Sterek Fic : Are We Good?
10.0
เขียนโดย SorryzZ
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.23 น.
2 chapter
1 วิจารณ์
12.12K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 16.28 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
2) - Almost Sleepless Night -
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ - Are We Good? -
Author : SorryzZ
Pairing : Sterek (Stiles Stilinski/Derek Hale)
Category : M/M, Romantic Comedy
Tags : Alternate Universe - Canon Divergence, Bodyswap, Romantic, Comedy, Sharing a bed
Notes : พาร์ทนี้แอบติดเรทเล็กน้อยนะคะ
“ไม่”
“หลีก”
“เอ๊ นี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึยังไง บอกว่าไม่ก็คือไม่สิ”
“สไตลส์...” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนใกล้หมดความอดทน “บอกให้หลีก”
“โทษทีว่ะเพื่อน แต่นายกำลังยืนอยู่ในห้องฉัน เข้าใจมั้ย ห้องฉัน กฏของฉัน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างวางอำนาจ ดวงตาสีชาจับจ้องเป้าหมายสูงเกือบหกฟุตที่ยืนอยู่กลางห้องนอนด้วยความเด็ดเดี่ยว หมายจะประกาศให้รู้กันเลยไปว่าใครเหนือกว่าใคร “และฉันต้องได้นอนบนเตียง”
เอาจริงๆแล้ว... สไตลส์พบว่านี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระเอามากๆ
คือ... มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาเถียงกันเรื่องที่นอนเลย เข้าใจเปล่า ตีหนึ่งอ่ะ ตอนนี้มันเป็นเวลาตีหนึ่งอ่ะ ขีดเส้นใต้หนาๆที่คำว่าตีหนึ่ง รู้มั้ยมันหมายความว่าอะไร มันแปลว่าพรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือ และทุกวินาทีที่เสียไปเท่ากับการพักผ่อนที่น้อยลง เพราะงั้นช่วยให้ความร่วมมือกับอนาคตของชาติหน่อยได้ไหมครับไอ้หมาป่า เขารึภอุตส่าห์ปูฟูกให้นอนอย่างดี แถมเสียสละผ้าห่มฟูๆให้อีกต่างหาก แต่ไอ้การออกคำสั่งอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้านว่า ‘ไม่ ฉันจะนอนบนเตียง’ นั่นคืออะไร มาอาศัยห้องคนอื่นแล้วยังทำตัวเป็นภาระอีก คิดว่าอยู่ในร่างสก็อตแล้วจะทำตามอำเภอใจได้งั้นเหรอ?
สไตลส์ยืนจังก้าแบบไม่กลัวตาย ถ้าไม่เรียกว่าใจกล้าก็ต้องบอกว่าคิดสั้น ในเมื่อตรงหน้าคืออัลฟ่าที่กำลังหัวเสีย ซึ่งมีฟังก์ชั่นกรงเล็บแบบชาวร็อคและเขี้ยวที่หนาขนาดเท่านิ้วก้อยไว้เป็นอาวุธในการต่อรอง ในขณะที่ตัวเขามีเพียงผ้าเช็ดผมชื้นๆผืนเดียวที่ขนาดเอาไปตบแมลงวันมันยังไม่ตาย
แม้อนาคตของศึกครั้งนี้จะดูเหมือนแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แต่จะให้ทำยังไง
ก็ถ้าเขาไม่ได้นอนบนเตียงกับหมอนใบโปรด... เขาจะฝันร้ายน่ะสิ
“ฉันเป็นแขก” เดเร็กเอ่ยห้วนๆตามประสาคนพูดน้อยต่อยหนัก หากผนวกเข้ากับสีหน้าอึมครึมนั่นด้วยแล้ว ประโยคนี้สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งนั่นครอบคลุมไปถึง แล้วไง? เจ้าของบ้านต่างหากที่สมควรระเห็จไปนอนบนพื้น และ ทำไมถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ สไตลส์ เป็นต้น “นาย... หลีก”
“ไม่หลีก” ให้ตายก็ไม่หลีก ทำไมต้องหลีก นี่มันห้องเขานะเฮ้ย ทำไมเขาต้องเสียสละไปนอนบนพื้นด้วย แค่ยกผ้านวมอุ่นๆให้นั่นก็นับว่าใจดีแค่ไหนแล้ว รู้ไหมเขาเหลือแค่ผ้าห่มบางๆผืนเดียวเองนะ ทำไมเดเร็กไม่หัดสำนึกในบุญคุณครั้งนี้แล้วยอมล่าถอยไปแต่โดยดี เขาไม่อยากเหนื่อยเถียงแล้วเข้าใจไหม ง่วงก็ง่วง เพลียก็เพลีย แต่ที่ยังยืนกรานปฏิเสธอยู่นี่เพราะมันมีความจำเป็นจริงๆหรอกจะบอกให้ “ฉันต้องได้นอนบนเตียง ไม่งั้น... ไม่งั้น -- ”
สไตลส์อ้าปากพะงาบๆ มองล่อกแล่กซ้ายทีขวาทีเหมือนพยายามนึกหาเหตุผลที่ฟังขึ้น ด้วยเพราะไม่กล้าพูดตรงๆว่าติดหมอน ลูกไม้ถนัดอย่างการแถสดจึงถูกหยิบมาใช้อย่างเสียมิได้
“-- คือ... ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังน่ะ” เจ้าของห้องชูมือไม้ขึ้นในอากาศประกอบการอธิบาย งัดเอาทักษะการแสดงที่หาดูได้ในละครลิงขึ้นมาใช้แบบทุ่มสุดตัว “แบบว่า... ถ้าไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มๆแล้วกระดูกมันจะเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท แบบ -- อัมพาตกะทันหัน รุนแรงมาก... ขยับตัวไม่ได้เลย -- ”
“นายโกหก” เดเร็กพูดสวนกลับมาโดยที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนสักนิด
“ฉันเปล่าโกหก” สไตลส์แหลซ้ำสอง
“นายกำลังโกหกชัดๆ” ย้ำอีกรอบให้รู้ว่านี่เป็นคำตอบสุดท้าย
“ฉันเปล่า!”
“สไตลส์...”
“ชิ ก็ได้” คนที่โกหกไม่เนียนจิ๊ปากขัดใจ การสลับร่างครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรสามารถลดทอนความน่าหมั่นไส้ของเดเร็กเฮลได้เลยจริงๆ “ลืมไปว่านายมี... เอ่อ... โคตรอภิมหึมามหาหูเทพ นายคงได้ยินเสียงหัวใจฉันอะไรเทือกนั้นล่ะสิ”
สก็อตนะสก็อต ทำไมถึงใจร้ายทิ้งเขาให้เผชิญกับหายนะเดินได้อย่างผู้ชายคนนี้ได้ลง
“ฉันจะนอนบนเตียง” เดเร็กพูดประโยคเดิมที่เป็นชนวนสาเหตุของการถกเถียงขึ้นอีกครั้ง ย้ำกันอีกรอบให้รู้ว่ายังไงก็ต้องได้นอน
“ไม่ให้” เห็นเขาเป็นพวกขี้แพ้รึไง
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม”
“จะนับถึงร้อยก็เรื่องของนาย” เจ้าของห้องยืนยันด้วยสีหน้าประมาณว่า ช่างสิ จะทำอะไรก็ทำ พร้อมสำรวจเล็บตัวเองเหมือนว่าปัญหาของอีกฝ่ายมันช่างกระจ้อยร่อยนัก “ยังไงคำตอบของฉันก็เหมือนเดิม คือไม่”
“หนึ่ง...” เดเร็กเริ่มต้นนับนิ้ว
“คิดว่าจะทำตาแดงแล้วฉันจะกลัวเหรอ?”
“สอง...”
“กรงเล็บของนายทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“สา -- ”
“ก็ได้!” เจ้าของห้องตะโกนกลบ ความรักชีวิตแท้ๆที่ทำให้ต้องจำยอม เด็กหนุ่มแยกเขี้ยวใส่รอยยิ้มพรายที่ประดับบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างคนที่ได้รับชัยชนะ อยากใช้อวัยวะส่วนล่างลบมันทิ้งแต่ก็กลัวจะถูกหาว่าแพ้แล้วพาล
สไตลส์กัดฟันกรอด หันไปคว้าหมอนใบที่ขาดไม่ได้ขึ้นมากอดแนบอกอย่างอารมณ์เสีย ปากพร่ำบ่นงึมงำตามประสาคนที่ไม่ได้ดั่งใจ “อยากได้เตียงใช่มั้ย? เอาไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ ลืมไปว่าฉันเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆที่ไร้ทางสู้คนนึง ไม่มีสิทธิ์จะเถียงอะไรอยู่แล้ว เชิญคุณอัลฟ่าประทับแท่นบรรทมได้เลยขอรับ ได้ต้องห่วง ฉันนอนฟูกสบายดี สบายมาก ไม่มีปัญหาอะไรสักนี๊ดดด สิ่งนี้มันเกิดมาเพื่อฉันอยู่แล้ว”
สไตลส์กระทืบเท้าไปยังฟูกแข็งๆที่ปูลาดอยู่ไม่ไกล เขาทิ้งตัวลงนอนเสียงดังตุ้บ ฉวยผ้าห่มผืนบางๆที่ตอกย้ำสถานะความเป็นเจ้าของบ้านขึ้นมาห่มลวกๆ หันหลังหนีให้สก็อตในเวอร์ชั่นขี้จุกจิกราวกับทนมองต่อไปไม่ได้อีกวินาทีเดียว ชายหนุ่มพ่นลมหายใจทางจมูกอย่างสุดจะทน ปากพึมพำสาปแช่งแขกที่ทำตัวไม่สมฐานะด้วยความคับแค้นใจ
“สไตลส์...” เป็นเสียงของสก็อตที่ดังขึ้นจากด้านหลัง – ไม่สิ... เป็นของเดเร็กต่างหาก“ที่ฉันขอแลกที่นอน...ก็เพราะฟูกมันเล็กเกินไป”
ไม่มีประโยคใดๆตามมาขยายความต่อ เรียกได้ว่าคนพูดน้อยก็ยังคงความพูดน้อยไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งครู่ถัดมา คนที่นอนอยู่ด้านล่างก็ได้ยินเสียงเสียดสีของผ้า เดาเอาว่าอีกฝ่ายคงขยับตัวขึ้นไปนอนแล้วเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร นายนอนไปเถอะ” สไตลส์เอ่ยปัดๆเหมือนอยากให้เลิกพูดเรื่องนี้เสียที เหอะ ไม่ต้องมาทำเป็นปลอบให้เขารู้สึกแย่น้อยลงหรอก ได้นอนเตียงสมใจแล้วก็เงียบๆไปสิ จะมาตอกย้ำความพ่ายแพ้ของเขาทำไม อุตส่าห์จะทำใจได้แล้วเชียว “เอื้อมขึ้นไปปิดไฟด้วยล่ะ สวิชต์อยู่บนหัวเตียง”
แม้จะไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด
อากาศในฤดูหนาวยังคงทรมานกันเช่นเคย แต่ที่คืนนี้ดูจะเลวร้ายกว่าทุกวันก็คงเป็นเพราะผ้าผืนเล็กที่คลุมอยู่เหนือร่างนั่นไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย แสงจันทร์สีน้ำเงินสาดเข้ามาทางหน้าต่าง สร้างความสลัวภายในห้องนอนที่เอียงตะแคงไปตามการมองเห็น สไตลส์ตัวสั่น สอดมือเข้าไปใต้หมอนใบโปรดเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น พยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อที่พรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นไปเรียนอย่างสดชื่น
นาทีล่วงเลยผ่านไป... หรืออาจเป็นชั่วโมงก็ไม่ทราบได้ ฝันที่เป็นรูปร่างพร่ามัวปลุกให้เจ้าของห้องสะดุ้งตื่น ดวงตาสีอำพันเบิกโพลงในความมืด มันไม่มีการหายใจหอบดัง ไม่มีเหงื่อซึมบนหน้าผากเหมือนอย่างที่เห็นในละครทีวี มีก็แค่ความรู้สึกแห้งๆเย็นๆของอากาศขมุกขมัวที่รายล้อมอยู่รอบตัว สัมผัสจากหัวใจที่เต้นกระแทกซี่โครง และเสียงของความเงียบที่ดังก้องอยู่ภายในหัวตน
เขาพลิกตัวอย่างอึดอัดบนที่นอนเย็นชืด ใช้เวลาหลายนาทีท่องเอถึงแซดเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่าน เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะขจัดความรู้สึกตกค้างจากการฝันร้าย ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นในเวลายี่สิบนาทีต่อมาด้วยสาเหตุเดิมๆ
สไตลส์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่เคยชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย มันระแวง มันกังวล มันหวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นในทุกวินาทีที่ไหลผ่าน ราวกับทุกส่วนของร่างกายพร้อมใจกันอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง แค่เพียงเสียงเล็กๆน้อยก็กระชากให้ทั้งร่างตื่นตัวพร้อมเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่ไม่มีอยู่จริง เขาพยายามปลอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า (มันไม่มีอะไรหรอก ไม่มีใครจะมาทำร้ายเราสักหน่อย...) แต่จิตใต้สำนึกกลับทำงานไปในทิศทางตรงกันข้ามอยู่เสมอ แม้กระทั่งการนอนในห้องของตัวเองยังไม่รู้สึกปลอดภัย ช่างน่าโมโหที่เขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้หลับสนิทๆได้อย่างคนทั่วไปเสียที
เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นมองอีกร่างบนเตียงผ่านความมืดสลัว สำรวจให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังคงนอนยู่ตรงนั้น จมจ่อมอยู่ในห้วงนิทราอันแสนผาสุก เสียงหายใจเข้าออกช้าลึกบอกให้รู้ว่าเดเร็กกำลังหลับสนิทและไม่ประสบปัญหาใดๆในการพักผ่อนอย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ บางทีนี่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สไตลส์หงุดหงิด เพราะในขณะที่เดเร็กนอนหลับเป็นตาย ตัวเขาซึ่งเป็นเจ้าของห้องกลับกระเด้งพรวดทุกๆยี่สิบนาทีเหมือนเป็นคนนอนแปลกที่เสียเอง
เขาสบถอย่างรำคาญในตอนที่สะดุ้งตื่นเป็นครั้งที่หก มือกุมหน้าอกราวกับอะไรบางอย่างทำให้มันปวดร้าว กรงเล็บที่ตวัดผ่านเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยังคงชัดเจนในมโนภาพ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนเป็นหนที่เจ็ด อากาศหนาวเสียดไปถึงปอด ต้องขยับกายไปมาเพื่อหาท่าที่จะทำให้ทั้งแขนและขาซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มแบบมิดชิดที่สุด เขาเริ่มต้นนับแกะอีกครั้งและหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องทำเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป
ในตอนที่ความคิดเริ่มต้นหมุนวนอย่างไม่รู้ทิศทาง สไตลส์ฝันว่าตนเองนอนอยู่บนเปลเชือกที่แกว่งไกวอย่างเชื่องช้า แขนขาตกลู่ข้างตัวอย่างบังคับไม่ได้ เขาพยายามหยัดตัวขึ้นนั่ง แต่กลายเป็นว่ากลิ้งตุบลงบนพื้นดินในที่สุด ใบหน้าแนบอยู่บนพื้นผิวที่ให้สัมผัสนุ่มนวลอย่างประหลาด ทุกส่วนของร่างกายหนักอึ้งและประท้วงที่จะเคลื่อนไหว เขากวาดมองสิ่งลางเลือนที่อยู่รอบตัว เห็นกองไฟเล็กๆลั่นเปรี๊ยะวูบไหวอยู่ไม่ห่าง ในวินาทีที่ยื่นมือไปสัมผัส ความอบอุ่นของเพลิงที่ลุกลามก็แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู
ครั้งนี้... เขาไม่สะดุ้งตื่น
.
.
.
แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดผ่านหน้าต่างห้องนอนช่างไม่ต่างอะไรกับหลอดไฟดวงใหญ่ที่ให้ความสว่างไปทั่วทุกมุมห้อง สัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่มาในรูปแบบของเสียงนาฬิกาปลุกที่แผดดังลั่นจนแสบแก้วหู แต่แล้วก็ถูกมือขาวซีดที่ยื่นพรวดออกจากผ้าห่มกดปิดเฉกเช่นทุกวัน สไตลส์เผยอเปลือกตาขึ้นมองเพื่อยืนยันว่าเจ้านาฬิกาปลุกข้างเตียงมันได้สยบให้แก่มือมารของเขาเรียบร้อยแล้ว พลางโอดครวญถึงความโหดร้ายของวิชาเรียนตอนแปดโมง
เจ้าของผิวขาวซีดพลิกตัวหมายจะบิดขี้เกียจอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ทว่า... อะไรบางอย่างหนักๆที่พาดอยู่เหนือเอวกลับยับยั้งไม่ให้เขาทำแบบนั้น
“หือ...” เด็กหนุ่มงึมงำในลำคอ หลุบตาลงเพื่อมองหาคำตอบว่าวัตถุปริศนานั้นคืออะไรกันแน่
ปรากฏเป็นแขนล่ำหนาขนยุ่บยั่บที่รัดรอบเอวของเขาอย่างถือวิสาสะ ระบุเพศและลักษณะได้ว่าต้องเป็นชายร่างใหญ่พอสมควร และเมื่อยิ่งได้สติมากขึ้น สไตลส์ยังสัมผัสได้ถึงแผงอกอุ่นร้อนที่ทาบทับด้านหลัง แนบสนิทเสียจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้กระดาษสักแผ่นเสียบลงไปได้ อารามตกใจทำให้ชายหนุ่มพยายามขืนตัวออกจากวงแขนที่รัดแน่น ทว่าในตอนนั้นเอง เขากลับพบว่ามันเป็นการกระทำที่สิ้นคิดที่สุด เมื่อบางอย่างลักษณะแข็งๆที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูไถอยู่ตรงบั้นท้ายยิ่งบดเบียดใกล้ชิดมากเข้าไปอีก
สไตลส์สูดอากาศเข้าปอดเสียงดังเฮือกราวกับคนที่เพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำ ตัวแข็งทื่อแทบจะทันที
นั่น...
ต้องเป็นนั่นแน่ๆ...
รูปทรงแบบนี้... สัมผัสแบบนี้... สิ่งที่ผู้ชายเหมือนกันก็ย่อมรู้กันดี
ชายหนุ่มเอียงคอกลับไปทางด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ตั้งใจเคลื่อนไหวอวัยวะทุกส่วนให้น้อยที่สุด (แน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีมากขึ้นน่ะสิ!) และก็ต้องยกมือขึ้นอุดปากระงับเสียงหวีดร้องที่ร่ำๆจะหลุดออกมาด้วยความตกใจ
ตะตะตะตะตายห่าาาา!
นั่น -- เดเร็ก เฮล
คิ้วหนาๆแบบนี้ สันจมูกแบบนี้ และเคราเขียวครึ้มแบบนี้ ...
เดเร็ก เฮล... เดเร็กเฮลตัวเป็นๆเลย
สไตลส์หมุนศีรษะกลับด้วยความเร็วจนคอแทบเคล็ด ดวงตากลมเบิกกว้าง คนที่ไม่รู้ตัวว่าขึ้นมานอนบนเตียงเมื่อไหร่และจบลงในลักษณะนี้ได้ยังไงกัดริมฝีปากยับยั้งเสียงของตัวเองจนห้อเลือด ควบคุมอารมณ์ตื่นตระหนกที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายอย่างแพนิคแอทแทคด้วยการหายใจเข้าลึกๆหลายที จะพระแม่มารีหรือแม่ชีเทเรซ่ารึก็ช่วยไม่ได้แล้วงานนี้
สไตลส์รวมรวบสติที่หล่นกระจัดกระจายเข้าด้วยกัน พยายามไม่คิดถึงต้นสายปลายเหตุของท่าทางล่อแหลม เพราะสถานการณ์ปัจจุบันดูจะเป็นอะไรที่น่ากังวลกว่ามาก เขาไล่สำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าไม่มีส่วนใดชำรุดไประหว่างที่นอนหลับไม่ได้สติ ซึ่งจะไม่คิดก็ไม่ได้ ในเมื่อขณะนี้เขากำลังถูกเดเร็กกอดรัดเหมือนปลาหมึก มีท่อนแขนแข็งแรงล็อกเอวไว้เหมือนคีม ทุกส่วนที่อยู่ด้านหลังเรียกได้ว่าแทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับด้านหน้าของอีกฝาย และถึงแม้เดเร็กยังคงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าลึกอย่างไม่รู้สึกตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอวัยวะทุกส่วนของหมอนั่นจะต้องหลับไปด้วยนะเว้ย!
นับว่าโชคดีแค่ไหนที่เมื่อคืนเขาเลือกจะใส่เสื้อนอนแทนที่จะเปลือยอกเหมือนทุกวัน
“เดเร็ก... เฮ้ -- ” คนในอ้อมแขนเอ่ยกระซิบ แก้มทั้งสองข้างร้อนฉ่า ลืมหมดแล้วซึ่งคำถามว่าทำไมร่างของเดเร็กมาอยู่ที่นี่ และผู้ชายที่ถือครองร่างนี้ใช่เดเร็กตัวจริงหรือไม่ “เอ่อ... นาย -- เดเร็ก? -- ตื่นที”
ถึงจะยังเหลือเวลามากพอที่จะเตรียมตัวไปเรียน แต่อย่างไรก็ตาม สไตลส์ไม่ได้เผื่อเวลาไว้สำหรับเรื่องนี้เลย
“เดเร็ก...” เจ้าของห้องเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แอบรู้สึกสมเพชตัวเองนิดๆที่ทำมากสุดก็ได้แค่ขยับปาก ก็ใช่อะสิ เขาขยับส่วนอื่นได้ที่ไหนกัน “เฮ้... ตื่นได้แล้ว”
มีเสียงสูดหายใจดังขึ้นจากคนด้านหลังในการเรียกชื่อครั้งที่สาม ตามมาด้วยการขยับตัวเหมือนว่าอีกคนกำลังจะได้สติ สไตลส์โห่ร้องในใจด้วยความยินดี -- อาจจะร้องไห้ถ้าทำได้ – โฮ! อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งเขาให้ต้องเผชิญเหตุการณ์คับขันแต่เพียงผู้เดียว
“เยส! เดเร็ก นายตื่นแล้วสินะ ฉันกำลังคิดอยู่ว่ – เดี๋ยว... นั่นไม่ -- ให้... ตาย... เถอะ -- เดเร็ก!” คนที่ดูท่าว่าจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งเข้าจริงๆโวยวายขึ้นด้วยความโมโห ใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ใจทั้งโกรธทั้งอาย เพราะแทนที่เขาจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เสี่ยงเสียตัว ดันกลายเป็นว่าเขาถูกกระชับวงแขนแน่นขึ้นเสียนี่ สไตลส์หวิดจะร้องไห้ออกมาอย่างจริงจังเมื่อรู้สึกถึงปลายจมูกที่กดลงบนต้นคอ ไรหนวดคมของคนด้านหลังเสียดสีจนรู้สึกแสบร้อน แต่อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับท่อนล่างที่กำลังถูกดุนดันจากการขยับสะโพกของอีกคนแล้วล่ะ “หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ใช่หมอนข้างของนายนะ”
“หือ -- ” เสียงที่แหบต่ำจากการนอนหลับดังขึ้นข้างหู พร้อมกับอ้อมแขนที่คลายลง “สไตลส์ -- มีอะไร...”
แต่ คลายลง ไม่ได้แปลว่า อิสระ มันแค่เพิ่มที่ว่างให้คนในอ้อมแขนได้พลิกตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเท่านั้น
“เดเร็ก!” ไม่เคยมีครั้งไหนที่สไตลส์เอ่ยชื่อด้วยความยินดีขนาดนี้มาก่อน “นายตื่นแล้วสินะ เยี่ยมเลย คงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะขอให้นายเขยิบถอยหลังไปสักหน่ -- สก็อต?” เรียวปากหยักหยุดชะงักลง เมื่อใบหน้าที่เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆว่าเป็นเดเร็กได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาอีกครั้ง “เดี๋ยว เมื่อกี้นายยัง -- สก็อต? เอาเข้าไปสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”
เจ้าของเตียงถีบตัวเองลงจากที่นอนด้วยความสับสนที่เพิ่มพูนขึ้นร้อยเท่า เขาตะเกียกตะกายขึ้นยืน จ้องมองสก็อตด้วยอาการช็อคเหมือนคนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ ก็วินาทีที่แล้ว... เดเร็กเฮลยังนอนอยู่ข้างหลังเขาอยู่เลย เขากล้าสาบานว่าเห็นมันกับตา แต่ในวินาทีถัดมา สก็อต – หรือร่างที่เป็นของสก็อต – ก็กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราวกับมีมนต์วิเศษยังไงยังงั้น
อะไรวะเนี่ย...
ถ้าคำนั้นยังอธิบายความงงได้ไม่มากพอ เราจะย้ำให้ฟังช้าๆ ชัดๆอีกครั้งนึง
อะ -- ไร -- วะ -- เนี่ย!
“สไตลส์” แม้จะงัวเงีย แต่ใบหน้านั้นก็ยังคงพอแสดงความกังวลให้เห็น “เกิดอะไรขึ้น”
“เกิดอะไรขึ้น? นายถามฉันเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันต่างหากที่ควรถามเรื่องนั้นกับนาย” เพราะไม่รู้จะเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดี ชายหนุ่มจึงทำได้แค่เท้าสะเอวแล้วใช้ดวงตาบวมตุ่ยหลังการตื่นนอนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย สไตลส์หรี่ตาลงเมื่ออีกคนไม่ยอมตอบ เขาตัดสินใจเปลี่ยนมากอดอก ท่าทางนั้นชวนให้นึกถึงนายตำรวจที่กำลังทำการซักฟอกผู้ต้องสงสัย “นาย... คือสก็อตหรือเดเร็กกันแน่?”
“แล้วเมื่อคืนนายพาใครมาค้างที่บ้านล่ะ” ร่างของสก็อตตอบคำถามด้วยคำถาม ใช้การเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทนการด่าอ้อมๆว่าโง่หรือเปล่า
“นายบอกฉันสิ”
“เดเร็ก” คนตรงหน้าตอบง่ายๆ ยกมือขึ้นปิดปากหาว “ว่าแต่... ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม”
“อ้อ มีสิ” สไตลส์ตอบทันควัน ยังคงไม่ละทิ้งบทเจ้าหน้าที่สอบสวนใหญ่ที่พร้อมแจกแจงความเสียหายให้ฟังเป็นข้อๆ ไม่สนใจท่าทางที่เปลี่ยนไปโดยกะทันหันของอีกคนในตอนที่ยืนยันว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน “เราจะเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดีล่ะ เรื่องที่ฉันขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่มีสาเหตุ? เรื่องที่นายฉวยโอกาสตอนที่ฉันหลับ? หรือเรื่องที่ฉันเพิ่งเห็นเดเร็กเฮลกลายร่างเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองต่อหน้าต่อตา?”
ไม่มีคำตอบที่มาในรูปแบบของคำพูด แต่เห็นได้ชัดว่าเดเร็กเริ่มกลับมาเป็นคนเดิมที่นิยมใช้การสื่อสารผ่านทางสีหน้ามากกว่าการอ้าปากอธิบายแบบคนปกติ เมื่ออีกฝ่ายขมวดคิ้วจนแทบเป็นจะปม และยื่นศีรษะออกมาเล็กน้อยประมาณว่า หือ? นั่นนายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?
“จะบอกว่าจำไม่ได้ล่ะสิ” ร่างบางถอนหายใจ เกลียดเหลือเกินเวลาที่ต้องเป็นฝ่ายชี้แจงอะไรที่ไม่สมควรได้รับการชี้แจง “เอางี้ ฉันจะไม่ถามว่าตัวเองขึ้นไปนอนบนนั้น -- ” เขาละคำว่า กับนาย ในตอนที่ชี้นิ้วไปบนเตียง “ -- ได้ยังไงหรอกนะ เพราะฉันอาจจะเดินละเมอขึ้นไปเอง ก็นะ... เมื่อก่อนฉันเดินละเมอบ่อย -- เรื่องมันยาว-- แต่กลับเข้ามาสู่คำถามที่ว่า... เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว นายคือ...นาย -- เดเร็ก! -- เฮล!– นอนหลับอยู่บนเตียงฉัน เดเร็กเฮลที่หน้าตาเหมือนเดเร็กเฮล เดเร็กเฮลที่เคราหนาๆ ชอบทำหน้าเหมือนหมาป่ากินของหมดอายุน่ะ -- นอนรัดฉันยังกับปลาหมึก แล้วพอฉันกระพริบตา บู้ม! จู่ๆนายก็กลายร่างเป็นสก็อต ยังกะมิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ลที่ถอดหน้ากากออกมาแล้วเป็นอีกคนเลย ทีนี้พอเข้าใจหรือยังว่าฉันกำลังพูดเรื่องอะไร... ไม่รู้ว่านายสังเกตเห็นมั้ย? แต่เรื่องนี้ต้องการคำอธิบายอย่างใหญ่หลวงเลยล่ะเพื่อน”
สิ้นคำ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เกิดเป็นความเงียบน่าอึดอัดอยู่หลายวินาที
“ฮะ?” อีกครั้งที่เดเร็กแสดงสีหน้างุนงงประหนึ่งว่าสไตลส์เพิ่งพูดภาษาต่างดาวที่เขาไม่เข้าใจ “ฉันอะไรนะ?”
“นายเพิ่งจะกลายร่างเป็นสก็อตเมื่อกี้นี้!” เจ้าของห้องตะโกนเสียงดัง ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากนักวะ เมื่อกี้เขาอธิบายได้ไม่ละเอียดพองั้นเหรอ “เรียบเรียงให้ใหม่อีกรอบนะ เมื่อคืนนายเป็นสก็อต เมื่อครู่นี้นายเป็นเดเร็ก แล้วล่าสุดนายก็กลับมาเป็นสก็อตอีกที เข้าใจยัง?”
“ฉัน...” คนที่ในที่สุดก็จับใจความได้เอ่ยขึ้นแบบไม่แน่ใจ “กลายร่างกลับมาเป็นสก็อต?”
“เออ ก็ได้ยินแล้วนี่” สไตลส์กลอกตา ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ “ต้องให้วาดรูปให้ดูไหม”
คนฟังพยายามไม่สนใจการประชดประชันที่แฝงอยู่ในประโยค แล้วหันไปให้ความสำคัญกับประเด็นหลักที่อาจเป็นกุญแจในการคลี่คลายปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
“มันหมายความว่ายังไง จู่ๆฉันก็กลายร่างไปเป็นคนอื่นโดยไม่รู้ตัวงั้นเหรอ” เดเร็กทำสีหน้าครุ่นคิด มองซ้ายขวาเหมือนคาดหวังว่าคำตอบจะโผล่ขึ้นมาอากาศ ซึ่งนับเป็นเรื่องหาดูยากในสายตาของคนที่พบเห็น เพราะอย่าลืมสิ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือร่างของสก็อตนะ แล้วสก็อตเคยทำสีหน้าซีเรียสขนาดนี้เมื่อไหร่กัน “ฉันไม่เข้าใจ ไอแซ็คบอกว่าฉันมีกลิ่นเหมือนอัลฟ่าของเขา ส่วนนายก็บอกว่าฉันกลับไปอยู่ในร่างเดิม แปลว่ามันยังมีอะไรเชื่อมโยงระหว่างตัวฉันกับร่างกายสินะ”
“หรือบางที...พวกนายอาจไม่ได้สลับร่างกันตั้งแต่แรกก็ได้ -- เหมือนในการ์ตูนไง นายกับสก็อตอาจจะแค่โดนสาปให้รูปร่างเหมือนอีกคนในตอนกลางวัน แล้วเปลี่ยนกลับมาร่างเดิมในตอนกลางคืน -- อันนี้แค่สมมตินะ” เรียวปากหยักรีบเอ่ยต่อท้าย เพราะทฤษฎีกลางวัน-กลางคืนคงไม่มีทางเป็นไปได้ อ้างอิงจากเมื่อคืนที่เขายังเถียงกับเดเร็กในร่างของสก็อตอยู่เลย “ฉันแค่จะสื่อว่า พวกนายอาจจะไม่ได้สลับร่างกัน แต่เป็นการเปลี่ยนรูปร่างเป็นกันและกัน สิ่งที่เราต้องรู้ให้ได้ก็คือปัจจัยที่จะทำให้พวกนายเปลี่ยนกลับไปร่างเดิม ซึ่งคงต้องอาศัยยายแม่มดวูดูพวกนั้นอยู่ดี...”
“แปลว่าฉันต้องไปลากคอพวกนั้นมาให้ได้” เดเร็กว่า
“ใช่ ก็ประมาณนั้น” สไตลส์ยักไหล่ ถ้าคนชอบใช้กำลังเขาถนัดวิธีนี้ก็ปล่อยเขาไปเถอะ “แต่...ถ้าพูดกันตามตรง ฉันแอบผิดหวังหน่อยๆแฮะ คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้ซะอีก เช่นนายมีพลังเท่ๆวาร์ปทะลุมิติสลับที่กับสก็อตอะไรประมาณนั้น หรือพลังแปลงร่างเป็นใครก็ได้แบบในเรื่องเอ็กซ์เมน... เคยดูมั้ย? -- หมาป่าคร่ำครึแบบนายคงไม่เคยดูสิท่า วันๆคงเอาแต่นั่งจับเจ่าอ่านหนังสือโบราณ-- ”
“สไตลส์ -- ”
“พูดถึงหนังสือโบราณ นายคงจะเคยอ่านเรื่องของคนพวกนั้นผ่านๆตาบ้างแล้วใช่เปล่า ไม่ใช่ว่าคิดจะไปสู้กับเสือมือเปล่าหรอกนะ ฉันจะแนะนำอะไรดีๆให้ฟัง ของแบบนี้มันต้องศึกษาไว้ก่อน รู้เขารู้เราไง -- แบบ -- รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เสียท่ามาแล้วรอบนึงก็อย่าให้เสียท่าอีก ไม่งั้นคนเขาจะว่านายเป็นอัลฟ่าที่ห่วยแต -- ”
“สไตลส์ -- ”
“เดี๋ยวก่อน นายบอกว่าเมื่อวานพวกนายไปกันสามคนใช่ไหม ขนาดมีอัลฟ่าไปตั้งสองคนยังกลับมาด้วยสภาพนี้อีก อืมม... บางทีคงไม่ใช่นายคนเดียวที่ห่วยแตกแล้วล่ะเดเร็ก ฉันว่าพวกนายทั้งสามคนเล -- ”
“สไตลส์”
“อะไร?”
“หุบปาก” เดเร็กเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ
“ฮ่า! ประโยคคลาสสิค” คนที่ถูกขู่วันละสองหนเป็นอย่างต่ำยักไหล่แบบสะทกสะท้าน “แล้วไง นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าแผนการคืออะไร โดดเรียนไปล่าแม่มดแล้วบังคับให้เขาเสกเจ้าชายกบกลับมาเป็นคนงั้นเหรอ ฟังดูง่ายดีนี่ แต่โทษทีนะ ฉันขอถามอะไรหน่อย รู้เหรอว่าจะหาพวกหล่อนได้จากที่ไหน?”
“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน” เดเร็กใช้มือแตะจมูกเหมือนจะบอกว่าใช้วิธีดมกลิ่นเอาน่ะสิ
“โอเค๊ แล้วถ้าเกิดว่านายหาไม่เจอ -- ”
“ฉันต้องหาเจอ”
“ก็ถ้าเผื่อนายหาไม่เจอ...”
“ฉันต้องหาเจอ” อัลฟ่าหนุ่มย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขบกรามกรอด
“โอเค งั้นถามใหม่” สไตลส์เองก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ “ถ้าเผื่อนายหาพวกนั้นไม่เจอในเร็วๆนี้ เตียงฉันจะต้องโดนยึดไปตลอดจนกว่านายจะคืนร่างเดิมเลยหรือเปล่า หือ? ฉันจะไม่ยอมลงไปนอนข้างล่างแล้วนะพวก เพราะนั่นไม่สนุกเลย ยังกับนอนในนรก”
อันนี้ไม่ได้พูดเล่น เรื่องเตียงมันสำคัญมากสำหรับเขาจริงๆ
เดเร็กเบี่ยงหน้าไปทางอื่น จงใจเลี่ยงที่จะตอบเหมือนเหนื่อยหน่ายกับคำถามไร้สาระ อืม... บางทีนั่นอาจจะเป็นคำตอบว่าใช่ในแบบของหมอนี่ก็ได้ สไตลส์ทำหน้าเซ็งเมื่อรู้ตัวว่าอนาคตการนอนหลับของตนกำลังเบนทิศทางไปทางคำว่าหายนะ เขาถอนหายใจเสียงดังแทนการโห่ประท้วงตรงๆ ใจจริงจะอยากเปิดศึกทวงสิทธิ์เจ้าของบ้านที่ตนพึงมี แต่ติดที่เวลามันไม่พอ เพราะเข็มยาวบนหน้าปัดนาฬิกาบอกชัดเจนว่าเขากำลังจะสายหากไม่รีบไปแต่งตัว
เมื่อเล็งเห็นว่าบทสนทนานี้คงยุติลงแล้ว (ก็เดเร็กไม่ยอมพูดอะไรต่ออะ...) และการยืนเฉยๆก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนอกจากจะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ สไตลส์จึงหมุนตัวกลับ คว้าผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า เตรียมอาบน้ำไปโรงเรียนก่อนที่จะโดนหักคะแนนเพราะเข้าเรียนสายเป็นครั้งที่สามภายในอาทิตย์เดียว
“นายบอกว่าฉันกอดนาย” เสียงแผ่วค่อยเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง รั้งให้ร่างบางหยุดชะงักฝีเท้า สไตลส์หันไปส่งสายตางุนน เอียงศีรษะน้อยๆเหมือนเด็กช่างสงสัย ประมาณว่าเมื่อกี้พูดอะไรนะ และจ้องมองเดเร็กที่นั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บนเตียง มีผ้าห่มผืนหนาที่เสียสละให้คลุมหมิ่นเหม่อยู่บนตัก “ฉัน... ได้ล่วงเกินอะไรนายหรือเปล่า”
อีกครั้งที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
และ...
อ้อ... -- อ้อ...
สไตลส์อ้าปากน้อยๆเมื่อเข้าใจสิ่งที่อีกคนกำลังสื่อ
ที่แท้ก็เรื่องที่เขาพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงมาตลอดการสนทนานี่เอง
“นายหมายถึงเรื่องที่นายเคารพธงชาติใส่ฉันน่ะเหรอ” คนเพิ่งที่ถูกลวนลามมาหมาดๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทประมาณว่า อ่อ เรื่องไม่สลักสำคัญนี่เอง เรื่องไม่ใหญ่โตอะไรเลยนี่เอง มีอะไรก็ว่ามาสิ เขารอฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรหรอกนะ รีบๆพูดมาได้แล้ว พลางใช้มุกสำรวจเล็บประกอบท่าทางอีกครั้ง ทว่า... แม้ภายนอกจะดูเหมือนสไตลส์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเรื่องนี้นัก แต่หากสังเกตดีๆ เราจะสามารถเห็นแก้มสองข้างที่ฉีดสีเข้มขึ้นได้แบบชัดเจน
“ฉัน... เผลอทำอะไรนายหรือเปล่า” เดเร็กถามอีกครั้ง ท่าทางกระอักกระอ่วนใจ พลางก้มลงมองหน้าตักตัวเองเหมือนจะกล่าวโทษส่วนหนึ่งของร่างกายที่ดันขยันทำงานผิดเวล่ำเวลา
“เอ่อ...” คนฟังกลืนน้ำลาย ตามปกติแล้ว สไตลส์ถนัดมากในเรื่องการหนีปัญหา ยกตัวอย่างเช่นการทำเมินไม่พูดถึงเรื่องบางเรื่องแล้วปล่อยให้ประเด็นนั้นตกไปเอง ซึ่งมันก็ใช้ได้ผลมาตลอด แต่... ดูท่าแล้ว... คงจะใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้ “ม... มั้ง? ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แค่นาย – เอ่อ -- ช่างมันเถอะา เรื่องธรรมชาติของผู้ชาย ฉัน -- ฉันเข้าใจ”
นิ้วขาวซีดม้วนชายผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนไหล่เล่นไปมาราวกับมันน่าสนใจเอามากๆ ถึงปากจะบอกให้ลืมๆไปซะ แต่ความเป็นจริงแล้ว ในมโนภาพของเด็กหนุ่มกลับนึกย้อนไปถึงความแข็งขืนที่เบียดเสียดดุนดัน เรียกได้ว่ายิ่งพูดยิ่งเห็นภาพ และที่แย่ไปกว่านั้น สไตลส์ยังเผลอนึกไปถึงสัมผัสจากหนวดเคราที่บาดผิวบริเวณต้นคอ ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่พร้อมใจกันไหลพลั่กๆเข้ามาฉายซ้ำในหัวยังไงยังงั้น
ชายหนุ่มกระแอมไอ ใช้นิ้วเกาบริเวณท้ายทอยที่รู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“ถ้านายไม่ว่าอะไร ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ” เจ้าของห้องมองหาลู่ทางพาตัวเองออกจากสถานการณ์น่าอึดอัด “แบบว่า -- อะแฮ่ม– เดี๋ยวไปเรียนสาย... ถ้ายังไง นายจะถือโอกาสนี้จัดการกับ...” เขาเลื่อนสายตาจากใบหน้าของเพื่อนสนิทลงไปที่เป้ากางเกง (ที่ยังคงคับตึงอย่างเห็นได้ชัด) และพูดต่อแบบติดๆขัดๆ “ตรงนั้น – ตามสบายเลย – นายก็รู้ – ฉันไม่ว่าอะไรถ้านายจะ -- คือ – เออ – นั่นแหละ– เพื่อน”
กลีบปากสวยเม้มปากแน่น แก้มทั้งสองข้างทวีความร้อนฉ่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะเคารพธงชาติตลอดการสนทนา กระทั่งตอนที่คุยกันในหัวข้อเครียดๆ... มันก็ไม่ลงสักนิดเลยเหรอ? อะไรจะ...ขนาดนั้น
สไตลส์ก้มหน้างุดเมื่อคิดว่าตนไม่เหลือความกล้ามากพอจะสบตาอีกคนตรงๆ มือปั่นชายผ้าเช็ดตัวรัวเร็วจนพันกันเป็นก้อนในตอนที่อีกฝ่ายโกยผ้าห่มขึ้นปิดตักตัวเองด้วยความเร็วแสง เขากระแอมไอให้คอโล่งทั้งๆที่คอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แม้จะตีหน้าขรึม แต่ใบหูกลับแดงก่ำจวนเจียนจะระเบิด
“ทิชชู่วางอยู่บนโต๊ะคอมนะ เพราะปกติแล้วฉันจะ -- ” เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ เกิดอาการน้ำท่วมปากกะทันหัน ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะบอกเรื่องให้อีกฝ่ายรู้ว่าปกติแล้วเขาใช้เวลาส่วนตัวหาความสุขที่บริเวณไหนของห้อง “ล... ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ”
คนที่เกือบจะพลั้งปากบอกเรื่องที่ไม่สมควรกล่าวเร็วปรื๋อ รีบสับขาตรงดิ่งไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าถูกรั้งไว้อีกครั้งด้วยเสียงจากคนเดิม
“สไตลส์”
“หา?” เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกจ้ำอ้าวกลับมา ใบหน้ายังคงเป็นสีชมพู “มีอะไร --”
“ฉันลืมบอกนายไปเรื่องหนึ่ง”
“อ... เออ มีอะไรก็รีบพูดมาสิ” เด็กหนุ่มกอดอก ชันแขนข้างหนึ่งขึ้นปกปิดแก้มที่ร้อนผะผ่าว
“เมื่อคืน... นายไม่ได้เดินละเมอขึ้นมาบนเตียง” เดเร็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เรียบสนิทแบบที่อ่านไม่ออก เรียบแบบที่อีกนิดก็โทนเดียวกับหุ่นยนต์แล้ว แถมใช้ใบหน้านิ่งสนิทเหมือนรูปปั้นกล่าวประโยคถัดไป “ฉันอุ้มนายขึ้นมาเอง”
ฮะ...
“แค่นี้แหละ ไปอาบน้ำเถอะ”
ฮะ?
คนฟังอ้าปากน้อยๆ ช่างน่าทึ่งที่คนเราสามารถได้ยินเสียงระเบิดดังตูมในหัว และรู้สึกท้องไส้บิดมวนเป็นเกลียวได้ในเวลาพร้อมๆกัน
เดเร็ก เฮล อุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียง
ย้ำอีกครั้ง... เดเร็ก เฮล อุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียง
“อ้อ...”
อ้อ...
“ก็ฉันเห็นนายนอนไม่หลับ เลยถือวิสาสะ -- ”
“ไม่-- ไม่เป็นไร” คนที่ถูกอุ้มขึ้นมานอนบนเตียงแบบไม่รู้ตัวตัดบท มือหยิกแขนเพื่อเรียกสติตัวเองกลับเข้าร่าง นัยน์ตาสวยกะพริบปริบๆเหมือนกำลังหาลู่ทางไปต่อให้ดูราบลื่นที่สุดแม้สมองจะหยุดการทำงานไปแล้ว “--นั่น... ดีนี่ -- คือว่า... นายมีน้ำใจมาก”
เดเร็กเลิกคิ้ว
“เยี่ยมเลย -- ฉัน – ขอบใจ”
สไตลส์ไม่รอดูปฏิกิริยาจากคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียง เพราะในทันทีที่พูดจบ เขาหมุนตัวกลับเหมือนพายุ ขาเรียวก้าวพรวดๆไปที่ห้องน้ำด้วยความว่องไวที่สุดเท่าที่ร่างกายของมนุษย์คนหนึ่งจะเอื้ออำนวย หวิดสะดุดผ้าขนหนูที่ตัวเองเผลอทำหล่นไว้ในตอนที่พยายามจะเปิดประตู
เมื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน มือขาวซีดรีบลงกลอน สไตลส์ไถลตัวลงกับพื้น หัวใจเต้นโครมครามกระแทกฝ่ามือที่กอบกุมอยู่บนหน้าอก
ให้ตายสิ
เขาอ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด
ให้ตายสิ
เดเร็กเฮลอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน คนคนเดียวกับเดเร็กที่เคยจับหัวเขากระแทกพวงมาลัยรถ คนเดียวกับที่คอยผลักเขากระแทกกับประตู เดเร็กคนนั้น อุ้ม เขา ขึ้น ไป นอน บน เตียง
ใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายในตอนที่หันกลับไปมองยังคงชัดเจนในความทรงจำ เดเร็กเฮลที่กำลังนอนหลับสนิท ไม่มีคิ้วที่ขมวดกันจนเป็นร่องลึก ไม่มีนัยน์ตาสีซีดที่คอยมองอย่างดุดัน ไม่มีน้ำเสียงออกคำสั่งให้หุบปากเวลารำคาญ หรือการขบกรามแบบที่เห็นบ่อยๆเวลาเขาทำให้อีกคนไม่พอใจ
มีเพียงท่อนแขนที่โอบรัด... แผ่นหลังที่แนบชิด... ไรหนวดที่เสียดสี... และสัมผัสล่วงละเมิดที่อีกคนเผลอกระทำโดยไม่ตั้งใจ --
สไตลส์โอดครวญเมื่อเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับส่วนล่างของตน
บ้าเอ๊ย... เขาต้องรีบไปเรียนนะ!
.
.
.
TBC
Author : SorryzZ
Pairing : Sterek (Stiles Stilinski/Derek Hale)
Category : M/M, Romantic Comedy
Tags : Alternate Universe - Canon Divergence, Bodyswap, Romantic, Comedy, Sharing a bed
Notes : พาร์ทนี้แอบติดเรทเล็กน้อยนะคะ
“ไม่”
“หลีก”
“เอ๊ นี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึยังไง บอกว่าไม่ก็คือไม่สิ”
“สไตลส์...” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนใกล้หมดความอดทน “บอกให้หลีก”
“โทษทีว่ะเพื่อน แต่นายกำลังยืนอยู่ในห้องฉัน เข้าใจมั้ย ห้องฉัน กฏของฉัน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างวางอำนาจ ดวงตาสีชาจับจ้องเป้าหมายสูงเกือบหกฟุตที่ยืนอยู่กลางห้องนอนด้วยความเด็ดเดี่ยว หมายจะประกาศให้รู้กันเลยไปว่าใครเหนือกว่าใคร “และฉันต้องได้นอนบนเตียง”
เอาจริงๆแล้ว... สไตลส์พบว่านี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระเอามากๆ
คือ... มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาเถียงกันเรื่องที่นอนเลย เข้าใจเปล่า ตีหนึ่งอ่ะ ตอนนี้มันเป็นเวลาตีหนึ่งอ่ะ ขีดเส้นใต้หนาๆที่คำว่าตีหนึ่ง รู้มั้ยมันหมายความว่าอะไร มันแปลว่าพรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือ และทุกวินาทีที่เสียไปเท่ากับการพักผ่อนที่น้อยลง เพราะงั้นช่วยให้ความร่วมมือกับอนาคตของชาติหน่อยได้ไหมครับไอ้หมาป่า เขารึภอุตส่าห์ปูฟูกให้นอนอย่างดี แถมเสียสละผ้าห่มฟูๆให้อีกต่างหาก แต่ไอ้การออกคำสั่งอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้านว่า ‘ไม่ ฉันจะนอนบนเตียง’ นั่นคืออะไร มาอาศัยห้องคนอื่นแล้วยังทำตัวเป็นภาระอีก คิดว่าอยู่ในร่างสก็อตแล้วจะทำตามอำเภอใจได้งั้นเหรอ?
สไตลส์ยืนจังก้าแบบไม่กลัวตาย ถ้าไม่เรียกว่าใจกล้าก็ต้องบอกว่าคิดสั้น ในเมื่อตรงหน้าคืออัลฟ่าที่กำลังหัวเสีย ซึ่งมีฟังก์ชั่นกรงเล็บแบบชาวร็อคและเขี้ยวที่หนาขนาดเท่านิ้วก้อยไว้เป็นอาวุธในการต่อรอง ในขณะที่ตัวเขามีเพียงผ้าเช็ดผมชื้นๆผืนเดียวที่ขนาดเอาไปตบแมลงวันมันยังไม่ตาย
แม้อนาคตของศึกครั้งนี้จะดูเหมือนแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แต่จะให้ทำยังไง
ก็ถ้าเขาไม่ได้นอนบนเตียงกับหมอนใบโปรด... เขาจะฝันร้ายน่ะสิ
“ฉันเป็นแขก” เดเร็กเอ่ยห้วนๆตามประสาคนพูดน้อยต่อยหนัก หากผนวกเข้ากับสีหน้าอึมครึมนั่นด้วยแล้ว ประโยคนี้สามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งนั่นครอบคลุมไปถึง แล้วไง? เจ้าของบ้านต่างหากที่สมควรระเห็จไปนอนบนพื้น และ ทำไมถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ สไตลส์ เป็นต้น “นาย... หลีก”
“ไม่หลีก” ให้ตายก็ไม่หลีก ทำไมต้องหลีก นี่มันห้องเขานะเฮ้ย ทำไมเขาต้องเสียสละไปนอนบนพื้นด้วย แค่ยกผ้านวมอุ่นๆให้นั่นก็นับว่าใจดีแค่ไหนแล้ว รู้ไหมเขาเหลือแค่ผ้าห่มบางๆผืนเดียวเองนะ ทำไมเดเร็กไม่หัดสำนึกในบุญคุณครั้งนี้แล้วยอมล่าถอยไปแต่โดยดี เขาไม่อยากเหนื่อยเถียงแล้วเข้าใจไหม ง่วงก็ง่วง เพลียก็เพลีย แต่ที่ยังยืนกรานปฏิเสธอยู่นี่เพราะมันมีความจำเป็นจริงๆหรอกจะบอกให้ “ฉันต้องได้นอนบนเตียง ไม่งั้น... ไม่งั้น -- ”
สไตลส์อ้าปากพะงาบๆ มองล่อกแล่กซ้ายทีขวาทีเหมือนพยายามนึกหาเหตุผลที่ฟังขึ้น ด้วยเพราะไม่กล้าพูดตรงๆว่าติดหมอน ลูกไม้ถนัดอย่างการแถสดจึงถูกหยิบมาใช้อย่างเสียมิได้
“-- คือ... ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังน่ะ” เจ้าของห้องชูมือไม้ขึ้นในอากาศประกอบการอธิบาย งัดเอาทักษะการแสดงที่หาดูได้ในละครลิงขึ้นมาใช้แบบทุ่มสุดตัว “แบบว่า... ถ้าไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มๆแล้วกระดูกมันจะเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท แบบ -- อัมพาตกะทันหัน รุนแรงมาก... ขยับตัวไม่ได้เลย -- ”
“นายโกหก” เดเร็กพูดสวนกลับมาโดยที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนสักนิด
“ฉันเปล่าโกหก” สไตลส์แหลซ้ำสอง
“นายกำลังโกหกชัดๆ” ย้ำอีกรอบให้รู้ว่านี่เป็นคำตอบสุดท้าย
“ฉันเปล่า!”
“สไตลส์...”
“ชิ ก็ได้” คนที่โกหกไม่เนียนจิ๊ปากขัดใจ การสลับร่างครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรสามารถลดทอนความน่าหมั่นไส้ของเดเร็กเฮลได้เลยจริงๆ “ลืมไปว่านายมี... เอ่อ... โคตรอภิมหึมามหาหูเทพ นายคงได้ยินเสียงหัวใจฉันอะไรเทือกนั้นล่ะสิ”
สก็อตนะสก็อต ทำไมถึงใจร้ายทิ้งเขาให้เผชิญกับหายนะเดินได้อย่างผู้ชายคนนี้ได้ลง
“ฉันจะนอนบนเตียง” เดเร็กพูดประโยคเดิมที่เป็นชนวนสาเหตุของการถกเถียงขึ้นอีกครั้ง ย้ำกันอีกรอบให้รู้ว่ายังไงก็ต้องได้นอน
“ไม่ให้” เห็นเขาเป็นพวกขี้แพ้รึไง
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม”
“จะนับถึงร้อยก็เรื่องของนาย” เจ้าของห้องยืนยันด้วยสีหน้าประมาณว่า ช่างสิ จะทำอะไรก็ทำ พร้อมสำรวจเล็บตัวเองเหมือนว่าปัญหาของอีกฝ่ายมันช่างกระจ้อยร่อยนัก “ยังไงคำตอบของฉันก็เหมือนเดิม คือไม่”
“หนึ่ง...” เดเร็กเริ่มต้นนับนิ้ว
“คิดว่าจะทำตาแดงแล้วฉันจะกลัวเหรอ?”
“สอง...”
“กรงเล็บของนายทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“สา -- ”
“ก็ได้!” เจ้าของห้องตะโกนกลบ ความรักชีวิตแท้ๆที่ทำให้ต้องจำยอม เด็กหนุ่มแยกเขี้ยวใส่รอยยิ้มพรายที่ประดับบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างคนที่ได้รับชัยชนะ อยากใช้อวัยวะส่วนล่างลบมันทิ้งแต่ก็กลัวจะถูกหาว่าแพ้แล้วพาล
สไตลส์กัดฟันกรอด หันไปคว้าหมอนใบที่ขาดไม่ได้ขึ้นมากอดแนบอกอย่างอารมณ์เสีย ปากพร่ำบ่นงึมงำตามประสาคนที่ไม่ได้ดั่งใจ “อยากได้เตียงใช่มั้ย? เอาไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ ลืมไปว่าฉันเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆที่ไร้ทางสู้คนนึง ไม่มีสิทธิ์จะเถียงอะไรอยู่แล้ว เชิญคุณอัลฟ่าประทับแท่นบรรทมได้เลยขอรับ ได้ต้องห่วง ฉันนอนฟูกสบายดี สบายมาก ไม่มีปัญหาอะไรสักนี๊ดดด สิ่งนี้มันเกิดมาเพื่อฉันอยู่แล้ว”
สไตลส์กระทืบเท้าไปยังฟูกแข็งๆที่ปูลาดอยู่ไม่ไกล เขาทิ้งตัวลงนอนเสียงดังตุ้บ ฉวยผ้าห่มผืนบางๆที่ตอกย้ำสถานะความเป็นเจ้าของบ้านขึ้นมาห่มลวกๆ หันหลังหนีให้สก็อตในเวอร์ชั่นขี้จุกจิกราวกับทนมองต่อไปไม่ได้อีกวินาทีเดียว ชายหนุ่มพ่นลมหายใจทางจมูกอย่างสุดจะทน ปากพึมพำสาปแช่งแขกที่ทำตัวไม่สมฐานะด้วยความคับแค้นใจ
“สไตลส์...” เป็นเสียงของสก็อตที่ดังขึ้นจากด้านหลัง – ไม่สิ... เป็นของเดเร็กต่างหาก“ที่ฉันขอแลกที่นอน...ก็เพราะฟูกมันเล็กเกินไป”
ไม่มีประโยคใดๆตามมาขยายความต่อ เรียกได้ว่าคนพูดน้อยก็ยังคงความพูดน้อยไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งครู่ถัดมา คนที่นอนอยู่ด้านล่างก็ได้ยินเสียงเสียดสีของผ้า เดาเอาว่าอีกฝ่ายคงขยับตัวขึ้นไปนอนแล้วเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร นายนอนไปเถอะ” สไตลส์เอ่ยปัดๆเหมือนอยากให้เลิกพูดเรื่องนี้เสียที เหอะ ไม่ต้องมาทำเป็นปลอบให้เขารู้สึกแย่น้อยลงหรอก ได้นอนเตียงสมใจแล้วก็เงียบๆไปสิ จะมาตอกย้ำความพ่ายแพ้ของเขาทำไม อุตส่าห์จะทำใจได้แล้วเชียว “เอื้อมขึ้นไปปิดไฟด้วยล่ะ สวิชต์อยู่บนหัวเตียง”
แม้จะไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด
อากาศในฤดูหนาวยังคงทรมานกันเช่นเคย แต่ที่คืนนี้ดูจะเลวร้ายกว่าทุกวันก็คงเป็นเพราะผ้าผืนเล็กที่คลุมอยู่เหนือร่างนั่นไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย แสงจันทร์สีน้ำเงินสาดเข้ามาทางหน้าต่าง สร้างความสลัวภายในห้องนอนที่เอียงตะแคงไปตามการมองเห็น สไตลส์ตัวสั่น สอดมือเข้าไปใต้หมอนใบโปรดเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น พยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อที่พรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นไปเรียนอย่างสดชื่น
นาทีล่วงเลยผ่านไป... หรืออาจเป็นชั่วโมงก็ไม่ทราบได้ ฝันที่เป็นรูปร่างพร่ามัวปลุกให้เจ้าของห้องสะดุ้งตื่น ดวงตาสีอำพันเบิกโพลงในความมืด มันไม่มีการหายใจหอบดัง ไม่มีเหงื่อซึมบนหน้าผากเหมือนอย่างที่เห็นในละครทีวี มีก็แค่ความรู้สึกแห้งๆเย็นๆของอากาศขมุกขมัวที่รายล้อมอยู่รอบตัว สัมผัสจากหัวใจที่เต้นกระแทกซี่โครง และเสียงของความเงียบที่ดังก้องอยู่ภายในหัวตน
เขาพลิกตัวอย่างอึดอัดบนที่นอนเย็นชืด ใช้เวลาหลายนาทีท่องเอถึงแซดเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่าน เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะขจัดความรู้สึกตกค้างจากการฝันร้าย ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นในเวลายี่สิบนาทีต่อมาด้วยสาเหตุเดิมๆ
สไตลส์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่เคยชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย มันระแวง มันกังวล มันหวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นในทุกวินาทีที่ไหลผ่าน ราวกับทุกส่วนของร่างกายพร้อมใจกันอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง แค่เพียงเสียงเล็กๆน้อยก็กระชากให้ทั้งร่างตื่นตัวพร้อมเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่ไม่มีอยู่จริง เขาพยายามปลอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า (มันไม่มีอะไรหรอก ไม่มีใครจะมาทำร้ายเราสักหน่อย...) แต่จิตใต้สำนึกกลับทำงานไปในทิศทางตรงกันข้ามอยู่เสมอ แม้กระทั่งการนอนในห้องของตัวเองยังไม่รู้สึกปลอดภัย ช่างน่าโมโหที่เขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้หลับสนิทๆได้อย่างคนทั่วไปเสียที
เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นมองอีกร่างบนเตียงผ่านความมืดสลัว สำรวจให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังคงนอนยู่ตรงนั้น จมจ่อมอยู่ในห้วงนิทราอันแสนผาสุก เสียงหายใจเข้าออกช้าลึกบอกให้รู้ว่าเดเร็กกำลังหลับสนิทและไม่ประสบปัญหาใดๆในการพักผ่อนอย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ บางทีนี่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สไตลส์หงุดหงิด เพราะในขณะที่เดเร็กนอนหลับเป็นตาย ตัวเขาซึ่งเป็นเจ้าของห้องกลับกระเด้งพรวดทุกๆยี่สิบนาทีเหมือนเป็นคนนอนแปลกที่เสียเอง
เขาสบถอย่างรำคาญในตอนที่สะดุ้งตื่นเป็นครั้งที่หก มือกุมหน้าอกราวกับอะไรบางอย่างทำให้มันปวดร้าว กรงเล็บที่ตวัดผ่านเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยังคงชัดเจนในมโนภาพ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนเป็นหนที่เจ็ด อากาศหนาวเสียดไปถึงปอด ต้องขยับกายไปมาเพื่อหาท่าที่จะทำให้ทั้งแขนและขาซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มแบบมิดชิดที่สุด เขาเริ่มต้นนับแกะอีกครั้งและหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องทำเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป
ในตอนที่ความคิดเริ่มต้นหมุนวนอย่างไม่รู้ทิศทาง สไตลส์ฝันว่าตนเองนอนอยู่บนเปลเชือกที่แกว่งไกวอย่างเชื่องช้า แขนขาตกลู่ข้างตัวอย่างบังคับไม่ได้ เขาพยายามหยัดตัวขึ้นนั่ง แต่กลายเป็นว่ากลิ้งตุบลงบนพื้นดินในที่สุด ใบหน้าแนบอยู่บนพื้นผิวที่ให้สัมผัสนุ่มนวลอย่างประหลาด ทุกส่วนของร่างกายหนักอึ้งและประท้วงที่จะเคลื่อนไหว เขากวาดมองสิ่งลางเลือนที่อยู่รอบตัว เห็นกองไฟเล็กๆลั่นเปรี๊ยะวูบไหวอยู่ไม่ห่าง ในวินาทีที่ยื่นมือไปสัมผัส ความอบอุ่นของเพลิงที่ลุกลามก็แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู
ครั้งนี้... เขาไม่สะดุ้งตื่น
.
.
.
แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดผ่านหน้าต่างห้องนอนช่างไม่ต่างอะไรกับหลอดไฟดวงใหญ่ที่ให้ความสว่างไปทั่วทุกมุมห้อง สัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่มาในรูปแบบของเสียงนาฬิกาปลุกที่แผดดังลั่นจนแสบแก้วหู แต่แล้วก็ถูกมือขาวซีดที่ยื่นพรวดออกจากผ้าห่มกดปิดเฉกเช่นทุกวัน สไตลส์เผยอเปลือกตาขึ้นมองเพื่อยืนยันว่าเจ้านาฬิกาปลุกข้างเตียงมันได้สยบให้แก่มือมารของเขาเรียบร้อยแล้ว พลางโอดครวญถึงความโหดร้ายของวิชาเรียนตอนแปดโมง
เจ้าของผิวขาวซีดพลิกตัวหมายจะบิดขี้เกียจอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ทว่า... อะไรบางอย่างหนักๆที่พาดอยู่เหนือเอวกลับยับยั้งไม่ให้เขาทำแบบนั้น
“หือ...” เด็กหนุ่มงึมงำในลำคอ หลุบตาลงเพื่อมองหาคำตอบว่าวัตถุปริศนานั้นคืออะไรกันแน่
ปรากฏเป็นแขนล่ำหนาขนยุ่บยั่บที่รัดรอบเอวของเขาอย่างถือวิสาสะ ระบุเพศและลักษณะได้ว่าต้องเป็นชายร่างใหญ่พอสมควร และเมื่อยิ่งได้สติมากขึ้น สไตลส์ยังสัมผัสได้ถึงแผงอกอุ่นร้อนที่ทาบทับด้านหลัง แนบสนิทเสียจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้กระดาษสักแผ่นเสียบลงไปได้ อารามตกใจทำให้ชายหนุ่มพยายามขืนตัวออกจากวงแขนที่รัดแน่น ทว่าในตอนนั้นเอง เขากลับพบว่ามันเป็นการกระทำที่สิ้นคิดที่สุด เมื่อบางอย่างลักษณะแข็งๆที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูไถอยู่ตรงบั้นท้ายยิ่งบดเบียดใกล้ชิดมากเข้าไปอีก
สไตลส์สูดอากาศเข้าปอดเสียงดังเฮือกราวกับคนที่เพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำ ตัวแข็งทื่อแทบจะทันที
นั่น...
ต้องเป็นนั่นแน่ๆ...
รูปทรงแบบนี้... สัมผัสแบบนี้... สิ่งที่ผู้ชายเหมือนกันก็ย่อมรู้กันดี
ชายหนุ่มเอียงคอกลับไปทางด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ตั้งใจเคลื่อนไหวอวัยวะทุกส่วนให้น้อยที่สุด (แน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีมากขึ้นน่ะสิ!) และก็ต้องยกมือขึ้นอุดปากระงับเสียงหวีดร้องที่ร่ำๆจะหลุดออกมาด้วยความตกใจ
ตะตะตะตะตายห่าาาา!
นั่น -- เดเร็ก เฮล
คิ้วหนาๆแบบนี้ สันจมูกแบบนี้ และเคราเขียวครึ้มแบบนี้ ...
เดเร็ก เฮล... เดเร็กเฮลตัวเป็นๆเลย
สไตลส์หมุนศีรษะกลับด้วยความเร็วจนคอแทบเคล็ด ดวงตากลมเบิกกว้าง คนที่ไม่รู้ตัวว่าขึ้นมานอนบนเตียงเมื่อไหร่และจบลงในลักษณะนี้ได้ยังไงกัดริมฝีปากยับยั้งเสียงของตัวเองจนห้อเลือด ควบคุมอารมณ์ตื่นตระหนกที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายอย่างแพนิคแอทแทคด้วยการหายใจเข้าลึกๆหลายที จะพระแม่มารีหรือแม่ชีเทเรซ่ารึก็ช่วยไม่ได้แล้วงานนี้
สไตลส์รวมรวบสติที่หล่นกระจัดกระจายเข้าด้วยกัน พยายามไม่คิดถึงต้นสายปลายเหตุของท่าทางล่อแหลม เพราะสถานการณ์ปัจจุบันดูจะเป็นอะไรที่น่ากังวลกว่ามาก เขาไล่สำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าไม่มีส่วนใดชำรุดไประหว่างที่นอนหลับไม่ได้สติ ซึ่งจะไม่คิดก็ไม่ได้ ในเมื่อขณะนี้เขากำลังถูกเดเร็กกอดรัดเหมือนปลาหมึก มีท่อนแขนแข็งแรงล็อกเอวไว้เหมือนคีม ทุกส่วนที่อยู่ด้านหลังเรียกได้ว่าแทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับด้านหน้าของอีกฝาย และถึงแม้เดเร็กยังคงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าลึกอย่างไม่รู้สึกตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอวัยวะทุกส่วนของหมอนั่นจะต้องหลับไปด้วยนะเว้ย!
นับว่าโชคดีแค่ไหนที่เมื่อคืนเขาเลือกจะใส่เสื้อนอนแทนที่จะเปลือยอกเหมือนทุกวัน
“เดเร็ก... เฮ้ -- ” คนในอ้อมแขนเอ่ยกระซิบ แก้มทั้งสองข้างร้อนฉ่า ลืมหมดแล้วซึ่งคำถามว่าทำไมร่างของเดเร็กมาอยู่ที่นี่ และผู้ชายที่ถือครองร่างนี้ใช่เดเร็กตัวจริงหรือไม่ “เอ่อ... นาย -- เดเร็ก? -- ตื่นที”
ถึงจะยังเหลือเวลามากพอที่จะเตรียมตัวไปเรียน แต่อย่างไรก็ตาม สไตลส์ไม่ได้เผื่อเวลาไว้สำหรับเรื่องนี้เลย
“เดเร็ก...” เจ้าของห้องเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แอบรู้สึกสมเพชตัวเองนิดๆที่ทำมากสุดก็ได้แค่ขยับปาก ก็ใช่อะสิ เขาขยับส่วนอื่นได้ที่ไหนกัน “เฮ้... ตื่นได้แล้ว”
มีเสียงสูดหายใจดังขึ้นจากคนด้านหลังในการเรียกชื่อครั้งที่สาม ตามมาด้วยการขยับตัวเหมือนว่าอีกคนกำลังจะได้สติ สไตลส์โห่ร้องในใจด้วยความยินดี -- อาจจะร้องไห้ถ้าทำได้ – โฮ! อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งเขาให้ต้องเผชิญเหตุการณ์คับขันแต่เพียงผู้เดียว
“เยส! เดเร็ก นายตื่นแล้วสินะ ฉันกำลังคิดอยู่ว่ – เดี๋ยว... นั่นไม่ -- ให้... ตาย... เถอะ -- เดเร็ก!” คนที่ดูท่าว่าจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งเข้าจริงๆโวยวายขึ้นด้วยความโมโห ใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ใจทั้งโกรธทั้งอาย เพราะแทนที่เขาจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เสี่ยงเสียตัว ดันกลายเป็นว่าเขาถูกกระชับวงแขนแน่นขึ้นเสียนี่ สไตลส์หวิดจะร้องไห้ออกมาอย่างจริงจังเมื่อรู้สึกถึงปลายจมูกที่กดลงบนต้นคอ ไรหนวดคมของคนด้านหลังเสียดสีจนรู้สึกแสบร้อน แต่อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับท่อนล่างที่กำลังถูกดุนดันจากการขยับสะโพกของอีกคนแล้วล่ะ “หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ใช่หมอนข้างของนายนะ”
“หือ -- ” เสียงที่แหบต่ำจากการนอนหลับดังขึ้นข้างหู พร้อมกับอ้อมแขนที่คลายลง “สไตลส์ -- มีอะไร...”
แต่ คลายลง ไม่ได้แปลว่า อิสระ มันแค่เพิ่มที่ว่างให้คนในอ้อมแขนได้พลิกตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเท่านั้น
“เดเร็ก!” ไม่เคยมีครั้งไหนที่สไตลส์เอ่ยชื่อด้วยความยินดีขนาดนี้มาก่อน “นายตื่นแล้วสินะ เยี่ยมเลย คงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะขอให้นายเขยิบถอยหลังไปสักหน่ -- สก็อต?” เรียวปากหยักหยุดชะงักลง เมื่อใบหน้าที่เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆว่าเป็นเดเร็กได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาอีกครั้ง “เดี๋ยว เมื่อกี้นายยัง -- สก็อต? เอาเข้าไปสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”
เจ้าของเตียงถีบตัวเองลงจากที่นอนด้วยความสับสนที่เพิ่มพูนขึ้นร้อยเท่า เขาตะเกียกตะกายขึ้นยืน จ้องมองสก็อตด้วยอาการช็อคเหมือนคนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ ก็วินาทีที่แล้ว... เดเร็กเฮลยังนอนอยู่ข้างหลังเขาอยู่เลย เขากล้าสาบานว่าเห็นมันกับตา แต่ในวินาทีถัดมา สก็อต – หรือร่างที่เป็นของสก็อต – ก็กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราวกับมีมนต์วิเศษยังไงยังงั้น
อะไรวะเนี่ย...
ถ้าคำนั้นยังอธิบายความงงได้ไม่มากพอ เราจะย้ำให้ฟังช้าๆ ชัดๆอีกครั้งนึง
อะ -- ไร -- วะ -- เนี่ย!
“สไตลส์” แม้จะงัวเงีย แต่ใบหน้านั้นก็ยังคงพอแสดงความกังวลให้เห็น “เกิดอะไรขึ้น”
“เกิดอะไรขึ้น? นายถามฉันเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันต่างหากที่ควรถามเรื่องนั้นกับนาย” เพราะไม่รู้จะเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดี ชายหนุ่มจึงทำได้แค่เท้าสะเอวแล้วใช้ดวงตาบวมตุ่ยหลังการตื่นนอนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย สไตลส์หรี่ตาลงเมื่ออีกคนไม่ยอมตอบ เขาตัดสินใจเปลี่ยนมากอดอก ท่าทางนั้นชวนให้นึกถึงนายตำรวจที่กำลังทำการซักฟอกผู้ต้องสงสัย “นาย... คือสก็อตหรือเดเร็กกันแน่?”
“แล้วเมื่อคืนนายพาใครมาค้างที่บ้านล่ะ” ร่างของสก็อตตอบคำถามด้วยคำถาม ใช้การเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทนการด่าอ้อมๆว่าโง่หรือเปล่า
“นายบอกฉันสิ”
“เดเร็ก” คนตรงหน้าตอบง่ายๆ ยกมือขึ้นปิดปากหาว “ว่าแต่... ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม”
“อ้อ มีสิ” สไตลส์ตอบทันควัน ยังคงไม่ละทิ้งบทเจ้าหน้าที่สอบสวนใหญ่ที่พร้อมแจกแจงความเสียหายให้ฟังเป็นข้อๆ ไม่สนใจท่าทางที่เปลี่ยนไปโดยกะทันหันของอีกคนในตอนที่ยืนยันว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน “เราจะเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดีล่ะ เรื่องที่ฉันขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่มีสาเหตุ? เรื่องที่นายฉวยโอกาสตอนที่ฉันหลับ? หรือเรื่องที่ฉันเพิ่งเห็นเดเร็กเฮลกลายร่างเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองต่อหน้าต่อตา?”
ไม่มีคำตอบที่มาในรูปแบบของคำพูด แต่เห็นได้ชัดว่าเดเร็กเริ่มกลับมาเป็นคนเดิมที่นิยมใช้การสื่อสารผ่านทางสีหน้ามากกว่าการอ้าปากอธิบายแบบคนปกติ เมื่ออีกฝ่ายขมวดคิ้วจนแทบเป็นจะปม และยื่นศีรษะออกมาเล็กน้อยประมาณว่า หือ? นั่นนายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?
“จะบอกว่าจำไม่ได้ล่ะสิ” ร่างบางถอนหายใจ เกลียดเหลือเกินเวลาที่ต้องเป็นฝ่ายชี้แจงอะไรที่ไม่สมควรได้รับการชี้แจง “เอางี้ ฉันจะไม่ถามว่าตัวเองขึ้นไปนอนบนนั้น -- ” เขาละคำว่า กับนาย ในตอนที่ชี้นิ้วไปบนเตียง “ -- ได้ยังไงหรอกนะ เพราะฉันอาจจะเดินละเมอขึ้นไปเอง ก็นะ... เมื่อก่อนฉันเดินละเมอบ่อย -- เรื่องมันยาว-- แต่กลับเข้ามาสู่คำถามที่ว่า... เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว นายคือ...นาย -- เดเร็ก! -- เฮล!– นอนหลับอยู่บนเตียงฉัน เดเร็กเฮลที่หน้าตาเหมือนเดเร็กเฮล เดเร็กเฮลที่เคราหนาๆ ชอบทำหน้าเหมือนหมาป่ากินของหมดอายุน่ะ -- นอนรัดฉันยังกับปลาหมึก แล้วพอฉันกระพริบตา บู้ม! จู่ๆนายก็กลายร่างเป็นสก็อต ยังกะมิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ลที่ถอดหน้ากากออกมาแล้วเป็นอีกคนเลย ทีนี้พอเข้าใจหรือยังว่าฉันกำลังพูดเรื่องอะไร... ไม่รู้ว่านายสังเกตเห็นมั้ย? แต่เรื่องนี้ต้องการคำอธิบายอย่างใหญ่หลวงเลยล่ะเพื่อน”
สิ้นคำ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เกิดเป็นความเงียบน่าอึดอัดอยู่หลายวินาที
“ฮะ?” อีกครั้งที่เดเร็กแสดงสีหน้างุนงงประหนึ่งว่าสไตลส์เพิ่งพูดภาษาต่างดาวที่เขาไม่เข้าใจ “ฉันอะไรนะ?”
“นายเพิ่งจะกลายร่างเป็นสก็อตเมื่อกี้นี้!” เจ้าของห้องตะโกนเสียงดัง ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากนักวะ เมื่อกี้เขาอธิบายได้ไม่ละเอียดพองั้นเหรอ “เรียบเรียงให้ใหม่อีกรอบนะ เมื่อคืนนายเป็นสก็อต เมื่อครู่นี้นายเป็นเดเร็ก แล้วล่าสุดนายก็กลับมาเป็นสก็อตอีกที เข้าใจยัง?”
“ฉัน...” คนที่ในที่สุดก็จับใจความได้เอ่ยขึ้นแบบไม่แน่ใจ “กลายร่างกลับมาเป็นสก็อต?”
“เออ ก็ได้ยินแล้วนี่” สไตลส์กลอกตา ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ “ต้องให้วาดรูปให้ดูไหม”
คนฟังพยายามไม่สนใจการประชดประชันที่แฝงอยู่ในประโยค แล้วหันไปให้ความสำคัญกับประเด็นหลักที่อาจเป็นกุญแจในการคลี่คลายปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
“มันหมายความว่ายังไง จู่ๆฉันก็กลายร่างไปเป็นคนอื่นโดยไม่รู้ตัวงั้นเหรอ” เดเร็กทำสีหน้าครุ่นคิด มองซ้ายขวาเหมือนคาดหวังว่าคำตอบจะโผล่ขึ้นมาอากาศ ซึ่งนับเป็นเรื่องหาดูยากในสายตาของคนที่พบเห็น เพราะอย่าลืมสิ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือร่างของสก็อตนะ แล้วสก็อตเคยทำสีหน้าซีเรียสขนาดนี้เมื่อไหร่กัน “ฉันไม่เข้าใจ ไอแซ็คบอกว่าฉันมีกลิ่นเหมือนอัลฟ่าของเขา ส่วนนายก็บอกว่าฉันกลับไปอยู่ในร่างเดิม แปลว่ามันยังมีอะไรเชื่อมโยงระหว่างตัวฉันกับร่างกายสินะ”
“หรือบางที...พวกนายอาจไม่ได้สลับร่างกันตั้งแต่แรกก็ได้ -- เหมือนในการ์ตูนไง นายกับสก็อตอาจจะแค่โดนสาปให้รูปร่างเหมือนอีกคนในตอนกลางวัน แล้วเปลี่ยนกลับมาร่างเดิมในตอนกลางคืน -- อันนี้แค่สมมตินะ” เรียวปากหยักรีบเอ่ยต่อท้าย เพราะทฤษฎีกลางวัน-กลางคืนคงไม่มีทางเป็นไปได้ อ้างอิงจากเมื่อคืนที่เขายังเถียงกับเดเร็กในร่างของสก็อตอยู่เลย “ฉันแค่จะสื่อว่า พวกนายอาจจะไม่ได้สลับร่างกัน แต่เป็นการเปลี่ยนรูปร่างเป็นกันและกัน สิ่งที่เราต้องรู้ให้ได้ก็คือปัจจัยที่จะทำให้พวกนายเปลี่ยนกลับไปร่างเดิม ซึ่งคงต้องอาศัยยายแม่มดวูดูพวกนั้นอยู่ดี...”
“แปลว่าฉันต้องไปลากคอพวกนั้นมาให้ได้” เดเร็กว่า
“ใช่ ก็ประมาณนั้น” สไตลส์ยักไหล่ ถ้าคนชอบใช้กำลังเขาถนัดวิธีนี้ก็ปล่อยเขาไปเถอะ “แต่...ถ้าพูดกันตามตรง ฉันแอบผิดหวังหน่อยๆแฮะ คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้ซะอีก เช่นนายมีพลังเท่ๆวาร์ปทะลุมิติสลับที่กับสก็อตอะไรประมาณนั้น หรือพลังแปลงร่างเป็นใครก็ได้แบบในเรื่องเอ็กซ์เมน... เคยดูมั้ย? -- หมาป่าคร่ำครึแบบนายคงไม่เคยดูสิท่า วันๆคงเอาแต่นั่งจับเจ่าอ่านหนังสือโบราณ-- ”
“สไตลส์ -- ”
“พูดถึงหนังสือโบราณ นายคงจะเคยอ่านเรื่องของคนพวกนั้นผ่านๆตาบ้างแล้วใช่เปล่า ไม่ใช่ว่าคิดจะไปสู้กับเสือมือเปล่าหรอกนะ ฉันจะแนะนำอะไรดีๆให้ฟัง ของแบบนี้มันต้องศึกษาไว้ก่อน รู้เขารู้เราไง -- แบบ -- รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เสียท่ามาแล้วรอบนึงก็อย่าให้เสียท่าอีก ไม่งั้นคนเขาจะว่านายเป็นอัลฟ่าที่ห่วยแต -- ”
“สไตลส์ -- ”
“เดี๋ยวก่อน นายบอกว่าเมื่อวานพวกนายไปกันสามคนใช่ไหม ขนาดมีอัลฟ่าไปตั้งสองคนยังกลับมาด้วยสภาพนี้อีก อืมม... บางทีคงไม่ใช่นายคนเดียวที่ห่วยแตกแล้วล่ะเดเร็ก ฉันว่าพวกนายทั้งสามคนเล -- ”
“สไตลส์”
“อะไร?”
“หุบปาก” เดเร็กเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ
“ฮ่า! ประโยคคลาสสิค” คนที่ถูกขู่วันละสองหนเป็นอย่างต่ำยักไหล่แบบสะทกสะท้าน “แล้วไง นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าแผนการคืออะไร โดดเรียนไปล่าแม่มดแล้วบังคับให้เขาเสกเจ้าชายกบกลับมาเป็นคนงั้นเหรอ ฟังดูง่ายดีนี่ แต่โทษทีนะ ฉันขอถามอะไรหน่อย รู้เหรอว่าจะหาพวกหล่อนได้จากที่ไหน?”
“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน” เดเร็กใช้มือแตะจมูกเหมือนจะบอกว่าใช้วิธีดมกลิ่นเอาน่ะสิ
“โอเค๊ แล้วถ้าเกิดว่านายหาไม่เจอ -- ”
“ฉันต้องหาเจอ”
“ก็ถ้าเผื่อนายหาไม่เจอ...”
“ฉันต้องหาเจอ” อัลฟ่าหนุ่มย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขบกรามกรอด
“โอเค งั้นถามใหม่” สไตลส์เองก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ “ถ้าเผื่อนายหาพวกนั้นไม่เจอในเร็วๆนี้ เตียงฉันจะต้องโดนยึดไปตลอดจนกว่านายจะคืนร่างเดิมเลยหรือเปล่า หือ? ฉันจะไม่ยอมลงไปนอนข้างล่างแล้วนะพวก เพราะนั่นไม่สนุกเลย ยังกับนอนในนรก”
อันนี้ไม่ได้พูดเล่น เรื่องเตียงมันสำคัญมากสำหรับเขาจริงๆ
เดเร็กเบี่ยงหน้าไปทางอื่น จงใจเลี่ยงที่จะตอบเหมือนเหนื่อยหน่ายกับคำถามไร้สาระ อืม... บางทีนั่นอาจจะเป็นคำตอบว่าใช่ในแบบของหมอนี่ก็ได้ สไตลส์ทำหน้าเซ็งเมื่อรู้ตัวว่าอนาคตการนอนหลับของตนกำลังเบนทิศทางไปทางคำว่าหายนะ เขาถอนหายใจเสียงดังแทนการโห่ประท้วงตรงๆ ใจจริงจะอยากเปิดศึกทวงสิทธิ์เจ้าของบ้านที่ตนพึงมี แต่ติดที่เวลามันไม่พอ เพราะเข็มยาวบนหน้าปัดนาฬิกาบอกชัดเจนว่าเขากำลังจะสายหากไม่รีบไปแต่งตัว
เมื่อเล็งเห็นว่าบทสนทนานี้คงยุติลงแล้ว (ก็เดเร็กไม่ยอมพูดอะไรต่ออะ...) และการยืนเฉยๆก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนอกจากจะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ สไตลส์จึงหมุนตัวกลับ คว้าผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า เตรียมอาบน้ำไปโรงเรียนก่อนที่จะโดนหักคะแนนเพราะเข้าเรียนสายเป็นครั้งที่สามภายในอาทิตย์เดียว
“นายบอกว่าฉันกอดนาย” เสียงแผ่วค่อยเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง รั้งให้ร่างบางหยุดชะงักฝีเท้า สไตลส์หันไปส่งสายตางุนน เอียงศีรษะน้อยๆเหมือนเด็กช่างสงสัย ประมาณว่าเมื่อกี้พูดอะไรนะ และจ้องมองเดเร็กที่นั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บนเตียง มีผ้าห่มผืนหนาที่เสียสละให้คลุมหมิ่นเหม่อยู่บนตัก “ฉัน... ได้ล่วงเกินอะไรนายหรือเปล่า”
อีกครั้งที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
และ...
อ้อ... -- อ้อ...
สไตลส์อ้าปากน้อยๆเมื่อเข้าใจสิ่งที่อีกคนกำลังสื่อ
ที่แท้ก็เรื่องที่เขาพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงมาตลอดการสนทนานี่เอง
“นายหมายถึงเรื่องที่นายเคารพธงชาติใส่ฉันน่ะเหรอ” คนเพิ่งที่ถูกลวนลามมาหมาดๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทประมาณว่า อ่อ เรื่องไม่สลักสำคัญนี่เอง เรื่องไม่ใหญ่โตอะไรเลยนี่เอง มีอะไรก็ว่ามาสิ เขารอฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรหรอกนะ รีบๆพูดมาได้แล้ว พลางใช้มุกสำรวจเล็บประกอบท่าทางอีกครั้ง ทว่า... แม้ภายนอกจะดูเหมือนสไตลส์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเรื่องนี้นัก แต่หากสังเกตดีๆ เราจะสามารถเห็นแก้มสองข้างที่ฉีดสีเข้มขึ้นได้แบบชัดเจน
“ฉัน... เผลอทำอะไรนายหรือเปล่า” เดเร็กถามอีกครั้ง ท่าทางกระอักกระอ่วนใจ พลางก้มลงมองหน้าตักตัวเองเหมือนจะกล่าวโทษส่วนหนึ่งของร่างกายที่ดันขยันทำงานผิดเวล่ำเวลา
“เอ่อ...” คนฟังกลืนน้ำลาย ตามปกติแล้ว สไตลส์ถนัดมากในเรื่องการหนีปัญหา ยกตัวอย่างเช่นการทำเมินไม่พูดถึงเรื่องบางเรื่องแล้วปล่อยให้ประเด็นนั้นตกไปเอง ซึ่งมันก็ใช้ได้ผลมาตลอด แต่... ดูท่าแล้ว... คงจะใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้ “ม... มั้ง? ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แค่นาย – เอ่อ -- ช่างมันเถอะา เรื่องธรรมชาติของผู้ชาย ฉัน -- ฉันเข้าใจ”
นิ้วขาวซีดม้วนชายผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนไหล่เล่นไปมาราวกับมันน่าสนใจเอามากๆ ถึงปากจะบอกให้ลืมๆไปซะ แต่ความเป็นจริงแล้ว ในมโนภาพของเด็กหนุ่มกลับนึกย้อนไปถึงความแข็งขืนที่เบียดเสียดดุนดัน เรียกได้ว่ายิ่งพูดยิ่งเห็นภาพ และที่แย่ไปกว่านั้น สไตลส์ยังเผลอนึกไปถึงสัมผัสจากหนวดเคราที่บาดผิวบริเวณต้นคอ ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่พร้อมใจกันไหลพลั่กๆเข้ามาฉายซ้ำในหัวยังไงยังงั้น
ชายหนุ่มกระแอมไอ ใช้นิ้วเกาบริเวณท้ายทอยที่รู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“ถ้านายไม่ว่าอะไร ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ” เจ้าของห้องมองหาลู่ทางพาตัวเองออกจากสถานการณ์น่าอึดอัด “แบบว่า -- อะแฮ่ม– เดี๋ยวไปเรียนสาย... ถ้ายังไง นายจะถือโอกาสนี้จัดการกับ...” เขาเลื่อนสายตาจากใบหน้าของเพื่อนสนิทลงไปที่เป้ากางเกง (ที่ยังคงคับตึงอย่างเห็นได้ชัด) และพูดต่อแบบติดๆขัดๆ “ตรงนั้น – ตามสบายเลย – นายก็รู้ – ฉันไม่ว่าอะไรถ้านายจะ -- คือ – เออ – นั่นแหละ– เพื่อน”
กลีบปากสวยเม้มปากแน่น แก้มทั้งสองข้างทวีความร้อนฉ่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะเคารพธงชาติตลอดการสนทนา กระทั่งตอนที่คุยกันในหัวข้อเครียดๆ... มันก็ไม่ลงสักนิดเลยเหรอ? อะไรจะ...ขนาดนั้น
สไตลส์ก้มหน้างุดเมื่อคิดว่าตนไม่เหลือความกล้ามากพอจะสบตาอีกคนตรงๆ มือปั่นชายผ้าเช็ดตัวรัวเร็วจนพันกันเป็นก้อนในตอนที่อีกฝ่ายโกยผ้าห่มขึ้นปิดตักตัวเองด้วยความเร็วแสง เขากระแอมไอให้คอโล่งทั้งๆที่คอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แม้จะตีหน้าขรึม แต่ใบหูกลับแดงก่ำจวนเจียนจะระเบิด
“ทิชชู่วางอยู่บนโต๊ะคอมนะ เพราะปกติแล้วฉันจะ -- ” เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ เกิดอาการน้ำท่วมปากกะทันหัน ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะบอกเรื่องให้อีกฝ่ายรู้ว่าปกติแล้วเขาใช้เวลาส่วนตัวหาความสุขที่บริเวณไหนของห้อง “ล... ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ”
คนที่เกือบจะพลั้งปากบอกเรื่องที่ไม่สมควรกล่าวเร็วปรื๋อ รีบสับขาตรงดิ่งไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าถูกรั้งไว้อีกครั้งด้วยเสียงจากคนเดิม
“สไตลส์”
“หา?” เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกจ้ำอ้าวกลับมา ใบหน้ายังคงเป็นสีชมพู “มีอะไร --”
“ฉันลืมบอกนายไปเรื่องหนึ่ง”
“อ... เออ มีอะไรก็รีบพูดมาสิ” เด็กหนุ่มกอดอก ชันแขนข้างหนึ่งขึ้นปกปิดแก้มที่ร้อนผะผ่าว
“เมื่อคืน... นายไม่ได้เดินละเมอขึ้นมาบนเตียง” เดเร็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เรียบสนิทแบบที่อ่านไม่ออก เรียบแบบที่อีกนิดก็โทนเดียวกับหุ่นยนต์แล้ว แถมใช้ใบหน้านิ่งสนิทเหมือนรูปปั้นกล่าวประโยคถัดไป “ฉันอุ้มนายขึ้นมาเอง”
ฮะ...
“แค่นี้แหละ ไปอาบน้ำเถอะ”
ฮะ?
คนฟังอ้าปากน้อยๆ ช่างน่าทึ่งที่คนเราสามารถได้ยินเสียงระเบิดดังตูมในหัว และรู้สึกท้องไส้บิดมวนเป็นเกลียวได้ในเวลาพร้อมๆกัน
เดเร็ก เฮล อุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียง
ย้ำอีกครั้ง... เดเร็ก เฮล อุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียง
“อ้อ...”
อ้อ...
“ก็ฉันเห็นนายนอนไม่หลับ เลยถือวิสาสะ -- ”
“ไม่-- ไม่เป็นไร” คนที่ถูกอุ้มขึ้นมานอนบนเตียงแบบไม่รู้ตัวตัดบท มือหยิกแขนเพื่อเรียกสติตัวเองกลับเข้าร่าง นัยน์ตาสวยกะพริบปริบๆเหมือนกำลังหาลู่ทางไปต่อให้ดูราบลื่นที่สุดแม้สมองจะหยุดการทำงานไปแล้ว “--นั่น... ดีนี่ -- คือว่า... นายมีน้ำใจมาก”
เดเร็กเลิกคิ้ว
“เยี่ยมเลย -- ฉัน – ขอบใจ”
สไตลส์ไม่รอดูปฏิกิริยาจากคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียง เพราะในทันทีที่พูดจบ เขาหมุนตัวกลับเหมือนพายุ ขาเรียวก้าวพรวดๆไปที่ห้องน้ำด้วยความว่องไวที่สุดเท่าที่ร่างกายของมนุษย์คนหนึ่งจะเอื้ออำนวย หวิดสะดุดผ้าขนหนูที่ตัวเองเผลอทำหล่นไว้ในตอนที่พยายามจะเปิดประตู
เมื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน มือขาวซีดรีบลงกลอน สไตลส์ไถลตัวลงกับพื้น หัวใจเต้นโครมครามกระแทกฝ่ามือที่กอบกุมอยู่บนหน้าอก
ให้ตายสิ
เขาอ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด
ให้ตายสิ
เดเร็กเฮลอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน คนคนเดียวกับเดเร็กที่เคยจับหัวเขากระแทกพวงมาลัยรถ คนเดียวกับที่คอยผลักเขากระแทกกับประตู เดเร็กคนนั้น อุ้ม เขา ขึ้น ไป นอน บน เตียง
ใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายในตอนที่หันกลับไปมองยังคงชัดเจนในความทรงจำ เดเร็กเฮลที่กำลังนอนหลับสนิท ไม่มีคิ้วที่ขมวดกันจนเป็นร่องลึก ไม่มีนัยน์ตาสีซีดที่คอยมองอย่างดุดัน ไม่มีน้ำเสียงออกคำสั่งให้หุบปากเวลารำคาญ หรือการขบกรามแบบที่เห็นบ่อยๆเวลาเขาทำให้อีกคนไม่พอใจ
มีเพียงท่อนแขนที่โอบรัด... แผ่นหลังที่แนบชิด... ไรหนวดที่เสียดสี... และสัมผัสล่วงละเมิดที่อีกคนเผลอกระทำโดยไม่ตั้งใจ --
สไตลส์โอดครวญเมื่อเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับส่วนล่างของตน
บ้าเอ๊ย... เขาต้องรีบไปเรียนนะ!
.
.
.
TBC
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ