูกระแสความนิยมของตลาด ฟังเพลงอนิเมเพราะชอบดนตรีแบบญี่ปุ่น สะสมชุดคอสไว้ดูแล้วอธิบายรายละเอียด แต่ว่าไม่ใช่โอตาคุนะเจ้าค้า~~
(เสียงเพลง Mitsu no Yoake(OPของSpice And Wolf ซีซั่น2))
อ๊ะ!! โทรศัพท์เข้า
นักข่าวหัวเห็ด : นี่ถึงขนาดตั้งเพลงอนิเมเป็นเสียงเรียกเข้ายังจะว่าไม่ใช่โอตาคุอีกเหรอคร้าบ~~~บ!!
-----(ตัดเข้าโฆษณา)-----
ครีมทาหน้าขาวตราซีม่าโลชั่น ใช้แล้วหน้าของท่านจะขาวนวลผ่อง เหมาะสำหรับท่านที่มีใบหน้าหนาเป็นพิเศษ เพราะหนังหน้าของท่านจะหลุดลอกออกมาเป็นแถบ ของแท้ต้องทาแล้วแสบ~~บ สะท้านไปถึงทรวง...
ยาหม่องตราลิงถือพานทอง(แท้) ทาถูๆ แก้อาการวิงเวียนศรีษะ ดมก็ได้ทาก็ดี ของแท้ต้องไม่มีรูปพานทองเพราะครูฝึกลิงมันเอาไปจำนำแล้ว~~ว!!
-----(ตัดเข้ารายการปกติ)-----
นักข่าวหัวเห็ด : คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเรามาสัมภาษณ์กันต่อนะครับ ชื่อโยวไคหมาป่าดำแห่งตะวันตกนี้มีที่มายังไงครับ?
โอกะจัง : ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ แบบว่าเค้าชอบอ่ะ =w= เอาเข้าจริงเป็นเพราะเค้าไม่ค่อยชอบสังคมอ่าจ้า ก็เลยเป็นหมาป่าเดียวดาย และแน่นอนว่ามีผมสีดำโดยธรรมชาติก็เลยให้เป็นKuro Ookami ตัวจริงใส่แว่นก็เลยเติมแว่นเข้า ทีนี้หมาใส่แว่นมันดูแปลกๆก็เลยให้เป็นโยวไค (Youkai) แล้วแปลงเป็นรูปกึ่งมนุษย์แบบสาวน้อยเติมหูหมากับหางเข้าไปเหมือนในรูปอ่าจ้า ส่วนno Nishi มาจากมีคนถามว่าเป็น no ….อะไรซักอย่างที่มีความหมายเกี่ยวกับพื้นดินหรือ ก็เลยปฏิเสธไปแล้วก็บอกว่าเป็น no Nishi เพราะจีนอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น>.<
นักข่าวหัวเห็ด : หมายความว่า....... นอกจากจะเป็นโอตาคุแล้ว ยังส่อแววเป็นฮิคิโคโมริ (พวกเก็บตัว)ด้วยสินะครับ?
โอกะจัง : เห~~?! ม่าย~ยช่าย~ยน๊า~า!! เค้าทำแบบทดสอบแล้วมีที่ตรงกับชีวิตประจำวันแค่4ใน15เองน๊า~~า
นักข่าวหัวเห็ด : แล้วมีกี่ข้อถึงนับว่าเป็นล่ะครับ?
โอกะจัง : ห้าข้ออ่ะ>.<
นักข่าวหัวเห็ด : ครับ(’ชัดเจนเลยครับเจ๊’) ถ้างั้นขอจบการสัมภาษณ์เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ ของคุณครับ
โอกะจัง : เฮ้~ ในวงเล็บนะหมายความว่างาย~(9ติดหนวดแล้วแต่งคอสลุงช่างปะปาไล่กระทืบเห็ด)
นักข่าวหัวเห็ด : จ๊าก~~ก! จ้วย~~ด้วย~~ย!!!
-----ตื๊ด~~ด-----
ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากความขัดข้องบางประการ จึงไม่อาจแพร่ภาพได้ ตัดจบดีกว่า - -“

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา