ตำนานมหาเทพตงหัว (The Legend of DongHua Dijun)
-
เขียนโดย ตัวหงส์
วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.33 น.
7 chapter
0 วิจารณ์
16.27K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 20.30 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) ปลาผัดเปรี้ยวหวาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตอนที่ 4: ปลาผัดเปรี้ยวหวาน
ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง
"หลังจากบิดาแห่งเวลาดับขันธ์แล้วนั้น เทพจุติศิลาที่ห้าตงหัว ก็ขึ้นเป็นประมุขสวรรค์ ทั้งสามโลกต่างเรียกท่านว่า "มหาเทพตงหัว" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..." นักเล่านิทานกล่าวตัดบทช่วงแรกของนิทาน
"หลังจากเป็นประมุขสวรรค์แล้วมหาเทพตงหัว เป็นอย่างไรต่อ?" เสียงแม่นางน้อยหน้าหวานคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่แถวหน้าถามขึ้นมา
"ฮ่าๆ ข้ากำลังจะเล่าต่อนี้ไงล่ะ" นักเล่านิทานเริ่มเล่านิทานของเขาต่อไป...
ในรัชสมัยของมหาเทพตงหัวผู้เป็นประมุขสวรรค์ ในช่วงปีที่สองพันปีนั้น ได้เกิดความโกลาขึ้นในแดนใต้พิภพ ราชามารของโลกใต้พิภพคิดการไม่ซื่อ คิดต่อต้าน ซ่องสุมกำลังทัพขบถในดินแดนใต้พิภพนั้นเอง เพื่อจะต่อกรกับมหาเทพตงหัวและชิงเอาบัลลังก์ประมุขสวรรค์
มหาเทพตงหัวหาได้ใส่ใจในการซ่องสุมกำลังของแดนใต้พิภพแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีเทพขุนนางน้อยใหญ่ต่างมาเข้าเฝ้าและร้องเรียนเกี่ยวกับราชามารตนนี้ ครั้งหนึ่งในขณะที่มหาเทพตงหัวออกนั่งบัลลังก์ในโถงท้องพระโรงในแดนสวรรค์
“กราบทูลมหาเทพ ขณะนี้ราชามารแห่งแดนใต้พิภพ ได้คิดซ่องสุมกำลัง กระทำการต่อต้านชาวสวรรค์ เห็นที่จะเป็นภัยไปในภายภาคหน้าเป็นแน่แท้ ขอมหาเทพโปรดนำทัพไปกำราบเหล่ามารอมนุษย์เกล่านี้ด้วยเถิด พะยะค่ะ”
เทพชราองค์หนึ่งที่ยืนเข้าเฝ้าอยู่ใกล้บัลลังก์ ค่อมหัวลงกราบทูลเรื่องราวต่อองค์มหาเทพ
“อืม” มหาเทพตงหัวรับคำหนึ่งครา
“.....”
“หากราชามารยังมิได้พรากชีวิตใดใด ที่ถือว่าเป็นการละเมิดกฎแห่งจักรวาล เขากับข้าก็ไม่เห็นมีธุระใดกันต้องสะสาง” มหาเทพกล่าวจบ ก็เยื้องกายลุกจากบัลลังก์ก่อนจะเดินออกจากท้องพระโรงไป
ระหว่างทางเดินจากท้องพระโรงไปยังวังรุ่งอรุณ (วังรุ่งอรุณแต่เดิมเป็นที่ตั้งของตำหนักประทับของบิดาแห่งเวลา หากยามนี้บิดาแห่งเวลาได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว มหาเทพตงหัวจึงยึดถือตำหนักนี้เป็นตำหนักที่ประทับ) มหาเทพในใจนั้นหาได้ใส่ใจเรื่องของราชามารก่อการขบถไม่ เขาเพียงแต่คิดเรื่องเดียวนั่นคือ... เมื่อกลับถึงตำหนักแล้ว เขาจะเข้าไปยังโรงครัว เพื่อทำอาหารซักจานเห็นจะเข้าท่า...
ยามนี้เมื่อมหาเทพเดินมาถึงโรงครัวแห่งวังรุ่งอรุณ เหล่าสาวใช้ในวังต่างวิ่งกรูออกมาต้อนรับถวายความเคารพ
“ถวายบังคมมหาเทพ มหาเทพมีประสงค์อันใด จึงได้เสด็จมาถึงยังโรงครัวแห่งนี้ เพคะ”
เทพสาวใช้หน้าตาน่ารักคนหนึ่งกล่าวถาม ในขณะที่ใบหน้าของนางยังคงค่อมต่ำมองพื้น
“ข้าอยากจะลงมือทำอาหารซักหน่อยนะ...”
“เอ๋....” สาวใช้เกือบสิบนางร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“ทะ ทะ ทำอาหาร? มหาเทพ ท่านโปรดจะเสวยอะไร ให้พวกบ่าวทำให้เถิดเจ้าคะ...” สาวใช้คนเดิมตอบกลับ
“....” มหาเทพไม่ตอบรับคำใดใด ยังคงเดินบุกเข้าไปถึงภายในโรงครัว
ตงหัวเลิกแขนเสื้อขึ้น รวบผมไม่ให้เกะกะ ก่อนจะลงมือสำรวจเครื่องปรุง ผัก และ ผลไม้ต่างๆ ที่วางอยู่รายล้อมโต๊ะสำหรับประกอบอาหาร เหล่าสาวใช้ที่หน้าประตูโรงครัวต่างผลัดกันชะโงกดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นภายในโรงครัว ตงหัวแต่ไหนแต่ไรชิงชังฝูงชน และความวุ่นวายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแค่โบกมือเบาๆ ประตูหน้าโรงครัวก็ปิดดัง ฉับ! อาห์..ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ลำพังเสียที
ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง
“เอ๋? ข้าไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่า มหาเทพชื่นชอบการปรุงอาหาร?”
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่แถวหน้าในโรงน้ำชาบุปผาแดง เอ่ยถามเสียงเจื้อยแจ้ว
“ฮ่าๆๆ ถามได้ดีจริงๆ ถามได้ดีๆ ฮ่า ฮ่า” ตัวข้าเองนั่งขบขันกับคำถามนี้ ถึงกับต้องตบเขาดังฉาดหนึ่งที
“หากเทียบฝีมือการปรุงอาหารของมหาเทพตงหัวแล้วละก็.... มันก็เหมือนกับเจ้าจับปลามาปีนต้นไม้ หรือ จับเอาเต่าไปบินนั่นแล ฮ่า ฮ่า”
ตงหัวมองรอบๆ โรงครัว ตั้งแต่สมัยจุติออกมาจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ นอกจากการรบราฆ่าฟันกับเหล่ามารและปีศาจอมนุษย์แล้วนั้น การปรุงอาหารก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตงหัวทำบ่อยที่สุด ตั้งแต่สมัยที่เขาพำนักอยู่ที่ทะเลตะวันตก เมื่อตอนนั้นเขาเพิ่งจุติมาได้อายุเพียงพันกว่าปี ก็เริ่มเข้าครัวปรุงอาหาร ทั้งเทพบิดา เทวีกำเนิด บิดาแห่งเวลา และดวงตาแห่งธรรม ล้วนชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเขายิ่งนัก บิดาแห่งเวลายังเคยกล่าวชมว่า
“ฝีมือการปรุงอาหารของตงหัว ไม่ว่าใครชิม ล้วนบรรลุถึงนิพพานได้ทั้งสิ้น!” นั้นน่าจะมีความหมายว่า ฝีมือการทำอาหารของเขานั้นไม่เป็นรองใครแน่นอน หากแต่ว่าความจริงแล้วสิ่งที่บิดาแห่งเวลาต้องการจะกล่าวนั่นคือ “ตงหัวเอ๋ย ไม่ว่าใครกินอาหารเจ้าล้วนตายทั้งสิ้น!” และมหาเทพตงหัวมิได้ตีความไปถึงประโยคใจความนี้แม้แต่น้อย
ตงหัวมองผัก และเนื้อสัตว์ ตรงหน้า หวนให้คิดถึงอดีต ในยามที่เทพจุติศิลาทั้งห้าอยู่โดยพร้อมเพียงกัน แม้จะไม่บ่อยนัก เพราะพี่สี่มักจะต้องไปจุติบนโลกมนุษย์อยู่เสมอๆ แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน กลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด อาหารจานที่ตงหัวมักจะทำให้บรรดาพี่ๆทานกันประจำนั่นคือ ปลาผัดเปรี้ยวหวาน
ว่าแล้วตงหัวจึงเริ่มจาการหั่นปลา เป็นชิ้นๆ พอดีคำ แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญชำนาญการใช้ดาบในการฟาดฟันคู่ต่อสู้มากเท่าใด แต่กับมีดทำครัวแล้วนั้น ไม่อาจจะบังคับได้ดั่งใจจริงๆ หลังจากจัดการกับปลาเสร็จแล้วนั้น เขาจึงเริ่มตั้งกระทะ ใช้พลังเทพเพื่อจุดไฟจากนั้นจึงเริ่มลงมือปรุงอาหาร ผ่านไปเพียงชั่วน้ำเดือดเท่านั้น มหาเทพตงหัวเดินออกมาพร้อมกับถาดใบใหญ่ที่ภายในจัดวางไว้ด้วยปลาผัดเปรี้ยวหวานอยู่เต็มถาด เหล่าสาวใช้ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น
โอ!! ท่านคงไม่เชื่อข้าแน่ ว่าข้าได้แลเห็นมหาเทพตงหัวผู้เกรียงไกรเดินถือถาดปลาผัดเปรี้ยวหวานออกมาจากโรงครัว ก่อนจะส่งให้กับสาวใช้แถวหน้าคนหนึ่ง พร้อมสั่งให้ทุกคนนำไปบริโภคให้ทั่วถึงกัน ไม่มีใครทราบว่าปลาผัดเปรี้ยวหวานถาดนั้นรสชาติเป็นอย่างไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือเมื่อตกกลางคืนหมอหลวงในวังรุ่งอรุณทุกคนล้วนถูกปลุกยามค่ำคืนและมาดูแลรักษาอาการท้องผูกของสาวใช้จำนวนมากในวังรุ่งอรุณนั่นเอง!
ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง
"หลังจากบิดาแห่งเวลาดับขันธ์แล้วนั้น เทพจุติศิลาที่ห้าตงหัว ก็ขึ้นเป็นประมุขสวรรค์ ทั้งสามโลกต่างเรียกท่านว่า "มหาเทพตงหัว" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..." นักเล่านิทานกล่าวตัดบทช่วงแรกของนิทาน
"หลังจากเป็นประมุขสวรรค์แล้วมหาเทพตงหัว เป็นอย่างไรต่อ?" เสียงแม่นางน้อยหน้าหวานคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่แถวหน้าถามขึ้นมา
"ฮ่าๆ ข้ากำลังจะเล่าต่อนี้ไงล่ะ" นักเล่านิทานเริ่มเล่านิทานของเขาต่อไป...
ในรัชสมัยของมหาเทพตงหัวผู้เป็นประมุขสวรรค์ ในช่วงปีที่สองพันปีนั้น ได้เกิดความโกลาขึ้นในแดนใต้พิภพ ราชามารของโลกใต้พิภพคิดการไม่ซื่อ คิดต่อต้าน ซ่องสุมกำลังทัพขบถในดินแดนใต้พิภพนั้นเอง เพื่อจะต่อกรกับมหาเทพตงหัวและชิงเอาบัลลังก์ประมุขสวรรค์
มหาเทพตงหัวหาได้ใส่ใจในการซ่องสุมกำลังของแดนใต้พิภพแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีเทพขุนนางน้อยใหญ่ต่างมาเข้าเฝ้าและร้องเรียนเกี่ยวกับราชามารตนนี้ ครั้งหนึ่งในขณะที่มหาเทพตงหัวออกนั่งบัลลังก์ในโถงท้องพระโรงในแดนสวรรค์
“กราบทูลมหาเทพ ขณะนี้ราชามารแห่งแดนใต้พิภพ ได้คิดซ่องสุมกำลัง กระทำการต่อต้านชาวสวรรค์ เห็นที่จะเป็นภัยไปในภายภาคหน้าเป็นแน่แท้ ขอมหาเทพโปรดนำทัพไปกำราบเหล่ามารอมนุษย์เกล่านี้ด้วยเถิด พะยะค่ะ”
เทพชราองค์หนึ่งที่ยืนเข้าเฝ้าอยู่ใกล้บัลลังก์ ค่อมหัวลงกราบทูลเรื่องราวต่อองค์มหาเทพ
“อืม” มหาเทพตงหัวรับคำหนึ่งครา
“.....”
“หากราชามารยังมิได้พรากชีวิตใดใด ที่ถือว่าเป็นการละเมิดกฎแห่งจักรวาล เขากับข้าก็ไม่เห็นมีธุระใดกันต้องสะสาง” มหาเทพกล่าวจบ ก็เยื้องกายลุกจากบัลลังก์ก่อนจะเดินออกจากท้องพระโรงไป
ระหว่างทางเดินจากท้องพระโรงไปยังวังรุ่งอรุณ (วังรุ่งอรุณแต่เดิมเป็นที่ตั้งของตำหนักประทับของบิดาแห่งเวลา หากยามนี้บิดาแห่งเวลาได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว มหาเทพตงหัวจึงยึดถือตำหนักนี้เป็นตำหนักที่ประทับ) มหาเทพในใจนั้นหาได้ใส่ใจเรื่องของราชามารก่อการขบถไม่ เขาเพียงแต่คิดเรื่องเดียวนั่นคือ... เมื่อกลับถึงตำหนักแล้ว เขาจะเข้าไปยังโรงครัว เพื่อทำอาหารซักจานเห็นจะเข้าท่า...
ยามนี้เมื่อมหาเทพเดินมาถึงโรงครัวแห่งวังรุ่งอรุณ เหล่าสาวใช้ในวังต่างวิ่งกรูออกมาต้อนรับถวายความเคารพ
“ถวายบังคมมหาเทพ มหาเทพมีประสงค์อันใด จึงได้เสด็จมาถึงยังโรงครัวแห่งนี้ เพคะ”
เทพสาวใช้หน้าตาน่ารักคนหนึ่งกล่าวถาม ในขณะที่ใบหน้าของนางยังคงค่อมต่ำมองพื้น
“ข้าอยากจะลงมือทำอาหารซักหน่อยนะ...”
“เอ๋....” สาวใช้เกือบสิบนางร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“ทะ ทะ ทำอาหาร? มหาเทพ ท่านโปรดจะเสวยอะไร ให้พวกบ่าวทำให้เถิดเจ้าคะ...” สาวใช้คนเดิมตอบกลับ
“....” มหาเทพไม่ตอบรับคำใดใด ยังคงเดินบุกเข้าไปถึงภายในโรงครัว
ตงหัวเลิกแขนเสื้อขึ้น รวบผมไม่ให้เกะกะ ก่อนจะลงมือสำรวจเครื่องปรุง ผัก และ ผลไม้ต่างๆ ที่วางอยู่รายล้อมโต๊ะสำหรับประกอบอาหาร เหล่าสาวใช้ที่หน้าประตูโรงครัวต่างผลัดกันชะโงกดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นภายในโรงครัว ตงหัวแต่ไหนแต่ไรชิงชังฝูงชน และความวุ่นวายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแค่โบกมือเบาๆ ประตูหน้าโรงครัวก็ปิดดัง ฉับ! อาห์..ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ลำพังเสียที
ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง
“เอ๋? ข้าไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่า มหาเทพชื่นชอบการปรุงอาหาร?”
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่แถวหน้าในโรงน้ำชาบุปผาแดง เอ่ยถามเสียงเจื้อยแจ้ว
“ฮ่าๆๆ ถามได้ดีจริงๆ ถามได้ดีๆ ฮ่า ฮ่า” ตัวข้าเองนั่งขบขันกับคำถามนี้ ถึงกับต้องตบเขาดังฉาดหนึ่งที
“หากเทียบฝีมือการปรุงอาหารของมหาเทพตงหัวแล้วละก็.... มันก็เหมือนกับเจ้าจับปลามาปีนต้นไม้ หรือ จับเอาเต่าไปบินนั่นแล ฮ่า ฮ่า”
ตงหัวมองรอบๆ โรงครัว ตั้งแต่สมัยจุติออกมาจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ นอกจากการรบราฆ่าฟันกับเหล่ามารและปีศาจอมนุษย์แล้วนั้น การปรุงอาหารก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตงหัวทำบ่อยที่สุด ตั้งแต่สมัยที่เขาพำนักอยู่ที่ทะเลตะวันตก เมื่อตอนนั้นเขาเพิ่งจุติมาได้อายุเพียงพันกว่าปี ก็เริ่มเข้าครัวปรุงอาหาร ทั้งเทพบิดา เทวีกำเนิด บิดาแห่งเวลา และดวงตาแห่งธรรม ล้วนชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเขายิ่งนัก บิดาแห่งเวลายังเคยกล่าวชมว่า
“ฝีมือการปรุงอาหารของตงหัว ไม่ว่าใครชิม ล้วนบรรลุถึงนิพพานได้ทั้งสิ้น!” นั้นน่าจะมีความหมายว่า ฝีมือการทำอาหารของเขานั้นไม่เป็นรองใครแน่นอน หากแต่ว่าความจริงแล้วสิ่งที่บิดาแห่งเวลาต้องการจะกล่าวนั่นคือ “ตงหัวเอ๋ย ไม่ว่าใครกินอาหารเจ้าล้วนตายทั้งสิ้น!” และมหาเทพตงหัวมิได้ตีความไปถึงประโยคใจความนี้แม้แต่น้อย
ตงหัวมองผัก และเนื้อสัตว์ ตรงหน้า หวนให้คิดถึงอดีต ในยามที่เทพจุติศิลาทั้งห้าอยู่โดยพร้อมเพียงกัน แม้จะไม่บ่อยนัก เพราะพี่สี่มักจะต้องไปจุติบนโลกมนุษย์อยู่เสมอๆ แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน กลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด อาหารจานที่ตงหัวมักจะทำให้บรรดาพี่ๆทานกันประจำนั่นคือ ปลาผัดเปรี้ยวหวาน
ว่าแล้วตงหัวจึงเริ่มจาการหั่นปลา เป็นชิ้นๆ พอดีคำ แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญชำนาญการใช้ดาบในการฟาดฟันคู่ต่อสู้มากเท่าใด แต่กับมีดทำครัวแล้วนั้น ไม่อาจจะบังคับได้ดั่งใจจริงๆ หลังจากจัดการกับปลาเสร็จแล้วนั้น เขาจึงเริ่มตั้งกระทะ ใช้พลังเทพเพื่อจุดไฟจากนั้นจึงเริ่มลงมือปรุงอาหาร ผ่านไปเพียงชั่วน้ำเดือดเท่านั้น มหาเทพตงหัวเดินออกมาพร้อมกับถาดใบใหญ่ที่ภายในจัดวางไว้ด้วยปลาผัดเปรี้ยวหวานอยู่เต็มถาด เหล่าสาวใช้ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น
โอ!! ท่านคงไม่เชื่อข้าแน่ ว่าข้าได้แลเห็นมหาเทพตงหัวผู้เกรียงไกรเดินถือถาดปลาผัดเปรี้ยวหวานออกมาจากโรงครัว ก่อนจะส่งให้กับสาวใช้แถวหน้าคนหนึ่ง พร้อมสั่งให้ทุกคนนำไปบริโภคให้ทั่วถึงกัน ไม่มีใครทราบว่าปลาผัดเปรี้ยวหวานถาดนั้นรสชาติเป็นอย่างไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือเมื่อตกกลางคืนหมอหลวงในวังรุ่งอรุณทุกคนล้วนถูกปลุกยามค่ำคืนและมาดูแลรักษาอาการท้องผูกของสาวใช้จำนวนมากในวังรุ่งอรุณนั่นเอง!
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ