YAOI LOVERS ระวัง! อ่านแล้วหัวใจจะY
-
เขียนโดย ดินลา
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.53 น.
10 ตอน
7 วิจารณ์
13.18K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) [SJ] Look Like Love 1.3: Maybe...This Time
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท่ามกลางความมืด ฮยอกแจยังนอนลืมตาโพลง แขนอุ่นหนักของอีกคนกอดกระชับที่เอวของเขาไว้หลวมๆ ลมหายใจแผ่วสม่ำเสมอรินรดหลังต้นคอของฮยอกแจ รู้สึกถึงความแนบชิดของกายเปลือยเปล่าของทั้งสองใต้ผ้าห่มอุ่นหนา ทำเอาเขานอนไม่หลับเลยทีเดียว แม้ว่าเขาเพิ่งจะทำอะไรๆ ไปตั้งหลายครั้ง แน่นอนว่าเพลียอยู่มากแต่ความตื่นเต้นปนสุขใจยังไงไม่รู้นี่สิ ที่กวนใจเขาจนหลับไม่ลง ทั้งๆ ที่คนข้างๆ กลับหลับสบายไปแล้ว ไม่เหมือนเขาที่ยิ่งคิดเรื่องที่ผ่านไปเมื่อครู่ก็ยิ่งอายจนนอนไม่หลับอย่างนี้
ฮยอกแจอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดฮันคยองมากขึ้น เหมือนได้ผูกพันกันไปอีกระดับหนึ่ง รู้สึกราวกับว่าเขาได้เป็นคนรักของฮันคยองแล้วจริงๆ เพียงแค่นี้ก็หุบยิ้มแทบไม่ลง รู้สึกเหมือนตัวมันเบาหวิวจนแทบจะลอยได้อยู่แล้ว
‘แล้วเราจะทำอะไรดีล่ะเนี่ย หลับไม่ลงเลย’ ฮยอกแจคิดไปยิ้มไป แล้วก็ตัดสินใจว่าไปอาบน้ำคงจะดีเพราะรู้สึกเหนียวตัวอยู่เหมือนกัน จึงค่อยๆ จับแขนของฮันคยองที่พาดเอวเขาอยู่ออกไปช้าๆ พยายามไม่ให้ฮันคยองรู้สึกตัวเพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของร่างสูง ลุกมานั่งบนเตียงมองใบหน้าที่นอนหลับสนิทของคนที่รักสักพัก กำลังก้าวลงจากเตียงก็นึกออกว่าตัวเองกำลังเปลือยอยู่จะคว้าผ้าห่มมาพันตัวไว้ แต่ก็ตัดใจเพราะกลัวว่าฮันคยองจะเป็นหวัดเอา จึงข่มความอายแม้จะไม่มีใครเห็นก็เถอะ ค่อยๆ เดินช้าๆ ไปที่ห้องน้ำเพราะยังรู้สึกเจ็บที่ช่องทางด้านหลังอยู่
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำกว้างที่ปูกระเบื้องสีขาวลายริ้วหมอกสีฟ้าจางสบายตา มองสบเงาสะท้อนตัวเองในกระจกบานใหญ่ ก็เรียกสีเลือดขึ้นมาบนหน้าของฮยอกแจได้ไม่ยาก เมื่อเห็นภาพของตัวเองที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยที่ฮันคยองทิ้งไว้ให้ ก่อนจะก้มหน้างุดๆ รีบเดินไปอาบน้ำทันที
ไม่นานฮยอกแจก็อาบเสร็จ เขาออกมาจากห้องน้ำ เดินฝ่าความมืดตรงไปที่เตียง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเหยียบอะไรเข้าเลยก้มมองดู ปรากฏว่าเป็นเสื้อสูทราคาแพงของฮันคยอง ฮยอกแจตกใจรีบหยิบขึ้นมาจะปัดให้ แต่กระดาษใบเล็กใบหนึ่งกลับร่วงลงมาจากเสื้อเสียก่อน ฮยอกแจรีบเก็บขึ้นมาพลิกดูด้วยความสงสัยเพราะนึกออกว่าเป็นสิ่งที่ฮันคยองกำลังดูอยู่เมื่อตอนเขากลับมา แต่มองไม่เห็นเพราะความมืดจึงอาศัยไฟจากห้องน้ำส่องดู
สิ่งที่ปรากฏแทบทำให้ลมหายใจของฮยอกแจสลายไป ภาพของใครบางคนที่สวยมากจนฮยอกแจเองอดตะลึงไม่ได้ รอยยิ้มนิดๆ นั่นราวกับนางฟ้าก็ไม่ปานจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชาย แล้วยังพี่ฮันคยองที่เขารักหลับตาพริ้มอมยิ้มอย่างมีความสุขกำลังหอมแก้มคนๆ นั้นอยู่ ฮยอกแจแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน นี่มันอะไรกัน
‘หรือว่าจะเป็นคนรักเก่า’ ฮยอกแจคิด ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่น้ำตากลับเอ่อไหลนองออกมา ‘ถ้างั้นทำไมพี่ฮันคยองยังพกไว้อีกล่ะ’ ฮยอกแจคิดอย่างไม่เข้าใจ แล้วที่ผ่านมาระหว่างเขากับพี่ฮันคยองล่ะมันคืออะไร ที่ผ่านมาที่ทำลงไปไม่ใช่ว่าพี่ฮันคยองรักเขาหรอกหรือ
‘รัก’ งั้นเหรอ ฮยอกแจชะงักเมื่อคิดถึงตรงนี้ ‘ใช่แล้ว แล้วมันตอนไหนกันนะที่พี่ฮันคยองบอกว่ารักเรา พี่ฮันคยองยังไม่ลืมคนรักเก่า แล้วที่พี่ทำกับผมนี้มันหมายความว่าอะไรกัน’ ฮยอกแจคร่ำครวญในใจอย่างเจ็บปวดทรมานตระหนักได้ว่าตัวเองไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากฮันคยองเลย ความสุขก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น เมื่อรู้ว่าคนที่เขารักหมดใจเห็นเขาเป็นแค่ของฆ่าเวลา
ร่างบางที่นั่งหมดแรงกองอยู่ที่พื้น รีบปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ดังออกมาเมื่อสังเกตเห็นร่างบนเตียงกำลังขยับตัว แต่ยังไม่ตื่น ร่างบางรีบเก็บรูปกลับเข้าไปในเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา แล้วรีบสาวเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่เงียบกริบด้วยตาที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำตากับหัวใจที่แตกสลาย
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
เสียงพูดคุยอย่างคึกคัก เสียงเคลื่อนไหวรอบๆ ตัว แทบไม่เข้าหูของฮยอกแจ ที่นั่งกอดแขนตัวเองไว้แน่น นิ่งเงียบอยู่ที่ม้านั่งคนเดียว ท่ามกลางนักศึกษารอบๆ บรรยากาศยามเช้าที่สดชื่นในมหาวิทยาลัยช่างขัดกับอารมณ์ของฮยอกแจเสียเหลือเกิน ใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะไม่ได้นอนดูหม่นหมองและเจ็บปวด แววตาเจ็บร้าวเศร้าสร้อย เมื่อนึกถึงตอนที่โดนสัมผัสเมื่อวาน คราวนี้ไม่ได้รู้สึกเขินอาย ตื่นเต้นหรือสุขใจเลย คิดแต่เพียงว่า ยามนั้นคนที่สัมผัสเขาตอนนั้นจิตใจอยู่ที่เขาหรือเปล่า ยามที่หลับตาก้มลงประทับจูบเขานั้นกำลังคิดถึงใบหน้าของใครอื่นหรือเปล่า กำลังคิดว่าตัวเขาคนนี้เป็นคนๆ นั้นหรือเปล่า แค่คิดน้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปก็เอ่อขึ้นมาอีก ปวดร้าวใจจนแทบทนไม่ได้
“เอ่อ…ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าห้องพักอาจารย์ไปทางไหนครับ” เสียงหวานนุ่มนวลไพเราะดังอยู่ข้างหน้า ฮยอกแจสะดุ้งน้อยๆ เห็นแว่บๆ ว่ามีร่างคนอยู่ตรงหน้าก็รีบเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาอย่างรวดเร็ว เงยหน้ากำลังจะบอกทางไปให้
“เอ่อ ครับ ไปทาง……” ฮยอกแจพูดได้แค่นั้น เมื่อมองเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเต็มตา ใบหน้าสวยชวนตะลึงที่เขาเคยเห็นมาแล้ว...ผู้ชายในรูปคนนั้น
ฮยอกแจตื่นตะลึงพูดไม่ออกเหมือนลำคอตีบตันไปหมด ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเลย ฮยอกแจตาค้างมองคนตรงหน้าไม่วางตา รอยยิ้มนางฟ้านั่นกับใบหน้าที่เอียงน้อยๆ มองใบหน้าตื่นตะลึงของเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย เรียวปากอิ่มสีแดงกำลังจะอ้าถามอีกที แต่
“พี่!” เสียงตะโกนไม่ไกลนัก เรียกความสนใจของทั้งสองให้หันไปมอง เพราะถ้าฮยอกแจจำไม่ผิดนั่นเป็นเสียงของ คิบอม แล้วก็ใช่จริงๆ เมื่อร่างของคนที่ตะโกนกำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ‘พี่ งั้นเหรอ?’
“ใช่พี่จริงๆ ด้วย พี่มาได้ไง มาทำอะไร…” คิบอมถามรัวเป็นชุด แต่โดนอีกฝ่ายยกมือเบรกไว้ก่อน
“พี่ก็กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่ไม่ได้มานานสิบกว่าปีแล้วก็มาหานายด้วยไง”
“แต่พี่…” คิบอม ตีหน้าซีเรียสจะแย้ง
“เอาน่าๆ พี่เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ ขี้เกียจเถียงด้วย” ว่าแล้วก็ลูบหัวคิบอมเล่น จนคิบอมต้องเอี้ยวหลบพัลวัน จนไปสบกับสายตาของฮยอกแจที่นั่งอึ้งค้างอยู่
“อ้าว ฮยอกแจนายอยู่นี่ด้วยเหรอ” คิบอมถาม สังเกตสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ
“นี่รู้จักกันหรอ พี่ถามทางไปห้องพักอาจารย์จากเขานะ ขอบใจนะ” กล่าวเสร็จก็ส่งยิ้มให้ฮยอกแจ
“เอ่อ…คือ ผมยังไม่ได้บอกเลย ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ” ฮยอกแจเรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้วก็ตอบไปแต่เสียงกลับไม่ดังพอกับที่ตั้งใจไว้
“งั้นก็ดี จะได้แนะนำตัวกันเลย ฮยอกแจ นี่ คิมฮีชอล พี่ชายฉันเอง ที่เคยเล่าให้ฟังไง” คิบอมแนะนำยิ้มๆ ฮยอกแจยิ่งอึ้งหนักไปอีก นี่หรือพี่ชายของคิบอมที่เขาเคยได้ยินจากคิบอมเมื่อนานมาแล้ว
“อ๋อ นี่คงเป็นฮยอกแจ ที่คิบอมมันพูดถึงบ่อยๆ ใช่มั้ย หน้าตาน่ารักจังเลยนะ” ฮีชอลพูดอย่างใจดี ยิ้มให้ฮยอกแจอย่างเอ็นดู แต่ฮยอกแจกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ
“เอ่อ…งั้นฉันขอตัวก่อนนะ ต้องรีบไปเรียน” ฮยอกแจก้มหน้าพูดไม่ยอมสบสายตาใคร แล้วก็รีบเดินจากไปทันที
เท่าที่จำได้คิบอมเคยบอกว่าพี่ชายเขาไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่ยังเล็กมากและคงไม่ได้กลับมาที่เกาหลีอีกนี่นา แล้วเขากลับมาทำไมกันนะ หรือว่า...
‘จะกลับมาหาพี่ฮันคยอง!’ ฮยอกแจแทบหมดเรี่ยวแรงจะเดินต่อ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาจะทำอย่างไรดี เขาควรจะทำอะไร หรือมันถึงเวลาแล้วที่เขา…ที่ตัวแทนอย่างเขา คนที่พี่ฮันคยองไม่ได้ต้องการจริงๆ อย่างเขา ควรหายไปได้แล้ว
“เฮ้! ไงฮยอกแจ” เสียงทักทายของสองรุ่นพี่ดังขึ้นอย่างสดใสอยู่ข้างหน้า
“อะ..คะ…ครับ” ฮยอกแจทักตอบ พลางรีบเช็ดน้ำตาออกไปจากหน้าอย่างรวดเร็ว
“ฮยอกแจ เป็นอะไรหรือเปล่าท่าทางแปลกๆ นะ” ทงแฮถาม
“นั่นสิ ไม่สบายหรือเปล่า” ซีวอนถามพร้อมเอามือมาทาบที่หน้าผากของฮยอกแจ จนทงแฮตาโตรีบถองเจ้าเพื่อนคู่หูที่สีข้างอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ที่ทำเกินหน้าเกินตา
“ผมไม่เป็นไรครับ ขอตัวก่อนนะครับ ต้องเข้าเรียนแล้ว” ฮยอกแจพูด กำลังจะเดินหลบไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของคิบอม จนทั้งสามต้องหันไปมอง
“เห…นั่นมัน คิมคิบอมใช่มั้ยนะ” ซีวอนหยีตาดู ร่างที่โบกมืออยู่ไกลๆ
“ซวยล่ะสิ ไอ้เด็กบ้านั่นกำลังเดินมาทางนี้นี่หว่า” ทงแฮพูดท่าทางตื่นๆ ลุกลี้ลุกลนเหมือนจะหาที่หลบ เพราะคิบอมกำลังเดินตรงมายังพวกเขา แต่ว่า
“อ้าว…ไปซะแล้วแหะ” ซีวอนว่าเมื่อเห็นอาจารย์หนุ่มโอบเอวใครอักคนหมุนเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับพวกเขา ฮยอกแจเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วรีบปลีกตัวไปทันที ซีวอนเอี้ยวตัวมาตีหัวไอ้เจ้าเพื่อนบ้าที่มาซุ่มอยู่ที่หลัง “แล้วนี่แกทำบ้าไรฟะ ไอ้ปลาทอง เสื้อยับหมดแล้วโว้ย”
“โอ้ย! ไอ้บ้านี่ มือหนักยังกับตีน” ทงแฮโวยกลับ กระโดดจะตีคืนแต่ก็ไม่ถึง จึงได้แต่ใช้เสียงเข้าข่มด่าไปเรื่อยๆ ขณะที่อดชายตามองคนที่ปกติไม่ว่าเห็นเขาที่ไหนหรือว่ากำลังคุยอยู่กับคนที่ตำแหน่งใหญ่แค่ไหนก็ตามเป็นต้องตรงดิ่งมากวนเขาอยู่เรื่อยแต่วันนี้กลับ…กลับไม่ยอมทิ้งคนอื่นมาหาเขา แถมยังยิ้มอย่างมีความสุขอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย ท่าทางก็อ่อนโยนเวลาอยู่กับผู้ชายคนนั้นอีก…แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยล่ะเนี่ย ‘บ้าจริงๆ อย่างนี้ก็เหมือนกับเรา…’
“เฮ้ย! เป็นไรวะไอ้ปลาทอง” ซีวอนถามมือใหญ่ทั้งสองข้างก็ตบเข้าที่แก้มป่องนั้นไม่เบาเลย เรียกให้คนที่จู่ๆ ก็เหม่อจนเพื่อนแปลกใจสะดุ้งขึ้นมานิดๆ
“อะ…เปล่าๆ ไม่มีอะไร เอ่อ ไปก่อนนะ”
“อะไรของมันว่ะ เอ้อใช่!…ฮยอกแจ คนเมื่อกี้…อ้าว!” ซีวอนมองตามเพื่อนที่วิ่งไปอย่างงงๆ แล้วนึกขึ้นได้ว่าจะถามอะไรฮยอกแจสักหน่อย แต่ก็พบว่าฮยอกแจไม่อยู่เสียแล้ว ร่างสูงหน้าตาเคร่งเครียด มองไปตามทางข้างหน้าที่เมื่อครู่ยังมีคนสองคนเดินอยู่ ร่างบอบบางที่เห็นแต่ด้านหลังนั่น ชวนให้เขานึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้นึกถึงมานานมาก และมัน…รบกวนจิตใจจนชวนให้หงุดหงิดเสียจริง
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
แดดอ่อนๆ ในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ สาดส่องมายังเด็กหนุ่มที่นั่งรอใครบางคนอยู่ ดวงหน้าหวานซีดเซียว แววตาดูหม่นหมองเศร้า ไม่เหลือเค้าความสดใสแต่ก่อน
“ฮยอกแจ” เลียงทุ้มๆ ที่แข็งและเย็นชาแต่คนพูดพยายามที่จะให้อ่อนลงแล้วร้องเรียก ฮยอกแจเงยหน้ามองทันทีเพราะจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร ร่างสูงที่ใบหน้าอยู่ใต้แว่นตากันแดดราคาแพง นั่งประจำที่คนขับอยู่ในรถหรูสีนิลส่งยิ้มนิดๆ ที่แทบมองไม่เห็นให้เขา
ฮยอกแจรีบลุกเดินเข้าไปในรถ ทั้งที่ยังตกใจไม่คิดว่าวันนี้ฮันคยองจะมารับเขาด้วยตัวเองเพราะเห็นว่าที่บริษัทงานยุ่งมาก ปกติเขาคงจะดีใจมาก แต่หลังจากที่ได้รู้เรื่องของ คิมฮีชอล ตอนนี้ฮยอกแจกลับรู้สึกว่าเขายังไม่พร้อมเจอหน้าฮันคยอง หรือบางที อาจยังไม่พร้อมที่จะเตรียมรับ…คำบอกลา
“เหนื่อยหรือเปล่า” ฮันคยองยังไม่ออกรถ แต่หันมาถามฮยอกแจสำรวจด้วยความเป็นห่วงเพราะหน้าตาที่ดูซีดเซียว มือใหญ่จับปลายคางฮยอกแจให้หันมามองหน้า โน้มลงจูบคนตัวเล็กทันที
ฮยอกแจตกใจนิดๆ ที่อยู่ๆ ฮันคยองก็จูบเขา ฮยอกแจจูบตอบแต่โดยดี มือเล็กเอื้อมสัมผัสแก้มของคนตรงหน้าลูบมาถึงปลายคางด้วยความรักและห่วงหา จูบหวานๆ แต่ใบหน้าของฮยอกแจกลับเศร้านักเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นจูบสุดท้ายที่ฮันคยองจะมอบให้เขา
ฮยอกแจรีบกลั้นน้ำตาเมื่อฮันคยองผละจูบออก จับมือใหญ่ที่เลื่อนมาลูบแก้มของเขาไว้ ก่อนตัดสินใจจูบลงเบาๆ อย่างแสนรักที่มือนั้น จนฮันคยองเองแปลกใจไม่น้อย ตั้งแต่แววตาของฮยอกแจที่มองเขานั่นแล้ว ‘ทำไมวันนี้ฮยอกแจดูแปลกๆ นะ’ มือใหญ่ที่ยังคงสัมผัสอยู่ที่ใบหน้าเรียวเล็กเริ่มรู้สึกถึงไอร้อน
“นาย…ไม่สบายนี่” ร่างสูงนิ่วหน้าพูด เมื่อเอามืออังทั้งหน้าผากและลำคอของร่างเล็ก
“ผมไม่เป็นไร…” ฮยอกแจพยายามพูด เสียงที่ออกมาแหบแห้งจนฮันคยองนิ่วหน้าหนักเข้าไปอีก
“เลิกพูดได้แล้ว ฉันจะพานายไปโรงพยาบาล” ฮันคยองพูดเสียงเฉียบขาด ฮยอกแจหน้าเสีย ไม่อยากไปโรงพยาบาล อย่างน้อยก็ตอนนี้ ยังอยากอยู่ใกล้ๆ ฮันคยองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายไป
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ฮันคยอง ผมอาการไม่หนักหรอก แค่กินยานอนพักเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกครับ” ฮยอกแจฉวยแขนแกร่งเขย่าเบาๆ อย่างขอร้องไปในที
ฮันคยองมองแววตาของฮยอกแจ ‘แปลกจริงๆ ด้วย’ ฮันคยองนิ่งเงียบไม่เห็นด้วยกับฮยอกแจแต่เพราะสายตาที่ขอร้องอ้อนวอนอย่างจริงจังทั้งที่เป็นเรื่องแค่นี้เอง ‘หรือว่าจะไม่ชอบโรงพยาบาล’ ร่างสูงคิดแล้วถอนหายใจนิดๆ ยอมตามใจคนตัวเล็ก…แต่ไอ้ที่รู้สึกเหมือนมีความเจ็บปวดและเศร้าอยู่ในสายตาของฮยอกแจด้วยนั้น มันหมายความว่าอะไรกันแน่…
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
“ฉันตามใจนายแล้ว นายต้องทำตามที่ฉันบอกเข้าใจมั้ย” ฮันคยองพูดเสียงจริงจังขณะประคองร่างฮยอกแจเข้ามาในบ้าน ฮยอกแจพยักหน้ารับคำ
“นายขึ้นไปนอนพักซะ แล้วเดี๋ยวฉันจะเอาข้าวกับยาขึ้นไปให้”
“พี่ฮันคยองครับ แม่บ้านไปไหนล่ะครับ” ฮยอกแจถาม สงสัยตั้งแต่ที่หน้าบ้านไม่เห็นแม่บ้านออกมาเปิดรั้วอย่างทุกที
“วันนี้แม่บ้านลาหยุด เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายแค่ไปพักก็พอ”
“เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่ฮันคยองก็ต้องไปเข้างานแล้ว” ฮยอกแจรีบพูดอย่างเกรงใจ ไม่อยากให้ร่างสูงลำบาก
“นายอยู่เฉยๆ แล้วทำตามที่บอกเถอะน่า” ฮันคยองพูดเฉียบขาด ใบหน้าเคร่งเครียด หันไปเห็นอีกคนที่หน้าเสียไปทันตา “ฉันเป็นประธานบริษัทจะลาหยุดก็ไม่มีใครว่าหรอก” ร่างสูงพูดเพิ่มแล้วก็ลูบหัวฮยอกแจเบาๆ ร่างเล็กจึงค่อยยิ้มออกมาหน่อย จึงขึ้นไปนอนพักตามที่ฮันคยองบอก
เสียงกุกๆ กักๆ และเสียงเดินพล่านไปทั่วห้องของคนที่เป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้เย็นชา มาดขรึม แทบหมดมาดก็ตอนเดินพล่านเปิดตู้ยาค้นยาออกมากระจายเต็มพื้น เพื่อหายาที่ต้องการ ใบหน้าหล่อเหลา ชโลมไปด้วยเหงื่อ ผมที่หวีไว้อย่างเรียบร้อยเริ่มยุ่งเหยิง
“เจอสักที” ฮันคยองเอ่ยออกมากับตัวเองอย่างดีใจที่หาเจอสักที อ่านที่ฉลากยาว่ากินหลังอาหาร ‘อืมม ร้านค้าก็อยู่ไกลซะด้วยสิ’ ร่างสูงหยุดสาวเท้าหันไปที่ครัว ‘ลองเข้าสักครั้งจะเป็นไรไป’
ร่างสูงที่สวมผ้ากันเปื้อนสีสดใสลายน่ารักไม่เข้ากับหน้าตา กำลังประกอบอาหารอย่างทุลักทุเล เพราะไม่เคยเข้าครัวมาก่อน อะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เลยหยิบโน่นใช้นี่สลับกันไปหมด จนครัวเละเทะไปหมด แต่อย่างน้อยข้าวต้มที่เขาทำก็ออกมาดูดีและไม่น่ามีพิษภัยอะไร ร่างสูงลุกลี้ลุกลนเมื่อข้าวในหม้อเดือดได้ที่ดีแล้ว ขณะที่กำลังขนของที่ไม่จำเป็นกลับเข้าที่ ไหนจะหาชามมาใส่ข้าวต้มอีก คนมาดขรึมออกอาการหันซ้ายแลขวาทำอะไรไม่ถูก จะเอื้อมไปปิดแก๊ส พอดีกับสายตาไปเจอชามลายน่ารักที่ฮยอกแจชอบใช้ใส่ข้าวของตัวเองบ่อยๆ จนเกิดเสียหลักเพราะของที่จะขนไปเก็บอีกข้างเกิดร่วงกราวลงพื้นดังสนั่น และชามใบสวยนั้นก็ลื่นหลุดมือลอยหวือขึ้นไปในอากาศ
ฮันคยองสบถเสียงดัง รีบก้าวฝ่าดงหม้อ ไห ทัพพี จานชาม อะไรก็ตามที่กองอยู่ที่พื้นรับชามใบนั้นได้ทันกับที่สะดุดหม้อล้มลงพื้นดังโครมพอดี
“โอ้ย! บ้าจริง” ร่างสูงว่าเบาๆ ใบหน้าเหยเกนิดๆ ด้วยความเจ็บ แต่ก็ยิ้มอย่างดีใจที่ปกป้องชามไม่ให้แตกได้
“ว้าว…เป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้เห็นคุณฮันคยองสุดเท่ มาดเนี้ยบ ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าได้อย่างนี้ ฮิฮิ…” เสียงหวานใสที่หัวเราะน้อยๆ อย่างที่คุ้นเคย ทำเอาร่างสูงที่นั่งอยู่บนพื้นนิ่งค้างจ้องไปที่คนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา
คนที่เขาคิดถึงอยู่ตลอด คนที่เขาอยากเห็นหน้าเหลือเกิน คนที่เขารักมาตลอด ภาพใบหน้าที่เขาสลัดไปจากใจไม่หลุดสักที ตอนนี้ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา กำลังยิ้มหัวเราะให้อย่างสดใส
“คิมฮีชอล” ร่างสูงค่อยๆ ลุกขึ้นมา เอ่ยชื่ออกมาแผ่วเบาคล้ายไม่แน่ใจ จับจ้องที่คนตรงหน้าไม่วางตา
“อ้อ ต้องขอโทษนะ พอดีฉันเคาะประตูแล้ว ไม่เห็นใครมีใครตอบ พอลองเปิดก็เห็นว่าไม่ได้ล็อก ก็เลย…” พูดยังไม่ทันจบ ฮันคยองก็เดินอย่างรวดเร็วแทบเป็นวิ่ง เขาไปกอดฮีชอลไว้แน่นอย่างคิดถึง ดีใจที่ไม่ได้เป็นภาพลวงตาอย่างที่กลัว ฮีชอลที่ตกใจก็ยิ้มออกมาแล้วสวมกอดตอบแน่นๆ เหมือนกัน
“ฮ่าๆ นี่ฉันเจ็บนะฮันคยอง นายคิดถึงฉันมากเลยเหรอ…ฉันก็เหมือนกัน” ทั้งคู่ยังกอดกันแน่นหัวเราะอย่างมีความสุข โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวใจใครอีกคนแทบสลายเมื่อเห็นภาพนี้
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
ฮยอกแจสะดุ้งขึ้นมาจากเตียงขณะใกล้เคลิ้มหลับ เพราะเสียงที่ดังมาจากข้างล่าง ร่างบางคิดได้อย่างเดียวว่าคงเป็นพี่ฮันคยอง เขาเองก็กังวลอยู่ไม่น้อยที่พี่ฮันคยองเข้าครัว ‘เสียงเมื่อกี้นี้พี่ฮันคยองจะเป็นอะไรมั้ยนะ’ ฮยอคแจคิดขณะลงบันไดมา แม้เรี่ยวแรงจะไม่ค่อยมี แต่เสียงคุยกับเสียงหัวเราะที่ดังมาจากห้องครัวทำให้เขานิ่งไปที่รู้ว่าร่างสูงไม่ได้อยู่คนเดียว จึงแอบย่องไปดูด้วยความสงสัย
เขาแทบอยากย้อนเวลาไป หากเลือกได้ เขาจะไม่ลงมาเด็ดขาด เพราะเขาจะได้ไม่ต้องมาเห็นภาพนี้ให้ต้องเจ็บช้ำมากไปกว่าที่เป็นอยู่ มือเล็กๆ ยกขึ้นมาปิดกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง น้ำตาไหลนอง เขาได้เห็นชัดแล้วว่าคนทั้งคู่รักกันมากแค่ไหน และเขามันไร้ความหมายแค่ไหน อยากจะก้าวขึ้นไปบนห้องเหลือเกิน แต่ขากลับไม่ขยับทรุดลงนั่งพิงผนัง หูก็ยังได้ยินเสียงสนทนาอย่างความสุขของคนทั้งคู่…เจ็บเหลือเกิน
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ฮยอกแจนั่งคุดคู้ตัวอยู่ที่เดิม มือที่ปิดปากตัวเองชาจนเจ็บ น้ำตายังคงไหลลงมาราวกับลืมวิธีหยุด ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขาได้ยินเสียงคนทั้งคู่ เสียงของคนที่เขารักมาก พูดเรื่องราวที่ทั้งสองผ่านมาด้วยกัน พร่ำบอกกับอีกคน บอกคำที่เขาไม่เคยได้รับ เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไงได้อีก ฮยอกแจรวบรวมแรงยืนขึ้นแม้จะโงนเงน ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปข้างบนช้าๆ ไม่อยากที่จะได้ยินอะไรอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว พอแล้ว
“…..นายนี่ยังจำเรื่องพวกนี้ได้ดีจังนะ” ฮีชอลพูดยิ้มๆ ส่ายหัวน้อยๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เขากำลังคุยกันเพลินๆ อยู่ในห้องครัวรกๆ
“แน่นอน ก็มันเป็นความทรงจำที่ดี กับคนที่รัก” ฮันคยองพูดสบายๆ แต่สายตามั่นคงจริงจังเมื่อมองฮีชอล จนคนถูกมองก้มหน้าหลบสายตารอยยิ้มหมองลงคล้ายรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ฮันคยอง”
“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก นายไม่ผิด ฉันผิดเองที่ไม่ยอมรับความจริง”
ทั้งสองนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ฮีชอลที่อึดอัดเพราะฮันคยองไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเกลียดเขาเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายทิ้งฮันคยองไป แต่เขาก็รู้ว่าฮันคยองเองเสียใจมากแค่ไหน ถ้าหากด่าว่าเขากลับบ้างก็คงดีกว่านี้หรอก
“เอ่อ ว่าแต่อะไรทำให้นายเข้าครัวได้เนี่ย แถมทำ…ขนาดนี้” ฮีชอลพูดขึ้นทำลายความเงียบ มองไปรอบๆ ห้องที่รกอย่างกับเพิ่งผ่านสงครามมา ยิ่งนึกภาพตอนฮันคยองล้มนั่นอีก ก็ขำจนต้องหันหน้าหนีแอบหัวเราะ
“ฉัน…ฉันก็แค่ทำ...ข้าวต้ม” ฮันคยองกระแอมพยายามตีสีหน้าเฉย แต่เสียงติดขัด แล้วยังเอื้อมมือไปเกาที่ต้นคอนิดๆ อีก ฮีชอลดูแวบเดียวก็รู้ว่ามันคืออาการ...เขิน
“โอ้…I see” ฮีชอลพูดเบาๆ แล้วก็หัวเราะน้อยๆ ยอมรับว่าอึ้งที่มีคนทำให้ฮันคยองเขินได้
“ก็…ก็แค่เด็กที่ฉันปกครองอยู่เท่านั้นแหละ” ฮันคยองรีบตอบ อาการดูร้อนรนนิดๆ
“อ้อ แสดงว่าอยู่ด้วยกันสินะ” ฮีชอลพูดน้ำเสียงทางการ แต่กลับยิ้มเจ้าเล่ห์ “แล้วเป็นเด็กยังไงล่ะ”
“เป็นยังไงนะหรือ ฮึ…ก็ทั้งจุ้นจ้าน น่ารำคาญ…” ฮันคยองพูดเหมือนไม่พอใจ แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงใบหน้าของใครคนนั้น “…ขี้กลัว จนน่าแกล้ง แต่บางทีเวลานึกถึงฉันก็อารมณ์ดีบอกไม่ถูก อืม…ไม่รู้สินะ…บางทีฉันก็เหมือนคิดอะไรไม่ออก มันเหมือนอะไรที่…ที่…”
“ที่พิเศษใช่มั้ย” ฮีชอลต่อให้
“……….” สิ่งที่ฮีชอลพูดต่อนั่นมันใช่ จนฮันคยองอ้าปากจะตอบ แต่ก็ชะงักค้างนิ่งไปเมื่อเพิ่งนึกได้ นี่เขา…
“โธ่…อย่าบอกนะว่านายเพิ่งรู้ตัว” ฮีชอลส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับท่าทีที่สับสนของฮันคยอง “ไม่รู้ตัวเลยหรอว่านายพูดถึงเด็กคนนั้นด้วยท่าทางแบบไหนกัน”
ท่าทางของฮันคยองที่แสดงออกนั้น ดูสบายๆ อ่อนโยนเป็นธรรมชาติ ยิ้มตามไปอย่างอ่อนโยนหัวเราะควบไปด้วยอย่างมีความสุข สายตาที่หรี่ลงนิดๆ เหมือนถวิลหายามนึกถึงหรือตอนที่ปลายนิ้วลากผ่านริมฝีปากยิ้มมุมปากนิดๆ ราวกับนึกถึงยามที่ได้สัมผัส
“ฉันแค่..แค่ไม่คิดว่า…” ฮันคยองที่นิ่งคิดอย่างสับสน เขารู้สึกดีกับฮยอกแจก็จริง แต่ไม่เคยคิดว่าจะมากไปกว่านั้นได้ ไม่มีทางแน่ๆ แต่เมื่อทบทวนดูแล้ว…ให้ตาย! เขานี่มันบ้าจริงๆ
“นายเปลี่ยนไปเยอะนะฮันคยอง…นายเปิดใจ ยอมรับให้มีคนอื่นเข้ามาในชีวิต…แต่ให้ตายนายมันบ้าจริงๆ!” ฮีชอลอดว่าอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ ที่คนตรงหน้าเพิ่งมารู้ตัว
“ฮึ…นั่นสินะ บ้าจริงๆ ด้วย” ฮันคยองหัวเราะให้ตัวเองน้อยๆ ที่เพิ่งจะยอมรับและเข้าใจ
“แต่นายเปลี่ยนไปในทางที่ดี ฉันดีใจนะ…เพื่อน” ฮีชอลโผเข้ากอดฮันคยอง
“อืม ขอบใจ…เพื่อน” ฮันคยองยิ้ม กอดตอบเหมือนครั้งแรก…แต่คราวนี้หัวใจของเขาเป็นอิสระ
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
ฮีชอลไปแล้ว ไปพร้อมกับสิ่งที่คอยผูกมัดรั้งเขาเอาไว้ ฮันคยองรู้สึกตัวเบา โล่ง และสบายใจมากขึ้น ขำตัวเองที่อยู่กับฮยอกแจมานานหลายเดือนแต่กลับไม่รู้สึกตัว แต่พอฮีชอลมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทุกอย่างในใจเขาก็กระจ่างหมด ‘นายนี่มันยอดคนจริงๆ ฮีชอล’
“อ๊ะ! ข้าวต้ม ยา…บ้าจริง” ร่างสูงอุทาน นึกขึ้นได้ ป่านนี้ฮยอกแจรอนานมากจนหลับไปแล้วล่ะมั้ง
ก๊อกๆ ก็อกๆ ……..
“ฮยอกแจ…”
ฮันคยองเข้ามาในห้อง เรียกฮยอกแจ ไฟในห้องมืด เขามองไปที่เตียงแต่กลับราบเรียบ ไมมีใครนอนอยู่ ร่างสูงรีบเปิดไฟ เดินหาจนทั่ว แต่ไม่พบฮยอกแจ ฮันคยองรู้สึกใจหายเมื่อเห็นกระดาษวางอยู่ที่หัวเตียง เขาหยิบขึ้นมาอ่านก่อนจะปาทิ้งไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทั้งโมโห ไม่เข้าใจ งุนงง เขารีบตรงดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดออก พบว่าเสื้อผ้าของฮยอกแจหายไป เหลือแต่ส่วนที่เขาซื้อให้ไว้เท่านั้น ฮันคยองหายใจแรงรู้สึกกลัวและใจหายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนหัวใจมันกลวงไปหมด เขารีบวิ่งพล่านไปทั่วบ้านตะโกนเรียกหาคนที่หายไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เจอ ร่างสูงรีบไปที่รถขับออกมาด้วยความรีบเร่งไม่เคยร้อนใจเท่านี้มาก่อน มือใหญ่สั่นเทาขณะกดโทรศัพท์ ออกคำสั่งบอดี้การ์ดทุกคนให้ออกตามหาฮยอกแจ แต่ความกังวลใจมันไม่ได้ลดลงเลย
‘นายอยู่ไหนฮยอกแจ…อย่าเป็นอะไรนะฮยอกแจ…ทำไมกัน ทำไมนายต้องหนี…ทำไม…ทั้งๆ ที่ฉัน…’ ฮันคยองได้แต่คิดวนเวียนไปอย่างกังวล ขณะสอดส่ายสายตาหาร่างของคนสำคัญ
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
‘มันจบสิ้นแล้ว มันจบแล้วฮยอกแจ นายจะหวังอะไรอีก’
ร่างเล็กแบกเป้เดินไปข้างหน้าอย่างเลื่อยลอยน้ำตาไม่ได้หายไปจากใบหน้า ทรุดกายลงนั่งที่ริมทางที่เงียบสงัด ผู้คนเริ่มน้อยเพราะดึกมากแล้ว ร่างเล็กฟุบหน้าลงกับเข่าตัวเองปล่อยเสียงสะอื้นร้องไห้อย่างเต็มที่ เขาหนีออกมาเพราะไม่อยากได้ยินคำบอกลาจากคนที่เขารัก เขาคงทำใจไม่ได้ เขาอยากจะอยู่แต่ก็ทำใจให้มองคนที่เขารักไปรักคนอื่นไม่ได้ อ้อมกอดที่เคยกอดเขา ริมฝีปากที่เคยจูบเขา หัวใจที่เขาเคยคิดว่าได้ครอบครอง ตอนนี้กลับต้องกลายเป็นของคนอื่น ไม่ใช่สิ…กลับไปหาคนที่เป็นเจ้าของเดิมและเป็นเสมอมาต่างหาก
“เฮ้ๆ ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะน้อง” ฮยอกแจสะดุ้งเมื่อมีมือมาจับที่ไหล่ หันไปมองก็เห็นเป็นผู้ชายร่างใหญ่ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจสองคน
“เอ๋…ร้องไห้ด้วย ร้องทำไม ใครทำอะไรเหรอคนสวย” อีกคนพูดขึ้น เอามือมาโอบไหล่เขาและสูดกลิ่นกายเขาที่ซอกคอ จนฮยอกแจตัวแข็งขนลุกด้วยความขยะแขยง จะสะบัดก็ไม่หลุดสู้แรงไม่ได้
“ปะ…ปล่อยนะ ผมเป็นผู้ชาย” ฮยอกแจพูดพยายามขืนตัวออกแต่ไม่เป็นผล
“เป็นผู้ชาย แต่สวยขนาดนี้ก็ยอมวะ ฮ่าๆๆ มามะ เดี๋ยวพี่ปลอบเองนะน้อง” ว่าเสร็จมันทั้งสองก็เขามาจับตัวเขา
“อย่า!…ช่วยด้วย!…ช่วย……” เสียงฮยอกแจเงียบไปเมื่อโดนอุดปาก แล้วจับลากเข้าไปที่ลึกในมุมตึกร้างผู้คน กลัวจนตัวสั่น ต้านแรงพวกมันไม่ได้ ใบหน้าของคนๆ เดียวที่เขานึกถึงปรากฏชัดในหัว เขากลั้นใจหลับตาทั้งน้ำตาพวกนั้นกำลังถอดเสื้อผ้าเขาออก สัมผัสนั่นทำเขาขยะแขยงจนต้องดิ้นรนออกมาอีก
ปึ่ก!…
“โอ้ย! อะไรวะ” หนึ่งในสองคนร้องขึ้นมา เมื่ออยู่ๆ ก็มีอะไรแข็งๆ ลอยมากระทบหัวอย่างแรง จนเซล้มลง
“ใครวะ” อีกคนตะโกนออกเมื่อหันไปเห็นร่างดำทะมึนของใครบางคนที่ปากทางเข้า และกำลังเดินตรงมา ฮยอกแจเองก็หันไปมอง แต่ก็เห็นไม่ชัดตาพร่ามัวเพราะน้ำตา
“……….”
ผู้มาใหม่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ก้าวเข้ามาใกล้ร่างคนที่จับฮยอกแจไว้แล้วชกเข้าเต็มแรง จนร่างนั้นกระเด็นลงไปรวมกับอีกคน ฮยอกแจที่เป็นอิสระทรุดลงพื้นไม่มีแรงวิ่งเพราะขาสั่นไปหมด ร่างดำทะมึนของคนที่มาใหม่ยืนหันหลังให้เขาเผชิญหน้ากับสองคนนั่น ใบหน้านั่นที่เขาเห็นวูบหนึ่งที่เข้ามาใกล้นั้น ดูน่ากลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“พวก แก…กล้า มาก นะ…” เสียงนั้นเรียบเฉยพูดช้าๆ เน้น ย้ำทุกคำ แฝงความน่ากลัวอย่างประหลาด เจ้าสองคนนั่นโมโหที่โดนเล่นงานลุกขึ้นมาจะเล่นงาน แต่พริบตาเดียวไม่ทันที่ฮยอกแจจะอ้าปากเตือนด้วยซ้ำ กลับเป็นสองคนนั้นที่โดนเล่นงานแทน
“หนอย!...แก” มันพูดขึ้นอย่างโกรธแค้นที่โดนส่งไปนอนหงายบนพื้นอีก
กริ๊ก!?......
แต่ยังไม่ทันจะเล่นงานกลับก็ต้องชะงัก เมื่อหนึ่งในสองคนโดนอะไรบางอย่างจ่อเข้าที่หน้า
“อย่าขยับ…รู้ใช่มั้ยว่านี่อะไร” เสียงถามเยือกเย็น จนมันตัวสั่นยิ่งมองสายตานั่นก็ยิ่งสั่นเทิ้มราวกับเห็นปีศาจก็ไม่ปาน อีกคนที่เห็นว่าสบโอกาสไม่มีใครสังเกต ก็รีบวิ่งจะหนีไป แต่
ปัง!.....
“จะหนีไปไหนหรอ ฉันไม่ได้มีแค่กระบอกเดียวหรอกนะ” ร่างนั้นพูดขึ้นเรียบๆ เหมือนไม่ยินดียินร้ายแต่ในใจนั้นโกรธจัด ลั่นไกใส่อีกคนโดยที่ยังจ้องเจ้าคนแรกอยู่ไม่วางตายิ่งทำให้มันสั่นเทิ้มด้วยความกลัวจนฉี่ราด
ฮยอกแจที่ตกใจร้องพร้อมเสียงลั่นไกเมื่อครู่ มองร่างที่โดนยิงแต่ไกล ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น อยากจะร้องห้ามแต่เสียงไม่ยอมออกมา
“โอ้ยยย! อ๊ากกก!!....มะ..มือ มือฉัน.......” ร่างนั้นไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่ฮยอกแจคิด เริ่มดิ้นและส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ฮยอกแจโล่งอก ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นเดินไปยังคนที่มาช่วย
“พอแล้ว ผมไม่เป็นไรแล้ว…พี่ฮันคยอง”
ฮยอกแจโอบกอดร่างนั้นจากทางด้านหลังแนบใบหน้ากับแผ่นหลังอุ่น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้แต่น้ำตากลับไหลออกมาอีก ทันทีที่เขาเอ่ยชื่อฮันคยอง ร่างสูงจับมือของร่างเล็กที่สั่นด้วยแรงสะอื้นไว้แน่น พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่อีกสามสี่คนในสูทสีดำสนิท ที่โผล่มาที่ปากทางสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็วจนฮยอกแจแทบไม่รู้สึกว่ามีคนมาเพิ่ม จนเมื่อเสียงฮันคยองดังขึ้น
“ฝากจัดการทางนี้ด้วย ไม่ต้องให้ถึงตาย” บอดี้การ์ดโค้งรับคำสั่ง ฮันคยองถอดเสื้อคลุมตัวให้ฮยอกแจและพาเดินออกจากมุมตึก บอดี้การ์ดคนหนึ่งเปิดประตูรถให้ ทั้งสองก้าวเข้าไปนั่ง แล้วรถก็เริ่มแล่นไป ฮันคยองยังคงโอบกอดร่างฮยอกแจที่ซบอกแล้วกำเสื้อเขาไว้แน่น ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากคนทั้งคู่
รถคันงามแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน คนทั้งคู่ลงมาแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างเงียบเชียบ ฮยอกแจขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้นเดินหนีไปอย่างไม่พูดอะไร แต่ร่างสูงคว้าแขนแล้วดึงกลับมาให้เผชิญหน้ากัน
“นี่นายจะไม่บอกหน่อยเหรอ ว่านายกำลังทำอะไรอยู่ นายหนีไปอย่างนั้นทำไม!” ฮันคยองตะคอกถามทั้งโมโหทั้งไม่เข้าใจท่าทางของฮยอกแจ ร่างเล็กเบือนหน้าหนีไปทางอื่นดวงหน้าเศร้าน้ำตาก็ไหลออกมาอีกจนได้ จนฮันคยองตกใจและร้อนใจเมื่อเห็นน้ำตาของร่างเล็กที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“พี่ทำอย่างนั้นไปทำไม พี่ช่วยผมทำไม ทำไมพี่ไม่ปล่อยให้ผมไปของผมเอง พี่จะได้มีความสุขกับคนที่พี่รักจริงๆ สักที พี่จะได้ไม่ต้องฝืนทนอยู่กับผมอีกต่อไปแล้ว” ฮยอกแจตะโกนกลับบ้าง ทั้งทุบทั้งผลักร่างสูงที่เข้ามาใกล้ทั้งน้ำตาท่าทางเจ็บปวด ฮันคยองแทบไม่สะดุ้งสะเทือนเขานิ่งเงียบปล่อยให้ฮยอกแจได้ระบาย แม้จะไม่เข้าใจอะไรเลย
“นายพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจสักนิด ทำไมฉันต้องฝืนอยู่กับนาย” ฮันคยองถามเสียงอ่อนลง
“พี่ยังไม่ยอบรับอีกหรอ ว่าไม่ได้รักผม พี่รักคุณฮีชอล พี่ไม่ต้องปิดอีกแล้ว ผมรู้หมดแล้ว ผมจะไม่ยื้อพี่ไว้หรอก ผมรู้พี่ไม่เคยลืมเขา พี่ก็อยู่กับเขาอย่างที่พี่ต้องการเถอะ” ฮยอกแจทั้งพูดทั้งสะอื้นจนแทบไม่มีแรงยืน ทรุดลงนั่ง ฮันคยองตกใจมากที่ฮยอกแจรู้เรื่องฮีชอล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งหน้าร่างเล็ก
“นายรู้เรื่อง ฮีชอล ได้ยังไง”
“ผมเห็นรูปนั่น ผมได้ยินที่พี่คุยกับเขาวันนี้ แค่นี้พอหรือยัง” ฮยอกแจว่าเสียงแผ่ว คล้ายหมดแรง
ฮันคยองได้ยินอย่างนั้นก็คิดปะติดปะต่อเรื่องเข้าด้วยกัน เริ่มจะเข้าใจขึ้นมา แต่ที่ฮยอกแจบอกว่าได้ยินที่เขาคุยกับฮีชอลแล้วยังหนีไปนี่มัน…
“ฮยอกแจ…นายนี่มัน ให้ตายสิ!” ร่างสูงพอจะเดาได้แล้วว่าเรื่องเป็นไงมาไง ก็คว้าตัวฮยอกแจมากอด ยิ้มด้วยความโล่งใจ “วันหลังถ้าจะแอบฟังก็หัดฟังให้มันจบด้วยสิ”
“พี่พูดอะไร…ปล่อยผมนะ” ฮยอกแจดิ้น ฮันคยองดันตัวฮยอกแจออก มองตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตาอย่างแน่วแน่
“ฟังนะฮยอกแจ เรื่องระหว่างฉันกับฮีชอลนะมันจบไปนานแล้ว ไม่สิ มันไม่เคยเริ่มด้วยซ้ำ ฉันเคยรักฮีชอล แต่เขาเห็นฉันเป็นแค่เพื่อนมาตลอด เข้าใจมั้ย” ฮันคยองพูดอย่างจริงจัง
“ผม…เข้าใจแล้ว แต่พี่ก็ยังรักเขาอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ พี่ถึงได้ดูเจ็บปวดขนาดนั้นเวลามองรูปนั่น” ฮยอกแจพูดอย่างเจ็บปวด หันหน้าหนีไปทางอื่น
“นี่นายไม่ได้ฟังฉันเลยใช่มั้ย ฉันบอกว่า ‘เคยรัก’ นะ ได้ยินมั้ย” ฮันคยองแทบอยากกัดลิ้นตาย ทำไมการปรับความเข้าใจนี่มันถึงยากนักนะ
“พี่…ฮันคยอง…” ฮยอกแจมองหน้าฮันคยอง แต่ก็ยังไม่ค่อยจะเชื่ออยู่ดี และเหมือนฮันคยองจะรู้ เขาถอนหายไปออกมาน้อยๆ
“นี่ถ้านายอยู่ฟังจนจบก็คงไม่ต้องมาร้องไห้ฟูมฟาย ระหกระเหินหนีไปข้างนอกแบบนี้หรอก” จะได้ไม่ต้องมาทำให้เขาตกใจแทบตายกลัวไปสารพัดอยู่อย่างนี้ด้วย ฮันคยองบ่นเบาๆ สบตากับคนตรงหน้าที่ยังไม่เชื่อคำพูดเขา ก็ถอนหายใจออกมาอีก มือใหญ่จับไหล่บอบบางไว้มั่น แล้วเอ่ยออกมา
“หัวใจของฉัน มันเป็นของนายมาตั้งนานแล้ว…ฉันรักนายต่างหากเล่า…เด็กบ้า”
ฮยอกแจนิ่งอึ้ง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เขาไม่ฝันไปจริงๆ หรือ เขาได้ยินคำว่า รัก จากปากฮันคยอง ที่บอกรักเขา น้ำตาไหลลงมาที่ใบหน้าฮยอกแจแกอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความสุข
“พี่…พี่โกหก…โกหกแน่เลยๆ” ฮยอกแจพูด ใบหน้าเปื้อนน้ำตาทั้งเบ้ปากทั้งยิ้ม จนออกมาประหลาดๆ ร่างสูงยิ้มหัวเราะมองหน้าคนที่เขารู้แล้วว่ารัก อย่างโล่งใจที่เห็นแววตานั่นของฮยอกแจที่ในที่สุดก็…เชื่อ
“เด็กบ้า…สำหรับฉันคำว่า ‘รัก’ มันสำคัญมากนะ…โกหกไม่ได้หรอก”
。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ