ตำนานมหาเทพตงหัว (The Legend of DongHua Dijun)
-
เขียนโดย ตัวหงส์
วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.33 น.
7 chapter
0 วิจารณ์
16.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 20.30 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
6) ในชามียาพิษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตอนที่ 6: บทหวานล้ำ (0) - ในชามียาพิษ
“อะแฮ่มๆ ขอข้าดื่มน้ำชาให้ชุ่มคออีกซักแก้ว แล้วข้าจะเล่าเรื่องราวต่อ...”
นักเล่านิทานกระแอมไออีกครา พลางดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย
“เอาล่ะ ตอนนี้มาถึงตอนที่ข้าชอบที่สุดแล้วล่ะ ตอนนี้ข้าตั้งชื่อว่า หวานล้ำ รับรองได้ว่าหลังจากที่พวกท่านได้ฟังกันแล้วนั้น พวกท่านไม่อาจลืมเลือนเรื่องราวลงได้... เริ่มล่ะนะ....”
หลังจากเสร็จศึกทะเลใต้ครานั้น มหาเทพตงหัวปกครองสวรรค์อยู่ถึงหนึ่งหมื่นปี ทั้งสามโลกล้วนไม่มีใครกล้าละเมิดกฎแห่งจักรวาลแม้แต่น้อย สำหรับทั้งสามโลกแล้วนั้นช่วงนั้นถือเป็นที่สงบสุขจริงๆ
แต่สำหรับตงหัวล่ะ? หนึ่งหมื่นปีแห่งการเป็นประมุขสวรรค์นั้น เขามีความสุขหรือไม่? คำตอบคือ ใช่ และ ไม่!
ใช่! เพราะเมื่อเขาเป็นประมุขสวรรค์เขาจึงสามารถไปที่ใดก็ตามในสวรรค์ได้ตามใจชอบ อยากจะลองเข้าโรงครัวไปปรุงผัดปลาเปรี้ยวหวานที่ตำหนักใดก็สามารถไปได้ และที่สำคัญที่สุดทุกครั้งที่เขาปรุงอาหารใดใดก็ตามเขาสามารถประทานให้แก่เหล่าเทพทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าให้ได้ชิมโดยทั่วถึงกัน แหม...ช่างมีความสุขเสียนี้กระไรที่ได้เห็นใบหน้าของเหล่าเทพน้อยใหญ่ที่มีความสุขกับผักปลาเปรี้ยวหวานที่เขาปรุง!
ไม่! เพราะแต่ไหนแต่ไร ตงหัวนั้นมีนิสัยอย่างหนึ่งนั้นคือ รังเกียจความวุ่นวาย และพูดคุยพบปะฝูงชน การดำรงตำแหน่งประมุขแห่งสวรรค์นั้น มิได้ต่างอะไรกับการเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ตั้งประดับไว้ในท้องพระโรง ทุกๆเช้าจะต้องมีคนมากมายนำของมาบรรณาการ มีคนมากมายขอเข้าเฝ้า ถวายพระพร วุ่นวาย! น่าเบื่อเหลือเกิน! อีกทั้งเมื่อเป็นประมุขสวรรค์จำต้องสวมเสื้อคลุมทองถักทอลายมังกรเป็นฉลองพระองค์เมื่อออกว่าราชการ แต่ไหนแต่ไรมาตงหัวชมชอบสีม่วงเข้มมากที่สุด เขารู้สึกอึดอัดทุกทีที่ต้องสวมใส่เจ้าเสื้อคลุมสีทองตัวนี้ แม้ในช่วงสามพันปีแรกเขาจำใจต้องใส่เจ้าเสื้อคลุมสีทองนี้มาตลอด แต่อีกสี่หมื่นห้าพันปีให้หลังเขามิเคยแตะมันอีกเลย....
หนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมานี้ มันช่างว่างเปล่าและน่าเบื่อเสียจริง!
เมื่อการณ์เป็นดังนั้น ในวันฉลองครบรอบการครองราชย์ปีที่หนึ่งหมื่นของมหาเทพตงหัว เทพน้อยใหญ่จากทุกสารทิศล้วนแห่แหนกันมาชื่นชมยินดี ณ ที่ท้องพระโรงกำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เทพหลายร้อยองค์นั่งดื่มกิน และดูการแสดงจากเทพธิดา มหาเทพตงหัวนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางกวาดตามองไปรอบท้องพระโรงขนาดใหญ่ ตงหัวหรี่สายตาลง ในใจกำลังวางแผนการอะไรบางอย่าง ได้การละ! ข้าจะสละบัลลังก์วันนี้แหละ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ตงหัว จึงกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ทั้งท้องพระโรงเงียบเสียงลง นักดนตรีหยุดบรรเลง เทพธิดาต่างพากันหยุดเริงระบำ ทั้งห้องท้องพระโรงกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครา
“อะแฮ่มๆ” ตงหัว แกล้งกระแอมหนักขึ้น
“อะแฮ่มๆ” คราวนี้ ไอให้หนัก และดังกว่าเก่า
เทพธิดารับใช้องค์หนึ่งส่งถ้วยน้ำชามาให้เขา ตงหัวเห็นจังหวะนั้นรีบคว้าถ้วยน้ำชานั้นไว้ก่อนจะใช้อาคมเสกให้น้ำชาในถ้วยไหนกลายเป็นสีแดงฉาน เขายกน้ำชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วย แต่มิได้กลืนลงไป ยังคงอมน้ำชาคำนั้นไว้ในปาก พลางคลึงถ้วยชาไปมาบนฝ่ามือ เมื่อนับลมหายใจได้สามลมแล้วนั้น ตงหัว จึงบ้วนน้ำชาสีแดงฉานคำนั้นออกมา พร้อมกับเตะขาจากบัลลังก์ที่นั่งลอยตัวเคว้งขึ้นไปกระแทกกับเพดานสูงของห้องท้องพระโรงก่อนจะทิ้งตัวลงมายังพื้นเบื้องล่างด้วยกิริยาอาการคล้ายคนที่บาดเจ็บภายในอย่างหนัก
ตงหัวนั้นเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างใกล้จะตกถึงพื้นจึงนอนแผ่หลา ตกลงบนพื้นที่หน้าบัลลังก์ แล้วผงกหัวขึ้นมาพ่นน้ำชาสีแดงฉานในปากอีกคราหนึ่ง
“เอื้อก...” ตงหัวพ่นน้ำชาไปแล้ว ก็ใช้มือจับตรงที่หัวใจของเขา เขาทำสีหน้าให้เหมือนกับว่าเขานั้นบอบช้ำภายในอย่างหนัก เขาหลับตาแน่นขยุ้มมือกับอกเสื้อราวกับว่าเขากำลังเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก
ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างเกิดโกลาหลขึ้น เทพที่กำลังกินดื่มอยู่นั้นล้วนกรูเข้ามาเพื่อช่วยพยุงเขา เทพทุกองค์ล้วนหน้าถอดสี เหงื่อแตกพลั่กๆ ทั้งสิ้น
“ในชามียาพิษ!” ตงหัวได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา
“จับตัวหญิงรับใช้ผู้นั้น!! นางจะลอบปลงพระชนม์มหาเทพ” อีกเสียงหนึ่งตะโกนมา
ไม่ได้การล่ะ สงสัยข้าจะเล่นสมจริงไปหน่อย!
ตงหัวที่ในยามนี้ถูกพยุงขึ้นมาเหลือบตามองดูสถานการณ์โดยรอบ ทหารเทพกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้าไปจับเทพธิดารับใช้ที่เมื่อครู่เป็นผู้ส่งถ้วยชาให้เขา ตงหัวเห็นการณ์เป็นดังนั้นจึงดีดขาเบาๆ ก็พลันลอยไปขวางหน้าเทพธิดารับใช้องค์นั้น และทหารเทพกลุ่มนั้นพอดี
เมื่อคิดได้ว่าตนกำลังยืนอยู่ ตงหัว จึงทำเป็นเข่าอ่อน ล้มลงไปในอ้อมอกของเทพธิดารับใช้องค์นั้น
“มหาเทพ มหาเทพ!!” เทพธิดารับใช้คว้าร่างตรงหัวไว้ในอ้อมอก
เมื่อทหารยามเดินมาถึงนะจุดนั้น ตงหัวในอ้อมอกของเทพธิดาจึงกระแอมอีกครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“แค่กๆ ในน้ำชานั้นหามียาพิษไม่ แค่กๆ ข้าบอบช้ำมาตั้งแต่ศึกเมื่อหกหมื่นปีก่อนแล้ว ครานั้นข้าประมือกับราชามารพยัคฆ์ดำ ไม่ทันระวัง พลาดท่า ถูกทำร้ายเข้าถึงแก่นวิญญาณของข้า... แค่กๆ ตั้งหลายหมื่นปี ไม่เคยแสดงอาการ— มาบัดนี้เห็นทีข้าน่าจะไม่รอด – แค่กๆ” ตงหัว ใช้มารยาใดไม่ทราบทั่วทั้งท้องพระโรงต่างคุกเข่า และส่งเสียงพึมพำ บ้างก็ร้องไห้โฮ ตงหัวเห็นว่านี้แหละโอกาสเหมาะ!
“ดังนั้น ข้าจึงคิดว่า พวกเจ้าควรมีประมุขสวรรค์องค์ใหม่ได้แล้วล่ะ” ตงหัวลุกขึ้นยืน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายเสียที!
เกิดความเงียบทั่วทั้งท้องพระโรง ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องมาที่มหาเทพตงหัว ที่บัดนี้กลับลุกขึ้นยืนกล่าววาจาได้อย่างเป็นปรกติ
ตายล่ะ! เผลอตัว!
“แค่กๆๆ แค่กๆๆ ข้าคงไม่อาจรับตำแหน่งนี้ต่อไปแล้วจริงๆ” ตงหัว แกล้งไอสำลักเลือดอีกครา ก่อนจะล้มตัวลงใส่เทพธิดาน้อยที่น่าสงสารองค์นั้นอีกครั้งหนึ่ง
............
......
ไม่กี่สัปดาห์ผ่านไป บนสวรรค์ต่างมีการคัดเลือกประมุขสวรรค์องค์ใหม่ เนื่องจากมหาเทพตงหัวนั้น อาการบาดเจ็บกำเริบหนักจนไม่สามารถจะลุกออกจากตำหนักที่ประทับได้...
ประมุขสวรรค์องค์ใหม่นั้น สามโลกต่างขนานนามว่า “เทียนกง” สมญานามเง็กเซียนฮ่องเต้ นั่นเอง
ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง
“เดี๋ยวนะ... เรื่องเล่านี้ไม่เห็นจะหวานล้ำอย่างที่ท่านกล่าวเลย?” หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวที่สองในลานกว้างของโรงน้ำชาพูดโพล่งขึ้นมา
“ใจเย็นๆสิ แม่นาง เรากำลังจะไปถึงตอนนั้นแล้ว...”
“อะแฮ่มๆ ขอข้าดื่มน้ำชาให้ชุ่มคออีกซักแก้ว แล้วข้าจะเล่าเรื่องราวต่อ...”
นักเล่านิทานกระแอมไออีกครา พลางดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย
“เอาล่ะ ตอนนี้มาถึงตอนที่ข้าชอบที่สุดแล้วล่ะ ตอนนี้ข้าตั้งชื่อว่า หวานล้ำ รับรองได้ว่าหลังจากที่พวกท่านได้ฟังกันแล้วนั้น พวกท่านไม่อาจลืมเลือนเรื่องราวลงได้... เริ่มล่ะนะ....”
หลังจากเสร็จศึกทะเลใต้ครานั้น มหาเทพตงหัวปกครองสวรรค์อยู่ถึงหนึ่งหมื่นปี ทั้งสามโลกล้วนไม่มีใครกล้าละเมิดกฎแห่งจักรวาลแม้แต่น้อย สำหรับทั้งสามโลกแล้วนั้นช่วงนั้นถือเป็นที่สงบสุขจริงๆ
แต่สำหรับตงหัวล่ะ? หนึ่งหมื่นปีแห่งการเป็นประมุขสวรรค์นั้น เขามีความสุขหรือไม่? คำตอบคือ ใช่ และ ไม่!
ใช่! เพราะเมื่อเขาเป็นประมุขสวรรค์เขาจึงสามารถไปที่ใดก็ตามในสวรรค์ได้ตามใจชอบ อยากจะลองเข้าโรงครัวไปปรุงผัดปลาเปรี้ยวหวานที่ตำหนักใดก็สามารถไปได้ และที่สำคัญที่สุดทุกครั้งที่เขาปรุงอาหารใดใดก็ตามเขาสามารถประทานให้แก่เหล่าเทพทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าให้ได้ชิมโดยทั่วถึงกัน แหม...ช่างมีความสุขเสียนี้กระไรที่ได้เห็นใบหน้าของเหล่าเทพน้อยใหญ่ที่มีความสุขกับผักปลาเปรี้ยวหวานที่เขาปรุง!
ไม่! เพราะแต่ไหนแต่ไร ตงหัวนั้นมีนิสัยอย่างหนึ่งนั้นคือ รังเกียจความวุ่นวาย และพูดคุยพบปะฝูงชน การดำรงตำแหน่งประมุขแห่งสวรรค์นั้น มิได้ต่างอะไรกับการเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ตั้งประดับไว้ในท้องพระโรง ทุกๆเช้าจะต้องมีคนมากมายนำของมาบรรณาการ มีคนมากมายขอเข้าเฝ้า ถวายพระพร วุ่นวาย! น่าเบื่อเหลือเกิน! อีกทั้งเมื่อเป็นประมุขสวรรค์จำต้องสวมเสื้อคลุมทองถักทอลายมังกรเป็นฉลองพระองค์เมื่อออกว่าราชการ แต่ไหนแต่ไรมาตงหัวชมชอบสีม่วงเข้มมากที่สุด เขารู้สึกอึดอัดทุกทีที่ต้องสวมใส่เจ้าเสื้อคลุมสีทองตัวนี้ แม้ในช่วงสามพันปีแรกเขาจำใจต้องใส่เจ้าเสื้อคลุมสีทองนี้มาตลอด แต่อีกสี่หมื่นห้าพันปีให้หลังเขามิเคยแตะมันอีกเลย....
หนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมานี้ มันช่างว่างเปล่าและน่าเบื่อเสียจริง!
เมื่อการณ์เป็นดังนั้น ในวันฉลองครบรอบการครองราชย์ปีที่หนึ่งหมื่นของมหาเทพตงหัว เทพน้อยใหญ่จากทุกสารทิศล้วนแห่แหนกันมาชื่นชมยินดี ณ ที่ท้องพระโรงกำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เทพหลายร้อยองค์นั่งดื่มกิน และดูการแสดงจากเทพธิดา มหาเทพตงหัวนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางกวาดตามองไปรอบท้องพระโรงขนาดใหญ่ ตงหัวหรี่สายตาลง ในใจกำลังวางแผนการอะไรบางอย่าง ได้การละ! ข้าจะสละบัลลังก์วันนี้แหละ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ตงหัว จึงกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ทั้งท้องพระโรงเงียบเสียงลง นักดนตรีหยุดบรรเลง เทพธิดาต่างพากันหยุดเริงระบำ ทั้งห้องท้องพระโรงกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครา
“อะแฮ่มๆ” ตงหัว แกล้งกระแอมหนักขึ้น
“อะแฮ่มๆ” คราวนี้ ไอให้หนัก และดังกว่าเก่า
เทพธิดารับใช้องค์หนึ่งส่งถ้วยน้ำชามาให้เขา ตงหัวเห็นจังหวะนั้นรีบคว้าถ้วยน้ำชานั้นไว้ก่อนจะใช้อาคมเสกให้น้ำชาในถ้วยไหนกลายเป็นสีแดงฉาน เขายกน้ำชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วย แต่มิได้กลืนลงไป ยังคงอมน้ำชาคำนั้นไว้ในปาก พลางคลึงถ้วยชาไปมาบนฝ่ามือ เมื่อนับลมหายใจได้สามลมแล้วนั้น ตงหัว จึงบ้วนน้ำชาสีแดงฉานคำนั้นออกมา พร้อมกับเตะขาจากบัลลังก์ที่นั่งลอยตัวเคว้งขึ้นไปกระแทกกับเพดานสูงของห้องท้องพระโรงก่อนจะทิ้งตัวลงมายังพื้นเบื้องล่างด้วยกิริยาอาการคล้ายคนที่บาดเจ็บภายในอย่างหนัก
ตงหัวนั้นเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างใกล้จะตกถึงพื้นจึงนอนแผ่หลา ตกลงบนพื้นที่หน้าบัลลังก์ แล้วผงกหัวขึ้นมาพ่นน้ำชาสีแดงฉานในปากอีกคราหนึ่ง
“เอื้อก...” ตงหัวพ่นน้ำชาไปแล้ว ก็ใช้มือจับตรงที่หัวใจของเขา เขาทำสีหน้าให้เหมือนกับว่าเขานั้นบอบช้ำภายในอย่างหนัก เขาหลับตาแน่นขยุ้มมือกับอกเสื้อราวกับว่าเขากำลังเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก
ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างเกิดโกลาหลขึ้น เทพที่กำลังกินดื่มอยู่นั้นล้วนกรูเข้ามาเพื่อช่วยพยุงเขา เทพทุกองค์ล้วนหน้าถอดสี เหงื่อแตกพลั่กๆ ทั้งสิ้น
“ในชามียาพิษ!” ตงหัวได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา
“จับตัวหญิงรับใช้ผู้นั้น!! นางจะลอบปลงพระชนม์มหาเทพ” อีกเสียงหนึ่งตะโกนมา
ไม่ได้การล่ะ สงสัยข้าจะเล่นสมจริงไปหน่อย!
ตงหัวที่ในยามนี้ถูกพยุงขึ้นมาเหลือบตามองดูสถานการณ์โดยรอบ ทหารเทพกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้าไปจับเทพธิดารับใช้ที่เมื่อครู่เป็นผู้ส่งถ้วยชาให้เขา ตงหัวเห็นการณ์เป็นดังนั้นจึงดีดขาเบาๆ ก็พลันลอยไปขวางหน้าเทพธิดารับใช้องค์นั้น และทหารเทพกลุ่มนั้นพอดี
เมื่อคิดได้ว่าตนกำลังยืนอยู่ ตงหัว จึงทำเป็นเข่าอ่อน ล้มลงไปในอ้อมอกของเทพธิดารับใช้องค์นั้น
“มหาเทพ มหาเทพ!!” เทพธิดารับใช้คว้าร่างตรงหัวไว้ในอ้อมอก
เมื่อทหารยามเดินมาถึงนะจุดนั้น ตงหัวในอ้อมอกของเทพธิดาจึงกระแอมอีกครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“แค่กๆ ในน้ำชานั้นหามียาพิษไม่ แค่กๆ ข้าบอบช้ำมาตั้งแต่ศึกเมื่อหกหมื่นปีก่อนแล้ว ครานั้นข้าประมือกับราชามารพยัคฆ์ดำ ไม่ทันระวัง พลาดท่า ถูกทำร้ายเข้าถึงแก่นวิญญาณของข้า... แค่กๆ ตั้งหลายหมื่นปี ไม่เคยแสดงอาการ— มาบัดนี้เห็นทีข้าน่าจะไม่รอด – แค่กๆ” ตงหัว ใช้มารยาใดไม่ทราบทั่วทั้งท้องพระโรงต่างคุกเข่า และส่งเสียงพึมพำ บ้างก็ร้องไห้โฮ ตงหัวเห็นว่านี้แหละโอกาสเหมาะ!
“ดังนั้น ข้าจึงคิดว่า พวกเจ้าควรมีประมุขสวรรค์องค์ใหม่ได้แล้วล่ะ” ตงหัวลุกขึ้นยืน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายเสียที!
เกิดความเงียบทั่วทั้งท้องพระโรง ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องมาที่มหาเทพตงหัว ที่บัดนี้กลับลุกขึ้นยืนกล่าววาจาได้อย่างเป็นปรกติ
ตายล่ะ! เผลอตัว!
“แค่กๆๆ แค่กๆๆ ข้าคงไม่อาจรับตำแหน่งนี้ต่อไปแล้วจริงๆ” ตงหัว แกล้งไอสำลักเลือดอีกครา ก่อนจะล้มตัวลงใส่เทพธิดาน้อยที่น่าสงสารองค์นั้นอีกครั้งหนึ่ง
............
......
ไม่กี่สัปดาห์ผ่านไป บนสวรรค์ต่างมีการคัดเลือกประมุขสวรรค์องค์ใหม่ เนื่องจากมหาเทพตงหัวนั้น อาการบาดเจ็บกำเริบหนักจนไม่สามารถจะลุกออกจากตำหนักที่ประทับได้...
ประมุขสวรรค์องค์ใหม่นั้น สามโลกต่างขนานนามว่า “เทียนกง” สมญานามเง็กเซียนฮ่องเต้ นั่นเอง
ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง
“เดี๋ยวนะ... เรื่องเล่านี้ไม่เห็นจะหวานล้ำอย่างที่ท่านกล่าวเลย?” หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวที่สองในลานกว้างของโรงน้ำชาพูดโพล่งขึ้นมา
“ใจเย็นๆสิ แม่นาง เรากำลังจะไปถึงตอนนั้นแล้ว...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ