[EXO] Chanbaek Youtuber เย้ยฟ้าท้ารัก #ส่งฟ้ามาให้รัก (Au-Thai)

-

เขียนโดย NAMENOEY

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 03.06 น.

  1 chapter
  0 วิจารณ์
  3,259 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 03.42 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

1) chapter 1 Where there is love there is life.

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
chapter 1
 
 
 

 
 
 
Where there is love there is life.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
          เวลา  18.00 น.
 
 
          “กลับมาแล้วคร้าบบ”
 
 
          ตอนนี้ผมถึงบ้านแล้ว ร้านยังไม่ปิด คนพลุกพล่านเพราะเป็นช่วงตอนเย็น เลิกงานกันพอดี  ยิ่งร้านผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัทขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆปากซอยบ้านผม  ขี่จักรยานไปไม่ถึงโลก็เจอแล้ว  ที่รู้ก็เพราะเสาร์-อาทิตย์ผมต้องไปส่งอาหารกลางวันที่นั่นบ่อยๆ ทำให้คนยิ่งเยอะเข้าไปอีก  เข้ามาเลยจ้า เข้ามา การเงินในบ้านจะได้สะพัด พรั่งพรู~~
 
 
          “เอ้า มาแล้วเรอะ มาๆ มาช่วยข้าทำงานเลย ลูกค้าเยอะแยะ อย่ามัวโอ้เอ้อยู่”  ขุ่นแม่ครับ มาถึงก็ใช้เลย ไม่ให้ลูกสุดหล่อคนนี้พักสักหน่อยรึ
 
 
 
          “โห่แม่  หนูเรียนมา(?)เหนื่อยๆนะ ให้หนูพักก่อนได้รึมั่ยย”   ต้องโอดครวญเยอะๆ เผื่อแม่จะเห็นใจ อิอิ
 
 
 
          “ไม่ต้องเลยๆ  มาเดี๋ยวนี้  เอ้า! ลูกค้าโต๊ะ10 ไปรับออเดอร์ไป”
 
 
 
           “แม่อะ!”   ผมพูดเสียงกระเง้ากระงอด  ฮึ่ยย  ถ้าหลุดจากนี้นะ  จะไปเล่นเกมโต้รุ่งให้สว่างคาตาเลย  คอยดูเถอะ!
 
 
 
           “โป๊ก!!   ยัง ยังอีก ยังไม่ไปอีก ยืนทำหน้าอะไรของเอ็ง  อย่าให้รู้นะว่านินทาข้าในใจ”  อุแหม่  รู้เหมือนตาเห็น  ถ้าไม่รู้ว่าเป็นแม่พรนี่นึกว่า ริว  จิตสัมแผด  
 
 
 
            “โอ้ยๆ ไปแล้วจ้า”  สุดท้ายก็ต้องไป เฮ้ออ
 
 
            ผมเดินไปใส่ผ้ากันเปื้อน และถือกระดาษจดออเดอร์ไปที่โต๊ะหมายเลข 10
 
 
            โอ๊ะ  ลูกค้าคนนี้แต่งตัวดีเชียว มาคนเดียวซะด้วย
 
 
 
            “จะรับอะไรดีครับคุณลูกค้า” พอผมพูดจบ ลูกค้าท่านนั้นก็เงยหน้าขึ้น
 
 
           โอ้วววว   เหมือนมีแสงประกายวิบวับๆออกมาจากตัวเขา!
 
           ไม่ได้ตาฝาดนะ  นี่มันเทพบุตรแท้ๆ
 
 
 
            “อืม..ที่ร้านคุณมีเมนูแนะนำอะไรบ้างล่ะ” 
 
 
            “เอื้อก//กลืนน้ำลาย  กะ..ก็จะเป็นพะแนงไก่  ข้าวหมูกระเทียมพริกไทย  คะน้าหมูกรอบครับ”  จะสั่นทำไมเนี่ยกู๊วว
 
 
            “อ่าห้ะ งั้นเอาเป็นข้าวผัดก็แล้วกัน” 
 
 
             อ้าว  แล้วจะให้ผมแนะนำเมนูทำเตี่ยไรเนี่ย
 
 
            “ครับ  จะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ”  กัดฟันพูดหนักมาก แต่ก็นะ  ลูกค้าคือพระเจ้า  แม้จะกวนตีนจนอยากจะเอาตีนประกบหน้าแค่ไหนคงจะทำไม่ได้
 
 
            แต่สงสัยผมแสดงออกทางสีหน้าชัดไปหน่อย เพราะว่า..
 
 
            “ฮ่าๆ  ฉันล้อเล่นน่า ทำหน้าหงุดหงิดไปได้  เปลี่ยนจากข้าวผัดเป็นคะน้าหมูกรอบก็ได้”    รู้ได้ไงฟะ  ทำไมวันนี้มีแต่คนอ่านใจเราได้
 
 
 
           หรือว่าทุกคนจะเป็นมนุษย์ต่างดาว!  ไม่น้า~
 
 
 
           โรคประสาทแดกแล้วมั้งตัวกู
 
 
 
          “ขะ..ขอโทษครับคุณลูกค้า”
 
 
          “เรียกฉันว่า ‘อินทร์’ เถอะ  นายล่ะชื่ออะไร”  นะ..น่ากลัว  คนอะไร ไม่รู้จักกัน ทำไมถึงถามชื่อกันด้วยหน้าตาสดใสขนาดนั้น!
 
 
          กลั้นใจตอบไปก่อนละกัน!
 
 
          “ชื่อฟ้าครับ ชื่อจริงชื่อนายนภนท์ เจริญสิริ  แม่ชื่อพร พ่อชื่อชาติครับผม!”
 
 
          “ฮ่าๆๆ  นายนี่มันฮาจริงๆ  จะบอกชื่อพ่อแม่มาทำไมกัน ฉันไม่ได้อยากรู้สักหน่อย ฮ่าๆ” 
 
 
          เอ๋า   กูผิดมั้ยเนี่ย
 
 
          “สรุปนายชื่อฟ้าใช่มั้ย   รูปร่างหน้าตาก็เหมือนผู้หญิง  ชื่อก็ดันเหมือนผู้หญิงอีก  แม่นายอยากได้ลูกผู้หญิงใช่มั้ยล่ะ?”   เหยย  มันรู้ได้ไงอ่ะ!
 
 
          มะ..มนุษย์ต่างดาว!  หมอนี่ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่ๆเลยครับทุกโคนน ฮือออ
 
 
 
             “หึหึ  นายนี่แสดงทุกอย่างออกทางสีหน้าหมดเลยนะ”  
 
         
          “มะ..ไม่ใช่สักหน่อย”   
 
 
         
          นายคนนั้นหัวเราะออกมานิดหน่อย  ก่อนจะโบกมือให้ผมออกไปจากโต๊ะ  ผมกลับมาที่หลังร้านอย่างงงๆ  พร้อมกับบอกออเดอร์แม่  ส่วนผมก็ออกไปรับออเดอร์กับลูกค้าโต๊ะอื่นๆ  แต่สายตาก็ยังมองไปที่หมอนั่นเป็นระยะๆ   แต่พอหันไปทีไรก็เห็นมันจ้องผมอยู่แล้ว  แล้วพอผมสะดุ้งเพราะสายตาของมัน  นายคนนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
 
 
 
 
          ไม่อายบ้างหรือไงนะ!
 
 
 
 
 
          ผมกลับมาที่ครัวเพื่อนำอาหารไปเสิร์ฟ  แต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นคะน้าหมูกรอบวางอยู่ข้างๆตัว  ผมรีบหันไปไหว้วานให้เด็กเสิร์ฟคนอื่นเอาคะน้าหมูกรอบไปเสิร์ฟที่โต๊ะ 10  แทน   ดีที่ลูกจ้างของแม่คนนั้นเขาพูดด้วยง่าย  ผมจึงไม่ต้องไปรับศึกกับเจ้ามนุษย์ต่างดาวที่ชื่ออินทร์อีก 
 
 
 
 
 
          เมื่อเด็กเสิร์ฟคนนั้นเอาคะน้าหมูกรอบไปเสิร์ฟให้อินทร์  ทำให้อินทร์แปลกใจว่าทำไมไม่ใช่เจ้าเด็กที่ชื่อฟ้ามาเสิร์ฟ   ทั้งที่คิดแผนการที่ไว้แกล้งเจ้าเด็กนั่นแล้วแท้ๆเชียว 
 
 
 
          เฮ้อ  ทำไงได้ เด็กมันทำตัวน่ารักน่าแกล้งเองนี่นา
 
 
 
          เมื่อเด็กเสิร์ฟคนนั้นวางอาหารลง  และเห็นว่าลูกค้าท่านนี้ยังไม่ได้สั่งเครื่องดื่ม  จึงสอบถาม   อินทร์เห็นว่านั่นคงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เจอเจ้าเด็กฟ้าอีกครั้งหนึ่ง  จึงได้สั่งเครื่องดื่มและพูดกับเด็กเสิร์ฟคนนั้นว่า
 
 
 
          “เอาเป็นน้ำแตงโมปั่นก็แล้วกัน  อ้อ แล้วไปบอกให้เด็กคนเมื่อกี้มาเสิร์ฟเองด้วยล่ะ  ไม่อย่างนั้นฉันจะขอคุยกับเจ้าของร้าน ว่าพนักงานในร้านนี้ดูแลลูกค้าไม่ดีพอ”
 
 
 
          “ดะ…ได้ค่ะ”   พนักงานคนนั้นพยักหน้าสั่นๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ครัว
 
 
 
 
ผมกำลังจะได้พักแล้วทุกคน!   ฮืออ   ได้จะได้นอนพักสักที
 
 
 
ตอนนี้ผมกำลังจะไปถอดผ้ากันเปื้อนออกที่หลังร้าน  เดินไปก็ฮัมเพลงไปด้วย
 
 
 
ทำไมวันนี้ท้องฟ้ามันสดใสจังน้า~
         
 
 
 
 
“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่ฟ้า!”
 
 
 
แต่ทำไมต้องมีอะไรมาขัดจังหวะทุกทีเลยนะ!
 
 
 
“มีอะไรอีกเนี่ย!  อ้าว เธอนี่นา มีอะไรหรือเปล่า”    
 
 
“คือลูกค้าคนที่พี่ให้หนูไปเสิร์ฟอาหารแทนน่ะค่ะ  เขาสั่งเครื่องดื่มเป็นแตงโมปั่น…..”
 
 
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่อีกอ่ะ  ฮึ่ย เธอขัดขวางการไปพักผ่อนของพี่นะรู้มั้ย?”  ผมพูออกไปอย่างอารมณ์เสีย
 
 
“ขะ..ขอโทษค่ะ!  แต่ว่า..ลูกค้าคนนั้นเขาให้มาบอกว่าจะให้พี่ไปเสิร์ฟเองค่ะ  ไม่อย่างนั้นจะเรียกเจ้าของร้านมาคุย”
 
 
 
อะไรนะ! ชักจะมากเกินไปแล้วนะนายคนนี้
 
 
 
“โอเคๆ เดี๋ยวพี่ไปเสิร์ฟเอง  ส่วนเธอก็ไปทำงานต่อได้เลย”  ผมตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
 
 
ผมเดินไปเอาน้ำแตงโมที่เคาท์เตอร์และนำเอาไปเสิร์ฟที่โต๊ะ  ในใจพลางคิดไปว่า  นายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่นะ  มาดีหรือมาร้าย  ถ้ามาดีจริงๆก็ต้องคุยกันดีๆสิ  ไม่ใช่พูดจากวนตีนกวนโอ๊ยขนาดนี้   หรือว่าจะเป็นการเข้าหารูปแบบใหม่กันนะ..?
 
 
 
ก็นะ  ใครใช้ให้แม่พรกับพ่อชาติมีลูกหน้าตาดีขนาดนี้
 
 
 
คิดไปไม่ทันไรก็มาถึงที่โต๊ะ   ผมวางแก้วน้ำลง ในใจคิดคำพูดไว้มากมาย เตรียมที่จะด่าออกไปแล้ว  แต่ไม่ทันพูดอะไร นายอินทร์ก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
 
 
“ฉันขอโทษนะ  ที่แกล้งนายไปแบบนั้น  ฉันแค่อยากรู้จักกับนายเท่านั้นเอง” 
 
 
 
คำพูดทั้งหมดที่เตรียมไว้ถูกกลืนหายไปในใจ 
 
 
 
“…….”
 
 
“นายจะไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร  …จะให้ฉันพิสูจน์ตัวเองก็ได้นะ”
 
 
 
“ยะ…ยังไง”   ผมพูดออกไปอย่างหวาดหวั่น  ในใจก็หวังว่านายคนนี้จะไม่ทำอะไรแพลงๆ
 
 
 
“ให้ฉันจัดเอาช่างมาต่อเติมร้านนายก็ได้นะ  หรือไม่ก็ช่วยนายปลดหนี้ทั้งหมด  ได้ข่าวว่าติดหนี้เขาอยู่หลายแสนไม่ใช่หรอ  ที่แม่กับพ่อนายเอาเงินมาลงทุนเปิดร้านอาหารน่ะ”
 
 
 
“นายรู้ได้ยังไง!”  
 
 
 
ผมตะโกนออกไปอย่างตกใจ  เพราะผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง  ยกเว้นหมี่กับซอลที่ผมไว้ใจมาก  ดังนั้นจึงตัดสองคนนั้นออกไปได้เลยว่าจะไปบอกใครคนอื่น  แสดงว่านายคนนี้ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ  ถึงรู้เรื่องคนอื่นได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้   
 
 
 
ผมฉุดให้นายคนนั้นลุกขึ้นและดึงออกไปนอกร้าน  เพราะผมไม่อยากรบกวนลูกค้าคนอื่นๆ   โชคดีที่นายอินทร์ยอมลุกขึ้นและเดินตามมาแต่โดยดี
 
 
 
“นายเป็นใครกันแน่  ทำไมถึงต้องทำอย่างนี้”   ผมพูดออกไปอย่างเหลืออด
 
 
 
“….ฉันแค่อยากจะเป็นเพื่อนนายเท่านั้น  แต่ไม่คิดว่าจะโกรธขนาดนี้”
 
 
 
หมอนั่นมองหน้าผมแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง  ทำให้ผมลดความโกรธลงมาได้บ้าง   แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี  ว่าทำไมคนเราถึงอยากเป็นเพื่อนกับคนแปลกหน้าขนาดนี้   แถมยังดูเป็นคนที่รวยมากๆซะด้วย  ทำไมถึงมากินร้านข้าวแกงเล็กๆแบบนี้
 
 
 
“นายน่ะ..อยากเป็นเพื่อนกันจริงๆใช่ไหม?  ไม่ได้จะมาหลอกกันแน่นะ?”
 
 
 
นายอินทร์มองหน้าผมแล้วหลุดหัวเราะออกมา ราวกับว่าที่ผมพูดออกไปเมื่อสักครู่เป็นเรื่องที่น่าขำมาก
 
 
 
“หึหึ  นั่นสินะ  เป็นใครใครก็คิดว่าฉันจะมาหลอกนาย  แต่สบายใจได้  ฉันแค่ต้องการเป็นเพื่อนกับนายเท่านั้น”
 
 
 
พอหมอนั่นพูดแบบนั้น ก็ทำให้ผมชั่งใจว่า  จะให้นายนี่เป็นเพื่อนกับผมดีหรือไม่ …หน้าตาก็ดูไม่มีพิษมีภัย  เหมือนหมีง่วงๆซะมากกว่า  แถมยังรวยอีกต่างหาก  ถ้าได้มาเป็นเพื่อนคงจะเสริมบารมีมิใช่น้อย  หึหึหึหึ
 
 
 
“ก็ได้   มาเป็นเพื่อนกัน”  ผมยอมรับคำแต่โดยดี
 
 
 
“ตกลง  และต่อไปเรียกฉันว่าพี่อินทร์นะ  เพราะฉันอายุเยอะกว่านาย”
 
 
 
ฮ่วย  ยังจะมีข้อต่อรองอีก  เรื่องมากจริงๆ
 
 
 
“โอเค  ไม่ขัดอยู่แล้ว” 
            
 
 พี่อินทร์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะบอกลาและเดินหันหลังกลับไป  โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่าง..
 
 
 
 
มันลืมจ่ายค่าข้าวไง!
 
 
 
 
“นี่!  แล้วค่าข้าวผมล่ะ!”
 
 
พี่อินทร์หยุดชะงักกึก  ก่อนจะเดินกลับมาแล้วยัดแบงค์พันมาในมือของผม และรีบเดินไปจนลับสายตา
 
 
 
แล้วมันไม่เอาตังค์ทอนเหรอวะครับ?
 
 
 
 
ก็แล้วแต่นะ  ผมไม่เห็นเดือดร้อนอะไร  อิอิ
 
 
 
ผมเดินกลับมาในร้านอย่างหน้าชื่นตาบาน (เพราะมีเงิน อิอิ)  ผมเดินไปถอดผ้ากันเปื้อนออก และก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ  และพบว่าตอนนี่เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว  คิดๆดูก็เหลือเวลาอีกตั้งมากกว่าจะถึงเวลานัดหมายในการถ่ายทำวิดิโอ   ผมจึงเดินขึ้นไปชั้นสองและเข้าห้องนอนตัวเองทันที
 
 
 
“ฮ้าว~  เหลือเวลาตั้งเยอะ  นอนก่อนไปคงจะไม่เป็นไร”
 
 
 
แล้วผมก็จมลงสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว..
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เย่!  จบไปแล้วนะคะในตอนที่1   ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะนักอ่านทุกๆคน  สำหรับวันนี้  ไปนอนก่อนแล้วน้าา  สวัสดีค่า  
 
 
**แก้ไขเล็กน้อยค่ะ
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

✓ เรื่องนี้ไม่มีเจตนาทำให้บุคคลที่อ้างถึงเสียชื่อเสียง และฉันจะยอมรับผิดเมื่อบุคคลนั้นตำหนิหรือเตื่อนมา

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายฟิคชั่นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา