เม็ดทรายในสายลม

-

เขียนโดย ดาวเหนือ

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.11 น.

  5 ตอน
  8 วิจารณ์
  7,770 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

5) พระจันทร์ยิ้ม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"ค่ะ น้าปิ่น"

(แก้ว เป็นไงบ้างลูก)

"แก้วสบายดีค่ะ แล้วน้าปิ่นละคะ"

"น้าสบายดีลูกอยู่ที่นี่อากาสดีกว่าที่บ้านเรา"

"ดีแล้วค่ะ แล้วน้าไมค์ละคะอาการเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยังคะ"

"อาการบาดเจ็บอย่างอื่นน่ะดีแล้ว เหลือแต่ขาน่ะแหละจ้ะ ที่ยังต้องใส่เฝือกอยู่"

"ฝากบอกน้าไมค์ด้วยนะคะ ว่าแก้วขอให้หายเร็วๆ จะได้กลับไปเล่นสกีได้เหมือนเดิม"

(เรานี่ก็ ปล่อยให้น้าแกเจ็บอยู่อย่างนั้นแหละจะได้ติดบ้านบ้าง) หญิงสาวยิ้มให้กับความหมั่นไส้สามีของน้าตัวเอง

"แล้วน้าปิ่นมีอะไรหรือเปล่าคะ"

(พรุ่งนี้วันรับปริญญาของหนูแล้ว น้าไมค์น่ะบ่นว่าเสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงาน เลยส่งของขวัญกลับไปให้แก้วแทน แล้วน้าเองก็อยากจะโทร.มาอวยพรหลานสาวน่ะจ้ะ) เธอยิ้มอย่างยินดีที่ได้ยินคำตอบของน้าสาว เธอเป็นเหมือนแม่คนที่สองของหญิงสาวถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่น้าปิ่นก็หมั่นโทร.มาหาอยู่เสมอ

(น้าขอให้หนูพบเจอแต่สิ่งดีๆ รับมือกับปัญหาได้อย่างเข้มแข็งที่สุด และขอให้หนูมีความสุขนะลูก)

"ค่ะ แก้วเองก็ขอบคุณน้าปิ่นมากๆนะคะ ถ้าไม่มีน้าปิ่นแก้วเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเป็นยังไง"

(ไม่เป็นไรหรอกลูก น้าฝากยินดีกับโทโมะเขาด้วยนะ)

"ได้ค่ะ แก้วจะบอกให้"

(แล้วอาการของแก้วล่ะเป็นยังไงบ้าง พักนี้กำเริบบ่อยมั้ย) เธอยิ้มให้น้าสาวผ่านโทรศัพท์มือถือพร้อมกับตอบออกไปในแบบที่จะทำให้คนฟังกังวลใจน้อยที่สุด "ไม่ค่อยแล้วละค่ะ คงเพราะแก้วทำตามที่หมอแนะนำมาตลอด และก้คงเป้นเพราะรอบๆตัวของแก้วเต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ ความเจ็บป่วยเหล่านั้นเลยทำอะไรแก้วไม่ได้"

(ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ) ใช่ เธอเองก็ดีใจ

"ค่ะ ฝากความคิดถึงถึงน้าไมค์ด้วยนะคะ"

(ได้จ้ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะแก้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ)

"ค่ะน้าปิ่น สวัสดีค่ะ"

หลังจากที่ตื่นมาได้ไม่นานเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากน้าสาวซึ่งโทร.ทางไกลมาจากต่างประเทศ แม่ของเธอเป็นลูกคนโตและน้าปิ่นเป็นน้องสาวคนเีดยวของแม่ของเธอ หลังจากที่แม่แต่งงานกับพ่อของเธอ แม่ของเธอก็ได้ย้ายไปอยู่กับพ่อทิ้งบ้านหลังนี้ไว้กับน้าปิ่น ตอนเด็กน้าของเธอได้ไปเยี่ยมเธอบ่อยๆเมื่อว่างจากการทำงาน แต่พ่อกับแม่ไม่ค่อยได้พาเธอมาเที่ยวบ้านน้าปิ่นเลย เนื่องจากติดงานทิ้งไม่ได้เธอจึงไม่ค่อยได้มาเยี่ยมน้า จนกระทั่งพ่อกับแม่เสียน้าจึงไปรับเธอมาอยู่ด้วย และหลังจากที่เธอเข้าเรียนมหาลัยได้ 2 ปีน้าปิ่นก้ได้แต่งงานกับสามีที่เป็นชาวต่างชาติและย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศทิ้งบ้านหลังนี้ให้เธออยู่ดูแลคนเดียว เมื่อเดือนก่อนน้าไมค์สามีของน้าปิ่นซึ่งปกติเป็นคนชอบท่องเที่ยวถึงแม้อายุจะเกือบเลยวัยกลางคนเข้าไปแล้วได้ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกีเป้นผลทำให้ขาข้างหนึ่งหัก นั่นจึงทำให้น้าไม่สามารถมาร่วมแสดงความยินดีในงานกับเธอได้

 

หลังจากที่หลับไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อคืนนี้ เช้านี้เธอตื่นมาในเวลาปกติ หญิงสาวเป็นคนที่นอนตื่นเช้าจนเป็นนิสัยไปแล้วไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตามที

หลังจากวางสายจากน้าสาวไปแล้ว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่างมุมเดิมที่เธอจะต้องมายืนมองทุกเช้า บานประตูระเบียงฝั่งตรงข้ามยังคงปิดสนิทแสดงว่าเจ้าของห้องยังไม่ตื่น ม่านที่ถูกดึงลงมาข้างหนึ่งบ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนเขากลับมานอนที่บ้านแต่จะกลับมาตอนไหนนั้นเธอไม่อาจจะทราบได้

"นายขี้เซาเอ้ย" เธอบ่นยิ้มๆกับตัวเองก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ 

วันนี้สองสาวจะมานอนบ้านเธอ เนื่องจากพรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้าเพื่อแต่งหน้าทำผม ซึ่งแน่นอนสองสาวรับหน้าที่เป็นช่างแต่งหน้าทำผมให้กับเธอรวมถึงตัวเองด้วย เย็นๆคงจะมาถึงระหว่างนี้เธอว่าจะหาอะไรทำเล่นๆไปก่อนเพื่อรอเวลา เพราะยัยฟางจะมาทำอาหารเย็นกินที่บ้านของเธอ

เฟย์กับฟาง เพื่อนผู้หญิงที่เธอสนิทที่สุดและเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงแค่ 2 คนของเธอเท่านั้น ตอนเรียนมัธยมเธออยู่แต่กับโทโมะเลยไม่เคยมีเพื่อนสนิทคนอื่นอีกเลย จนกระทั่งเข้ามหาลัยและได้เจอกับสองคนนี้

ฟาง หญิงสาวผู้มีบุคลิกอ่อนหวาน และนิสัยก็น่ารักไม่ต่างจากไปหน้าตาเลย

ส่วนเฟย์ น้องสาวแท้ๆของฟาง เฟย์เป็นผู้หญิงที่สดใส มองโลกในแง่บวกและร่างเริงอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นคนติดพี่สาวมาก นั่นจึงทำให้คู่เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันทั้งที่อายุห่างกัน เฟย์เล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆเธอติดพี่สาวถึงขนาดตามมาเรียนชั้นอนุบาลด้วย ถึงแม้ว่าตอนเรียนครูประจำชั้นจะไม่ยอมให้ทั้งคู่อยู่ห้องเดียวกันแต่สุดท้ายก็ทนเห็นสาวน้อยที่ติดพี่สาวไม่ได้จนยอมใจอ่อน จากนั้นทั้งคู่ก้ได้เรียนหนังสือด้วยกันตลอดมาจนกระทั่งเข้ามหาลัยปีเดียวกันและก้กำลังจะจบพร้อมกัน ทั้งเฟย์และฟางต่างเรียนหนังสือเก่งด้วยกันทั้งคู่ เพราะความที่มีนิสัยน่ารักและบวกกับเธอเองก็เป็นคนง่ายๆ เมื่อทั้งสามคนรู้จักกันจึงสามารถเข้ากันได้ดี และกลายเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

"พรุ่งนี้แล้วสินะ ตื่นเต้นจังเลยเนอะว่ามั้ย"

ฟางเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ทั้งสามออกมานั่งเล่นในสวนหย่อมข้างบ้านของแก้วซึ่งอยู่ติดกับรั้วบ้านของโทโมะ

เป็นเวลา 5 โมงที่ทั้งสองมาถึงบ้านของแก้ว เมื่อมาถึงปุ๊บสองสาวก็ลงมือเข้าครัวทำอาหารที่จะทานกันในเย็นนี้ด้วยข้าวของที่ทั้งสองนั้นได้ซื้อกันเข้ามา ส่วนแก้วก็เข้ามานั่งดูทั้งสองทำกับข้าวกันอย่างเพลิดเพลิน สองพี่น้องคู่นี้ นอกจากจะเรียนหนังสือเก่งแล้ว เรื่องการเป็นแม่บ้านแม่เรือนก็ไม่น้อยหน้าการเรียน โดยเฉพาะการทำอาหาร เรียกได้ว่าใครได้สองคนนี้ไปถือว่าคนนั้นโชคดีมากๆเลยละ ส่วนตัวเองกันก็พอทำได้บ้างอาหารที่ง่ายๆ แต่ไม่ได้หลากหลายเหมือนสองคนนี้ เพียงไม่นานอาหารหน้าตาน่าทานก็เสิร์ฟขึ้นตรงหน้าของเธอ นอกจากหน้าตาจะน่ากินแล้วเรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง ใครได้ชิมเป็นต้องติดใจ ทั้งสามใช้เวลาเพียงไม่นานก็ในการกินข้าวเย็นก่อนเก็บดต๊ะ ทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วก็ออกมานั่งคุยเล่นกัน

"เฟย์ก็เหมือนกัน นี่ขนาดซ้อมกันมาตั้งหลายรอบละนะ ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีอะ"

เมื่อเห็นหญิงสาวเงียบๆไป เฟย์จึงเอ่ยถามขึ้น

"แต่ว่า ดูแก้วไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่เลยนะ"

เธอยิ้มอ่อนๆให้เพื่อนก่อนจะตอบออกไปว่าเธอก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าพวกเขา

"ตื่นเต้นสิ 4 ปีที่เราร่ำเรียนกันมามันไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ ทั้งหมดก็เพื่อวันนี้แล้วทำไมแก้วจะไม่ตื่นเต้นล่ะเฟย์"

"อือ นั่นสิเนอะ 4ปีที่เราทุ่มเทกันมา กว่าจะมาถึงวันนี้ได้มันไม่ได้ง่ายดายเลย"

"แต่เฟย์ดีใจนะ พี่ฟาง แก้ว เฟย์ดีใจที่เราผ่านวันเหล่านั้นมาได้ จนกระทั่งเรามีวันนี้ด้วยกันเฟย์เองก็ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีแก้วไม่มีพี่ฟาง เฟย์จะผ่านมาได้มั้ย"

"ได้สิ เฟย์เป็นคนเก่งนะถึงจะดูซนๆแต่ลึกๆแล้วเฟย์เป็นคนที่จริงจังแก้วเชื่อว่าต่อให้ไม่มีใคร เฟย์ก็ทำได้อยู่แล้ว" 

เฟย์เอื้อมมือข้างนึงไปกุมมือพี่สาวตัวเอง และอีกข้างก็เอื้อมมือไปกุมมือเพื่อนที่เธอนั้นรักมากเสมือนว่าหญิงสาวคือคนในครอบครัวของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงอันสดใสตามแบบของเธอ

"ถึงเฟย์จะเก่งมากแค่ไหน แต่เฟย์ก็ยังต้องการที่จะมีพี่ฟางแล้วก็แก้วอยู่ข้างๆตลอดเวลา สัญญาได้มั้ย" ทั้งสามคนยิ้มให้กันก่อนจะสวมกอดกันแน่น เฟย์น่ะ ค่อนข้างจะsensitive ไม่เหมือนฟางที่ถึงแม้ว่าบุคลิกภายนอกจะดูอ่อนหวานแต่ลึกๆแล้วเป็นคนที่เข้มแข็งกว่า และเด็ดขาดกว่าเฟย์

 

 

 

"คิดถึงทั้งสองคนเหมือนกันครับ สวัสดีครับ"  โทโมะวางสายจากพ่อกับแม่ที่โทร.มาเขาถึงความพร้อมในวันพรุ่งนี้จากญี่ปุ่นเพราะพรุ่งนี้ทั้งพ่อและแม่ติดธุระสำคัญเรื่องงานจึงไม่อาจจะบินกลับมาร่วมยินดีกับเขาในวันรับจริงได้ แต่ทั้งคู่ได้กลับมาแสดงความยินดีกับเขาแล้วในวันซ้อมใหญ่ที่เพิ่งผ่านมา และเขาเองก็เข้าใจดี  เพราะนอกจากธุรกิจโรงแรมของครอบครัวเขาที่ญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการมาอย่างราบรื่นแล้ว พ่อของเขาเองก็มีแผนกำลังจะสร้างรีสอร์ทในเมืองไทยด้วย ไม่แปลกที่ช่วงนี้ทั้งสองคนจะวุ่นๆ และคาดว่าถ้ารีสอร์ทริมทะเลสร้างเสร็จเมื่อไหร่พ่อก็คงจะให้เขาเข้าไปบริหารดูแลแทน

 

ระหว่างที่โทโมะกำลังคุยโทรศัพท์กับพ่ออยู่นอกระเบียงห้องนอน เขาเห็นแก้วนั่งอยู่ตามลำพังในสวน จึงเดินลงมาหา

"มานั่งคิดอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว" เขาเอ่ยถามในขณะที่พาตัวเองไปนั่งบนชิงช้าข้างๆเธอ "เฟย์ฟางล่ะ"

"อยู่ข้างบนน่ะ สงสัยคงกำลังจะเตรียมตัวนอน"

หลังจากที่เฟย์ฟางขึ้นไปข้างบน แก้วก็เดินมานั่งบนชิงช้า ที่ตั้งอยู่ถัดจากม้านั่งไปทางด้านหน้าของบ้าน เธอกะจะนั่งเงียบๆคนเดียวสักพัก และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเขาเดินเข้ามา

"อื้อ แล้วเธอล่ะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านี่ ทำไมถึงยังไม่นอน มานั่งตากน้ำค้างแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบาย" เขาพูดกับเธอเสียงดุๆ

"ก็ฉันยังไม่อยากนอนนี่ แล้วนายล่ะ ลงมาทำไม ทำไมถึงยังไม่นอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไม่ใช่หรอ" เธอย้อนถาม

"ยังไม่ง่วง ลงมาหาน้ำดื่มแต่เห็นเธอนั่งอยู่คนเดียว เลยมานั่งเป็นเพื่อน" เขาเลี่ยงที่จะตอบความจริง

"คืนนี้ฟ้าสวยดีเนอะ ว่ามั้ย" เขาลองมองขึ้นไปบนฟ้า

"แต่ฉันว่าฟ้าที่กรุงเทพมองเห็นดาวไม่ค่อยจะชัดเลย ท้องฟ้ากลางคืนจะสวยได้ยังไงถ้ามองไม่เห็นดาว"

"แล้วนายเห็นนั่นมั้ย" เธอชี้ไปยังพระจันทร์เสี้ยวบนฟ้า "อื้อ พระจันทร์เสี้ยว โดดเด่นอยู่ดวงเดียว ใครจะไม่เห็นล่ะ"

"แล้วนายไม่เห็นหรอว่าพระจันทร์กำลังยิ้มให้เราอยู่นะ" เขาหันมามองเธอขำๆ

"หึ พระจันทร์ที่ไหนมันจะมายิ้มได้ล่ะ เธอนี่มั่วแล้ว"

"จริงๆ นายลองดูดีๆสิ ว่าเหนือดวงจันทร์ขึ้นไป มีดาวสองดวงส่องสว่างอยู่" เขาลองมองตามที่เธอบอก สักพักก็ยิ้มออกมา

"เออ จริงด้วย"

เธอหันมายิ้มให้กับเขา ก่อนจะหยุดมองใบหน้าที่กำลังยิ้มพรายอยู่นั้น

"ทีนี้เห็นแล้วใช่มั้ย ว่ามีพระจันทร์กำลังยิ้มให้นายอยู่ตลอดเวลา"

เธอหันไปมองเขา พร้อมกับพูดออกมาอย่างมีความหมาย

"เพียงแต่นายไม่เคยมองเห็น ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยสังเกตุ ว่าในความมืดมิดมีบางอย่างซ่อนอยู่ "

 

เหมือนกับที่เขาไม่เคยรู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆเขารู้สึกยังไง เขาไม่เคยรับรู้ในขณะที่เธอเองก็ไม่กล้าจะบอกให้เขารู้ เพราะไม่รู้เลยว่าถ้าพลั้งปากเอ่ยออกไป ผลมันจะเป็นยังไง เขาจะยังอยู่ตรงนี้หรือลอยหายเข้าไปในความมืดจนเธอหาไม่เจอ การต้องสูญเสียเขามันไม่คุ้มเลยที่เธอจะยอมเสี่ยง

 

 

"แก้ว ฉันกับเธอ เราสองคนรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ" ทั้งคู่นั่งเงียบกันสักพัก เขาเป็นคนทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยถามเธอ เธอออกจะฉงนใจเล็กน้อยที่อยู่ๆเขาก็ถามเรื่องนี้

"อืม...7 ปีได้แล้วมั้ง ทำไมหรอ"

"แปลกมั้ยว่ะ ที่ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเพิ่งผ่านมาได้ไม่นานหลังจากวันแรกที่ได้รู้จักเธอ เราอยู่ด้วยกัน ผ่านอะไรมากมายมาด้วยกัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 7 ปีแล้วหรอ"

"ไม่แปลกหรอกที่นายจะรู้สึกแบบนั้น เพราะในตอนที่เรามีความสุขเวลามันมักจะผ่านไปเร็วเสมอแหละ"

"จริงสิเนอะ" เขาเห็นด้วยกับเธอ

"เธอรู้ใช่มั้ยแก้ว ว่าเธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ถ้ามีอะไรมาทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องเปลี่ยนแปลงไป ฉันคงเสียใจมาก" ประโยคนั้นของเขาเหมือนกดปุ่มที่หยุดการทำงานในร่างกายของเธอ ก่อนที่เลือดจะค่อยๆสูบฉีดจนหัวใจเจ็บจี๊ด แต่ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไรไปมากกว่าเขาก็พูดต่อมาอีกว่า

"เธอรับปากกับฉันได้มั้ย ว่าจะอยู่เคียงข้างและเป็นเพื่อนที่ดีของฉันไปตลอด" เธอจะรับปากได้ยังไงในเมื่อความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขามันเกินกว่าคำว่าเพื่อนมาตลอด

"ว่ายังไงล่ะ"  เมื่อเห็นว่าเธอยังเงียบ เขาจึงหันมาถามเธออีกครั้ง ไม่ว่าความรู้สึกข้างในตอนนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง แต่เธอต้องตอบออกไปเพื่อยืนยันให้เขามั่นใจ 

"อื้อ ได้สิ ฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีและอยู่เคียงข้างนายไม่ไปไหน ตลอดไป"

ได้ยินคำตอบนั้นจากเธอ เขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

"โทโมะ" ชายหนุ่มหันมาหาเธอเป็นเชิงถามว่า 'มีอะไร' เธอชั่งใจอยู่นานว่าจะถามดีมั้ย สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะถามออกไป

"ถามอะไรหน่อยสิ ถ้าวันหนึ่งฉันทำผิดต่อนายจนทำให้นายโกรธ นายจะอภัยให้ฉันได้มั้ย" หลังจากได้ฟังคำถาม เขาเงียบและก้มหน้าลงเหมือนกำลังค้นหาคำตอบ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มพร้อมตอบเธอว่า "ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ฉันไม่มีทางโกรธเธอและไม่มีทางที่จะไม่ให้อภัยเธอหรอกแก้ว" แก้วฝืนความรู้สึกที่กำลังเจ็บปวดอยู่ข้างในแล้วก็ยิ้มตอบไปให้กับเขา

 

สักพักโทโมะลุกขึ้นยืนเดินไปหยุดอยุ่ตรงหน้าแก้ว ก่อนฉุดเธอขึ้นมากอดไว้กับตัว จนเธอตกใจที่จู่ๆเขาก็ทำแบบนี้ ทั้งๆที่เขาไม่เคยทำมาก่อน แค่กอดคอตามประสาเพื่อนเท่านั้นที่ทั้งคู่เคยทำต่อกัน และส่วนใหญ่คนที่ทำก็คือเขา แต่นี่ทำไมเขาถึงมากอดเธอ ยิ่งตอนที่เขากระชับกอดให้แน่นขึ้น มันใกล้ชิดแนบสนิทกันเกินไป เธอกลัวจังเลย

"นี่นายจะทำอะไรของนายอะ"

"ก็กอดเธอไง ตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันมา เราไม่เคยได้กอดกันแบบนี้เลยนะ"

"มันก็ใช่ แต่ว่ามันจำเป็นด้วยหรอ"

"จำเป็นหรือไม่ช่างมัน แต่ตอนนี้ฉันขอกอดเธอหน่อย ทำไม หรือว่าเธอรังเกียจ ไม่อยากกอดฉันล่ะ"

"คือว่าฉัน..." อยากสิ เธออยากจะตอบออกไปแบบนี้ "ว่าไงล่ะ" เค้ารบเร้าขึ้นมาอีก แต่แทนคำตอบมือของเธอค่อยๆเลื่อนมือขึ้นไปบนแผ่นหลังจนกลายเป็นโอบกอดเขาในที่สุด

ชายหนุ่มรู้สึกดีอย่างประหลาดที่เธอกอดตอบเขาแทนที่จะปฏิเสธ เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกตื่นเต้นตอนที่รอคำตอบจากเธอ ขนาดกับเกลที่เป็นแฟนเขายังไม่เคยกอดกันแบบนี้เลย

"นอกจากแม่ก็มีเธอเนี่ยแหละที่ฉันเคยกอด" เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม "เธอต้องเป็นเพื่อนฉัน เป็นของฉันคนเดียวตลอดไป และห้ามไปกอดแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นนะแก้ว เข้าใจมั้ย" ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพูดออกไปแบบนั้น แต่เขาพูดออกไปจากความรู้สึกจริงๆ

"เออ ฉันก็อยู่แต่กับนายจะให้ไปกอดใครได้ล่ะ" เธอยิ้มอย่างนึกขันในความเป็นเด็กของชายหนุ่ม แต่แล้วประโยคต่อมาก็ทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจเมื่อเขาพูดขึ้นว่า

"วันหลังฉันคงต้องกอดน้องเกลบ้างแล้วละ เริ่มพรุ่งนี้เลยดีมั้ยว่ะ"

เขาหัวเราะกับประโยคนั้นของตัวเองอย่างมีความสุขเมื่อยามนึกถึงเธอคนนั้น หารู้ไม่ว่าคนที่อยุ่ในอ้อมกอดกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน น้ำใสๆค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างห้ามไม่ได้

 

"แค่ได้พบ แค่ได้คุยก็สุขใจแล้ว ไม่กล้าคิดให้มันเกินเลยไปกว่านั้น

กลัว กลัวเธอไม่เข้าใจ ฉันกลัว กลัวว่าเธอจะหายไป

 

คงเพราะฉันเองมันไม่ห้ามใจ ทั้งๆที่รู้ว่าเธอนั้นก็เป็นของใคร

และทั้งหัวใจเธอนั้น ก็ยังมีเขาอยู่ ทั้งๆที่รู้ก็รักเธอจนหมดใจ"

 

ฉันคงเป็นได้แค่นี้ แค่นี้จริงๆ มือของเธอกระชับแน่นขึ้นโอบกอดเขาเอาไว้ให้แนบชิดที่สุด แค่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา ได้โอบกอดเขาเอาไว้แบบนี้เธอก็ดีใจแล้ว เธอไม่กล้าหวังอะไรให้มากกว่านี้ ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความรู้สึกให้เขารับรู้เพราะกลัว ว่ามันจะทำให้เขาหายไปจากเธอตลอดกาล

 

มันเป็นกอดแรกของคนทั้งคู่ ทั้งสองกอดกันโดยที่ไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นการกอดครั้งสุดท้าย

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

✓ เรื่องนี้ไม่มีเจตนาทำให้บุคคลที่อ้างถึงเสียชื่อเสียง และฉันจะยอมรับผิดเมื่อบุคคลนั้นตำหนิหรือเตื่อนมา

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา