[Haikyuu]Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
-
เขียนโดย Dark_Shinigami
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.34 น.
9 ตอน
0 วิจารณ์
15.10K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
5) Ch.2 (2/4)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter 2 - Part 2-
Title: Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
Story: Sharkbaitsekki (SS)
Translator: KITDS
อาทิตย์ที่ 2 – วันพุธ
คุโร่ชอบที่จะนับจำนวนความสุขในชีวิตของเขา เขาชอบที่มีลูกชายที่แข็งและมีความสุขที่รักเขามาก ชอบที่เคย์ไม่ใช่คนกินจุกกินจิก เพราะฉะนั้นถึงตู้เย็นจะว่างเปล่า เขาก็ไม่เคยบ่น เขาชอบที่เคย์ไม่เคยบ่นที่ถูกดูแลโดยเคนมะบางครั้งบางคราวในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ชอบที่เคย์ไม่เคยบ่นเวลาที่เขาไปรับสาย ชอบที่เคย์พยายาอย่างดีที่สุดที่จะอาบน้ำแต่งตัวด้วยตัวเองและเล่นคนเดียวเมื่อเขารู้ว่าพ่อของเขาเหนื่อยจากการทำงาน ชอบที่เคย์อ่านหนังสือให้เขาฟังเงียบๆ และทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คุโร่สบายใจเลย เพราะมันเหมือนเคย์มองว่าตัวเองเป็นภาระของคุโร่ ในขณะที่ความเป็นจริงชายหนุ่มผมดำยอมแลกทุกอย่างเพื่อทำให้ลูกชายของเขามีความสุข เด็กควรที่จะร่าเริง เอาแต่ใจและช่างสงสัย และคุโร่รู้สึกว่ายิ่งเขาพยายามให้เคย์มากเท่าไหร่ เคย์ก็ปิดกั้นตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
และเขาเกลียดที่มันเป็นแบบนั้น
“ไง พ่อคนเก่ง”เขายิ้มบางขณะที่โผล่หัวเข้าไปในห้องนอนของเขากับเคย์ สภาพภายในห้องยังแปลกตาสำหรับเขา ในเมื่อลิ้นชัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงเสื้อผ้าและตู้เสื้อผ้าของคุโร่จะอยู่ภายในห้องที่มีเตียงและเครื่องใช้ของเคย์ เขาก็นอนอยู่ที่เบาะในห้องนั่งเล่นตอนกลางคืน
ลูกชายของเขาเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเบิกกว้างเป็นเชิงสงสัยหลังแว่นอันใหญ่ของเขา มือหยุดเล่นกับตัวต่อของเขา
แล้วเขาก็ยิ้มกว้าง
“พ่อฮะ ดูสิ ผมสร้างหอคอยด้วยล่ะ!”เขาบอกอยางภาคภูมิใจ และคุโร่ก็อดไม่ได้ที่หลุดยิ้มออกมาถึงหน้าเขาจะรู้สึกชาจากเวลาอันยาวนานที่ที่ทำงาน
“มันสีสันสดใสมากเลย มีอะไรอยู่ในนั้นล่ะ?”เขาถาม ชอบที่ดวงตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายขณะที่เขาเตรียมคำตอบ
“อืม... ยอดมนุษย์อยู่ตรงส่วนนี้”เขาชี้ไปที่หอคอย “และตรงนี้ก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ยอดและสวนสาธารณะที่ก้น และที่รับเลี้ยงก็อยู่ตรงนี้ ส่วนพวกเราอาศัยอยู่ตรงนี้”เขาพูดจนจบอย่างภูมิใจ พร้อมช้อนตาขึ้นมองเขา
ยกเว้นเสียแต่ว่าคุโร่ไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลย ฟังเพียงแค่ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของเขา บางครั้งมันยากที่จะเชื่อว่าเขามีลูกที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ และมันก็น่าทึ่งว่าท่าทางของลูกชายเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเวลาอยู่ที่บ้านกับเขา เทียบกับตอนอยู่ข้างนอกในที่สาธารณะ ความใสซื่อของเด็กสามขวบช่างน่าเอ็นดู
“พ่อฮะ”เคย์เบ้หน้า เรียกความสนใจของเขาไปอีกครั้ง “พ่อได้ฟังบ้างรึเปล่าเนี่ย?”
“แน่นอนสิ”คุโร่รีบหลุดออกจากห้วงภวังค์ของเขา “เราอยู่ที่นั่นกันใช่มั้ยล่ะ?”เขาชี้มั่วๆ ไปที่หอคอยและเคย์ก็ดูจะรับได้กับคำตอบของเขา
“ใช่”ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน วางตัวต่อในมือของเขาลง และเงยหน้ามองพ่อของเขาด้วยดวงตาที่ความใสซื่อของเด็กเต็มเปี่ยมอยู่ในนั้นจนน่าเจ็บปวด “พ่อสบายดีนะฮะ?”
และคุโร่ก็ต้องบอกตัวเองว่าเขาทำมันได้ อีกแค่สองปี เคย์ก็จะเข้าอนุบาลและเขาจะลาออกจากงานหนึ่งงาน และมีเวลาอยู่กับลูกของเขามากขึ้น และสามารถนอนหลับทุกคืนได้โดยไม่ต้องสงสัยในทุกการตัดสินใจของตัวเขาเอง แต่ทุกครั้งที่เคย์มองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเหมือนไม่แน่ใจ และเมื่อคุโร่เห็นประกายในตาคู่นั้นหมองลงทุกครั้งที่เขารู้สึกตัวว่าครอบครัวของพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวปกติ มันเหมือนโลกทั้งใบพังครืนลงมา และมันไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถยืดเยื้อจุดจบนั่น และแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงการจะหลีกเลี่ยงมัน
“แน่นอนสิ พ่อสบายดี”แล้วเขาก็ยืดกล้ามเนื้อบนใบหน้าเขา เหมือนจะฉีกพวกมันออกขณะที่เขายิ้มกว้างและบ่อตัวลงพร้อมอ้าแขนกว้าง “ลูกรู้มั้ย ลูกดูตัวสูงขึ้นนะ ลูกขึ้นว่าลูกแข็งแรงขึ้นด้วยรึเปล่า? พ่ออยากจะรู้จัง”
“แน่นอนสิ”เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทำแก้มป่อง เท้าสวมถุงเท้าสงเสียงกับพื้นไม้แข็งขณะที่เขาวิ่งมาหาคุโร่แล้วโผเข้ากอดรอบไหล่ของเขาและกอดแน่น
“โอ้ ลูกแข็งแรงขึ้นจริงด้วย”คุโร่หัวเราะพลางกอดอีกฝ่ายตอบ “แต่พ่อแข็งแรงกว่านะ!”
“ไม่ใช่ซะหน่อย”เคย์ประท้วง กอดเขาแน่นขึ้นจนคุโร่รู้สึกได้ว่าแขนของเขาสั่น และเขาเกยคางกับบ่าของเคย์ก่อนจะปล่อยให้รอยยิ้มของเขาจางหายไป
เขาแค่เหนื่อยมากจริงๆ
“เคย์ รู้ว่าพ่อรักลูกช่ะ?”เขาพึมพำ ก่อนจะระลึกได้ว่าคำรวบ*ที่เขาเพิ่งพูดไปอาจจะฟังไม่รู้เรื่องหลังจากที่เขาพูดจบ
แต่เคย์เข้าใจ เขาเข้าใจเสมอ เด็กที่ฉลาดคนนี้
“ผมรักพ่อเหมือนกันฮะ”เขาตอบกลับมาด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย
คุโร่กอดแน่นชึ้น แต่ก็แค่เล็กน้อย พอที่จะรู้สึกถึงอาการปวดตามแขนขาของเขาและในหัวใจของเขากับความคิดที่เขาเพิ่งเสียคนที่สำคัญมากคนหนึ่งของเขาไป แต่แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้งและผละออก
“เอาล่ะ สำหรับมือเย็น คืนนี้เรามีพาสต้าเหลือจากเมื่อวาน แต่ไม่ต้องห่วงไป! พ่อจะไปซื้อของพรุ่งนี้”เขายืนยันและดีใจที่เห็นเคย์พยักหน้า
“ผมได้ไปด้วยมั้ย”เขาถามและคุโร่ก็พยักหน้า รู้ว่าลูกชายของเขามีความชอบแปลกๆ กับซุปเปอร์มาร์เก็ต บางทีอาจจะเป็นสีสันและกลิ่นที่หลากหลาย จากที่หนังสือพัฒนาการลูกน้อย 101 บอกมา
ถ้าเพียงแค่เขามีหนังสือเกี่ยวกับการทำให้ลูกของเขามีความสุขสบาย101ล่ะก็นะ แต่เขาก็ไม่คิดว่าหนังสือแบบนั้นจะมีอยู่บนโลกหรอก เขาคงจะต้องลงมือเขียนมันด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าแค่เวลาหายใจเขาก็แทบจะไม่มีอยู่แล้วก็ตาม
“โอเค!”เขาสรุป ทันทีทันใดเขาจู่โจมท้องของเคย์ด้วยนิ้วของเขาและยิ้มกริ่มเมื่อเด็กผมบลอนด์สะดุ้งด้วยความตกใจแล้วลงไปนอนกับพื้น หัวเราะไม่หยุด “ไปกันเถอะ! พาสต้ามันไม่อุ่นตัวเองหรอกนะ!”
“ผมจะไปถึงห้องครัวก่อนพ่อแน่”เคย์ยิ้มสดใส ลุกขึ้นแล้ววิ่งผ่านคุโร่ออกนอกประตูไป
ชายหนุ่มผมดำมองเขาวิ่ง ฟังเสียงก้าวเท้าของเท้าเล็กๆ นั่นและยิ้มเศร้าให้กับตัวเอง พิงกับพนักประตูเพื่อพักหายใจ
+++++++++++++
โนยะเกือบจะกลืนข้าวเย็นอยู่แล้วในตอนนี้ และไดจิก็ไม่มั่นใจว่าจะหยุดเขายังไง อย่างน้อยเขาก็ดูเหมือนจะเคี้ยวบ้างและไม่โยนเศษอาหารเล่นบนโต๊ะ
“นี่ ยู มีโอกาสที่ลูกจะกินช้าลงบ้างมั้ย?”เขาถาม ถอนหายใจอย่างหมดหวังขณะที่มองลูกชายเขาเลือกระหว่างมันฝรั่งบดกับแครอทหั่นอย่างเอร็ดอร่อย
“ผมหิว”เด็กชายผมดำตอบกลับ เสียงอู้อี้จากอาหารที่ยังคงเคี้ยวอยู่ในปาก
“กลืนให้เรียบร้อยก่อนจะพูดสิ ยู”ไดจิเตือน และลูกชายของเขาก็พยักหน้า กลืนข้าวคำนั้นก่อนถอนหายใจอย่างพอใจ “อาหารมันไม่หนีลูกไปไหนหรอกนะ รู้มั้ย”
“ผมรู้! มันไม่มีขานี่นา”โนยะให้เหตุผลอย่างภูมิใจ ก่อนจะหยิบมะเขือเทศราชินีขึ้นมาด้วยมือเปล่าเพื่อกินมัน “ผมอยากจะออกไปเล่นอ่ะ!”
“พ่อไม่ให้ลูกเล่นเพราะลูกกินข้าวเสร็จไวหรอกนะ และใช้ส้อมเวลาหยิบอาหารด้วยนะ”
“โอยยย ทำไมอ่ะครับ?”เด็กชายส่งเสียงประท้วง “ผมอยากเล่นบอล! พ่อจะเล่นกับผมมั้ย? หรือตัวต่อดี? มาสร้างปราสาทกันเถอะครับ!”
บางทีไดจิก็รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับกำแพงอยู่ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“ไม่ โนยะ เราจะไม่เล่นเพราะลูกจะต้องเตรียมตัวเข้านอนได้แล้ว พ่อจะให้เล่นอะไรเบาๆ ถ้าลูกทำตัวดี อย่างอ่านหนังสือหรืออะไร”เขาพยายาม ถึงในใจจะรู้ดีว่าคำตอบคืออะไรก่อนที่จะได้ยินมัน
“แต่หนังสือมันน่าเบื่ออ่ะ! ผมอยากจะสร้างของมากกว่า”เด็กน้อยงอนแก้มป่องพลางกอดอกไม่พอใจ
“อืม...”เด็กชายกัดปากอย่างชั่งใจ เหมือนชะตาของโลกขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้ “ก็ได้ แต่ผมอยากได้เรื่องที่มีคาวบอย นะครับ!”
“ตามที่ลูกต้องการเลย”ชายหนุ่มผมดำหัวเราะเบาๆ ดีใจที่ลูกชายเขาเรื่องมากน้อยกว่าปกติเย็นนี้ “เอาล่ะ ตอนนี้กินถั่วลันเตาบนจานลูกแล้วเราจะไปล้างมือกัน”
“อื้ม”เด็กชายพยักหน้าก่อนจะดันๆ ถั่วในซอสมะเขือเทศใส่ช้อนของเขาแล้วตักเข้าปากคำโตและใช้อีกมือหนึ่งที่เปื้อนแล้วเพื่อกันไม่ให้อาหารหกออกจากปาก
“ยู นั่นมันไม่ดีเลยนะ อย่ากินข้าวด้วยมือสิ”ไดจิบ่น ลุกขึ้นแล้วหยิบทิชชูเพื่อเช็ดคราบซอสออกจากใบหน้าเปื้อนยิ้มและมือเล็กๆ ของเขา
แต่หลังจากนั้นที่อ่างล้างหน้า การจะเอาคราบซอสและเศษอาหารออกจากตัวเขาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง (และให้ตายเถอะ เสื้อของเขาคงเป็นคราบฝังลึกไปตลอดแน่) ยิ่งโนยะชอบดิ้นหนีด้วยแล้ว แต่ก็เหมือนกับความเข้มงวดของเขา มือของไดจิก็จับโนยะไว้อย่างแน่นหนา เขาช่วยลูกชายเขาแปรงฟัน (“แต่ก็แค่นิดหน่อย เพราะผมโตแล้วนะ!”) เตือนเขาให้พยายามเข้าห้องน้ำเวลาปวดแล้วพาเขาไปที่ห้องนอน
ยูเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนในเวลาไม่นาน และเดินออกไปหยิบหนังสือนิทานขากชั้นหนังสือในห้องของเขา ไดจิใช้เวลานั้นเพื่อทำความสะอาดห้องครัวและทำอาหารกลางวันเตรียมไว้สำหรับโนยะในวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกเหนื่อยแต่ลูกชายเขาก็จะเข้านอนในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า และตอนนั้นเขาก็จะมีเวลาสำหรับผ่อนคลาย (ถ้าคืนนี้โนยะตัดสินใจที่จะนอนทันทีหลังจากขึ้นเตียง)
เขารีบล้างจานจนเสร็จพอดีกับที่หันไปเจอโนยะโผล่หน้าเข้ามาทางประตูห้องครัว หนังสือในมือข้างหนึ่งและผ้าห่มในมืออีกข้าง เขาดูเหมือนจะตื่นเต้นซึ่งไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ แต่ประกายความตื่นเต้นในดวงตาคู่นั้นไม่เคยพลาดที่จะทำให้ไดจิใจอ่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“แล้วลูกเลือกเล่มเกี่ยวกับคาวบอยมารึเปล่าเอ่ย?”เขาถามพลางเช็ดมือของเขาให้แห้งแล้วเดินไปหาลูกชายเขา
“ไม่ แต่ผมอยากได้เล่มที่มีเค้กอยู่ด้วย!”โนยะบอก ยื่นหนังสือที่หน้าปกเขียนว่า ‘งานเลี้ยงวันเกิดแสนอลังการของช้างเอลลี่’ให้ไดจิดู
“ก็จริง”ไดจิบอก ทำเสียงคำรามขณะที่เขาอุ้มลูกชายเขาขึ้นมาทำให้ลูกชายเขาหัวเราะชอบใจ “มันก็ใกล้จะถึงวันเกิดลูกแล้วด้วย ถ้าพ่อจำไม่ผิด ลูกก็จะสี่ขวบในอีกสิบเจ็ดหลับ”
“สิบเจ็ด?”โนยะขมวดคิ้ว พยายามจะนับเลขในใจ “มันเท่าไหร่อ่ะครับ?”
“ลูกนับได้ถึงยี่สิบนะ ยู ลูกเป็นเด็กฉลาด”ไดจิให้กำลังใจ วางเขาลงกับเบาะนั่งแล้วนั่งลงข้างๆ กัน “เอานี่ ลูกใช้นิ้วพ่อนับด้วยก็ได้นะ”
“โอเค... หนึ่ง สอง สาม สี่...”โนยะเริ่มนับ ผ่านเลขหนึ่งถึงแปดไปอย่างรวดเร็วด้วยการนับนิ้วของไดจิและค่อยๆ ช้าลงเมื่อเขาพยายามจะดึงสิ่งที่อยู่ในความทรงจำออกมา แต่ถึงโนยะจะหยุดอยู่ที่เลขสิบเอ็ด (“สิบหนึ่ง!” “สิบเอ็ด โนยะ”) แล้วเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาเพื่อถามคำตอบ ไดจิก็เงียบ ในที่สุดเด็กน้อยที่นึกออกแล้วนับต่อไปจนถึงเลขยี่สิบ ที่ที่เขาหยุดอย่างภาคภูมิใจ “ผมนับถึงยี่สิบแล้ว!”
“เก่งมาก เห็นมั้ย? มันอีกไม่กี่วันเอง น้อยกว่าจำนวนนิ้วของพ่อกับลูกรวมกันซะอีก”ไดจิหัวเราะและด้วยอะไรบางอย่าง มันทำให้เด็กชายตื่นเต้นมากขึ้นด้วย
“มันจะต้องเป็นปาร์ตี้ที่สนุกมาก ผมอยากได้เค้กแบบนี้”เขาบอกแล้วดันหนังสือให้พ่อของเขา
“เราจะไปเดินดูเค้กด้วยกันที่ร้านเค้กและลูกเลือกชิ้นที่ลูกอยากได้”พ่อของเขายิ้มอย่างเอาใจ พลางหยิบหนังสือไป “แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนเราจะเริ่มกัน เราจะต้องทำอีกอย่างหนึ่งก่อน...”
“อะไรหรอครับ?”โนยะแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่สีหน้ารู้สึกผิดก็ฉายชัด
“ยาพ่นของลูก ยู เราจะต้องพ่นยาให้ลูกก่อนนิทานก่อนนอนนะ”ไดจิเลิกคิ้วเป็นเชิงรู้ทันให้เขา เขาเองก็ไม่ได้ชอบการที่ลูกจะต้องคอยพ่นยาพอๆ กัน “ไปเอาที่พ่นจากห้องของลูกนะ ส่วนพ่อจะเตรียมตัวเล่านิทานให้ลูกฟัง”
“แต่พ่อครับ ผมไม่อยากพ่นยาเลยอ่ะ”ยูโอดครวญเสียงดัง ถึงไดจิจะรู้อารมณ์ที่แตกต่างไปผ่านเสียงโอดครวญของเขา แต่เขาก็บอกได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเครียดสำหรับลูกของเขา
“พ่อรู้ ลูก แต่มันจำเป็นนะ มันช่วยให้ลูกหายใจได้ง่ายขึ้น ลูกก็รู้เรื่องนั้นอยู่แล้วนี่”เขาถอนหายใจ พยายามยิ้มให้ลูกของเขา ขัดกับความโศกเศร้าที่เข้าเกาะกุมหัวใจ (และบางทีอาจจะผสมปนไปด้วยความโกรธ เพราะลูกของเขาไม่สมควรจะได้รับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย)
“ก็ได้ฮะ”โนยะถอนหายใจ กระโดดลงจากเบาะนั่ง และวิ่งไปที่ห้องของเขา ไดจิมองไปวิ่งออกไปและลูบหน้าของเขาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนจะกลับมายิ้มเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของลูกชายเขาวิ่งเข้ามาหา
เด็กน้อยผมดำวางยาพ่นสองอันของเขา อันหนึ่งสีม่วง อันหนึ่งสีฟ้าและกระบอกพ่นยาลงบนตักของไดจิ ก่อนจะปีนเบาะขึ้นไปนั่งข้างๆ พ่อเขา
“เริ่มเลยลูก เหมือนที่นางพยาบาลใจดีที่คลินิกทำให้ลูกดูบ่อยๆ ไง”ไดจิให้กำลังใจ เขย่าที่พ่นสีม่วงอย่างกระตือรือร้นก่อนจะวางมันลง เขาดีใจที่เห็นลูกชายเขาพยักหน้าเบาๆ และหยิบอันสีม่วงขึ้นมาต่อมันกับกระบอกพ่นยาเหมือนที่เขาเห็นหลายๆ ครั้งจากนางพยาบาลที่คลินิกเวลาที่พวกเขาไปตามนัดเพื่อตรวจสุขภาพ ตามขั้นตอนแล้วเขาจะต้องเป็นคนเตรียมให้ลูก แต่เขาอยากให้ยูสามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง หวังลึกๆ ว่ามันจะช่วยให้ยูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และรู้วิธีทำที่ถูกต้องหากเขาเกิดไม่อยู่ด้วยขึ้นมา
เขามองลูกชายอย่างระมัดระวัง และสวมหน้ากากหายใจที่ต่ออยู่กับกระบอกพ่นยาให้ลูกชายเขาและจับมันไว้นิ่ง
“พร้อมนะ?”ไดจิถาม ในมือถือหลอดยาพ่น เมื่อโนยะพยักหน้าเขาก็กดยาหนึ่งครั้งและมองลิ้นเปิดปิดเล็กๆขยับตามจังหวะการหายใจของลูกชายเขา เขารอจนโนยะหายใจอีกประมาณหกฟอดก่อนจะกดยาอีกครั้งหนึ่ง นับต่อไปอีกหกครั้งก่อนจะถอดหน้ากากออก
“เราอ่านนิทานได้รึยังครับ?”โนยะถามทันทีที่ไดจิเอาหน้ากากออกไปและถอดเก็บอุปกรณ์
“เกือบแล้ว ก่อนอื่น ลูกต้องบอกพ่อก่อนว่าที่พ่นสีฟ้าไว้ใช้ทำอะไร”ไดจิบอก
“ผมบอกพ่อก่อนนิทานก่อนนอนทุกครั้งเลยนะฮะ!”โนยะทำแก้มป่องพลางกอดอก
“พ่อขี้ลืมไง แล้วลูกก็ฉลาดมากด้วย พ่อก็เลยคาดหวังให้ลูกจำแทนพ่อไง”ไดจิหัวเราะเบาๆ พลางยีหัวลูกชายที่ตามมาด้วยเสียงโวยวายประท้วง
“โอเคครับ โอเค อันสีฟ้าสำหรับเวลาที่หายใจลำบากกะทันกันแล้วมันจะทำให้หายใจง่ายขึ้น”
“ดีมาก แล้วลูกต้องทำยังไงกับมันบ้างหรอ?”
“ไปหาผู้ใหญ่พร้อมกับยาพ่นแล้วเขาจะช่วยผมใช้มัน”โนยะตอบเหมือนที่เขาตอบทุกๆ คืน และไดจิก็ดีใจที่ถึงเขาจะออกไปจากซื่อบื้อ แต่ความจำเกี่ยวกับเรื่องสำคัญแบบนี้ยังคงดีอยู่
เขาถูกตรวจพบว่าเป็นหอบหืดเมื่อครึ่งปีก่อน และเขาก็รับมือกับมันได้ดีมาจนถึงตอนนี้ด้วยตัวเขาเอง ดีมากจนเขาอาการกำเริบเพียงแค่สองครั้งหลังจากเริ่มให้ยา
“ดีมาก พ่อจำได้แล้ว เก่งมากลูก”ไดจิยื่นมือออกไปและโนยะก็ยิ้มกว้าง แตะมือพ่อเขาด้วยสองมือคู่เล็ก
“โอเค โอเค! นิทานล่ะฮะ!”เขาเร่ง หลังจากที่คุยเรื่องเกี่ยวกับหอบหืดและยากับเด็กสามขวบย่างสี่ขวบ
เหมือนทุกที ไดจิรวบเขาเข้ามาใกล้และห่มเขาด้วยผ้าห่มผืนโปรด ก่อนจะอ้อมมือกอดโนยะจากด้านหลังและถือหนังสือระหว่างพวกเขา โนยะเอนตัวพิงพ่อเขา ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นสีสันบนหน้าหนังสือ และฮัมเสียงอย่างพอใจเป็นระยะๆ เมื่อไดจิเลียนเสียงสัตว์ตัวต่างๆ ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของเจ้าช้างเอลลี่
มันมีทั้งอาหาร เพลง เรือกลไฟและลูกโป่งมากมาย และเรื่องราวที่แสนขบขันนี้ก็ดึงความสนใจของโนยะไว้ได้จนจบเรื่อง โดยที่เขามีแทรกขึ้นมาแค่ครั้งเดียวระหว่างเล่า (“ทำไมปลาหมึกแซมมี่ถึงไม่มีกางเกงหรอฮะ?” “เอ่อ..เขามีขาเยอะเกินไป เขาก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้มันล่ะมั้ง?”) ตอนจบของนิทานก็แสนหวาน เมื่อเพื่อนสนิทของเอลลี่โผล่ออกมาจากเค้กและร้องเพลงวันเกิดให้ฟัง และโนยะก็ร้องคลออย่างกระตือรือร้น หัวเราะคิกคักเมื่อไดจิปิดหนังสือ
“อีกเรื่อง!”เขาบอกทันทีที่นิทานจบลงและไดจิก็หัวเราะพลางยีหัวเขาอย่างเอ็นดู
“หนึ่งคืนหนึ่งเรื่องเท่านั้นนะ ยู คุณบันนอนอยู่ในเตียงและคิดถึงลูกจะแย่อยู่แล้ว ลูกควรไปหาเขาได้แล้วนะ”ไดจิเสนอ วางหนังสือลงและโนยะขึ้นมาเมื่อไม่มีการขัดขืนอะไร
“พ่อคิดว่าคุณบันอยากที่จะซ่อนในเค้กของผมแล้วร้องเพลงให้ผมในงานวันเกิดมั้ยฮะ?”โนยะถาม ใจจดจ่อทุกครั้งที่พูดถึงตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดของเขา เขาเตะเท้าไปมาอย่างตื่นเต้นขณะที่ฮัมเพลงวันเกิด ไดจิหัวเราอีกครั้งก่อนจะพาโนยะขึ้นเตียง
“คุณบันเป็นกระต่ายที่เงียบมาก แต่พ่อเชื่อว่าเพื่อนๆ ของลูกจะร้องเพลงให้ลูกแทนแน่นอน”ไดจิยืนยัน ดีใจที่โนยะรับคำตอบนั้นได้และขยับตัวหาท่านอนที่สบายตัวพร้อมตุ๊กตาในอ้อมแขนเขา
“ผมจะบอกเพื่อนๆ ที่สถานรับเลี้ยงว่าผมจะจัดปาร์ตี้!”เขาบอกอย่างตื่นเต้น
“มันยังเร็วไปหน่อยนะพ่อว่า แต่ถ้าลูกต้องการ เรามาเริ่มคิดกันว่าจะทำอะไรในงานเลี้ยงบ้างและเราจะชวนใครมาบ้างอาทิตย์หน้าดีมั้ย?”ไดจิเสนอ
“อาทิตย์หน้า? ไกลขนาดนั้นเลยหรอฮะ?”โนยะถาม ดวงตากลมโตสะท้อนแสงไฟจากทางเดินนอกห้อง
“ไม่ ไม่ อีกแค่สี่คืน ถ้าลูกไม่นับวันนี้น่ะนะ” วันจันทร์เป็นวันที่ดีสำหรับไดจิเพราะเขาจะเลิกงานไวกว่าวันอื่นๆ และเขาสามารถที่จะไปรับลูกชายและเริ่มวางแผนจัดงานเลี้ยง
“เย้! ผมรอไม่ไหวเลย! ผมอยากได้เค้ก แล้วก็ลูกโป่ง แล้วก็ของขวัญ!”โนยะดิ้นดุกดิกไปมาในเตียง หัวเราะคิกคักตอนที่ไดจิโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากเอาและห่มผ้าให้เขาดีๆ
“จริงหรอ? แล้วลูกอยากได้อะไรเป็นของขวัญมากที่สุดล่ะ?”ไดจิถามพร้อมยิ้มกว้าง เตรียมตัวพร้อมกับลิสต์ของขวัญที่น่าจะยาว
แต่ลูกชายของเขากลับหยุดคิดไปพัหหนึ่งและเอานิ้วชี้แตะปาก แล้วครางในลำคออยู่ห้าวิ สิบวิ สิบห้าวิ....ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองพ่อของเขา ดวงตาเป็นประกายสุกใสและไร้เดียงสาเหมือนทุกครั้งก่อนจะยิ้มกริ่ม
“ผมอยากที่จะไม่ป่วยอีกต่อไปล่ะ!”
และไดจิก็รู้สึกเหมือนพื้นใต้เท้าเขาถล่มทรุดลงไปขณะที่เขารู้สึกจุกในอก และเมื่อเสียงวิ๊งๆ ในหูเขาหายไป เขาก็รู้สึกตัวว่ามือของเขาสั่นอยู่
“โอ้ ยู... ยู ลูกรักของพ่อ”เขาพึมพำ คุกเข่าลงอยู่ในระดับสายตาของลูกชายเขาและเอื้อมมือไปลูบมือนิ่มๆ ของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แต่โนยะก็มองมาที่เขาด้วยความสับสน และ ณ จุดจุดนี้ ไดจิพยายามปลอบใจตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด
“พ่อฮะ...?”
“พ่อรักลูกนะ”ไดจิพูดออกมา หลับตาลงขณะที่โน้มจูบมือที่เล็กกว่าเด็กทั่วไปของโนยะ หลอกตัวเองเสี้ยววินาทีหนึ่งว่าทุกอย่างไม่เป็นไร
แต่มันไม่ใช่ และลูกชายเขาอยากจะมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงมากกว่าที่เขาอยากจะได้รถบรรทุกของเล่นหรือตัวต่อชุดใหม่ หรือการไปเที่ยวสวนสัตว์ และถ้านั่นไม่ทำให้ใจเขาสลาย ไดจิก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรจะทำได้
“โอเค เราจะพูดเรื่องนี้กันทีหลังนะ”เขาพูดต่อเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งและจับมือโนยะไปซุกไว้ใต้ผ้าห่ม “พ่อจะพาลูกไปที่ร้านของเล่น และบางทีลูกอาจจะเจอของที่ลูกอยากได้”
“ผมขอรถคันใหม่ได้มั้ยฮะ? ผมอยากได้เจ็ดคันเลย!”โนยะร้อง พร้อมที่จะถูกเบนความสนใจทุกเมื่อและไดจิหัวเราะ แม้ว่ามันจะติดเศร้าเมื่อเขาปัดไรผมออกจากใบหน้าของลูกชายเขา (พวกเขาคงจะต้องไปตัดผม โนยะโตเร็วมากในขณะที่เขาไม่ได้โตขึ้นเลยแม้แต่น้อย)
“เดี๋ยวเราค่อยดูกันอีกทีนะ ตอนนี้ได้เวลานอนแล้ว โอเคนะ? แล้วก็ฝันดีล่ะ”ไดจิบอก ก้าวถอยห่างออกมาจากเตียง
“ฝันดีฮะ พ่อ!”โนยะร้องบอกจากบนเตียง และไดจิก็เกือบลืมที่จะเปิดไฟกลางคืนที่ประตูก่อนจะเดินออกมา
แต่เมื่อเขากดสวิตช์ โคมไฟหัวเตียงก็ค่อยเรืองแสงอ่อนไปทั่วห้องของโนยะ และไดจิก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อเตือนสติตัวเองว่าท่ามกลางความมืดจะมีแสงสว่างเสมอ
แต่เขาก็แค่หวังว่าแสงนั้นจะไม่ริบหรี่ขนาดนี้
+++++++++++++
*คำรวบตรงนี้เวลาเป็นภาษาไทยอาจจะไม่ชัดเจนครับ ในภาษาอังกฤษคุโร่พูดว่า” y’know” ที่มาจากคำเต็มว่า “you know” ครับ ซึ่งถ้าผมแปลจริงๆ ต้องเป็น “รู้ใช่มั้ย” แทน“ลูกรู้ใช่มั้ย” แต่มันจะเห็นภาพไม่ชัด ผมเลยแปลตรงส่วน “ใช่มั้ย” เป็น “ช่ะ” แทนเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ (หากรู้สึกว่าเปลี่ยนเป็น”ใช่มั้ย”จะดีกว่าสามารถบอกได้นะครับ)
Title: Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
Story: Sharkbaitsekki (SS)
Translator: KITDS
อาทิตย์ที่ 2 – วันพุธ
คุโร่ชอบที่จะนับจำนวนความสุขในชีวิตของเขา เขาชอบที่มีลูกชายที่แข็งและมีความสุขที่รักเขามาก ชอบที่เคย์ไม่ใช่คนกินจุกกินจิก เพราะฉะนั้นถึงตู้เย็นจะว่างเปล่า เขาก็ไม่เคยบ่น เขาชอบที่เคย์ไม่เคยบ่นที่ถูกดูแลโดยเคนมะบางครั้งบางคราวในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ชอบที่เคย์ไม่เคยบ่นเวลาที่เขาไปรับสาย ชอบที่เคย์พยายาอย่างดีที่สุดที่จะอาบน้ำแต่งตัวด้วยตัวเองและเล่นคนเดียวเมื่อเขารู้ว่าพ่อของเขาเหนื่อยจากการทำงาน ชอบที่เคย์อ่านหนังสือให้เขาฟังเงียบๆ และทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คุโร่สบายใจเลย เพราะมันเหมือนเคย์มองว่าตัวเองเป็นภาระของคุโร่ ในขณะที่ความเป็นจริงชายหนุ่มผมดำยอมแลกทุกอย่างเพื่อทำให้ลูกชายของเขามีความสุข เด็กควรที่จะร่าเริง เอาแต่ใจและช่างสงสัย และคุโร่รู้สึกว่ายิ่งเขาพยายามให้เคย์มากเท่าไหร่ เคย์ก็ปิดกั้นตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
และเขาเกลียดที่มันเป็นแบบนั้น
“ไง พ่อคนเก่ง”เขายิ้มบางขณะที่โผล่หัวเข้าไปในห้องนอนของเขากับเคย์ สภาพภายในห้องยังแปลกตาสำหรับเขา ในเมื่อลิ้นชัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงเสื้อผ้าและตู้เสื้อผ้าของคุโร่จะอยู่ภายในห้องที่มีเตียงและเครื่องใช้ของเคย์ เขาก็นอนอยู่ที่เบาะในห้องนั่งเล่นตอนกลางคืน
ลูกชายของเขาเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเบิกกว้างเป็นเชิงสงสัยหลังแว่นอันใหญ่ของเขา มือหยุดเล่นกับตัวต่อของเขา
แล้วเขาก็ยิ้มกว้าง
“พ่อฮะ ดูสิ ผมสร้างหอคอยด้วยล่ะ!”เขาบอกอยางภาคภูมิใจ และคุโร่ก็อดไม่ได้ที่หลุดยิ้มออกมาถึงหน้าเขาจะรู้สึกชาจากเวลาอันยาวนานที่ที่ทำงาน
“มันสีสันสดใสมากเลย มีอะไรอยู่ในนั้นล่ะ?”เขาถาม ชอบที่ดวงตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายขณะที่เขาเตรียมคำตอบ
“อืม... ยอดมนุษย์อยู่ตรงส่วนนี้”เขาชี้ไปที่หอคอย “และตรงนี้ก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ยอดและสวนสาธารณะที่ก้น และที่รับเลี้ยงก็อยู่ตรงนี้ ส่วนพวกเราอาศัยอยู่ตรงนี้”เขาพูดจนจบอย่างภูมิใจ พร้อมช้อนตาขึ้นมองเขา
ยกเว้นเสียแต่ว่าคุโร่ไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลย ฟังเพียงแค่ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของเขา บางครั้งมันยากที่จะเชื่อว่าเขามีลูกที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ และมันก็น่าทึ่งว่าท่าทางของลูกชายเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเวลาอยู่ที่บ้านกับเขา เทียบกับตอนอยู่ข้างนอกในที่สาธารณะ ความใสซื่อของเด็กสามขวบช่างน่าเอ็นดู
“พ่อฮะ”เคย์เบ้หน้า เรียกความสนใจของเขาไปอีกครั้ง “พ่อได้ฟังบ้างรึเปล่าเนี่ย?”
“แน่นอนสิ”คุโร่รีบหลุดออกจากห้วงภวังค์ของเขา “เราอยู่ที่นั่นกันใช่มั้ยล่ะ?”เขาชี้มั่วๆ ไปที่หอคอยและเคย์ก็ดูจะรับได้กับคำตอบของเขา
“ใช่”ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน วางตัวต่อในมือของเขาลง และเงยหน้ามองพ่อของเขาด้วยดวงตาที่ความใสซื่อของเด็กเต็มเปี่ยมอยู่ในนั้นจนน่าเจ็บปวด “พ่อสบายดีนะฮะ?”
และคุโร่ก็ต้องบอกตัวเองว่าเขาทำมันได้ อีกแค่สองปี เคย์ก็จะเข้าอนุบาลและเขาจะลาออกจากงานหนึ่งงาน และมีเวลาอยู่กับลูกของเขามากขึ้น และสามารถนอนหลับทุกคืนได้โดยไม่ต้องสงสัยในทุกการตัดสินใจของตัวเขาเอง แต่ทุกครั้งที่เคย์มองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเหมือนไม่แน่ใจ และเมื่อคุโร่เห็นประกายในตาคู่นั้นหมองลงทุกครั้งที่เขารู้สึกตัวว่าครอบครัวของพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวปกติ มันเหมือนโลกทั้งใบพังครืนลงมา และมันไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถยืดเยื้อจุดจบนั่น และแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงการจะหลีกเลี่ยงมัน
“แน่นอนสิ พ่อสบายดี”แล้วเขาก็ยืดกล้ามเนื้อบนใบหน้าเขา เหมือนจะฉีกพวกมันออกขณะที่เขายิ้มกว้างและบ่อตัวลงพร้อมอ้าแขนกว้าง “ลูกรู้มั้ย ลูกดูตัวสูงขึ้นนะ ลูกขึ้นว่าลูกแข็งแรงขึ้นด้วยรึเปล่า? พ่ออยากจะรู้จัง”
“แน่นอนสิ”เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทำแก้มป่อง เท้าสวมถุงเท้าสงเสียงกับพื้นไม้แข็งขณะที่เขาวิ่งมาหาคุโร่แล้วโผเข้ากอดรอบไหล่ของเขาและกอดแน่น
“โอ้ ลูกแข็งแรงขึ้นจริงด้วย”คุโร่หัวเราะพลางกอดอีกฝ่ายตอบ “แต่พ่อแข็งแรงกว่านะ!”
“ไม่ใช่ซะหน่อย”เคย์ประท้วง กอดเขาแน่นขึ้นจนคุโร่รู้สึกได้ว่าแขนของเขาสั่น และเขาเกยคางกับบ่าของเคย์ก่อนจะปล่อยให้รอยยิ้มของเขาจางหายไป
เขาแค่เหนื่อยมากจริงๆ
“เคย์ รู้ว่าพ่อรักลูกช่ะ?”เขาพึมพำ ก่อนจะระลึกได้ว่าคำรวบ*ที่เขาเพิ่งพูดไปอาจจะฟังไม่รู้เรื่องหลังจากที่เขาพูดจบ
แต่เคย์เข้าใจ เขาเข้าใจเสมอ เด็กที่ฉลาดคนนี้
“ผมรักพ่อเหมือนกันฮะ”เขาตอบกลับมาด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย
คุโร่กอดแน่นชึ้น แต่ก็แค่เล็กน้อย พอที่จะรู้สึกถึงอาการปวดตามแขนขาของเขาและในหัวใจของเขากับความคิดที่เขาเพิ่งเสียคนที่สำคัญมากคนหนึ่งของเขาไป แต่แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้งและผละออก
“เอาล่ะ สำหรับมือเย็น คืนนี้เรามีพาสต้าเหลือจากเมื่อวาน แต่ไม่ต้องห่วงไป! พ่อจะไปซื้อของพรุ่งนี้”เขายืนยันและดีใจที่เห็นเคย์พยักหน้า
“ผมได้ไปด้วยมั้ย”เขาถามและคุโร่ก็พยักหน้า รู้ว่าลูกชายของเขามีความชอบแปลกๆ กับซุปเปอร์มาร์เก็ต บางทีอาจจะเป็นสีสันและกลิ่นที่หลากหลาย จากที่หนังสือพัฒนาการลูกน้อย 101 บอกมา
ถ้าเพียงแค่เขามีหนังสือเกี่ยวกับการทำให้ลูกของเขามีความสุขสบาย101ล่ะก็นะ แต่เขาก็ไม่คิดว่าหนังสือแบบนั้นจะมีอยู่บนโลกหรอก เขาคงจะต้องลงมือเขียนมันด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าแค่เวลาหายใจเขาก็แทบจะไม่มีอยู่แล้วก็ตาม
“โอเค!”เขาสรุป ทันทีทันใดเขาจู่โจมท้องของเคย์ด้วยนิ้วของเขาและยิ้มกริ่มเมื่อเด็กผมบลอนด์สะดุ้งด้วยความตกใจแล้วลงไปนอนกับพื้น หัวเราะไม่หยุด “ไปกันเถอะ! พาสต้ามันไม่อุ่นตัวเองหรอกนะ!”
“ผมจะไปถึงห้องครัวก่อนพ่อแน่”เคย์ยิ้มสดใส ลุกขึ้นแล้ววิ่งผ่านคุโร่ออกนอกประตูไป
ชายหนุ่มผมดำมองเขาวิ่ง ฟังเสียงก้าวเท้าของเท้าเล็กๆ นั่นและยิ้มเศร้าให้กับตัวเอง พิงกับพนักประตูเพื่อพักหายใจ
+++++++++++++
โนยะเกือบจะกลืนข้าวเย็นอยู่แล้วในตอนนี้ และไดจิก็ไม่มั่นใจว่าจะหยุดเขายังไง อย่างน้อยเขาก็ดูเหมือนจะเคี้ยวบ้างและไม่โยนเศษอาหารเล่นบนโต๊ะ
“นี่ ยู มีโอกาสที่ลูกจะกินช้าลงบ้างมั้ย?”เขาถาม ถอนหายใจอย่างหมดหวังขณะที่มองลูกชายเขาเลือกระหว่างมันฝรั่งบดกับแครอทหั่นอย่างเอร็ดอร่อย
“ผมหิว”เด็กชายผมดำตอบกลับ เสียงอู้อี้จากอาหารที่ยังคงเคี้ยวอยู่ในปาก
“กลืนให้เรียบร้อยก่อนจะพูดสิ ยู”ไดจิเตือน และลูกชายของเขาก็พยักหน้า กลืนข้าวคำนั้นก่อนถอนหายใจอย่างพอใจ “อาหารมันไม่หนีลูกไปไหนหรอกนะ รู้มั้ย”
“ผมรู้! มันไม่มีขานี่นา”โนยะให้เหตุผลอย่างภูมิใจ ก่อนจะหยิบมะเขือเทศราชินีขึ้นมาด้วยมือเปล่าเพื่อกินมัน “ผมอยากจะออกไปเล่นอ่ะ!”
“พ่อไม่ให้ลูกเล่นเพราะลูกกินข้าวเสร็จไวหรอกนะ และใช้ส้อมเวลาหยิบอาหารด้วยนะ”
“โอยยย ทำไมอ่ะครับ?”เด็กชายส่งเสียงประท้วง “ผมอยากเล่นบอล! พ่อจะเล่นกับผมมั้ย? หรือตัวต่อดี? มาสร้างปราสาทกันเถอะครับ!”
บางทีไดจิก็รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับกำแพงอยู่ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“ไม่ โนยะ เราจะไม่เล่นเพราะลูกจะต้องเตรียมตัวเข้านอนได้แล้ว พ่อจะให้เล่นอะไรเบาๆ ถ้าลูกทำตัวดี อย่างอ่านหนังสือหรืออะไร”เขาพยายาม ถึงในใจจะรู้ดีว่าคำตอบคืออะไรก่อนที่จะได้ยินมัน
“แต่หนังสือมันน่าเบื่ออ่ะ! ผมอยากจะสร้างของมากกว่า”เด็กน้อยงอนแก้มป่องพลางกอดอกไม่พอใจ
“อืม...”เด็กชายกัดปากอย่างชั่งใจ เหมือนชะตาของโลกขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้ “ก็ได้ แต่ผมอยากได้เรื่องที่มีคาวบอย นะครับ!”
“ตามที่ลูกต้องการเลย”ชายหนุ่มผมดำหัวเราะเบาๆ ดีใจที่ลูกชายเขาเรื่องมากน้อยกว่าปกติเย็นนี้ “เอาล่ะ ตอนนี้กินถั่วลันเตาบนจานลูกแล้วเราจะไปล้างมือกัน”
“อื้ม”เด็กชายพยักหน้าก่อนจะดันๆ ถั่วในซอสมะเขือเทศใส่ช้อนของเขาแล้วตักเข้าปากคำโตและใช้อีกมือหนึ่งที่เปื้อนแล้วเพื่อกันไม่ให้อาหารหกออกจากปาก
“ยู นั่นมันไม่ดีเลยนะ อย่ากินข้าวด้วยมือสิ”ไดจิบ่น ลุกขึ้นแล้วหยิบทิชชูเพื่อเช็ดคราบซอสออกจากใบหน้าเปื้อนยิ้มและมือเล็กๆ ของเขา
แต่หลังจากนั้นที่อ่างล้างหน้า การจะเอาคราบซอสและเศษอาหารออกจากตัวเขาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง (และให้ตายเถอะ เสื้อของเขาคงเป็นคราบฝังลึกไปตลอดแน่) ยิ่งโนยะชอบดิ้นหนีด้วยแล้ว แต่ก็เหมือนกับความเข้มงวดของเขา มือของไดจิก็จับโนยะไว้อย่างแน่นหนา เขาช่วยลูกชายเขาแปรงฟัน (“แต่ก็แค่นิดหน่อย เพราะผมโตแล้วนะ!”) เตือนเขาให้พยายามเข้าห้องน้ำเวลาปวดแล้วพาเขาไปที่ห้องนอน
ยูเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนในเวลาไม่นาน และเดินออกไปหยิบหนังสือนิทานขากชั้นหนังสือในห้องของเขา ไดจิใช้เวลานั้นเพื่อทำความสะอาดห้องครัวและทำอาหารกลางวันเตรียมไว้สำหรับโนยะในวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกเหนื่อยแต่ลูกชายเขาก็จะเข้านอนในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า และตอนนั้นเขาก็จะมีเวลาสำหรับผ่อนคลาย (ถ้าคืนนี้โนยะตัดสินใจที่จะนอนทันทีหลังจากขึ้นเตียง)
เขารีบล้างจานจนเสร็จพอดีกับที่หันไปเจอโนยะโผล่หน้าเข้ามาทางประตูห้องครัว หนังสือในมือข้างหนึ่งและผ้าห่มในมืออีกข้าง เขาดูเหมือนจะตื่นเต้นซึ่งไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ แต่ประกายความตื่นเต้นในดวงตาคู่นั้นไม่เคยพลาดที่จะทำให้ไดจิใจอ่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“แล้วลูกเลือกเล่มเกี่ยวกับคาวบอยมารึเปล่าเอ่ย?”เขาถามพลางเช็ดมือของเขาให้แห้งแล้วเดินไปหาลูกชายเขา
“ไม่ แต่ผมอยากได้เล่มที่มีเค้กอยู่ด้วย!”โนยะบอก ยื่นหนังสือที่หน้าปกเขียนว่า ‘งานเลี้ยงวันเกิดแสนอลังการของช้างเอลลี่’ให้ไดจิดู
“ก็จริง”ไดจิบอก ทำเสียงคำรามขณะที่เขาอุ้มลูกชายเขาขึ้นมาทำให้ลูกชายเขาหัวเราะชอบใจ “มันก็ใกล้จะถึงวันเกิดลูกแล้วด้วย ถ้าพ่อจำไม่ผิด ลูกก็จะสี่ขวบในอีกสิบเจ็ดหลับ”
“สิบเจ็ด?”โนยะขมวดคิ้ว พยายามจะนับเลขในใจ “มันเท่าไหร่อ่ะครับ?”
“ลูกนับได้ถึงยี่สิบนะ ยู ลูกเป็นเด็กฉลาด”ไดจิให้กำลังใจ วางเขาลงกับเบาะนั่งแล้วนั่งลงข้างๆ กัน “เอานี่ ลูกใช้นิ้วพ่อนับด้วยก็ได้นะ”
“โอเค... หนึ่ง สอง สาม สี่...”โนยะเริ่มนับ ผ่านเลขหนึ่งถึงแปดไปอย่างรวดเร็วด้วยการนับนิ้วของไดจิและค่อยๆ ช้าลงเมื่อเขาพยายามจะดึงสิ่งที่อยู่ในความทรงจำออกมา แต่ถึงโนยะจะหยุดอยู่ที่เลขสิบเอ็ด (“สิบหนึ่ง!” “สิบเอ็ด โนยะ”) แล้วเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาเพื่อถามคำตอบ ไดจิก็เงียบ ในที่สุดเด็กน้อยที่นึกออกแล้วนับต่อไปจนถึงเลขยี่สิบ ที่ที่เขาหยุดอย่างภาคภูมิใจ “ผมนับถึงยี่สิบแล้ว!”
“เก่งมาก เห็นมั้ย? มันอีกไม่กี่วันเอง น้อยกว่าจำนวนนิ้วของพ่อกับลูกรวมกันซะอีก”ไดจิหัวเราะและด้วยอะไรบางอย่าง มันทำให้เด็กชายตื่นเต้นมากขึ้นด้วย
“มันจะต้องเป็นปาร์ตี้ที่สนุกมาก ผมอยากได้เค้กแบบนี้”เขาบอกแล้วดันหนังสือให้พ่อของเขา
“เราจะไปเดินดูเค้กด้วยกันที่ร้านเค้กและลูกเลือกชิ้นที่ลูกอยากได้”พ่อของเขายิ้มอย่างเอาใจ พลางหยิบหนังสือไป “แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนเราจะเริ่มกัน เราจะต้องทำอีกอย่างหนึ่งก่อน...”
“อะไรหรอครับ?”โนยะแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่สีหน้ารู้สึกผิดก็ฉายชัด
“ยาพ่นของลูก ยู เราจะต้องพ่นยาให้ลูกก่อนนิทานก่อนนอนนะ”ไดจิเลิกคิ้วเป็นเชิงรู้ทันให้เขา เขาเองก็ไม่ได้ชอบการที่ลูกจะต้องคอยพ่นยาพอๆ กัน “ไปเอาที่พ่นจากห้องของลูกนะ ส่วนพ่อจะเตรียมตัวเล่านิทานให้ลูกฟัง”
“แต่พ่อครับ ผมไม่อยากพ่นยาเลยอ่ะ”ยูโอดครวญเสียงดัง ถึงไดจิจะรู้อารมณ์ที่แตกต่างไปผ่านเสียงโอดครวญของเขา แต่เขาก็บอกได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเครียดสำหรับลูกของเขา
“พ่อรู้ ลูก แต่มันจำเป็นนะ มันช่วยให้ลูกหายใจได้ง่ายขึ้น ลูกก็รู้เรื่องนั้นอยู่แล้วนี่”เขาถอนหายใจ พยายามยิ้มให้ลูกของเขา ขัดกับความโศกเศร้าที่เข้าเกาะกุมหัวใจ (และบางทีอาจจะผสมปนไปด้วยความโกรธ เพราะลูกของเขาไม่สมควรจะได้รับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย)
“ก็ได้ฮะ”โนยะถอนหายใจ กระโดดลงจากเบาะนั่ง และวิ่งไปที่ห้องของเขา ไดจิมองไปวิ่งออกไปและลูบหน้าของเขาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนจะกลับมายิ้มเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของลูกชายเขาวิ่งเข้ามาหา
เด็กน้อยผมดำวางยาพ่นสองอันของเขา อันหนึ่งสีม่วง อันหนึ่งสีฟ้าและกระบอกพ่นยาลงบนตักของไดจิ ก่อนจะปีนเบาะขึ้นไปนั่งข้างๆ พ่อเขา
“เริ่มเลยลูก เหมือนที่นางพยาบาลใจดีที่คลินิกทำให้ลูกดูบ่อยๆ ไง”ไดจิให้กำลังใจ เขย่าที่พ่นสีม่วงอย่างกระตือรือร้นก่อนจะวางมันลง เขาดีใจที่เห็นลูกชายเขาพยักหน้าเบาๆ และหยิบอันสีม่วงขึ้นมาต่อมันกับกระบอกพ่นยาเหมือนที่เขาเห็นหลายๆ ครั้งจากนางพยาบาลที่คลินิกเวลาที่พวกเขาไปตามนัดเพื่อตรวจสุขภาพ ตามขั้นตอนแล้วเขาจะต้องเป็นคนเตรียมให้ลูก แต่เขาอยากให้ยูสามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง หวังลึกๆ ว่ามันจะช่วยให้ยูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และรู้วิธีทำที่ถูกต้องหากเขาเกิดไม่อยู่ด้วยขึ้นมา
เขามองลูกชายอย่างระมัดระวัง และสวมหน้ากากหายใจที่ต่ออยู่กับกระบอกพ่นยาให้ลูกชายเขาและจับมันไว้นิ่ง
“พร้อมนะ?”ไดจิถาม ในมือถือหลอดยาพ่น เมื่อโนยะพยักหน้าเขาก็กดยาหนึ่งครั้งและมองลิ้นเปิดปิดเล็กๆขยับตามจังหวะการหายใจของลูกชายเขา เขารอจนโนยะหายใจอีกประมาณหกฟอดก่อนจะกดยาอีกครั้งหนึ่ง นับต่อไปอีกหกครั้งก่อนจะถอดหน้ากากออก
“เราอ่านนิทานได้รึยังครับ?”โนยะถามทันทีที่ไดจิเอาหน้ากากออกไปและถอดเก็บอุปกรณ์
“เกือบแล้ว ก่อนอื่น ลูกต้องบอกพ่อก่อนว่าที่พ่นสีฟ้าไว้ใช้ทำอะไร”ไดจิบอก
“ผมบอกพ่อก่อนนิทานก่อนนอนทุกครั้งเลยนะฮะ!”โนยะทำแก้มป่องพลางกอดอก
“พ่อขี้ลืมไง แล้วลูกก็ฉลาดมากด้วย พ่อก็เลยคาดหวังให้ลูกจำแทนพ่อไง”ไดจิหัวเราะเบาๆ พลางยีหัวลูกชายที่ตามมาด้วยเสียงโวยวายประท้วง
“โอเคครับ โอเค อันสีฟ้าสำหรับเวลาที่หายใจลำบากกะทันกันแล้วมันจะทำให้หายใจง่ายขึ้น”
“ดีมาก แล้วลูกต้องทำยังไงกับมันบ้างหรอ?”
“ไปหาผู้ใหญ่พร้อมกับยาพ่นแล้วเขาจะช่วยผมใช้มัน”โนยะตอบเหมือนที่เขาตอบทุกๆ คืน และไดจิก็ดีใจที่ถึงเขาจะออกไปจากซื่อบื้อ แต่ความจำเกี่ยวกับเรื่องสำคัญแบบนี้ยังคงดีอยู่
เขาถูกตรวจพบว่าเป็นหอบหืดเมื่อครึ่งปีก่อน และเขาก็รับมือกับมันได้ดีมาจนถึงตอนนี้ด้วยตัวเขาเอง ดีมากจนเขาอาการกำเริบเพียงแค่สองครั้งหลังจากเริ่มให้ยา
“ดีมาก พ่อจำได้แล้ว เก่งมากลูก”ไดจิยื่นมือออกไปและโนยะก็ยิ้มกว้าง แตะมือพ่อเขาด้วยสองมือคู่เล็ก
“โอเค โอเค! นิทานล่ะฮะ!”เขาเร่ง หลังจากที่คุยเรื่องเกี่ยวกับหอบหืดและยากับเด็กสามขวบย่างสี่ขวบ
เหมือนทุกที ไดจิรวบเขาเข้ามาใกล้และห่มเขาด้วยผ้าห่มผืนโปรด ก่อนจะอ้อมมือกอดโนยะจากด้านหลังและถือหนังสือระหว่างพวกเขา โนยะเอนตัวพิงพ่อเขา ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นสีสันบนหน้าหนังสือ และฮัมเสียงอย่างพอใจเป็นระยะๆ เมื่อไดจิเลียนเสียงสัตว์ตัวต่างๆ ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของเจ้าช้างเอลลี่
มันมีทั้งอาหาร เพลง เรือกลไฟและลูกโป่งมากมาย และเรื่องราวที่แสนขบขันนี้ก็ดึงความสนใจของโนยะไว้ได้จนจบเรื่อง โดยที่เขามีแทรกขึ้นมาแค่ครั้งเดียวระหว่างเล่า (“ทำไมปลาหมึกแซมมี่ถึงไม่มีกางเกงหรอฮะ?” “เอ่อ..เขามีขาเยอะเกินไป เขาก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้มันล่ะมั้ง?”) ตอนจบของนิทานก็แสนหวาน เมื่อเพื่อนสนิทของเอลลี่โผล่ออกมาจากเค้กและร้องเพลงวันเกิดให้ฟัง และโนยะก็ร้องคลออย่างกระตือรือร้น หัวเราะคิกคักเมื่อไดจิปิดหนังสือ
“อีกเรื่อง!”เขาบอกทันทีที่นิทานจบลงและไดจิก็หัวเราะพลางยีหัวเขาอย่างเอ็นดู
“หนึ่งคืนหนึ่งเรื่องเท่านั้นนะ ยู คุณบันนอนอยู่ในเตียงและคิดถึงลูกจะแย่อยู่แล้ว ลูกควรไปหาเขาได้แล้วนะ”ไดจิเสนอ วางหนังสือลงและโนยะขึ้นมาเมื่อไม่มีการขัดขืนอะไร
“พ่อคิดว่าคุณบันอยากที่จะซ่อนในเค้กของผมแล้วร้องเพลงให้ผมในงานวันเกิดมั้ยฮะ?”โนยะถาม ใจจดจ่อทุกครั้งที่พูดถึงตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดของเขา เขาเตะเท้าไปมาอย่างตื่นเต้นขณะที่ฮัมเพลงวันเกิด ไดจิหัวเราอีกครั้งก่อนจะพาโนยะขึ้นเตียง
“คุณบันเป็นกระต่ายที่เงียบมาก แต่พ่อเชื่อว่าเพื่อนๆ ของลูกจะร้องเพลงให้ลูกแทนแน่นอน”ไดจิยืนยัน ดีใจที่โนยะรับคำตอบนั้นได้และขยับตัวหาท่านอนที่สบายตัวพร้อมตุ๊กตาในอ้อมแขนเขา
“ผมจะบอกเพื่อนๆ ที่สถานรับเลี้ยงว่าผมจะจัดปาร์ตี้!”เขาบอกอย่างตื่นเต้น
“มันยังเร็วไปหน่อยนะพ่อว่า แต่ถ้าลูกต้องการ เรามาเริ่มคิดกันว่าจะทำอะไรในงานเลี้ยงบ้างและเราจะชวนใครมาบ้างอาทิตย์หน้าดีมั้ย?”ไดจิเสนอ
“อาทิตย์หน้า? ไกลขนาดนั้นเลยหรอฮะ?”โนยะถาม ดวงตากลมโตสะท้อนแสงไฟจากทางเดินนอกห้อง
“ไม่ ไม่ อีกแค่สี่คืน ถ้าลูกไม่นับวันนี้น่ะนะ” วันจันทร์เป็นวันที่ดีสำหรับไดจิเพราะเขาจะเลิกงานไวกว่าวันอื่นๆ และเขาสามารถที่จะไปรับลูกชายและเริ่มวางแผนจัดงานเลี้ยง
“เย้! ผมรอไม่ไหวเลย! ผมอยากได้เค้ก แล้วก็ลูกโป่ง แล้วก็ของขวัญ!”โนยะดิ้นดุกดิกไปมาในเตียง หัวเราะคิกคักตอนที่ไดจิโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากเอาและห่มผ้าให้เขาดีๆ
“จริงหรอ? แล้วลูกอยากได้อะไรเป็นของขวัญมากที่สุดล่ะ?”ไดจิถามพร้อมยิ้มกว้าง เตรียมตัวพร้อมกับลิสต์ของขวัญที่น่าจะยาว
แต่ลูกชายของเขากลับหยุดคิดไปพัหหนึ่งและเอานิ้วชี้แตะปาก แล้วครางในลำคออยู่ห้าวิ สิบวิ สิบห้าวิ....ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองพ่อของเขา ดวงตาเป็นประกายสุกใสและไร้เดียงสาเหมือนทุกครั้งก่อนจะยิ้มกริ่ม
“ผมอยากที่จะไม่ป่วยอีกต่อไปล่ะ!”
และไดจิก็รู้สึกเหมือนพื้นใต้เท้าเขาถล่มทรุดลงไปขณะที่เขารู้สึกจุกในอก และเมื่อเสียงวิ๊งๆ ในหูเขาหายไป เขาก็รู้สึกตัวว่ามือของเขาสั่นอยู่
“โอ้ ยู... ยู ลูกรักของพ่อ”เขาพึมพำ คุกเข่าลงอยู่ในระดับสายตาของลูกชายเขาและเอื้อมมือไปลูบมือนิ่มๆ ของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แต่โนยะก็มองมาที่เขาด้วยความสับสน และ ณ จุดจุดนี้ ไดจิพยายามปลอบใจตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด
“พ่อฮะ...?”
“พ่อรักลูกนะ”ไดจิพูดออกมา หลับตาลงขณะที่โน้มจูบมือที่เล็กกว่าเด็กทั่วไปของโนยะ หลอกตัวเองเสี้ยววินาทีหนึ่งว่าทุกอย่างไม่เป็นไร
แต่มันไม่ใช่ และลูกชายเขาอยากจะมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงมากกว่าที่เขาอยากจะได้รถบรรทุกของเล่นหรือตัวต่อชุดใหม่ หรือการไปเที่ยวสวนสัตว์ และถ้านั่นไม่ทำให้ใจเขาสลาย ไดจิก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรจะทำได้
“โอเค เราจะพูดเรื่องนี้กันทีหลังนะ”เขาพูดต่อเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งและจับมือโนยะไปซุกไว้ใต้ผ้าห่ม “พ่อจะพาลูกไปที่ร้านของเล่น และบางทีลูกอาจจะเจอของที่ลูกอยากได้”
“ผมขอรถคันใหม่ได้มั้ยฮะ? ผมอยากได้เจ็ดคันเลย!”โนยะร้อง พร้อมที่จะถูกเบนความสนใจทุกเมื่อและไดจิหัวเราะ แม้ว่ามันจะติดเศร้าเมื่อเขาปัดไรผมออกจากใบหน้าของลูกชายเขา (พวกเขาคงจะต้องไปตัดผม โนยะโตเร็วมากในขณะที่เขาไม่ได้โตขึ้นเลยแม้แต่น้อย)
“เดี๋ยวเราค่อยดูกันอีกทีนะ ตอนนี้ได้เวลานอนแล้ว โอเคนะ? แล้วก็ฝันดีล่ะ”ไดจิบอก ก้าวถอยห่างออกมาจากเตียง
“ฝันดีฮะ พ่อ!”โนยะร้องบอกจากบนเตียง และไดจิก็เกือบลืมที่จะเปิดไฟกลางคืนที่ประตูก่อนจะเดินออกมา
แต่เมื่อเขากดสวิตช์ โคมไฟหัวเตียงก็ค่อยเรืองแสงอ่อนไปทั่วห้องของโนยะ และไดจิก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อเตือนสติตัวเองว่าท่ามกลางความมืดจะมีแสงสว่างเสมอ
แต่เขาก็แค่หวังว่าแสงนั้นจะไม่ริบหรี่ขนาดนี้
+++++++++++++
*คำรวบตรงนี้เวลาเป็นภาษาไทยอาจจะไม่ชัดเจนครับ ในภาษาอังกฤษคุโร่พูดว่า” y’know” ที่มาจากคำเต็มว่า “you know” ครับ ซึ่งถ้าผมแปลจริงๆ ต้องเป็น “รู้ใช่มั้ย” แทน“ลูกรู้ใช่มั้ย” แต่มันจะเห็นภาพไม่ชัด ผมเลยแปลตรงส่วน “ใช่มั้ย” เป็น “ช่ะ” แทนเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ (หากรู้สึกว่าเปลี่ยนเป็น”ใช่มั้ย”จะดีกว่าสามารถบอกได้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ