Charm Of Love เชื่อมหัวใจให้รวมเป็นหนึ่ง
เขียนโดย Black_ButterflyZERO
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.02 น.
แก้ไขเมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 23.16 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
2) Episode 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตึก ตึก ตึก
ผมรีบวิ่งไปตามทางเดินแล้วก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอาคารใหญ่ซึ่งเป็นอาคารของสภานักเรียน ห้องพักครู และห้องประชุมต่างๆ นักเรียนทุกคนต่างพากันชี้ไปที่ดาดฟ้าของอาคารก็พบกับใครบางคนในชุดเครื่องแบบนักเรียนชาย ใบหน้าสวยราวกับเด็กผู้หญิงหากแต่ว่ากำลังโศกเศร้า ผมตรงสีน้ำตาลตัดสั้น กำลังยืนอยู่ขอบปูนของอาคารใหญ่ ทำเหมือนกับว่าจะโดดลงมาอย่านั้นแหละ
โดดลงมางั้นหรอ!?
“วัลดัส พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ!!” ผมหันไปดึงเสื้อคนข้างๆ ที่ทำหน้าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน
“เราจะทำอะไรได้ล่ะ ยิ่งเราเข้าไปใกล้ก็เหมือนกับว่ายิ่งกดดันให้เขากระโดดลงมานะ”
“...!!”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมก็เห็นผู้ชายผมสีเงินยาวประมาณหลังท่าทางเย็นชา สง่างาม กำลังสั่งให้ผู้ชายสี่ห้าคนช่วยกันกางเบาะลมชูชีพ ให้ตรงกับตำแหน่ง แล้วคุยโทรศัพท์กับใครสักคนด้วยท่าทางตึกเครียด คงจะเป็นคนในสภานักเรียนอีกนั่นแหละนะ
พอผมเงยหน้าขึ้นมองไปบนดาดฟ้าอาคารใหญ่อีกทีผู้ชายคนนั้นก็ลงมาจากขอบปูนของอาคารแล้วและกำลังพูดกับใครบางคนที่ผมกำลังตามหา
แอชเชอร์!!
“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นน่ะ!”
“หือ?” วัลดัสเงยหน้าขึ้นไปมองบาง “นั่นแอชเชอร์นี่!”
“ฉันจะไปหาเขา”
“เฮ้! เดี๋ยวสิออส...!!” ผมไม่สนเสียงเรียกของวัลดัสแล้วมุ่งหน้าวิ่งขึ้นบันไดไปดาดฟ้าทันที
Asher Talk’s
“เดินมาหาผมนะ ใจเย็นๆ อย่าทำแบบนั้นเลย” ผมพยายามพูดโน้มน้าวให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าผมสงบสติอารมณ์ เพราะตอนนี้เขาฟุ้งซ่านมากเกินไปแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะสงบเลย
“อย่ามายุ่งกับผมนะ!! ฮึกๆ...”
“ใจเย็นๆนะ...” ผมพูดและพยายามเอื้อมมือไปหาเขาพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าไปหาทีละนิด “มีปัญหาอะไรเรามาคุยกันดีๆนะ ฉันจะรับฟังทุกอย่างเอง”
“ไปไกลๆเลยนะ!! รุ่นพี่ช่วยผมไม่ได้หรอก ไม่ได้เลยไม่มีใครทั้งนั้น!!” ยิ่งเขาพูดมากเท่าไรก็ยิ่งเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ
แต่ผมเองก็อยู่ใกล้เขามากพอที่จะวิ่งไปคว้าตัวเขามาได้ ฉะนั้น...มีแต่ต้องลองเสี่ยงดูเท่านั้นแหละ!
“นั่น ผอ. นี่!” ผมตะโกนแล้วชี้นิ้วไปทางข้างหลังของเขาและไม่คิดว่าเขาจะเชื่อ เขาหันหน้าไปตามที่ผมชี้ ผมจึงใช้โอกาศนั้นวิ่งเข้าไปพร้อมกับเอื้อมมือไปจับข้อมือของเขาแล้วดึงเขามาหาตัวเองแล้วกอดแน่นเพื่อไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้ แน่นอนว่าเจ้าตัวก็ขัดขืนสุดๆเช่นกัน
“ปล่อย! ปล่อยผมนะ!!” เขาทั้งดิ้นและทุบที่อกผม แต่ผมก็จะไม่ปล่อยเขาแน่ๆ
“มิซากิ...” ผมเอ่ยชื่อเขาด้วยเสียงอ่อนโยน เจ้าของชื่อชะงักไปชั่วขณะหนึ่งแล้วเงยหน้ามามองผมด้วยใบหน้าโศกเศร้าที่มีน้ำตาเอ่อคลอสองตาคู่สวย “ไม่เป็นไรๆ ใจเย็นๆนะ”
“ฮึก...” ผมใช้นิ้วปาดน้ำตาออกให้เขาอย่างเบามือ จากนั้นก็ลูบหัวอย่างปลอบขวัญ “รู้จัก...ชื่อผม..ได้ไงน่ะ”
“ฉันเป็นรองประธานนักเรียนนะ ฉะนั้นเรื่องจำหน้าหรือชื่อนักเรียนฉันจำได้หมดแหละ”
“ขี้โม้จังนะครับ...ฮึกๆ”
“ ” ผมกอดเขาอยู่อย่างนั้น จนมิซากิเองก็เริ่มสงบลงบ้างแล้วถึงปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
ปัง!
ประตูดาดฟ้าถูกเปิดออกมาอย่างแรงพร้อมกับเจ้าของร่างบางที่หอบหายใจถี่พลางพิงร่างกายของตัวเองไว้กับขอบประตู ดวงตาสีเฮเซลคู่สวยเงยหน้ามองผมก่อนจะเดินเขามาหา ผมประคองมิซากิให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับจับมือมิซากิให้เดินตามมาด้วยกัน
“ออสตินทำไมนายถึงวิ่งขึ้นมาแบบนี้ล่ะ! ทำไมไม่อยู่ข้างล่าง”
“ผมเป็นห่วงพี่ยังไงล่ะฮะถึงได้ขึ้นมาแบบนี้”
“แล้วนายเป็นอะไรมากมั๊ยเนี่ย?”
“ไม่ฮะ...”
“ดีแล้วล่ะ งั้นขอตัวก่อนนะพี่ต้องอยู่รอผู้ปกครองของมิซากิจนกว่าจะมารับ” ผมพูดจบก็เดินเลี่ยงออสตินไปและสังเกตุได้ถึงสายตาออสตินที่มองต่ำลงมา ทำให้ผมรีบปล่อยมือที่จับมิซากิไว้เปลี่ยนมาเป็นจับต้นแขนแทน
เขาคงไม่คิดมากหรอกนะเรื่องแค่นี้เองน่ะ...
Austin Talk’s
หลังจากที่ลงมาจากอาคารแล้ว คนขับรถก็มารับตามเวลาทำให้ผมกลับบ้านมาคนเดียวเพราะว่าแอชเชอร์บอกว่าจะรอผู้ปกครองของมิซากิที่ห้องสภานักเรียนก็เลยให้ผมกลับมาก่อน แล้วก็ยังมีประธานกับคนอื่นๆในสภานักเรียนก็อยู่ด้วย ทำให้ผมแน่ใจได้ว่าแอชเชอร์ไม่ได้อยู่กับมิซากิสองต่อสอง
วันนี้ตอนที่กำลังเรียนอยู่ในห้องผมก็เห็นมิซากิด้วย เขาค่อนข้างจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใครแต่ก็เรียนเก่งมิใช่น้อย ใบหน้าตอนปกติ(ผมคิดว่างั้นนะ)รู้สึกจะทุกข์อยู่ตลอดเวลา หรือนั่นอาจจะเป็นใบหน้าปกติของเขาก็ได้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าในตอนเย็นวันเดียวกันจะคิดฆ่าตัวตายแบบนี้
“นายน้อยจะแวะที่ไหนก่อนจะถึงบ้านรึเปล่าครับ?” เสียงคนขับรถดังขึ้นเรียกผมที่กำลังคิดอะไรวุ่นวายอยู่ในหัวให้หันไปมอง
“งั้นขอแวะร้านเค้กตรงหัวมุมถนนก่อนนะฮะ ผมอยากซื้อเค้กให้พี่แอชเชอร์น่ะ”
“ครับ” คนขับรถรับคำสั้นๆ แล้วขับรถไปจอดยังจุดหมายที่ผมบอก
ผมลงจากรถแล้วเดินเข้าร้านเค้กประจำ ตอนที่ผมยังไม่เข้าโรงเรียนก็จะแอบออกมาซื้อเค้กให้แอชเชอร์เป็นประจำอยู่แล้ว พอถูกถามก็จะโกหกไปว่าให้คนรับใช้ซื้อมาให้ แต่ความจริงแล้วคนที่รู้เรื่องของแอชเชอร์มากที่สุดก็คือผมคนนี้แหละ ทุกๆอย่างที่ผมจะให้แอชเชอร์นั้นผมจะดูอย่างดีเลยทีเดียว
“เหมือนเดิมฮะ” ผมสั่งพนักงานที่คอยรับออเดอร์ของผมประจำ เขาจัดแจงหยิบเค้กที่ผมสั่งประจำใส่กล่องอย่างสวยงาม ก่อนจะยื่นมาให้ผมพร้อกับรับเงิน “ไม่ต้องทอนนะ”
“ขอบคุณที่มาอุดหนุนครับ คราวหน้ากรุณามาใช้บริการร้านเราอีกนะครับ”
“ฮะ ” ผมส่งยิ้มให้พนักงานที่โค้งให้ผมอย่างมีมารยาทแล้วก็เดินออกจากร้านไป
ระหว่างทางที่กำลังเดินไปที่รถซึ่งมีคนขับรถเปิดประตูรถรออยู่ ผมก็เห็นซีดานคันหรูสีเงินขับผ่านหน้าผมไป และผมจะไม่สนใจอะไรมากมายถ้าภายในรถนั้นไม่มีแอชเชอร์นั่งอยู่กับมิซากิ!!
ผมรีบเดินกลับเข้าไปในรถและสั่งให้คนขับรถรีบขับไปที่บ้านทันที พอดีกับที่แอชเชอร์กำลังก้าวลงจากรถผมจึงรีบบอกให้คนขับรถหยุดและผมก็รีบวิ่งไปหาแอชเชอร์
“ทำไมพี่ไม่กลับพร้อมผมล่ะ? ทำไมกลับมาพร้อมผู้ชายคนนี้” ผมพูดและใช้สายตามองอย่างคาดคั้น มันก็จริงแทนที่เขาจะกลับมาพร้อมผมเลย ให้ผมรอเขาก็ยังได้
“พี่ไม่อยากให้นายรอนะ”
“รอแค่นี้เอง ผม...”
“เอาไว้คุยกันในบ้านนะ” แอชเชอร์พูดขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ จากนั้นก็หันหลังไปหามิซากิที่กำลังยืนอยู่ “ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ เรื่องวันนี้ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้รุ่นพี่เดือนร้อน”
“ไม่เป็นไรๆ เรื่องที่เราคุยกันฉันอยากให้นายเก็บไปคิดนะ และหวังว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาฉันที่ห้องสภานักเรียนได้ตลอดเลยนะ”
“ครับ”
ผมมองแอชเชอร์ที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างทุกครั้งสลับกับมิซากิที่ส่งยิ้มให้แอชเชอร์ ทั้งๆที่ในห้องก็ไม่ใช่คนที่จะยิ้มให้ใครแบบนี้ง่ายๆแท้ๆ แต่ทำไมกับแอชเชอร์ถึงได้ทำแบบนั้นกันนะ!!
หงุดหงิดที่สุดเลย
ผมเดินหนีแอชเชอร์ที่ทำเป็นไม่สนใจผมเข้าไปในบ้าน ก่อนจะขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของตัวเองพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้แล้วโยนเค้กที่ซื้อมาลงพื้น แต่ก่อนแอชเชอร์ไม่เคยพาใครมาที่บ้าน ไม่เคยเอ็ดผม ไม่เคยแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่ผม และก็ไม่เคยจับมือใครนอกจากผม!!
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับทุกคนที่เขาหาแอชเชอร์นอกจากผม อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้เข้าโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ แอชเชอร์ก็ควรจะสนใจและดูแลผมมากกว่าใครก็เป็นได้ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวจังนะ
ก็อก ก็อก ก็อก
“ออสตินเปิดประตูให้พี่นะ”
“ไม่!”
“ออสติน!”
“.....” ผมยังคงไม่สนใจเสียงแอชเชอร์ที่ตะโกนเรียกอยู่หน้าห้อง ต่อให้เขาจะพังประตูเข้ามาผมก็ไม่สนหรอก
“จะเปิดให้พี่ดีๆหรือว่าจะให้พี่เปิดเข้าไปเองน่ะออสติน”
“อย่านะ! อย่ามายุ่งกับผมนะ”
“วันนี้นายเป็นอะไรน่ะ ทำไมทำตัวงี่เง่าแบบนี้ ทั้งๆที่เมื่อเช้ายังร่าเริงดีอยู่เลยนะ” จะให้บอกมั๊ยล่ะว่าเป็นเพราะอะไร เพราะผมหงุดหงิดสุดๆในเรื่องเมื่อตอนเย็นนี้ไงล่ะ “พี่จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่เปิดพี่จะเปิดเข้าไปเองนะ”
“.....”
“...หนึ่ง...”
“.....” นับไปสิ
“สอง...”
“......” ถ้าคิดว่าพังประตูเข้ามาได้ก็เชิญผมไม่สนใจหรอก
และไม่ทันที่แอชเชอร์จะนับถึงสามประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว แอชเชอร์ไม่ได้พังประตูเข้ามาแต่อย่างใด เขาใช้เพียงพวงกุญแจที่ถืออยู่ในมือไขเข้ามาเท่านั้น
“เข้ามาทำไม?” ผมถามเขาเสียงห้วมพร้อมกับนอนหันหลังให้แอชเชอร์ที่ยืนอยู่หน้าประตู “นี่มันห้องของผม”
“ลุกขึ้นมาคุยกับพี่ดีๆนะออสติน นายก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบคุยแบบนี้”
“แล้วจะให้คุยแบบไหน ผมก็คุยกับพี่แล้วไงแค่นี้ยังไม่พอใจอีกหรอ?”
“ออสติน...” แอชเชอร์เรียกชื่อผมเบาๆ ก่อนจะเงียบไป จนผมรู้สึกได้ถึงใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมและจ้องมองผมด้วยสีหน้าเจ็บปวด
อย่าทำแบบนี้ได้มั๊ย?
“.....” ผมลุกขึ้นมานั่งหันหน้าคุยกับแอชเชอร์ดีๆ “ผมขอโทษ...”
“วันนี้นายเป็นอะไร? เมื่อเช่ายังร่าเริงที่ได้ไปโรงเรียนอยู่เลย หรือว่าจะไม่สบาย??” แอชเชอร์พูดพร้อมกับเอาหลังมือมาแตะที่หน้าผากผมอย่างเบามือ และแปรเปลี่ยนเป็นมองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงแทน
“ผมสบายดี”
“แล้วทำไมถึงทำตัวแบบนี้ล่ะ ถ้าพี่ทำอะไรให้นายไม่พอใจก็บอกสิ ทำแบบนี้พี่ไม่รู้หรอกนะ”
“.....” จะให้ผมบอกมั๊ยล่ะว่ารู้สึกหงุดหงิดมากๆเลยตอนที่พี่อยู่กับมิซากิน่ะ
“ออสติน?”
“ผมแค่เบื่อๆน่ะ ปล่อยผมไว้คนเดียวสักพักเถอะฮะ ผมเหนื่อยแล้วอยากเข้านอน” ผมตัดบทไปแค่นั้น แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับคลุมโปงหันหลังให้แอชเชอร์
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของแอชเชอร์ที่ดังขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดและปิดประตูไปเงียบๆ พอรู้ว่าแอชเชอร์ออกจากห้องไปแล้วผมก็ดึงผ้าคลุมโปงออกแล้วลุกขึ้นมานั่ง
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรและทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมก็รู้ว่าแอชเชอร์มีเพื่อนมากมาย แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับคนเหล่านั้นเลย
ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ!
เช้าวันต่อมาผมรีบตื่นก่อนแอชเชอร์แล้วให้คนขับรถไปส่งที่โรงเรียน จากนั้นก็เดินไปที่ห้องสมุดเพื่อหาที่เงียบๆนอน เพราะว่าเมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลยมัวแต่คิดเรื่องนั้นอยู่นั่นแหละ ทำให้นอนไม่เต็มที่แล้วตอนนี้ก็ง่วงสุดๆเลยด้วย
“โย่! มาแต่เช้าเลยนะ เริ่มชอบโรงเรียนบ้างยังอ่ะ?”
ในขณะที่ผมกำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อนอนหลับแต่ก็มาเจอหมอนี่อีกแล้ว ทำไมผมต้องมาเจอคนอย่างหมอนี่ในตอนที่โคตรง่วงๆด้วยนะ!
“ไม่เลยสักนิด”
“ทำไมอ่ะ? โรงเรียนเรามเรื่องน่าตื่นเต้นเยอะแยะเลยนะ ผีประจำโรงเรียน ห้องต้องห้าม เห็นมะ...เมื่อวานยังมีเรื่องนักเรียนจะโดดตึกตายเลย เป็นไงล่ะโรงเรียนนี้มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นสุดๆเลยว่ามั๊ยล่ะ?”
“หรอ...”
“เที่ยงนี้ไปนั่งทานข้าวด้วยกันนะ ฉันอยากลอกทานอาหารอิตาเลี่ยนดูบ้าง ปกติแล้วก็ทานแต่อาหารฝรั่งเศส ลองเปลี่ยนบ้างก็ไม่เลวเหมือนกันเนอะ! นายว่า...”
“คร่อกกก...zzZ”
“หลับซะแล้วแหะ...”
อ่า...แกล้งหลับแบบนี้ทำให้วัลดัสเงียบได้นี่ถือว่าดีสุดๆเลยเนอะ จะว่าไป...ถ้าแอชเชอร์ตื่นมาแล้วไม่เจอผมจะเป็นยังไงนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมทำตัวแบบนี้ใส่เขา ตราบใดที่ผมยังไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร ผมก็ไม่มีทางมองหน้าเขาได้หรือไม่ก็ถ้ารู้แล้วผมก็ไม่สามารถมองหน้าเขาได้อีกต่อไปแน่ๆ
เฮ้อออ...วุ่นวายซะจนนอนไม่หลับเลย
“ฉันรู้นะว่านายไม่ได้นอนหลับ อยากให้ฉันเงียบก็บอกมาสิ” วัลดัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางความเงียบของห้องสมุด ภายในนี้มีเพียงแค่ผมกับวัลดัสเท่านั้นเอง
“ขอโทษที...พอดีว่ามีหลายเรื่องให้คิดน่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ บอกฉันได้นะ”
“อือออ....”
ผมผลิกหน้าที่หันหนีวัลดัสกลับมาอีกฝั่งโดยที่ใบหน้ายังคงฟุบราบไปที่โต๊ะ ทำให้สายตาของผมสบตาเข้ากับวัลดัสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและฟุบหน้าหันมาทางผมพอดี เขาดูตกใจแต่ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติพร้อมกับยิ้มให้
“ตาของนายสวยจัง”
“ตาของนายก็สวย....” ผมจ้องมองไปยังสายตาที่แฝงไปด้วยความเจ้าชู้ตามแบบหนุ่มอัธยาศัยดีของวัลดัส ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าเทอร์ควอซสดใสราวกับน้ำทะเลกำลังสั่นไหวนิดๆ สักพักใบหน้าของเขาก็เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อๆ จนผมเองก็รู้สึกแปลกๆไปเหมือนกัน
ครืดดด!!
ประตูห้องสมุดถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงพร้อมกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหมือนผม กำลังทำสีหน้าไม่พอใจอย่างแรงตอนที่กำลังเดินมายังพวกเราสองคน
“ทำไมนายมาโรงเรียนคนเดียวโดยที่ไม่รอพี่ห๊ะออสติน!!”
นั่นไง...ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าคงโกรธผมมากแค่ไหนน่ะ
“ผมจะมาคนเดียวบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ฮะ อีกอย่างตอนนี้ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนะ พี่ก็เห็นนิว่าวัลดัสก็อยู่กับผมตรงนี้”
“.....” แอชเชอร์หันมองไปทางวัลดัสที่กำลังนั่งส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะตวัดสายตาโกรธๆมองมาทางผม “อย่างน้อยก็บอกพี่ก่อน หรือไม่ก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ก็ได้”
“ขี้เกียจ...”
“อะไรนะ?”
“วัลดัสฉันหิวแล้ว ไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า”
“อ่า..อื้ม!”
“ดะ..เดี๋ยวออสติน!!”
ผมตัดบทไปเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกมาจากห้องสมุดโดยที่ไม่ลืมลากวัลดัสให้ออกมาด้วยกัน ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรกับแอชเชอร์ทั้งนั้นแหละ
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงกระแทกฝีเท้าเพราะรีบเดินดังไปทั่วโถงทางเดินของอาคารเรียน วัลดัสที่ถูกลากมาด้วยกันก็ตามมาอย่างเงียบๆ จนเราใกล้จะถึงตรงโรงอาหารนั่นแหละเขาถึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“หนีออกมาแบบนี้จะดีหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า”
“พวกนายสองคนทะเลาะอะไรกันรึเปล่า?”
“.....” คำถามของวัลดัสทำให้เท้าทั้งสองข้างชะงัก ผมค่อยๆหันไปหาเขาแล้วพยายามปรับน้ำเสียงให้เรียบเฉย “เปล่าซะหน่อย”
“อย่ามาโกหก” วัลดัสเดินมายืนตรงหน้าผมแล้วใช้สองมือประคองใบหน้าผมให้เงยหน้าไปมองเขา “จ้องตาฉันแล้วพูดประโยคเมื่อกี๊อีกครั้งสิ”
สายตาของวัลดัสที่กำลังมองผมทำให้ผมแทบจะอดกลั้นความรู้สึกต่างๆของตัวเองไม่ได้ ทำไมนะผมถึงไม่สามารถปฏิเสธสายตาที่จริงจังของวัลดัสได้เลย
“ฉันจะเล่าให้นายฟังหลังเลิกเรียนล่ะกัน” ผมพูดพร้อมกับปัดมือวัลดัสที่จับแก้มผมอยู่ เจ้าตัวก็ยิ้มร่าจากนั้นก็เดินไปโรงอาหารด้วยกัน
ระหว่างเรียนผมก็พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อเช้า แต่มันก็อดคิดไม่ได้ก็ผมไม่เคยเห็นแอชเชอร์ทำสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้นกับการกระทำของผมมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยทำตัวงี่เง่าหรือว่าต่อต้านเขามาก่อน แอชเชอร์คงจะตกใจมากแน่ๆ ทั้งๆที่คนที่ผิดน่ะมันเป็นผม สงสัยวันนี้ผมคงต้องไปขอโทษเขาสักหน่อยแล้ว
ช่วงพักกลางวันผมก็รีบวิ่งออกจากห้องเรียนเพือไปหาแอชเชอร์ที่ห้องสภานักเรียน ตอนแรกก็คิดว่าจะปลอมตัวเป็นแอชเชอร์แล้วเนียนๆเข้าไปในห้องสภานักเรียน แต่คิดไปคิดมาผมเองก็ไม่มีแถบติดแขนและสัญลักษณ์ของสภานักเรียนด้วย ความคิดนี้ก็เลยตัดไป
“สวัสดีครับ ผมขอเข้าไปหาแอชเชอร์ได้มั๊ย?” ผมถามกับคนในสภานักเรียนที่เปิดประตูออกมาพอดี
“อ่อๆ ถ้าเข้าไปรอน่ะได้นะ แต่ตอนนี้ประธานไม่อยู่หรอกนะ”
“เอ๊ะ? ไปไหนหรอครับ?”
“เห็นมีเด็กหน้าตาน่ารักเรียกออกไปเมื่อกี๊น่ะ ไม่ได้เดินสวนกันหรอกหรอ? สงสัยคงจะสารภาพรักอีกนั่นแหละ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว ลองไปที่สวนของอาคารเด็กปี 2 ดูสิ”
“ขอบคุณครับ”
ผมพูดขอบคุณเสร็จก็รีบวิ่งไปทางสวนของอาคารปี 2 ตามที่คนในสภานักเรียนบอกทันที เรื่องที่แอชเชอร์มีคนมาสารภาพรัก ผมเองก็ไม่เคยรู้เลย แอชเชอร์ไม่เคยเล่าให้เราสังสักนิด แล้วที่บอกว่าเป็นเรื่องปกติก็แสดงว่ามีบ่อยเลยสินะ จะว่าไป...แอชเชอร์ทั้งเรียนดี เก่งกีฬา แถมร่างกายก็ไม่อ่อนแอเหมือนผม ก็เลยไม่แปลกหรอกที่จะมีผู้หญิงมาสารภาพรักน่ะ
“รุ่นพี่...ก่อนหน้านี้ต้องขอบคุณมากๆเลยนะครับ”
เสียงนี่มัน...
ผมหยุดวิ่งตรงซอกตึกที่เชื่อมระหว่างอาคารปี 2 กับโรงอาหาร ที่ตรงนี้ค่อนข้างจะไม่ค่อยมีคนผ่านซะด้วย ผมเลยหลบอยู่หลังกำแพงและแอบฟัง บางทีอาจจะเป็นแอชเชอร์ก็ได้ แต่เสียงที่ได้ยินเมื่อกี๊มัน...
“ไม่หรอก ฉันแค่ทำตามหน้าที่นะ”
นี่เสียงแอชเชอร์นิ...
แล้วอีกคนล่ะ...
“ที่เรียกออกมาก็เพราะผม...ผม...”
“มีอะไรงั้นหรอ...มิซากิ?”
มิซากิหรอ...!!
“คือผม...ผมชอบรุ่นพี่มานานแล้ว และชอบมากๆ มันอาจะฟังดูแปลก แต่ว่า...ได้โปรดคบกับผมด้วยเถอะนะครับ”
อึก! ผมช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงก่อนหน้านี้ไม่ใช่เสียงของเด็กผู้หญิงที่ไหน แต่เป็นเสียงของมิซากินั่นเอง ตอนนี้มิซากิกำลังอยู่กับแอชเชอร์และกำลังสารภาพรักอีกด้วย ผมจะทำยังไงดีนะ!!
“ได้สิ...”
“จริงหรอครับ!!”
“จริงสิ ฉันจะคบกับนายนะ มิซากิ”
ประโยคนั้นของแอชเชอร์ทำให้หัวใจผมแทบจะสลาย ราวกับว่ามีเข็มเป็นพันๆเล่มทิ่มแทงลงที่หัวใจผมอย่างเจ็บปวด น้ำตาค่อยๆเอ่อคลอสองตาก่อนที่มันจะไหลลงมาจนไม่สามารถหยุดได้ วินาทีนั้นภายในหัวของผมก็โล่งไปหมดจนคิดอะไรแทบไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับรู้และเข้าใจแล้วว่าตัวผมเองนั้น...ตกหลุมรักแอชเชอร์สุดหัวใจ พอรู้แบบนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาหนักกว่าเดิม ผมได้แต่ยื่นอยู่ที่ตรงนั้นและเอามือทั้งสองข้างมาปิดปากเอาไว้เพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา
ทำไมกันนะ...ทั้งๆที่เราสองคนเป็นของกันและกันมาตลอด แต่ทำไมวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยคิดมันกลับพังทลายจนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
เสียงพูดคุยของทั้งสองคนนั้นเงียบไป แล้วตามด้วยเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาทางผม ผมไม่รีรออะไรแล้วรีบวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะทำได้
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป...ผมจะมองหน้าแอชเชอร์ติดได้ยังไงกันนะ
ผมเดินกลับไปที่อาคารของปี 2 และเดินเข้าห้องเรียนไป วัลดัสที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็เดินมาขวางทางผมก่อนที่ผมจะได้เดินไปถึงโต๊ะเรียนของตัวเอง
“ไปไหนมาอ่ะ พอพักเที่ยงก็รีบวิ่งออกไปเลยนะ”
“ไปห้องน้ำ...” ผมพูดเสียงเรียบพลางหันหน้าหนีแล้วก้มหน้าลง “ฉันจะไปที่โต๊ะ ช่วยถอยไปหน่อยได้มั๊ย?”
“เป็นไรของนายน่ะ มาซะสุภาพเชียว”
วัลดัสไม่มีทีท่าว่าจะถอยออกไๆปง่ายๆ ผมเลยไม่สนใจในสิ่งที่วัลดัสพูดก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อที่จะเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง
หมับ!
“อะไรของนายเนี่ย!” ผมเงยหน้ามองวัลดัสอย่งหาเรื่องที่ถูกเขาขว้าแขนเอาไว้ จนลืมไปเลยว่าเขาอาจจะเห็นร่องรอยที่ผมร้องไห้
“ขอบตานายแดงๆนะ นายร้องไห้ทำไม?” วัลดัสจ้องมองผมอย่างจับผิด และผมก็ทำได้เพียงหลบสายตาของเขาเท่านั้น
“แค่ฝุ่นมันเข้าตา ฉันก็เลยขยี้จนมันแดงแบบนี้แหละ”
“อย่ามาโกหกฉันนะ มีอะไรทำไมไม่เล่าให้ฉันฟัง ห๊ะ! พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ!?”
“เพื่อนหรอ...” ผมสะบัดมือที่วัลดัสจับไว้จนหลุดแล้วหันไปเผชิญหน้า “ฉันไม่เคยบอกเลยนะว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกันน่ะ”
“…..”
คำพูดที่เย็นชาของผมทำให้วัลดัสนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่แทนที่เขาจะยอมถอยออกไปให้ผมอยู่คนเดียวกลับเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วดึงให้วิ่งออกไปนอกห้องเพื่อไปที่ไหนสักที่
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงฝีเท้าวิ่งของพวกเราดังไปทั่วโถงทางเดินของอาคารเรียน นักเรียนบางคนที่กำลังเดินขึ้นอาคารเพราะใกล้หมดเวลาพักแล้วก็ต้องรีบหลบให้เราแทบจะไม่ทันตั้งตัว แถมยังตะโกนไล่หลังด้วยว่ารีบไป....รึไงน่ะ
“ปล่อยฉันนะวัลดัส! ปล่อยสิเฟ้ยย!!” วัลดัสปล่อยมือผมอย่างว่าง่าย ผมมองไปรอบๆตัวเองก็พบว่าตัวเองอยู่ที่หน้าห้องสมุด “พาฉันมาที่นี่ทำไม?”
“เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังซะ” ไม่ทันที่ผมจะได้แย้งอะไรก็ถูกวัลดัสจับมืออีกครั้งพร้อมกับจูงเข้าไปในห้องสมุด “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายทะเลาะอะไรกับแอชเชอร์ แต่อย่างน้อยก็น่าจะให้ฉันรู้สาเหตุสักหน่อยเถอะว่าเขาทำอะไรนายถึงต้องร้องไห้มาแบบนี้”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“ฉันควรรู้เพราะว่าฉันเป็นเพื่อนนาย”
“.....”
ผมมมองหน้าวัลดัสอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ ทั้งๆที่ปล่อยไปทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้แท้ๆ แต่เขากลับพยายามทำตัวเป็นห่วงผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเลยรึไงนะเพราะทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้นผมก็จะพยายามไล่เขาไปตลอด
สุดท้ายผมก็ทนกับความดื้อรั้นของวัลดัสไม่ได้ เลยตัดสินใจเล่าให้วัลดัสฟังหลังจากที่เขาลากผมไปที่มุมโต๊ะแถวๆหลังห้องสมุด ซึ่งไม่มีคนเดินผ่านและค่อนข้างจะส่วนตัวด้วย ผมเล่าให้เขาฟังพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาตลอด ผมไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกแบบนี้ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขนาดนี้ และก็เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นซึ่งไม่ใช่แอชเชอร์
“ตอนนี้นายเริ่มใจเย็นขึ้นบ้างรึยัง?”
“อืมม...ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ...” วัลดัสใช้นิ้วเรียวปาดน้ำตาของผมออกอย่างอ่อนโยนพร้อมกับใช้แขนของตัวเองดึงผมเข้าไปกอด แล้วกระซิบเบาๆ “บ้างทีนะ...ฉันก็อิจฉาแอชเชอร์สุดๆเลย”
“อะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสละ แล้วใช้มือขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด “นอนมั๊ย? ร้องไห้ขนาดนี้คงจะเจ็บตาแย่เลยล่ะสิ ตอนนี้พวกเราก็โดดเรียนกันไปแล้วด้วย อีกแค่ 2 ชั่วโมงก็จะเลิกเรียนแล้ว เอาเป็นว่าวันนี้เราสองคนก็พักกันสักหน่อยเนอะ”
“อื้อ...” ผมพยักหน้ารับ แล้วฟุ่บหน้าไปที่โต๊ะโดยมีแขนสองข้างรองเป็นหมอน
ป่านนี้แอชเชอร์จะทำอะไรอยู่นะ... คงจะมีความสุขกับมิซากิไปแล้วแน่ๆ
น่าอิจฉา...จริงๆ...
“ติน..ออสติน..”
“อืออออ...”
“ตื่นได้แล้วนะ นี่นายนอนเลยเวลามาจะห้าโมงแล้วนะ”
“หือ?” ผมค่อยๆลืมตาขึ้นก็พบว่าวัลดัสกำลังทำสีหน้าเคร่งเครียด และมือสองข้างก็กำลังเขย่าตัวผมอยู่ “กี่โมงแล้วอ่ะ...?”
“ห้าโมงแล้ว นายพาฉันหลับเพลินไปด้วยเลยนะออสติน”
“ห๊ะ!?” ผมรีบเด้งตัวยืนขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน่าต่าง ท้องฟ้าตอนนี้กลายเป็นสีส้มอมทอง นี่มันก็เย็นมากแล้วแอชเชอร์คงจะกำลังรอผมอยู่แน่ๆเลย
ผมคิดได้ดังนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องสมุดไป แต่จู่ๆ สมองก็คิดได้ขึ้นมาว่าตอนนี้แอชเชอร์ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียวอีกแล้ว ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวออกจากห้องสมุดกลายมาเป็นหันหลังและเดินกลับไปหาวัลดัสแทน
“มีอะไรออสติน?”
“ฉัน....ยังไม่อยากกลับบ้าน”
“นายพูดอะไรน่ะ เดี๋ยวแอชเชอร์ก็เป็นห่วงนายนะ รีบๆกลับไปได้แล้ว”
“ไม่...”
“ออสติน!W”
“ฉันไม่กลับ!!!”
วัสดัสถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พลางใช้มือขยี้ผมของตัวเองจนยุ่ง ก่อนจะหันหน้ามามองผม
“โอเคๆ งั้นนายจะไปบ้านฉันมั๊ยล่ะ?”
“บ้านนาย?”
“ก็นายไม่อยากกลับบ้านนิ หรือว่ามีที่ไหนที่อยากไปล่ะ ฉันจะให้คนขับรถพาไปส่ง”
“ไม่เอา”
“แล้ว??”
“ไปบ้านนายก็ได้”
ผมเดินตามวัลดัสออกจากห้องสมุดแล้วเดินไปที่หน้าโรงเรียน ไม่นานหลังจากที่วัลดัสคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก็มีรถซีดานสีดำคลับคันหนึ่งวิ่งมาจอดที่หน้าประตู ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกอย่างรีบร้อนก่อนจะวิ่งมาเปิดประตูทางเบาะหลังให้กับผมและวัลดัส
ระยะทางที่รถเคลื่อนผ่านไปยังบ้านของวัลดัสนั้น สมองของผมก็คิดเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องของมิซากิ และเรื่องที่แอชเชอร์ถูกสารภาพรักจากผู้หญิงและผู้ชายในโรงเรียนบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลยเพราะว่าแอชเชอร์ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากบอกผม พวกเราเคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะไม่มีความลับต่อกัน และตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยมีเรื่องปิดบังแอชเชอร์เลยแม้แต่เรื่องเดียว...ไม่ใช่สิ...มีอีกเรื่องที่ผมบอกเขาไม่ได้เด็ดขาดว่าผมน่ะ รักเขามากแค่ไหนน่ะสิ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ