[OS] อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน TK (2019 re-write)
-
เขียนโดย Moonae
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.32 น.
1 session
2 วิจารณ์
2,410 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 มกราคม พ.ศ. 2563 14.47 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1) one shot-อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความTomo
ถ้าผมเลือกได้ ผมจะไม่มีวันชอบเพื่อนสนิทของผมเด็ดขาด แต่เพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้ผม...รู้สึกกับมันไปแล้ว
แล้วถ้าผมเลือกได้อีก เมื่อผมรู้สึกแล้วผมก็อยากจะบอกมันให้รู้ไปเลย แต่ติดที่ผมเสือกขี้ขลาดเกินไป ตั้งแต่วันนั้นผมเลยได้แค่มองมันมีแฟน และเลิกกับแฟนไปทีละคน ๆ โดยที่ผมก็ยังไม่มีใคร และเมื่อมันดีขึ้น มันก็กลับมีแฟนใหม่ก่อนที่ผมจะพูดทุกครั้ง...ชีวิตนี้ผมก็คงเป็นได้แค่เพื่อนสนิทของมันเท่านั้น
Line~ [JarinTheBFF]
JarinTheBFF : มึง
JarinTheBFF : กูทะเลาะกับพี่เขาอีกแล้วว่ะ
T O M O : อะไรอีก
JarinTheBFF : เค้าก็หาว่ากูงี่เง่าเหมือนเดิม ประสาทจะแดก
JarinTheBFF : คือต้องให้กูพูดอีกกี่รอบว่ากูเป็นคนไม่ดูหนัง ปฏิเสธก็งอน หลับในโรงก็นอยด์
JarinTheBFF : คำถามว่าหนังสนุกมั้ยนี้คือคำถามปลายปิดป่ะ กูอยากรู้
T O M O : ใจเย็น
JarinTheBFF : เย็นกว่านี้กูก็ภิกษุณีแล้วโมะ กูพอแล้ว
T O M O : พอครั้งนี้มึงจะใช้เวลากี่อาทิตย์ในการมีคนใหม่อ่ะ
JarinTheBFF : กวนตีน
JarinTheBFF : แต่กูเจ็บนะมึง
T O M O : เจ็บกว่าทุกคน
JarinTheBFF : ก็มีแค่เรื่องเดียวที่กูกับเค้าทะเลาะกัน ถ้าเลิกกันด้วยเหตุผลว่ากูไม่ดูหนัง
T O M O : กูไม่รับปรึกษาว่าจะเลิกหรือไม่เลิก
นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายของผมกับมัน และตอนนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมไม่ได้รับการติดต่อจากมันอีกเลย สามวันที่ไม่รู้ความเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับมัน สามวันที่ผมโคตรจะร้อนใจ
‘แก้ว’ เป็นเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่ม.ปลาย ตอนม.4 ผมเพิ่งย้ายกลับมาจากญี่ปุ่นและมาเรียนต่อที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร และมันเป็นเพื่อนคนแรกของผมที่ประเทศไทย
ในสายตาของผมตอนนั้น มันเป็นผู้หญิงห้าว ๆ ที่เหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง เป็นคนที่ไปไหนไปกัน และคอยช่วยเหลือผมตลอด ซึ่งผมก็ยินดีและชอบที่จะให้มันช่วยติวหนังสือ ตามงาน หรือแม้แต่รายละเอียดส่วนตัวของผมเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งผมไม่เคยรู้ตัวว่าผมรู้สึกอะไรกับมัน...จนมันมีแฟน
ตอนที่มันแนะนำแฟนคนแรกให้ผมรู้จัก ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจผมอยู่ ผมอึดอัด หัวผมตื้อ ไม่รู้ต้องแสดงสีหน้ายังไง แต่สิ่งที่ผมแสดงออกไปเสือกเป็นรอยยิ้มที่ยินดีกับความรักของเพื่อน และทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของมันต่อไป
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็เลิกกัน และความรู้สึกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกเพราะผมจะบอกมัน แต่อย่างที่บอกไปแล้ว ทุกครั้งที่มันเลิกกับแฟนมันจะมาร้องไห้กับผม ผมจึงเป็นอันต้องพับโครงการที่ผมจะบอกความรู้สึกกับมันออกไป แล้วมันก็ดีขึ้นในตอนที่มันมีแฟนใหม่เรียบร้อย
Rrrrrrrrrr~~ [KaewJairin]
“ครับ”
ผมจ้องชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอผมสักครู่ก่อนที่จะรับสาย ปกติผมกับมันก็ไม่ได้คุยกันทุกวันหรอก แต่เพียงแค่ประโยคสุดท้ายที่คุยกันวันนั้นมันทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุขมาตลอด แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมก็กรอกเสียงลงไปให้นิ่งที่สุด
[เจอกันหน่อย ร้านเจฟ]
“มึงเอาดี ๆ”
น้องเจฟ น้องรหัสมอปลายของแก้ว และน้องเทคคณะผม ความฝันของมันคือการเปิดร้านนั่งชิลและดนตรีสดโดยที่มันเป็นคนเล่นดนตรีให้ทุกคนฟัง
จะชิลขนาดไหนมันก็ต้องมีแอลกอฮอล์กันบ้าง ถูกมั้ยครับ ซึ่งไอ้เพื่อนผมมันก็เลยใช้ร้านนี้เป็นสถานที่นัดผมมาเจอทุกครั้ง...ที่มันเลิกกับแฟน
[กูอยากรู้ว่ากูคบผู้ชายอยู่หรือเปล่า] น้ำเสียงที่ดูเหมือนประชดประชันนั้นสั่นเครือเหมือนกับหัวใจของผมที่กำลังสั่น มันเหมือนเป็นวงจรอะไรสักอย่างที่เล่นกับความรู้สึกของผมอยู่ และผม อยากหยุดมัน
“เล่า”
[พรุ่งนี้วันเกิดกูที่เป็นวันครบรอบ กูนัดแก๊งไว้แล้วว่าจะไปเลี้ยงวันเกิดกูกับมึงพร้อมกันถูกป่ะ ซึ่งกูบอกเค้าไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่นัดกัน แต่พรุ่งนี้เค้าจะให้กูไปดูหนังอ่ะมึง]
“ก็ไปดูหนังก่อนแล้วค่อยมาเลี้ยงกับพวกกู”
[ก็กูบอกว่ากูไม่ดูหนังไง แล้วก็ทะเลาะกันอีก แล้วพี่เค้าก็ท้าเลิก]
“อืม”
[กูเลยถามพี่เค้าว่า จะเลิกกันจริง ๆ เลยมั้ย สรุปว่าก็เลิก]
“ร้านไอ้เจฟไม่ใช่คลับฟรายเดย์นะมึง”
[กูออกมาแล้ว มึงมาด้วย]
“คร้าบบบ” ผมลากเสียงยาว ๆ กรอกลงไปในสายโทรศัพท์ ก่อนจะแต่งตัว และออกจากคอนโด
ทุกทีมันจะเป็นคนที่ขับรถมา และจบด้วยการเมาเละทุกครั้งให้ผมต้องคอยแบกร่างไอ้เพื่อนอกหักขับรถไปส่งมันที่บ้านตลอด ผมถึงได้รับรู้ว่า ผมไม่ควรจะขับรถไป
8:00 PM @Jeff' shiller
ผมเดินเข้าไปในร้านเลี้ยวไปถึงโซนที่มันมานั่งทุกครั้งที่อกหัก แล้วก็เห็นมันนั่นจิบเหล้าอยู่ก่อนแล้ว
“ร้านเปิดหกโมง”
“มึงโทรหากูตอนหกโมงสิบห้า ให้กูวาร์ป?” บทสนทนาของเราก็เป็นแบบเพื่อน ๆ ทั่วไป ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรพิเศษ และมันไม่มีทางรู้ว่าผมคิดยังไง
“แล้วนี่มายังไง”
“แท้กซี่” ผมตอบแล้วนั่งลงตรงข้ามมัน
“ไม่ขับรถมาเองวะ”
“แล้วคนที่ขับรถหิ้วมึงไปส่งถึงบ้านนี่ไม่ใช่กูเลยเนาะ”
“ขอโทษค่ะ” บทสนทนาของเรายังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ และไม่มีใครวกเข้าเรื่องที่มันนัดผมมาในวันนี้
ใจหนึ่งผมอยากให้มันพูดระบายออกมาให้หมด แล้วจะได้ถึงตาผมที่พูดคำนั้นบ้าง แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้มันเป็นคนที่สดใสร่าเริงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้คำว่าเพื่อนมันเสียไป แล้วผมก็แอบกังวลอยู่เล็กน้อย
สมมติถ้าผมพูดไปแต่มันไม่อยากได้ยินคำนี้จากปากใครอีกแล้ว สมมติถ้ามันไม่ได้คิดอะไรเลยแล้วรับในสิ่งที่ผมบออกไม่ได้ เราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า
ผมฟังมันเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ คุยกับมันไปเรื่อย ๆ จนผ่านไปหนึ่งชั่วโมงมันก็ยังไม่พูดอะไร แอลกอฮอล์ที่มันสั่งมาก็ยังไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย หรือว่าวันนี้ผมก็คงแห้วอีกตามเคย
Rrrrrrrrrr~~
สักพักเสียงโทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้น ผมเห็นมันถอนหายใจตอนที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาก่อนที่มันจะกดรับ
“ค่ะพี่”
“แล้วแต่พี่เลยค่ะ”
“ไม่เคยอยากเลิกแล้วพี่พูดมันออกมาทำไมคะ”
“มันไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งที่สอง และไม่ใช่ครั้งที่สามที่พี่พูดแบบนี้ แก้วว่าพี่อย่าแก้ตัวเลย”
“งั้นจบเถอะค่ะ ถือว่าแก้วบอกเลิกพี่เอง” ประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากมันก่อนที่มันจะวางสายล้วปิดเครื่องไป
เครื่องดื่มข้าง ๆ ถูกกระดกเข้าปากอย่างต่อเนื่องเหมือนชีวิตนี้มันไม่เคยแดกน้ำมาก่อน ดนตรีจากไอ้น้องเจฟก็ดูเหมือนจะเข้ากับบรรยกาศเหลือเกิน ไอ้น้องมันไปอกหักอะไรมาหรือเปล่าวะ
แต่ก็นั่นแหละ ผมที่อ้าปากจะพูดกลับได้เหล้าเข้าปากแทน แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้พูด ถ้าพรุ่งนี้มันไม่อยู่ฟังผม ถ้าผมจะไม่ได้พูดอีกแล้ว ถ้า...มันปฏิเสธผม
“ไอ้แก้ว มึงเยอะแล้วครับ” ผมเอ่ยปากเตือนเมื่อมันเปิดมาเป็นขวดที่สามแล้ว
“มึงก็รู้ว่ากูคอแข็ง”
“เออมึงคอแข็ง แต่ตับมึงน่าจะแข็งกว่าแล้วมั้ย แดกขนาดนี้” ก็อย่าได้หาความอ่อนโยนจากผมเลย ถึงผมจะชอบมันยังไงแต่ถ้าให้มานั่งเอาใจแบบที่แฟนมันแต่ละคนทำก็คงแปลก ๆ แต่ก่อนอื่นหาช่องให้ผมพูดก่อนได้มั้ยวะครับ
“นั่งแดกเป็นเพื่อนกูก็พอ”
“มึงคิดครับเพื่อน ถ้ากูเมา มึงเมา ใครจะแบกมึงไปทิ้งบ้าน”
“กูเริ่มไม่ไหวแล้วว่ะ กูผิดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“อะไรที่ทำใหมึงรู้สึกผิดอ่ะ”
“กู...ไม่รู้ แต่กูว่ากูทำดีแล้วนะเว้ย กูยอมเค้าทุกอย่าง กูแทบจะเปลี่ยนตัวเองให้พี่เค้าแล้ว ทำไมเหตุผลที่เลิกกัน”
“พี่เค้าท้ามึงเลิกกี่ครั้งแล้ว มึงจะทนรอให้เค้าบอกเลิกมึงจริง ๆ เลยป่ะ” ผมพูดแทรกก่อนที่มันจะถามหาเหตุผลต่อ
“กูก็บอกเลิกแล้วไง แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่เรื่องเดียวมาทะเลาะกันตลอดเลยวะ แล้วเมื่อไหร่กูถึงจะคบใครยืด ทำไมกูต้องมาอยู่ในวงจรเหี้ยอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมไม่มีใครที่โอเคกับกู หรือกูเป็นคนยังไงวะ มึงบอกกูสิ”
“มึงคิดเอง คิดดี ๆ ทำตัวแมนแล้วอย่าเสือกโทษตัวเอง” ผมพยายามคุมเสียงตัวเองให้อยู่ในโทนที่ปกติดที่สุด
“แต่กูบอกเลิกพี่เค้า”
“ใครสอนมึงว่าบอกเลิกก่อนคือผิดวะ มึงถูกบอกเลิกมึงก็เจ็บ มึงบอกเลิกก่อนมึงก็คิดว่ามึงผิด” ผมเริ่มเก็บความรู้สึกนี้ไม่อยู่แล้ว ผมอยากเจ็บแทนมัน ผมอยากโกรธทุกคนที่บอกเลิกมัน ถ้าผมเป็นคนนั้นเอาหัวเป็นประกันเลยว่ามันจะไม่มีวันต้องเสียใจ
“แล้วมึงจะหัวร้อนทำไมวะ กูเศร้านะเว้ย” มันถามย้อนกลับ ผมถึงรู้ตัวว่าผมได้แสดงมันออกมามากเกินไปแล้ว
“แล้วมึงจะรู้บ้างมั้ยวะว่ากูก็ผู้ชายคนนึง” ผมเบาเสียงลงทำให้เสียงของผมม้นกลืมไปกับดนตรที่รุ่นน้องผมเล่นขึ้นมา
...ก็ได้แต่คิดและฝันมานาน
อยากจะกระซิบข้างหูด้วยคำๆหนึ่ง
แต่ไม่เคยทำสักที
ก็ได้แต่คิดไม่กล้าทำจริง
ก็กลัวว่าเธอจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า
ได้แต่เก็บไว้ในใจ
กลัวว่าเธอจะไม่ซึ้งถึงคำๆนั้น
กลัวจะไม่เป็นดั่งฝันต้องเสียน้ำตา
ได้แต่ถอนใจเก็บเอาไว้ไม่กล้าพอ
อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
ว่ารักเธอมากมายเท่าไหร่
แต่ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง
ถ้าเธอไม่รักแล้วฉันจะเสียใจแค่ไหน
จะให้ทำใจยังไง
ต้องหนีไปไกลแค่ไหนถึงจะทนได้
เธอจะมีใจไหมฉันดูไม่ออก
แต่เธอช่างดีกับฉันไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
ก็อยากจะกุมมือเธอเอาไว้ใกล้ๆใจ
กลัวว่าเธอจะไม่ซึ้งถึงคำๆนั้น
กลัวจะไม่เป็นดั่งฝันต้องเสียน้ำตา
ได้แต่ถอนใจเก็บเอาไว้ไม่กล้าพอ
อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
ว่ารักเธอมากมายเท่าไหร่
แต่ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง
ถ้าเธอไม่รักแล้วฉันจะเสียใจแค่ไหน
จะให้ทำใจยังไง
ต้องหนีไปไกลแค่ไหนถึงจะทนได้
ขอได้ไหมดวงดาวช่วยทำให้ใจฉันไม่ต้องเจ็บ
ขอได้ไหมให้เธอมีใจให้ฉัน
อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
ว่ารักเธอมากมายเท่าไหร่
แต่ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง
ถ้าเธอไม่รักแล้วฉันจะเสียใจแค่ไหน
จะให้ทำใจยังไง
ต้องหนีไปไกลแค่ไหนถึงจะทนได้…
เราเงียบกันไปชั่วขณะ ฟังเพลงที่รุ่นน้องมันเล่นได้โคตรจะถูกจังหวะในตอนที่ผมกำลังจะพูดมันออกมา ผมมองเข้าไปในตามัน แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามที่ผมก็มองไม่ออกว่าเป็นเรื่องของมันหรือเรื่องของผม
เราจ้องกันแบบนั้นถึงแม้ว่าเพลงจะจบและน้องมันจะเปลี่ยนไปเล่นเพลงอื่นแล้ว
ผมไม่ได้ยินว่าเพลงต่อไปมันคือเพลงอะไร ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศรอบ ๆ ร้าน ไม่รับรู้ถึงเสียงโต๊ะอื่น ๆ ที่คุยกัน ตรงนี้มีแค่ผมกับมัน ในหัวของผมมีแต่ความคิดที่ตีกันมั่วไปหมด แล้วก็รับรู้ถึงแรงอะไรไม่รู้ที่มันดูดทุกคำที่ผมอยากจะพูดกลืนหายลงไป แล้วแทนที่ด้วยน้ำตา
“มึงกลับเถอะแก้ว กูไปส่ง”
“มึงร้องไห้
“ช่างกู มึงกลับบ้านเถอะ” จำไม่ได้เหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้คือเมื่อไหร่ แต่ผมสาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ให้มันเห็น ผมลุกขึ้นเตรียมจะลุกออกไปแต่มันคว้าข้อมือผมไว้
“มึงเป็นอะไร” มันกดเสียงต่ำตามผม
“กูไปหาไอ้เจฟนะ มึงจ่ายของมึงเลยเดี๋ยวกูขับไปส่ง พรุ่งนี้กูมีธุระตอนเช้า”
“มึงเป็นอะไร ตอบให้ตรงคำถาม”
“ไม่ใช่วันนี้แก้ว มึงจ่ายของมึงแล้วกลับบ้าน"
“กูจะรู้วันนี้”
“มึงเจ็บมามากแล้ว มันไม่ใช่วันนี้ กูขอ” ผมพยายามบอกมันอย่างใจเย็น กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีก แก้วไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เมื่อผมยืนยันว่ามันจะไม่ใช่วันนี้ มันก็จะไม่ใช่วันนี้
ปลีกตัวเพื่อเดินไปหารุ่นน้องที่เล่นดนตนรีอยู่ ทักทายตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องที่คณะ คุยกันสักพักก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะ
“จ่ายยัง” ผมปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
“อืม มึงขับใช่ป่ะ”
“เออ ไป”
ตลอดทางจนไปถึงบ้านมันมีเพียงความเงียบเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ผมโคตรชอบจะฟังเพลงจนมันต้องไปติดเครื่องเสียงในรถยนต์เพื่อให้ผมได้ฟังแล้วไม่บ่นว่าเสียงไม่ดี เบสไม่แน่นอะไรทำนองนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้ผมต้องการความเงียบจนรถแล่นมาจอดที่หน้าบ้านของมัน
“ขอบคุณนะ มึงเอารถกลับไปเลย พรุ่งนี้มารับกูด้วย” มันบอกผมแต่ก็ยังไม่ลงจากรถ
“อืม เจอกันบ่ายสองนะเว้ย” แล้วเราก็ปล่อยให้บนรถเงียบอีกครั้งโดยที่มันก็ยังไม่ลงจากรถ
“ทำไม รอกูลงไปเปิดให้ว่างั้น”
“มึงมีอะไรจะบอกกูมั้ย” มันถามผมอีกครั้ง
“กูบอกว่ามันไม่ใช่วันนี้ไง เชื่อเถอะว่ามึงไม่พร้อมจะรู้วันนี้” ผมยืนยันกับมัน
“มึงเอาอะไรมาตัดสินความรู้สึกกู กูจะฟังวันนี้”
“กูไม่อยากให้มึงเจ็บอีก เอาเป็นว่ามึงดีขึ้นเมื่อไหร่มึงบอกกู แล้วกูจะบอกมึง” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบอกกับมัน
“มึง”
กูชอบมึง มึงได้ยินมั้ย...
ถ้ากูพูดมึงจะไม่หนีกูใช่มั้ย ไม่หลบหน้ากูใช่มั้ย
“แก้ว”
“อย่าย้อน”
“...”
“กูจะรู้วันนี้” มันยืนยันคำเดิมกับผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
“ได้ มึงว่าการที่เราชอบใครสักคนมันห้ามกันได้มั้ยวะ”
“มึง”
“เงียบแล้วฟังกู มึงว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่กูจะชอบคนคนนึงมาตลอดเกือบหกปี เห็นมึงเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ทั้งที่กูยังอยู่กับที่ เห็นมึงวิ่งในวงจรเดิม ๆ แต่กูทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย ให้คำปรึกษามึงได้น้อยลงกว่าทุกครั้งเพราะเสือกอยากเป็นคนนั้นมากขึ้นทุกปี วัน ๆ กูก็ทำได้แค่แต่งเรื่องขึ้นมา สมมุติว่าถ้ากูได้เป็นเขากูจะทำอะไร มึงเจ็บมาเยอะพอแล้ว กูพูดไปถ้ามึงไม่รู้สึกอะไรมึงก็แย่กว่าเดิม เชื่อกูเถอะว่ามันจะไม่มีอะไรดีขึ้น...พรุ่งนี้เจอกัน”
“ขอโทษที่บีบมึงให้พูดวันนี้นะ วันนี้ขอบคุณมึงมาก พรุ่งนี้เจอกัน” มีเพียงคำขอโทษที่บีบบังคับใจผมพูดมันออกมา ใจหนึ่งก็โล่ง แต่ยังไงก็ยังกังวลอยู่ดี
แต่ผมยึดรถมันเป็นตัวประกันแล้ว เลี้ยงวันเกิดผมกับมันวันพรุ่งนี้ยังไงก็ตั้องได้เจอกัน
มันเกิดประตูก้าวลงจากรถ
“มึง” แต่ก่อนที่จะปิดประตูมันก็เรียกผมอีกครั้งให้ผมหันไปตามเสียง
“พร้อมเมื่อไหร่มึงก็มาบอกกูอีกทีแล้วกัน ถ้ามันจะเป็นมึงสุดท้ายก็เป็นมึ่งนั่นแหละ เจอกัน” มันพูดแค่นั้นแล้วก็ปิดประตูและเข้าบ้านไป
รอกูนะ
ถ้ากูพร้อมกว่านี้
กูจะบอกมึงชัด ๆ
และจะทำเรื่องของเราให้ชัดขึ้น
กูสัญญา...
TalK: ฟิคนี้เป็นฟิคเรื่องแรกในชีวิตเราจริง ๆ เลยที่เราได้เขียนเอาไว้เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนั้นเรายังประถมอยู่เลย แล้วอยู่ดี ๆ ก็ได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนขีดเขียนอีกครั้งจึงขอนำเรื่องนี้มาเขียนใหม่เป็นเวอร์ชัน2019แล้วกันค่ะ ส่วนเวอร์ชันเก่าเราก็ยังเก็บไว้อยู่นะ เผื่อในอนาคตเรามีโอกาสได้กลับมาจับขีดเขียนอีกครั้ง เราอาจจะนำเรื่องอื่น ๆ มารีไรท์และเปรียบเทียบพัฒนาการของเราเองด้วย ช่วงที่หายไปเราก็ไปเป็นนักเขียนอยู่ที่เว็ปอื่น ๆ ด้วยนามปากกาที่ต่างกันไป แต่ว่าก็ยังวิ่งเล่นอยู่ในวงการนักเขียนเหมือนเดิมนะ สำหรับใครที่ผ่านมาเห็นเรื่องนี้เรารู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ยังมีผู้ที่อ่านและยังติดตามอยู่ คอมเมนต์คุยกันได้นะคะ
รัก-Moonae
ถ้าผมเลือกได้ ผมจะไม่มีวันชอบเพื่อนสนิทของผมเด็ดขาด แต่เพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้ผม...รู้สึกกับมันไปแล้ว
แล้วถ้าผมเลือกได้อีก เมื่อผมรู้สึกแล้วผมก็อยากจะบอกมันให้รู้ไปเลย แต่ติดที่ผมเสือกขี้ขลาดเกินไป ตั้งแต่วันนั้นผมเลยได้แค่มองมันมีแฟน และเลิกกับแฟนไปทีละคน ๆ โดยที่ผมก็ยังไม่มีใคร และเมื่อมันดีขึ้น มันก็กลับมีแฟนใหม่ก่อนที่ผมจะพูดทุกครั้ง...ชีวิตนี้ผมก็คงเป็นได้แค่เพื่อนสนิทของมันเท่านั้น
Line~ [JarinTheBFF]
JarinTheBFF : มึง
JarinTheBFF : กูทะเลาะกับพี่เขาอีกแล้วว่ะ
T O M O : อะไรอีก
JarinTheBFF : เค้าก็หาว่ากูงี่เง่าเหมือนเดิม ประสาทจะแดก
JarinTheBFF : คือต้องให้กูพูดอีกกี่รอบว่ากูเป็นคนไม่ดูหนัง ปฏิเสธก็งอน หลับในโรงก็นอยด์
JarinTheBFF : คำถามว่าหนังสนุกมั้ยนี้คือคำถามปลายปิดป่ะ กูอยากรู้
T O M O : ใจเย็น
JarinTheBFF : เย็นกว่านี้กูก็ภิกษุณีแล้วโมะ กูพอแล้ว
T O M O : พอครั้งนี้มึงจะใช้เวลากี่อาทิตย์ในการมีคนใหม่อ่ะ
JarinTheBFF : กวนตีน
JarinTheBFF : แต่กูเจ็บนะมึง
T O M O : เจ็บกว่าทุกคน
JarinTheBFF : ก็มีแค่เรื่องเดียวที่กูกับเค้าทะเลาะกัน ถ้าเลิกกันด้วยเหตุผลว่ากูไม่ดูหนัง
T O M O : กูไม่รับปรึกษาว่าจะเลิกหรือไม่เลิก
นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายของผมกับมัน และตอนนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมไม่ได้รับการติดต่อจากมันอีกเลย สามวันที่ไม่รู้ความเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับมัน สามวันที่ผมโคตรจะร้อนใจ
‘แก้ว’ เป็นเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่ม.ปลาย ตอนม.4 ผมเพิ่งย้ายกลับมาจากญี่ปุ่นและมาเรียนต่อที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร และมันเป็นเพื่อนคนแรกของผมที่ประเทศไทย
ในสายตาของผมตอนนั้น มันเป็นผู้หญิงห้าว ๆ ที่เหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง เป็นคนที่ไปไหนไปกัน และคอยช่วยเหลือผมตลอด ซึ่งผมก็ยินดีและชอบที่จะให้มันช่วยติวหนังสือ ตามงาน หรือแม้แต่รายละเอียดส่วนตัวของผมเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งผมไม่เคยรู้ตัวว่าผมรู้สึกอะไรกับมัน...จนมันมีแฟน
ตอนที่มันแนะนำแฟนคนแรกให้ผมรู้จัก ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจผมอยู่ ผมอึดอัด หัวผมตื้อ ไม่รู้ต้องแสดงสีหน้ายังไง แต่สิ่งที่ผมแสดงออกไปเสือกเป็นรอยยิ้มที่ยินดีกับความรักของเพื่อน และทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของมันต่อไป
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็เลิกกัน และความรู้สึกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกเพราะผมจะบอกมัน แต่อย่างที่บอกไปแล้ว ทุกครั้งที่มันเลิกกับแฟนมันจะมาร้องไห้กับผม ผมจึงเป็นอันต้องพับโครงการที่ผมจะบอกความรู้สึกกับมันออกไป แล้วมันก็ดีขึ้นในตอนที่มันมีแฟนใหม่เรียบร้อย
Rrrrrrrrrr~~ [KaewJairin]
“ครับ”
ผมจ้องชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอผมสักครู่ก่อนที่จะรับสาย ปกติผมกับมันก็ไม่ได้คุยกันทุกวันหรอก แต่เพียงแค่ประโยคสุดท้ายที่คุยกันวันนั้นมันทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุขมาตลอด แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมก็กรอกเสียงลงไปให้นิ่งที่สุด
[เจอกันหน่อย ร้านเจฟ]
“มึงเอาดี ๆ”
น้องเจฟ น้องรหัสมอปลายของแก้ว และน้องเทคคณะผม ความฝันของมันคือการเปิดร้านนั่งชิลและดนตรีสดโดยที่มันเป็นคนเล่นดนตรีให้ทุกคนฟัง
จะชิลขนาดไหนมันก็ต้องมีแอลกอฮอล์กันบ้าง ถูกมั้ยครับ ซึ่งไอ้เพื่อนผมมันก็เลยใช้ร้านนี้เป็นสถานที่นัดผมมาเจอทุกครั้ง...ที่มันเลิกกับแฟน
[กูอยากรู้ว่ากูคบผู้ชายอยู่หรือเปล่า] น้ำเสียงที่ดูเหมือนประชดประชันนั้นสั่นเครือเหมือนกับหัวใจของผมที่กำลังสั่น มันเหมือนเป็นวงจรอะไรสักอย่างที่เล่นกับความรู้สึกของผมอยู่ และผม อยากหยุดมัน
“เล่า”
[พรุ่งนี้วันเกิดกูที่เป็นวันครบรอบ กูนัดแก๊งไว้แล้วว่าจะไปเลี้ยงวันเกิดกูกับมึงพร้อมกันถูกป่ะ ซึ่งกูบอกเค้าไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่นัดกัน แต่พรุ่งนี้เค้าจะให้กูไปดูหนังอ่ะมึง]
“ก็ไปดูหนังก่อนแล้วค่อยมาเลี้ยงกับพวกกู”
[ก็กูบอกว่ากูไม่ดูหนังไง แล้วก็ทะเลาะกันอีก แล้วพี่เค้าก็ท้าเลิก]
“อืม”
[กูเลยถามพี่เค้าว่า จะเลิกกันจริง ๆ เลยมั้ย สรุปว่าก็เลิก]
“ร้านไอ้เจฟไม่ใช่คลับฟรายเดย์นะมึง”
[กูออกมาแล้ว มึงมาด้วย]
“คร้าบบบ” ผมลากเสียงยาว ๆ กรอกลงไปในสายโทรศัพท์ ก่อนจะแต่งตัว และออกจากคอนโด
ทุกทีมันจะเป็นคนที่ขับรถมา และจบด้วยการเมาเละทุกครั้งให้ผมต้องคอยแบกร่างไอ้เพื่อนอกหักขับรถไปส่งมันที่บ้านตลอด ผมถึงได้รับรู้ว่า ผมไม่ควรจะขับรถไป
8:00 PM @Jeff' shiller
ผมเดินเข้าไปในร้านเลี้ยวไปถึงโซนที่มันมานั่งทุกครั้งที่อกหัก แล้วก็เห็นมันนั่นจิบเหล้าอยู่ก่อนแล้ว
“ร้านเปิดหกโมง”
“มึงโทรหากูตอนหกโมงสิบห้า ให้กูวาร์ป?” บทสนทนาของเราก็เป็นแบบเพื่อน ๆ ทั่วไป ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรพิเศษ และมันไม่มีทางรู้ว่าผมคิดยังไง
“แล้วนี่มายังไง”
“แท้กซี่” ผมตอบแล้วนั่งลงตรงข้ามมัน
“ไม่ขับรถมาเองวะ”
“แล้วคนที่ขับรถหิ้วมึงไปส่งถึงบ้านนี่ไม่ใช่กูเลยเนาะ”
“ขอโทษค่ะ” บทสนทนาของเรายังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ และไม่มีใครวกเข้าเรื่องที่มันนัดผมมาในวันนี้
ใจหนึ่งผมอยากให้มันพูดระบายออกมาให้หมด แล้วจะได้ถึงตาผมที่พูดคำนั้นบ้าง แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้มันเป็นคนที่สดใสร่าเริงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้คำว่าเพื่อนมันเสียไป แล้วผมก็แอบกังวลอยู่เล็กน้อย
สมมติถ้าผมพูดไปแต่มันไม่อยากได้ยินคำนี้จากปากใครอีกแล้ว สมมติถ้ามันไม่ได้คิดอะไรเลยแล้วรับในสิ่งที่ผมบออกไม่ได้ เราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า
ผมฟังมันเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ คุยกับมันไปเรื่อย ๆ จนผ่านไปหนึ่งชั่วโมงมันก็ยังไม่พูดอะไร แอลกอฮอล์ที่มันสั่งมาก็ยังไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย หรือว่าวันนี้ผมก็คงแห้วอีกตามเคย
Rrrrrrrrrr~~
สักพักเสียงโทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้น ผมเห็นมันถอนหายใจตอนที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาก่อนที่มันจะกดรับ
“ค่ะพี่”
“แล้วแต่พี่เลยค่ะ”
“ไม่เคยอยากเลิกแล้วพี่พูดมันออกมาทำไมคะ”
“มันไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ใช่ครั้งที่สอง และไม่ใช่ครั้งที่สามที่พี่พูดแบบนี้ แก้วว่าพี่อย่าแก้ตัวเลย”
“งั้นจบเถอะค่ะ ถือว่าแก้วบอกเลิกพี่เอง” ประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากมันก่อนที่มันจะวางสายล้วปิดเครื่องไป
เครื่องดื่มข้าง ๆ ถูกกระดกเข้าปากอย่างต่อเนื่องเหมือนชีวิตนี้มันไม่เคยแดกน้ำมาก่อน ดนตรีจากไอ้น้องเจฟก็ดูเหมือนจะเข้ากับบรรยกาศเหลือเกิน ไอ้น้องมันไปอกหักอะไรมาหรือเปล่าวะ
แต่ก็นั่นแหละ ผมที่อ้าปากจะพูดกลับได้เหล้าเข้าปากแทน แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้พูด ถ้าพรุ่งนี้มันไม่อยู่ฟังผม ถ้าผมจะไม่ได้พูดอีกแล้ว ถ้า...มันปฏิเสธผม
“ไอ้แก้ว มึงเยอะแล้วครับ” ผมเอ่ยปากเตือนเมื่อมันเปิดมาเป็นขวดที่สามแล้ว
“มึงก็รู้ว่ากูคอแข็ง”
“เออมึงคอแข็ง แต่ตับมึงน่าจะแข็งกว่าแล้วมั้ย แดกขนาดนี้” ก็อย่าได้หาความอ่อนโยนจากผมเลย ถึงผมจะชอบมันยังไงแต่ถ้าให้มานั่งเอาใจแบบที่แฟนมันแต่ละคนทำก็คงแปลก ๆ แต่ก่อนอื่นหาช่องให้ผมพูดก่อนได้มั้ยวะครับ
“นั่งแดกเป็นเพื่อนกูก็พอ”
“มึงคิดครับเพื่อน ถ้ากูเมา มึงเมา ใครจะแบกมึงไปทิ้งบ้าน”
“กูเริ่มไม่ไหวแล้วว่ะ กูผิดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“อะไรที่ทำใหมึงรู้สึกผิดอ่ะ”
“กู...ไม่รู้ แต่กูว่ากูทำดีแล้วนะเว้ย กูยอมเค้าทุกอย่าง กูแทบจะเปลี่ยนตัวเองให้พี่เค้าแล้ว ทำไมเหตุผลที่เลิกกัน”
“พี่เค้าท้ามึงเลิกกี่ครั้งแล้ว มึงจะทนรอให้เค้าบอกเลิกมึงจริง ๆ เลยป่ะ” ผมพูดแทรกก่อนที่มันจะถามหาเหตุผลต่อ
“กูก็บอกเลิกแล้วไง แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่เรื่องเดียวมาทะเลาะกันตลอดเลยวะ แล้วเมื่อไหร่กูถึงจะคบใครยืด ทำไมกูต้องมาอยู่ในวงจรเหี้ยอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมไม่มีใครที่โอเคกับกู หรือกูเป็นคนยังไงวะ มึงบอกกูสิ”
“มึงคิดเอง คิดดี ๆ ทำตัวแมนแล้วอย่าเสือกโทษตัวเอง” ผมพยายามคุมเสียงตัวเองให้อยู่ในโทนที่ปกติดที่สุด
“แต่กูบอกเลิกพี่เค้า”
“ใครสอนมึงว่าบอกเลิกก่อนคือผิดวะ มึงถูกบอกเลิกมึงก็เจ็บ มึงบอกเลิกก่อนมึงก็คิดว่ามึงผิด” ผมเริ่มเก็บความรู้สึกนี้ไม่อยู่แล้ว ผมอยากเจ็บแทนมัน ผมอยากโกรธทุกคนที่บอกเลิกมัน ถ้าผมเป็นคนนั้นเอาหัวเป็นประกันเลยว่ามันจะไม่มีวันต้องเสียใจ
“แล้วมึงจะหัวร้อนทำไมวะ กูเศร้านะเว้ย” มันถามย้อนกลับ ผมถึงรู้ตัวว่าผมได้แสดงมันออกมามากเกินไปแล้ว
“แล้วมึงจะรู้บ้างมั้ยวะว่ากูก็ผู้ชายคนนึง” ผมเบาเสียงลงทำให้เสียงของผมม้นกลืมไปกับดนตรที่รุ่นน้องผมเล่นขึ้นมา
...ก็ได้แต่คิดและฝันมานาน
อยากจะกระซิบข้างหูด้วยคำๆหนึ่ง
แต่ไม่เคยทำสักที
ก็ได้แต่คิดไม่กล้าทำจริง
ก็กลัวว่าเธอจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า
ได้แต่เก็บไว้ในใจ
กลัวว่าเธอจะไม่ซึ้งถึงคำๆนั้น
กลัวจะไม่เป็นดั่งฝันต้องเสียน้ำตา
ได้แต่ถอนใจเก็บเอาไว้ไม่กล้าพอ
อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
ว่ารักเธอมากมายเท่าไหร่
แต่ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง
ถ้าเธอไม่รักแล้วฉันจะเสียใจแค่ไหน
จะให้ทำใจยังไง
ต้องหนีไปไกลแค่ไหนถึงจะทนได้
เธอจะมีใจไหมฉันดูไม่ออก
แต่เธอช่างดีกับฉันไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
ก็อยากจะกุมมือเธอเอาไว้ใกล้ๆใจ
กลัวว่าเธอจะไม่ซึ้งถึงคำๆนั้น
กลัวจะไม่เป็นดั่งฝันต้องเสียน้ำตา
ได้แต่ถอนใจเก็บเอาไว้ไม่กล้าพอ
อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
ว่ารักเธอมากมายเท่าไหร่
แต่ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง
ถ้าเธอไม่รักแล้วฉันจะเสียใจแค่ไหน
จะให้ทำใจยังไง
ต้องหนีไปไกลแค่ไหนถึงจะทนได้
ขอได้ไหมดวงดาวช่วยทำให้ใจฉันไม่ต้องเจ็บ
ขอได้ไหมให้เธอมีใจให้ฉัน
อยากบอกให้ชัดว่ารักเธอแค่ไหน
ว่ารักเธอมากมายเท่าไหร่
แต่ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง
ถ้าเธอไม่รักแล้วฉันจะเสียใจแค่ไหน
จะให้ทำใจยังไง
ต้องหนีไปไกลแค่ไหนถึงจะทนได้…
เราเงียบกันไปชั่วขณะ ฟังเพลงที่รุ่นน้องมันเล่นได้โคตรจะถูกจังหวะในตอนที่ผมกำลังจะพูดมันออกมา ผมมองเข้าไปในตามัน แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามที่ผมก็มองไม่ออกว่าเป็นเรื่องของมันหรือเรื่องของผม
เราจ้องกันแบบนั้นถึงแม้ว่าเพลงจะจบและน้องมันจะเปลี่ยนไปเล่นเพลงอื่นแล้ว
ผมไม่ได้ยินว่าเพลงต่อไปมันคือเพลงอะไร ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศรอบ ๆ ร้าน ไม่รับรู้ถึงเสียงโต๊ะอื่น ๆ ที่คุยกัน ตรงนี้มีแค่ผมกับมัน ในหัวของผมมีแต่ความคิดที่ตีกันมั่วไปหมด แล้วก็รับรู้ถึงแรงอะไรไม่รู้ที่มันดูดทุกคำที่ผมอยากจะพูดกลืนหายลงไป แล้วแทนที่ด้วยน้ำตา
“มึงกลับเถอะแก้ว กูไปส่ง”
“มึงร้องไห้
“ช่างกู มึงกลับบ้านเถอะ” จำไม่ได้เหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้คือเมื่อไหร่ แต่ผมสาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ให้มันเห็น ผมลุกขึ้นเตรียมจะลุกออกไปแต่มันคว้าข้อมือผมไว้
“มึงเป็นอะไร” มันกดเสียงต่ำตามผม
“กูไปหาไอ้เจฟนะ มึงจ่ายของมึงเลยเดี๋ยวกูขับไปส่ง พรุ่งนี้กูมีธุระตอนเช้า”
“มึงเป็นอะไร ตอบให้ตรงคำถาม”
“ไม่ใช่วันนี้แก้ว มึงจ่ายของมึงแล้วกลับบ้าน"
“กูจะรู้วันนี้”
“มึงเจ็บมามากแล้ว มันไม่ใช่วันนี้ กูขอ” ผมพยายามบอกมันอย่างใจเย็น กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีก แก้วไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เมื่อผมยืนยันว่ามันจะไม่ใช่วันนี้ มันก็จะไม่ใช่วันนี้
ปลีกตัวเพื่อเดินไปหารุ่นน้องที่เล่นดนตนรีอยู่ ทักทายตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องที่คณะ คุยกันสักพักก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะ
“จ่ายยัง” ผมปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
“อืม มึงขับใช่ป่ะ”
“เออ ไป”
ตลอดทางจนไปถึงบ้านมันมีเพียงความเงียบเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ผมโคตรชอบจะฟังเพลงจนมันต้องไปติดเครื่องเสียงในรถยนต์เพื่อให้ผมได้ฟังแล้วไม่บ่นว่าเสียงไม่ดี เบสไม่แน่นอะไรทำนองนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้ผมต้องการความเงียบจนรถแล่นมาจอดที่หน้าบ้านของมัน
“ขอบคุณนะ มึงเอารถกลับไปเลย พรุ่งนี้มารับกูด้วย” มันบอกผมแต่ก็ยังไม่ลงจากรถ
“อืม เจอกันบ่ายสองนะเว้ย” แล้วเราก็ปล่อยให้บนรถเงียบอีกครั้งโดยที่มันก็ยังไม่ลงจากรถ
“ทำไม รอกูลงไปเปิดให้ว่างั้น”
“มึงมีอะไรจะบอกกูมั้ย” มันถามผมอีกครั้ง
“กูบอกว่ามันไม่ใช่วันนี้ไง เชื่อเถอะว่ามึงไม่พร้อมจะรู้วันนี้” ผมยืนยันกับมัน
“มึงเอาอะไรมาตัดสินความรู้สึกกู กูจะฟังวันนี้”
“กูไม่อยากให้มึงเจ็บอีก เอาเป็นว่ามึงดีขึ้นเมื่อไหร่มึงบอกกู แล้วกูจะบอกมึง” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบอกกับมัน
“มึง”
กูชอบมึง มึงได้ยินมั้ย...
ถ้ากูพูดมึงจะไม่หนีกูใช่มั้ย ไม่หลบหน้ากูใช่มั้ย
“แก้ว”
“อย่าย้อน”
“...”
“กูจะรู้วันนี้” มันยืนยันคำเดิมกับผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
“ได้ มึงว่าการที่เราชอบใครสักคนมันห้ามกันได้มั้ยวะ”
“มึง”
“เงียบแล้วฟังกู มึงว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่กูจะชอบคนคนนึงมาตลอดเกือบหกปี เห็นมึงเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ทั้งที่กูยังอยู่กับที่ เห็นมึงวิ่งในวงจรเดิม ๆ แต่กูทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย ให้คำปรึกษามึงได้น้อยลงกว่าทุกครั้งเพราะเสือกอยากเป็นคนนั้นมากขึ้นทุกปี วัน ๆ กูก็ทำได้แค่แต่งเรื่องขึ้นมา สมมุติว่าถ้ากูได้เป็นเขากูจะทำอะไร มึงเจ็บมาเยอะพอแล้ว กูพูดไปถ้ามึงไม่รู้สึกอะไรมึงก็แย่กว่าเดิม เชื่อกูเถอะว่ามันจะไม่มีอะไรดีขึ้น...พรุ่งนี้เจอกัน”
“ขอโทษที่บีบมึงให้พูดวันนี้นะ วันนี้ขอบคุณมึงมาก พรุ่งนี้เจอกัน” มีเพียงคำขอโทษที่บีบบังคับใจผมพูดมันออกมา ใจหนึ่งก็โล่ง แต่ยังไงก็ยังกังวลอยู่ดี
แต่ผมยึดรถมันเป็นตัวประกันแล้ว เลี้ยงวันเกิดผมกับมันวันพรุ่งนี้ยังไงก็ตั้องได้เจอกัน
มันเกิดประตูก้าวลงจากรถ
“มึง” แต่ก่อนที่จะปิดประตูมันก็เรียกผมอีกครั้งให้ผมหันไปตามเสียง
“พร้อมเมื่อไหร่มึงก็มาบอกกูอีกทีแล้วกัน ถ้ามันจะเป็นมึงสุดท้ายก็เป็นมึ่งนั่นแหละ เจอกัน” มันพูดแค่นั้นแล้วก็ปิดประตูและเข้าบ้านไป
รอกูนะ
ถ้ากูพร้อมกว่านี้
กูจะบอกมึงชัด ๆ
และจะทำเรื่องของเราให้ชัดขึ้น
กูสัญญา...
TalK: ฟิคนี้เป็นฟิคเรื่องแรกในชีวิตเราจริง ๆ เลยที่เราได้เขียนเอาไว้เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนั้นเรายังประถมอยู่เลย แล้วอยู่ดี ๆ ก็ได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนขีดเขียนอีกครั้งจึงขอนำเรื่องนี้มาเขียนใหม่เป็นเวอร์ชัน2019แล้วกันค่ะ ส่วนเวอร์ชันเก่าเราก็ยังเก็บไว้อยู่นะ เผื่อในอนาคตเรามีโอกาสได้กลับมาจับขีดเขียนอีกครั้ง เราอาจจะนำเรื่องอื่น ๆ มารีไรท์และเปรียบเทียบพัฒนาการของเราเองด้วย ช่วงที่หายไปเราก็ไปเป็นนักเขียนอยู่ที่เว็ปอื่น ๆ ด้วยนามปากกาที่ต่างกันไป แต่ว่าก็ยังวิ่งเล่นอยู่ในวงการนักเขียนเหมือนเดิมนะ สำหรับใครที่ผ่านมาเห็นเรื่องนี้เรารู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ยังมีผู้ที่อ่านและยังติดตามอยู่ คอมเมนต์คุยกันได้นะคะ
รัก-Moonae
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
✓ เรื่องนี้ไม่มีเจตนาทำให้บุคคลที่อ้างถึงเสียชื่อเสียง และฉันจะยอมรับผิดเมื่อบุคคลนั้นตำหนิหรือเตื่อนมา
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ