เกาะ D
-
เขียนโดย LittleBlue
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 19.17 น.
6 ตอน
0 วิจารณ์
8,520 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558 19.41 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
3) ชายหน้ากาก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“นายเอาจริงใช่ไหม เราจะไปหาทหารหลังจากออกมาจากที่ๆพวกเขาเป็นคนขังเราเนี่ยนะ?” ไคโตะถามนำ้เสียงท้าทายเหมือนได้เล่นสนุก ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงฝีเท้าที่ยังมุ่งไปข้างหน้า
“พวกเธออกมาได้ยังไง!” ทหารวัยกลางคนเดิมตะโกนด้วยความโกรธ
“ไม่สำคัญว่าเราออกมาได้ยังไง เราจะช่วยไม่ให้เรือจม” จินตอบนำ้เสียงราบเรียบ หัวหน้าทหารหัวเราะอย่างยาบคลายก่อนสีหน้าจะกลายเป็นความเกลียดชัง “ปีศาสอย่างพวกแกเนี่ยนะจะช่วย! ทหารพาตัวพวกมันกลับไปที่ห้องขัง!” ทหารรอบๆเริ่มเคลื่อนที่เข้ามาจับกุมพวกเขา มินาโกะเตรียมตัวตั้งรับการจับกุมแต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดขึ้น เสียงดังมาจากด้านนอก มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ท่าทางได้รับการบาดเจ็มมาไม่น้อย เขาตรงมามาหาหัวหน้าทหารก่อนจะรายงานอย่างรวดเร็ว “พวกเราได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่โชคยังดีที่ระเบิดนั้นไม่ได้กระทบห้องเครื่อง ไม่อย่างนั้นคงซ้อมแซมไม่ได้” หัวหน้าทหารขมวดคิ้วกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะคิดหาทางแก้ไขปัญหาได้ จอมอนิเติอด้านหน้าก็กลายเป็นภาพของคนใส่หน้ากาก
“สวัดดีคุณทหาร เป็นอย่างไรบ้างกับการทักทายเล็กๆน้อยๆที่กระผมส่งไปให้ โอะโอ๋อย่าได้เสียใจไปนะครับ แน่นอนว่าการทักทายครั้งนี้ยังไม่จบ กระผมเตรียมไว้พร้อมแล้วครับ พวกคุณก็แค่รอเวลาสนุก จุจุจุ พวกคุณคงสงสัยว่าทำไม อื้ม นั้นเพราะพวกคุณอยากกักขังพวกเราผู้ใช้พลัง กระผมเลยให้รางวัลกับความพยายามสักหน่อย” เจ้าคนใส่หน้ากากพูดทุกคำพูดด้วยนำ้เสียงราบรื่น ‘นำ้เสียงน่ารังเกียจ’ มินาโกะคิดในใจ “งั้นขอให้สนุกนะครับ” เป็นคำพูดสุดท้ายของชายหน้ากากก่อนที่จอจะดับไป ทหารในห้องควบคุมเริ่มส่งเสียงดัง บ้างก็ตระโกนว่าให้รีบสละเรือหนี บ้างก็บอกให้ไปตามหาระเบิดโดยด่วน เสียงโวยวายพูดคุยปะปนกันไปทั่ว แต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ต่างเลยคือความโกรธและเกลียดที่มีต่อผู้ใช้พลัง ความคิดเดียวที่เหมือนกันจึงกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้พวกทหารในห้องเริ่มเห็นคล้องกัน คนหมู่มากเริ่มป้ายความผิดใหคนหมู่น้อยบนเรือ การกระทำที่เหมือนหมาจนตรอกของพวกทหารในความคิดของมินาโกะนั้นไร้ซึ่งเหตุผลและไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย สายตาของมินาโกะเริ่มแปรเปลี่ยนไปไร้ความรู้สึกเช่นที่เคยเป็นเมื่อมองไปยังนายทหารตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนจะโถมเข้ามาโจมตีพวกเขา มินาโกะตัดสินใจขยับไปด้านหน้าเพื่อเตรียมพร้อมรับมือแต่การเคลื่อนไหวของจินหยุดเธอไว้ มินาโกะส่งสายตาถามไถ่ไปยังคนตัวสูงที่ขยับมาบังหน้าเธอแต่จินไม่ให้คำตอบ เขาส่งเสียงไม่ดังไม่เบาออกไปยังพวกทหาร “ปล่อยหน้าที่ของระเบิดให้เป็นของพวกเรา”
พวกทหารที่ดูเหมือนจะกระโจนเข้ามาต่างพากันหยุดนิ่งและมองจินด้วยความสงสัยปนแคลงใจ ความเงียบกลับมาในห้องราวกับว่าทั้งห้องมีบรรยายกาศมืดครึ้ม มีอะไรบางอย่างที่หนักอึ่ง อะไรสักอย่างที่หยุดยั้งการพูดคุยระหว่างสองฝ่าย หนึ่งเหล่าผู้ใช้พลัง หนึ่งเหล่าทหารแสนธรรมดา ต่างจ้องหน้ากันไม่วางตา มีก็แต่ผู้หญิงคนเดียวในห้องที่สายตานั้นได้ทำการปิดลงราวกับว่าไม่ต้องการรับรู้อะไรอีกแล้วและต้องการอยู่เงียบๆไม่ยุ่งเกี่ยว หัวหน้าทหารตัดสินใจพูดออกไปเมื่อรู้สึกได้ถึงเวลาอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่เพื่อให้เรือจะรอดจากการจม
“ทำไมพวกฉันจะต้องเชื่อพวกแกด้วย?” คำถามและนำ้เสียงครั้งนี้ไม่ใช่การดูถูกแต่เหมือนต้องการยั่งเชืองเพื่อที่จะตัดสินใจ ไคโตะที่เงียบกริบมาตั้งแต่เริ่มฉีกยิ้มบางและหัวเราะนิดๆราวกับเย้ยหยันคำถามของหัวหน้าทหาร “แน่สิว่าเราจะทำอย่างตั้งใจเพราะ ถ้าเรือจมเราก็เดือดร้อนเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เราจะหลอกพวกคุณหรอก”
หัวหน้าทหารถอนหายใจ “ตกลง พวกคุณจัดหารระเบิด ส่วนพวกเราจะคอยควบคุมสถานการณ์และไปซ่อมแซมส่วนที่ถูกระเบิดให้มากที่สุด” จินพยักหน้าเป็นการตอบรับ หัวหน้าทหารยื่นเครื่องมือสื่อสารวิทยุสองเครื่องให้จินพร้อมกับเอ่ยอธิบาย “ระเบิดถูกเอาไปไว้ในสองที่ โดยที่วิธีที่จะหยุดการทำงานของระเบิดประเภทนี้คือการกดปิดการทำงานของระเบิดทั้งสองพร้อมๆกัน” จินตอบรับโดยการรับวิทยุสื่อสารไป เขาตัดสินใจไปฝั่งที่คนใส่หน้ากากนั้นอยู่โดยทันที ‘อีกฝั่งหนึ่งนั้น...’
“มินะไปเอง” หญิงสาวผมทองชมพูเอ่ยขัดจังหวะความคิดของจินพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อขอหนึ่งในวิทยุสื่อสาร จินไม่ได้ยื่นมันให้เธอ เขายื่นเครื่องหนึ่งให้ไคโตะแลัวหันมาจับข้อมือของหญิงสาวพร้อมกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พลังของเธอไม่เหมาะ” หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่งเงียบก่อนเอ่ย “ไม่จิน มินะทำได้”
แต่แล้วก่อนเรื่องจะไปไกลกว่าเหตุไคโตะก็เอ่ยขัดเมื่อคิดอะไรขึ้นได้ “จะว่าไปพลังของซาโตรุคือการแยกส่วนสิ่งของไม่ใช่หรอ งั้นก็น่าจะใช้แยกส่วนระเบิดได้นะ” สายตาของชายหญิงที่พึ่งถกเถียงกันมุ่งไปยังชายใส่แว่น ซึ่งตอนนี้เจ้าของแว่นเริ่มมีเหงื่อไหลออกมา ปากสั่นยุกยิก มือไม้ขยับเกรงๆ เมื่อเห็นดังนั้นสายตาของมินาโกะจึงฉายแววออน่ลง
“อย่างไรก็ตามเราจะไปเอง” หญิงสาวเอ่ยในขนะที่สบตากับชายหนุ่มที่ยังคงจับข้อมือเธอไว้แน่น ซาโตรุจับมือที่สั่นเท้าของตัวเองและหายใจเข้าออกลึกๆอยู้สองสามที ก่อนจะพูดขึ้นด้วยนำ้เสียงมั่นใจผิดปกติ “ไม่ผมไปเองครับ ถูกอย่างที่คุณไคโตะพูด พลังของผมเหมาะสมจริงๆ” หญิงสาวมองมือของซาโตรุที่ยังคงสั่นไม่หยุดอย่างลังเล ซาโตรุซึ่งรู้สึกถึงความลังเลนั้นจึงหัวเราะออกมา “คุณมินาโกะใจดีจังเลยนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับผมต้องทำได้เพราะผมก็อยากที่จะรอดเหมือนกัน” มินาโกะเบิกตากว้างด้วยไม่คาดว่าชายหนุ่มจะพูดกับเธอแบบนั้น เธออ้าปากจะพูดโต้ตอบแต่มือหนาที่จับข้อมือเธออยู่นั้นกลับส่งแรงบีบเบาๆมาราวจะเตือนว่าไม่ต้องพูดแล้ว หญิงสาวหันกลับไปมองคนตัวโต แต่จินไม่ได้มองมาที่เธอ เขาพยักหน้าให้ซาโตรุ ก่อนจะปล่อยข้อมือของเธอ เขาเดินไปหาซาโตรุและแตะที่ไหล่ทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไป มินาโกะมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินจากไปอย่างเหม่อลอย ความทรงจำในอาดิตแล่นเข้ามาในหัว แผ่นหลังที่เธอมักเห็น แผ่นหลังที่คอยปกป้องเธอ ‘ไม่ ไม่ใช่ มันไม่ใช่จิน แต่เป็นเรย...’
ไคโตะมองหญิงสาวที่จู่ๆก็เงียบและเหม่อลอยอย่างนึกสงสัย ‘เธอเป็นอะไรไปนะ?’ แต่เขาก็ได้แค่คิดเพราะเขารู้ดีว่าถ้าถามออกไปก็คงไม่ได้คำตอบ เขาหันเหความสนใจไปที่หนุ่มแว่นซึ่งตอนนี้หน้าซีดอย่างไม่น่าเชื่อก่อนจะยิ้มมุมปาก จับคอเสื้อของเจ้าคนขี้ขลาดแต่ทำเก่งและออกแรงดึง “ไป เราก็ไปได้แล้ว เรามีงานต้องทำ” ผู้ถูกดึงเบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยถาม “คุณไคโตะจะไปด้วยหรอครับ?” ไคโตะทำท่าสงสัยกับคำถามก่อนส่งสายตาเหมือนจะบอกนัยๆว่าถามอะไรโง่ๆ “มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว เรื่องสนุกๆแบบเนี่ยหากันได้ง่ายๆหรือไง อีกอย่างวิทยุอยู่ที่ฉัน ไปเร็ว” ซาโตรุมีสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะยิ้มแบบโง่ๆด้วยความโล่งอก ไคโตะที่เห็นคนทำเก่งแอบดีใจที่ไม่ต้องเจออันตรายคนเดียวก็หัวเราะชอบใจ “ทำเป็นเก่ง แต่จริงๆแล้วกลัวจนสั่น” ชายหนุ่มแว่นหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็รู้ว่ามันสายไปแล้วเมื่อเห็นแววตากวนๆของคนตรงหน้าที่ส่งมา จึงได้แต่ยิ้มแหะๆอย่างยอมรับความจริง
“พวกนั้นจะทำได้จริงเหรอ ไม่สิจะช่วยพวกเราจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าร่วมมือกับสตรูอยู่หรือ ก็ปีศาจเหมือนกันนี่” เสียงของทหารคนหนึ่งดังขึ้นมาในห้อง แรงบีบเบาๆที่มีทำให้มินาโกะที่อยู่ในอาการเหม่อลอยมีสะติ เธอมองลงมาหาเด็กน้อยด้านข้าง “พี่สาวพวกพี่ชายนะต้องทำได้ใช่ไหมคะ?” เด็กน้อยพูดเสียงเบา หญิงสาวยิ้มน้อยก่อนจะรูบหัวเด็กหญิงเบา “อืมได้แน่จะ” เสียงสบประหม่าของพวกทหารยังดังไม่หยุดทำให้เธอหันขวับไปมองทหารผู้เอ่ยในสิ่งที่เธอคิดว่าไร้สาระที่สุดอย่างหนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างมุ่มหมาย ทหารผู้นั้นคงจะรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายตาคู่งามเพราะพวกเขาหยุดปากแทบจะทันที
“พวกเขาจะทำสิ่งที่จำเป็น และจะทำมันสำเร็จ” มินาโกะพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังมากแต่หนักแน่น ทุกคนในห้องจึงกลับไปอยู่ในความเงียบ สายตาของคนในห้องจดจ่ออยู่กับภาพบนหน้าจอทีวีที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพที่เห็นด้านหนึ่งคือจินที่ยืนอยู่หน้าประตูอันหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือไคโตะที่เดินนำหน้าซาโตรุอย่างสบายๆ ในขณะที่ซาโตรุได้แต่พึมพัมอะไรก็ไม่รู้...
จินมองประตูเหล็กด้านหน้า ภาพของมินาโกะที่อาสาจัดการกับระเบิดแวบเข้ามาในหัว เขาถอนหายใจ จริงๆแล้วเขารู้ดีว่ามินาโกะทำได้ ความสามารถเธอมันไม่ธรรมดาแต่เขาก็อดห่วงไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขานึกว่าเขาได้เสียคนสำคัญของเขาไปแล้ว ในเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่เขาก็จะไม่มีวันเสียเธอไปอย่างแน่นอน จินผลักมันเปิดก่อนจะกระโดดไปด้านข้างแทบจะทันทีเพื่อหลบกระสุนที่พลุ่งเข้ามา จินหรี่ตาลง คนตรงหน้าก็คือผู้ใส่หน้ากากนั่นเอง “ทำแบบนี้ทำไม” จินเอ่ยถามแต่เขาไม่ได้คำตอบ สิ่งที่ได้คือกระสุนมากมายที่ตรงมาที่เขาจินหมุนตัวหลบพร้อมกับเบี่ยงไปทางฝั่งขวา จากนั้นก็ซ้ายแต่ถึงเขาจะหลบหลีกด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วก็ไม่วายโดนเฉี่ยวที่แขนทำให้เลือดไหลซึม มินาโกะที่ดูอยู่เม้มปากอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตามการต่อสู้ยังไม่จบ จินในตอนนี้สามารถเข้าประชิดบุคคลครงหน้าแล้ว เขาจับคอเสื้อของชายหน้ากากก่อนจะยกตัวมันขึ้นและจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง “อั๊ก” ชายหน้ากากร้องออกมา ก่อนจะกระอักนำ้ลายออกมา ชายหน้ากากพยายามจะแกะมือหนาของจินออก แต่จินไม่ยอมให้โอกาศมันทำสำเร็จ เขาใช้มือขวาชกหน้ามันจังๆ ทำให้ชายหน้ากากสลบลง เมื่อเห็นว่าผู้ก่อเรื่องหมดฤทธิ์แล้วก็หันความสนใจไปที่ระเบิดซึ่งเป็นวัตถุทรงเหลี่ยม ความสูงประมาณเข่าของเขา เขาหยิบวิทยุซึ่งเขาเควี่ยงออกไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาจากพื้น “ระเบิด จัดการได้ยัง?” คำตอบที่ได้รับเป็นเสียงของไคโตะ “ฮะฮาฮา ยังเลยครับคือว่ามันมี เฮ้ย ซาโตรุหลบ...” เสียงของซาโตรุแซกเข้ามา “คุณไคโตะครับ มันมีเยอะ อ้า ผมพลาดอีกแล้ว อ้า ช่วยด้วย!!” จากนั้นเสียงของคนก็หายไปกลายเป็นเสียงระเบิดดังลั่น แล้วก็เสียงวิทยุถูกตัดขาด จินขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ‘หรือเขาควรจะไปช่วยฝั่งนู้น’ สายตาของเขาเหลือบมองเวลาระเบิดทำให้รู้ว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว ‘ไม่ทัน’ สีหน้าของจินแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เสียงวิทยุเรียกสติเขากลับมา “จิน ได้ยินไหม”
“มินะ” เขาตอบ “จิน มินะนับสามแล้วจัดการกับระเบิดเลยนะ 3..2..1” จินก็เอื้อมมือเข้าไปแตะวัตถุนั้นทำให้มันแยกชิ้นส่วนออกจากกันจนไม่สามารถใช้งานได้ ก่อนที่เขาจะออกมาจากห้องเขาได้ยื้มพลังของซาโตรุจากการสัมผัสศาโตรุครั้งหนึ่ง พลังของจินซึ่งสามารถดึงพลังของคนอื่นมาเป็นของตนนั้นทำให้เขากลายเป็นผู้ใช้พลังที่ถูกจับตามองถึงแม้จะใช้ได้แค่พลังของคนล่าสุดที่สัมผัสโดนครั้งสุดท้ายคนเดียวก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็นผู้ใช้พลังระดับเอสนั้นมีมากกว่าความสามรถนั้น ที่พวกทหารขังเขาแยกเป็นพิเศษเป็นเพราะทักษะในการต่อสู้ของเขามันสูงมากและเขายังมีความสามารถในการปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญทำให้ถึงแม้เขาจะได้พลังที่ดูไร้ประโยชน์มากแค่ไหนการจะเอาชนะเขาได้ก็ยังยากอยู่ดี จินเหลือบไปมองคนที่ยังสลบอยู่ด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนจะพึมพำเบาๆ “คนธรรมดา”...
มินาโกะมองจอทีวีอย่างโล่งอกด้วยทั้งฝั่งจินและฝั่งซาโตรุต่างแยกชิ้นส่วนของระเบิดได้พร้อมกันตามคำสั่งของเธอ ฝั่งของซาโตรุนั้นต้องเผชิญกับกับดักมากมายและซาโตรุนั้นก็ดันซุ่มซ่ามอย่างมากทำให้เกือบไม่รอดถ้าไม่ได้ไคโตะช่วยไว้ แต่วิทยุดันพังเพราะแรงระเบิด โชคยังดีที่ไคโตะมีไหวพริบทำให้รู้ว่ามีกล้องอยู่ เขามองมาที่กล้องยกมือของตนขึ้นและชูสามนิ้ว เข้ายืนนิ่ง10วินาทีก่อนจะหันไปบอกซาโตรุ และนับถอยหลังพร้อมกับนิ้วของเขาที่เอาลงไปพร้อมๆกัน มินาโกะนั้นวิทยุหาจินตั้งแต่ไคโตะสบตามาที่กล้องแล้วทุกอย่างจึงเป็นไปได้ด้วยดี ‘เขารู้ได้ไงว่าคนหลังกล้องจะทำมันทัน?” คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัวของหญิงสาว เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงซึ่งแบกเจ้าหน้ากากที่หมดสติมาด้วย ข้างหลังจินคือไคโตะกับซาโตรุที่ตามมาติดๆ เด็กหญิงข้างกายมินาโกะวิ่งไปหาจินและกระโดดกอด มินาโกะไม่ได้เดินออกไปทันที หญิงสาวมองสำรวจร่างเจ้าของผมสีเงินอย่างละเอียด สายตาคู่งามหยุดที่เลือดตรงแขนของคนตรงหน้า เธอเดินจ้ำเข้าไปหาเขาโดยไม่สนเจ้าหน้ากากที่ถูกเขาโยนลงกับพื้นก่อนหน้านี้ หญิงสาวฉีกขอบผ้าคุมตัวเองออกและทำการเช็ดเลือดออก เธอถอนหายใจโล่งอกเมื่อรับรู้ว่ามันเป็นแผลตื้นๆเท่านั้น สายตาคมเข็มซื่อตรงมองลงมายังหญิงสาวข้างหน้าอย่างอบอุ่นโดยที่ผู้ถูกมองไม่รู้ตัวแม้แต่นิด “มินะจินไม่เป็นไร” มินาโกะพยักหน้ากับคำพูดของคนตรงหน้า
“ว้า น่าอิจฉาจังว่าไหมซาโตรุ มินาโกะจังกับมิคะจังเอาแต่สนในจิน ไม่มีเราสองคนในสายตาเลย” เสียงขี้เล่นของหนุ่มผมพระอาทิตย์ทำให้ดวงตาทองคำงดงามมองไปด้านหลังจินและสบเข้ากับดวงตาสีนำ้เงินของผู้พูด ไคโตะยิ้มยียวนมองหญิงสาว สีหน้าของมินาโกะไม่เปลี่ยนแปลงแต่ในหัวเธอนั้นเคร่งเครียด ‘เขาบาดเจ็บ..เมื่อไหร่.. หรือตอนนั้นที่ระเบิด เขาโดนมันงั้นหรือ?’ ส่วนเด็กน้อยก็ตาโตก่อนจะโพล่งออกไปโดยไม่คิด “อ้าพี่ชายบาดเจ็บหรอคะ” ซึ่งขัดกับหญิงสาวที่กำลังจะเอ่ยถามว่าบาดเจ็บได้อย่างไรแต่ก่อนที่คำถามของเด็กน้อยจะถูกตอบและก่อนที่คำถามของหญิงสาวจะถูกถามก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างด้านหลังพวกเขา
“เป็นไปไม่ได้! ทำไมนายถึงทำแบบนี้?!” เสียงตะโกนนั้นเป็นของหัวหน้าทหาร “ทำไมละครับหัวหน้า ผมนึกว่าคุณจะเข้าใจ สิ่งที่ผมทำคือการกำจัดพวรไร้ค่าพวกนี้ กำจัดพวกมีพลังอันน่ารังเกียจ หัวหน้าซึ่งเสียครอบครัวไปเพราะพวกมันน่าจะเข้าใจผมดี” ชายหนุ่มหน้ากากซึ่งตอนนี้ไม่มีหน้ากากบนหน้าแล้วตอบออกมาด้วยนำ้เสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “นายไม่ได้แค่จะกำจัดพวกนี้ แต่ยังจะทำให้คนบนเรือทั้งหมดตาย ซึ่งนั้นรวมถึงทหารบนเรือทั้งหมดด้วย” ชายวัยกลางคนในชุดทหารตะโกนตอบโต้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ ใครหละจะไปคิดว่าเจ้าคนที่สวมหน้ากากซึ่งคิดจะจมเรือทั้งรำนั้นนอกจากจะไม่ใช้ผู้มีพลังแล้วยังเป็นลูกน้องในสังกัดอีกด้วย
“ฮะฮาฮ่าฮา หัวหน้าครับเพื่อให้แผนการใหญ่ลุล่วง บ้างครั้งการเสียสละคนกลุ่มหนึ่งก็จำเป็นต้องทำสิครับ อย่างไรซะก็เพื่อกำจัดเจ้าสัตย์พวกนี้ทิ้ง ถ้าจะมีคนตายไปบ้างก็ช่วยไม่ได้จริงไหมครับหัวหน้า” คำอธิบายที่ไร้เหตุผลของลูกน้องที่ตัวเองไว้ใจทำให้ชายวัยกลางคนทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดที่ไม่ดูแลลูกน้องให้ดีกว่านี้ “ไม่โซมะ สิ่งที่นายทำมันแย่กว่าพวกที่มีพลังซะอีก นายกำลังหักหลังพวกเดียวกันเอง อย่างน้อยพวกมีพลังก็ฆ่าคนซึ่งๆหน้า” เมื่อพูดกับอาดีตลูกน้องเสร็จ เขาหันไปสั่งการคนอื่นๆ “พาตัวเจ้านี่ไปขัง จัดการระเบิดให้เรียบร้อย” หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองกลุ่มคนที่มีพลังในห้องแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง “เดี๋ยวก่อน” เสียงนุ่มอ่อนของผู้หญิงดังขึ้น ทำให้ชายวัยกลางหยุดเดิน “ขอกล่องประถมพยาบาล” ชายวัยกลางคนมองหญิงสาวตรงหน้าแต่ไม่ตอบอะไร เขาหันหลังเดินออกไป หญิงสาวขมวดคิ้วหงุดหงิด อยากจะจัดการเจ้าทหารวัยกลางคนนั้น สายตาของเธอกลับไปจดจ่อกับเลือดบนตัวของไคโตะอีกครั้ง ‘เธอต้องทำอะไรสักอย่าง’ เธอเดินเข้าไปหาเขาก่อนจะจัดการเอามือเขามาคล้องไว้ตรงไหล่บาง ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะฉีกยิ้มและกระชับการเกาะกุมของตนที่ไหล่บางแต่แล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างช่วยไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงสายตาคุกคามที่ถูกส่งมาจากด้านหลัง ‘ฮึ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร รู้สึกว่าผู้ใช้พลังระดับเอสจะไม่ชอบใจที่เขาใกล้ชิดกับสาวน้อยคนสนิท’ ชายหนุ่มคิดในใจแต่ก็ไม่ได้คลายการเกาะกุมลงราวกำลังจะกวนประสาทคนข้างหลัง จินหรี่ตาลง เขาหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพตรงหน้าทำให้เขาอยากเข้าไปกระชากร่างบางออกมาจากการเกาะกุมนั้น ‘มันใกล้เกินไป’ ชายหนุ่มยกมือหมายจะจับร่างบางออกมาแต่แล้วก็ชะงักมือ ‘เขาเป็นอะไรไป เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้ ไม่ว่าจะโดนทำร้ายหรือโดนด่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยโกรธ แต่นี่ก็แค่...’
“คุณไคโตะเป็นอะไรมากไหมครับ เป็นเพราะผม” เสียงของซาโตรุหยุดยั้งความคิดของจิน พร้อมๆกับทำรายบรรยากาศที่กำลังก่อเกืดขึ้นระหว่างชายหนุ่มกับคนที่มินาโกะกำลังช่วยพยุง “อะไร ฉันจะทำอะไรนายก็บังคับฉันไม่ได้หรอก แล้วจะเป็นเพราะนายเนี่ยนะ ไม่มีทาง แต่ถ้ามินาโกะจังเป็นคนพูดละก็ผมอาจจะยอมรับ” ไคโตะโต้ตอบซาโตรุพร้อมกับหันไปแหย่คนข้างๆอย่างนึกสนุก อาการหงุดหงิดเริ่มก่อตัวอีกครั้งเมื่อจินได้ยินสิ่งที่ไคโตะพูด แต่แล้วแรงกระตุกเบาๆที่มือก็หันเหความสนใจของเขาจากผู้ชายกับหญิงสาวตรงหน้า “พี่จิน พี่ผมทองคนนั้นจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เด็กน้อยถามนำ้เสียงไม่สบายใจ จินพยักหน้า “อืม” จากนั้นความคิดเขาก็เปลี่ยนไป ‘หมอนั่นคนเจ็บ จะเป็นห่วงก็ปกติ จะช่วยก็ปกติ ไม่แปลกที่หญิงสาวขี้ใจอ่อนตรงหน้าจะช่วย’
หญิงสาวที่ยังคงพยุงคนบาดเจ็บไม่ได้เอ็ะใจแม้แต่น้อยกับความขัดแย้งไร้เสียงที่เกิดขึ้น ในหัวของเธอกำลังคิดวิธีแก้ปัญหาของอาการบาดเจ็บของคนข้างๆที่ดูไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอะไรเลยโดยที่บาดแผลทั้งลึกทั้งใหญ่ ทันใดนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับกล่องประถมพยาบาล “คือว่าหัวหน้าให้เอามันมาให้นะครับ แล้วก็ให้พาพวกคุณไปที่ห้องพักอีกด้วย”
“เอ๋” เสียงสงสัยของซาโตรุเป็นสิ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ ชายหนุ่มทหารเกาหัวตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆ “คือว่าหัวหน้าเขาปากแข็งนะครับ จริงๆเขาขอบคุณพวกคุณมากเอ่อ...” ชายทหารไปไม่เป็นเมื่อเห็นสายตาแปลกๆจากคนกลุ่มตรงหน้า “คือผมพูดอะไร เอ่อ..” หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะรับกล่องประถมพยายาบาลไป “ห้องอยู่ไหน” ชายทหารตอบแล้วหญิงสาวก็ทำการพยุงคนบาดเจ็บไปทันทีโดยไม่สนชายทหารอีก หญิงสาวตัดสินใจรับสิ่งที่หยิบยื่นมาให้อย่างเร็วโดยไม่เกี่ยงอะไรทั้งนั้นเพราะเป็นห่วงอาการคนข้างกาย ในขณะที่หญิงสาวจากไปพวกจินก็ยังอยู่ที่เดิม จินตัดสินใจเดินตามทางที่มินาโกะมุ่งไปพร้อมกับอุ่มมิคะขึ้นมาไว้บนแขน ส่วนซาโตรุไม่ตามไปเขามองทหารตรงหน้าก่อนจะถาม “คุณดูไม่รังเกียจพวกเราเลยนะครับ โดยที่สิ่งที่คุณทำอยู่มันเป็นคำสั่งที่คุณต้องทำตามอย่างไม่เต็มใจ” ชายทหารมีสีหน้ากินไม่เข้าคลายไม่ออก “คือจริงๆแล้วผมไม่เคยเห็นด้วยกับมุมมองของคนธรรมดาที่มีต่อพวกคุณ เพราะคนธรรมดาก็มีคนเลวเหมือนกัน เช่นเดียวกันพวกคุณก็มีคนดีเหมือนที่พวกเรามี ผมไม่เห็นด้วยแต่ก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดขัดแย้งกับคนอื่น” ซาโตรุมองคนตรงหน้าแล้วทำให้คิดถึงตัวเองโดยเฉพาะคำว่าขี้ขลาดคือจุดที่ทำให้นึกถึงตัวเอง “ผมเข้าใจครับ อย่างไรก็ตามขอบคุณที่ไม่มองพวกผมอย่างสัตย์แต่อย่างมนุษย์ ถึงแม้คุณจะไม่ทำอะไร แต่การที่คุณเข้าใจพวกเราก็ต้องขอบคุณจริงๆ” ชายทหารพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นว่าคำพูดที่ซาโตรุพูดนั้นเขารู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน
“อยู่นิ่งๆ” หญิงสาวเอ่ยเสียงดุเบาๆกับชายหนุ่มที่มัวแต่เล่นและกวนประสาทเธอในขณะที่เธอกำลังพยายามร้างทำความสะอาดแผลให้เขาอยู่ ชายหนุ่มยิ้มยียวนกับมา ถึงแม้เขาจะยิ้มแต่หญิงสาวรู้ดีว่าไคโตะกำลังทนเจ็บอยู่เพราะหยดเหงื่อมากมายกำลังผุดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม หญิงสาวถอนหายใจ ‘เขาคงเล่นแบบนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองจากความเจ็บ’ เพราะคิดได้หญิงสาวจึงหยุดดุเขาแล้วเริ่มลงมืออย่างรวดเร็วและอย่างชำนาญ เธอหยิบเข็มออกมาสอดไหมเข้าไปในรูและเริ่มทำการเย็บแผลอย่างงดงามและรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าเสร็จแล้ว “อ้าวเสร็จแล้วหรอ แย่จังคนดูแลจะไปแล้ว” เจ้าคนบนเตียงกวนประสาท มินาโกะตอบโต้ใบหน้าเรียบๆ “ยังไม่เสร็จ” ชายหนุ่มยิ้มข้าง ‘อ่าวยังต้องเจ็บอีกหรอ’ หญิงสาวหลุดขำออกมาเมื่อเจ้าคนกวนประสาทเผลอหลุดสีหน้าเหลอหลอออกมา ไคโตะมองรอยยิ้มของหญิงสาวไม่วางตา เสียงหัวเราะของหญิงสาวก็สดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ‘ไม่น่าเชื่อ เธอคนนี้เหมาะกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจริงๆ’ มินาโกะเอียงหน้ามองคนที่มองตนไม่วางตา “มองอะไรหรือ?” ชายหนุ่มไอเบาๆแก้เก้อเมื่อรู้ตัวตนมองนานไปหน่อย จากนั้นก็ฉีกยิ้ม “มองคนหัวเราะครับ” หญิงสาวหุบยิ้มกับคำตอบ สายตาส่งไปให้ชายหนุ่มอย่างงงๆแต่ก็ไม่ถามอะไร เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างของจินที่อุ้มมิคะอยู่ “มินะโกะเสร็จหรือยัง?” เสียงของคนผมเงินราบเรียบ มันทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้ว่าถ้าจินเรียกเธอด้วยชื่อเต็มแปลได้สองอย่างคือว่าเขาโกรธไม่ก็มีเรื่องซีเรียสเกิดขึ้น เมื่อครุ่นคิดในสมองก็สรุปว่าเป็นอย่างหลังเพราะเธอคิดไม่ออกว่าเธอได้ทำอะไรที่จินจะโกรธ ‘อีกอย่างจินโกรธยากจะตาย’ เธอคิดเสร็จก็ส่ายหัว “ยังแต่ใกล้แล้ว”
จินมองหญิงสาวที่ดูไม่ค่อยสนใจคำถามเขาอย่างหงุดหงิด “เหลือสมานแผลใช่ไหม” เขาพูดอีกราวกับจะเร่งให้หญิงสาวรีบๆทำให้เสร็จได้แล้ว “สมานแผลหรอครับ?” ไคโตะถาม มินาโกะพยักหน้าแล้วถาบมือลงบนแผลของไคโตะอย่างเบามือ จากนั้นก็มีแสงออน่ๆออกมาจากมือนั้น ไคโตะรู้สึกถึงพลังที่กำลังไหลเข้าร่าง แผลที่เขารู้สึกเจ็บๆปวดๆไม่หายห็รู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ มินาโกะยกมือออกจากแผล สิ่งที่เหลืออยู่ราวกับไม่ใช่แผลที่พึ่งได้มาแต่เป็นเหมือนแผลที่ได้รับการรักษามาหลายอาทิตย์แล้ว ไคโตะตาเป็นประกาย “พลังในการรักษางั้นหรอ?” หญิงสาวส่ายหน้า “ก็ไม่เชือง...” แต่ก่อนที่หญิงสาวจะอธิบายต่อก็ถูกจินดึงตัวออกไป “ไคโตะฝากมิคะด้วย ฉันขอตัวมินาโกะ” จินเอ่ยรวดเร็วและออกไปพร้อมกับหญิงสาวอย่างรวดเร็วทิ้งให้ไคโตะอยู่ในห้องกับเด็กน้อยสองคน ‘ถ้าได้หญิงสาวมาเป็นพวกก็คงดี...’ ชายผมสีทองสว่างคิดในใจพร้อมกับสายตาที่นอกจากจะเปล่งประกายแล้วยังมุ่งมั่น
“พวกเธออกมาได้ยังไง!” ทหารวัยกลางคนเดิมตะโกนด้วยความโกรธ
“ไม่สำคัญว่าเราออกมาได้ยังไง เราจะช่วยไม่ให้เรือจม” จินตอบนำ้เสียงราบเรียบ หัวหน้าทหารหัวเราะอย่างยาบคลายก่อนสีหน้าจะกลายเป็นความเกลียดชัง “ปีศาสอย่างพวกแกเนี่ยนะจะช่วย! ทหารพาตัวพวกมันกลับไปที่ห้องขัง!” ทหารรอบๆเริ่มเคลื่อนที่เข้ามาจับกุมพวกเขา มินาโกะเตรียมตัวตั้งรับการจับกุมแต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดขึ้น เสียงดังมาจากด้านนอก มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ท่าทางได้รับการบาดเจ็มมาไม่น้อย เขาตรงมามาหาหัวหน้าทหารก่อนจะรายงานอย่างรวดเร็ว “พวกเราได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่โชคยังดีที่ระเบิดนั้นไม่ได้กระทบห้องเครื่อง ไม่อย่างนั้นคงซ้อมแซมไม่ได้” หัวหน้าทหารขมวดคิ้วกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะคิดหาทางแก้ไขปัญหาได้ จอมอนิเติอด้านหน้าก็กลายเป็นภาพของคนใส่หน้ากาก
“สวัดดีคุณทหาร เป็นอย่างไรบ้างกับการทักทายเล็กๆน้อยๆที่กระผมส่งไปให้ โอะโอ๋อย่าได้เสียใจไปนะครับ แน่นอนว่าการทักทายครั้งนี้ยังไม่จบ กระผมเตรียมไว้พร้อมแล้วครับ พวกคุณก็แค่รอเวลาสนุก จุจุจุ พวกคุณคงสงสัยว่าทำไม อื้ม นั้นเพราะพวกคุณอยากกักขังพวกเราผู้ใช้พลัง กระผมเลยให้รางวัลกับความพยายามสักหน่อย” เจ้าคนใส่หน้ากากพูดทุกคำพูดด้วยนำ้เสียงราบรื่น ‘นำ้เสียงน่ารังเกียจ’ มินาโกะคิดในใจ “งั้นขอให้สนุกนะครับ” เป็นคำพูดสุดท้ายของชายหน้ากากก่อนที่จอจะดับไป ทหารในห้องควบคุมเริ่มส่งเสียงดัง บ้างก็ตระโกนว่าให้รีบสละเรือหนี บ้างก็บอกให้ไปตามหาระเบิดโดยด่วน เสียงโวยวายพูดคุยปะปนกันไปทั่ว แต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ต่างเลยคือความโกรธและเกลียดที่มีต่อผู้ใช้พลัง ความคิดเดียวที่เหมือนกันจึงกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้พวกทหารในห้องเริ่มเห็นคล้องกัน คนหมู่มากเริ่มป้ายความผิดใหคนหมู่น้อยบนเรือ การกระทำที่เหมือนหมาจนตรอกของพวกทหารในความคิดของมินาโกะนั้นไร้ซึ่งเหตุผลและไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย สายตาของมินาโกะเริ่มแปรเปลี่ยนไปไร้ความรู้สึกเช่นที่เคยเป็นเมื่อมองไปยังนายทหารตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนจะโถมเข้ามาโจมตีพวกเขา มินาโกะตัดสินใจขยับไปด้านหน้าเพื่อเตรียมพร้อมรับมือแต่การเคลื่อนไหวของจินหยุดเธอไว้ มินาโกะส่งสายตาถามไถ่ไปยังคนตัวสูงที่ขยับมาบังหน้าเธอแต่จินไม่ให้คำตอบ เขาส่งเสียงไม่ดังไม่เบาออกไปยังพวกทหาร “ปล่อยหน้าที่ของระเบิดให้เป็นของพวกเรา”
พวกทหารที่ดูเหมือนจะกระโจนเข้ามาต่างพากันหยุดนิ่งและมองจินด้วยความสงสัยปนแคลงใจ ความเงียบกลับมาในห้องราวกับว่าทั้งห้องมีบรรยายกาศมืดครึ้ม มีอะไรบางอย่างที่หนักอึ่ง อะไรสักอย่างที่หยุดยั้งการพูดคุยระหว่างสองฝ่าย หนึ่งเหล่าผู้ใช้พลัง หนึ่งเหล่าทหารแสนธรรมดา ต่างจ้องหน้ากันไม่วางตา มีก็แต่ผู้หญิงคนเดียวในห้องที่สายตานั้นได้ทำการปิดลงราวกับว่าไม่ต้องการรับรู้อะไรอีกแล้วและต้องการอยู่เงียบๆไม่ยุ่งเกี่ยว หัวหน้าทหารตัดสินใจพูดออกไปเมื่อรู้สึกได้ถึงเวลาอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่เพื่อให้เรือจะรอดจากการจม
“ทำไมพวกฉันจะต้องเชื่อพวกแกด้วย?” คำถามและนำ้เสียงครั้งนี้ไม่ใช่การดูถูกแต่เหมือนต้องการยั่งเชืองเพื่อที่จะตัดสินใจ ไคโตะที่เงียบกริบมาตั้งแต่เริ่มฉีกยิ้มบางและหัวเราะนิดๆราวกับเย้ยหยันคำถามของหัวหน้าทหาร “แน่สิว่าเราจะทำอย่างตั้งใจเพราะ ถ้าเรือจมเราก็เดือดร้อนเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เราจะหลอกพวกคุณหรอก”
หัวหน้าทหารถอนหายใจ “ตกลง พวกคุณจัดหารระเบิด ส่วนพวกเราจะคอยควบคุมสถานการณ์และไปซ่อมแซมส่วนที่ถูกระเบิดให้มากที่สุด” จินพยักหน้าเป็นการตอบรับ หัวหน้าทหารยื่นเครื่องมือสื่อสารวิทยุสองเครื่องให้จินพร้อมกับเอ่ยอธิบาย “ระเบิดถูกเอาไปไว้ในสองที่ โดยที่วิธีที่จะหยุดการทำงานของระเบิดประเภทนี้คือการกดปิดการทำงานของระเบิดทั้งสองพร้อมๆกัน” จินตอบรับโดยการรับวิทยุสื่อสารไป เขาตัดสินใจไปฝั่งที่คนใส่หน้ากากนั้นอยู่โดยทันที ‘อีกฝั่งหนึ่งนั้น...’
“มินะไปเอง” หญิงสาวผมทองชมพูเอ่ยขัดจังหวะความคิดของจินพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อขอหนึ่งในวิทยุสื่อสาร จินไม่ได้ยื่นมันให้เธอ เขายื่นเครื่องหนึ่งให้ไคโตะแลัวหันมาจับข้อมือของหญิงสาวพร้อมกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พลังของเธอไม่เหมาะ” หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่งเงียบก่อนเอ่ย “ไม่จิน มินะทำได้”
แต่แล้วก่อนเรื่องจะไปไกลกว่าเหตุไคโตะก็เอ่ยขัดเมื่อคิดอะไรขึ้นได้ “จะว่าไปพลังของซาโตรุคือการแยกส่วนสิ่งของไม่ใช่หรอ งั้นก็น่าจะใช้แยกส่วนระเบิดได้นะ” สายตาของชายหญิงที่พึ่งถกเถียงกันมุ่งไปยังชายใส่แว่น ซึ่งตอนนี้เจ้าของแว่นเริ่มมีเหงื่อไหลออกมา ปากสั่นยุกยิก มือไม้ขยับเกรงๆ เมื่อเห็นดังนั้นสายตาของมินาโกะจึงฉายแววออน่ลง
“อย่างไรก็ตามเราจะไปเอง” หญิงสาวเอ่ยในขนะที่สบตากับชายหนุ่มที่ยังคงจับข้อมือเธอไว้แน่น ซาโตรุจับมือที่สั่นเท้าของตัวเองและหายใจเข้าออกลึกๆอยู้สองสามที ก่อนจะพูดขึ้นด้วยนำ้เสียงมั่นใจผิดปกติ “ไม่ผมไปเองครับ ถูกอย่างที่คุณไคโตะพูด พลังของผมเหมาะสมจริงๆ” หญิงสาวมองมือของซาโตรุที่ยังคงสั่นไม่หยุดอย่างลังเล ซาโตรุซึ่งรู้สึกถึงความลังเลนั้นจึงหัวเราะออกมา “คุณมินาโกะใจดีจังเลยนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับผมต้องทำได้เพราะผมก็อยากที่จะรอดเหมือนกัน” มินาโกะเบิกตากว้างด้วยไม่คาดว่าชายหนุ่มจะพูดกับเธอแบบนั้น เธออ้าปากจะพูดโต้ตอบแต่มือหนาที่จับข้อมือเธออยู่นั้นกลับส่งแรงบีบเบาๆมาราวจะเตือนว่าไม่ต้องพูดแล้ว หญิงสาวหันกลับไปมองคนตัวโต แต่จินไม่ได้มองมาที่เธอ เขาพยักหน้าให้ซาโตรุ ก่อนจะปล่อยข้อมือของเธอ เขาเดินไปหาซาโตรุและแตะที่ไหล่ทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไป มินาโกะมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินจากไปอย่างเหม่อลอย ความทรงจำในอาดิตแล่นเข้ามาในหัว แผ่นหลังที่เธอมักเห็น แผ่นหลังที่คอยปกป้องเธอ ‘ไม่ ไม่ใช่ มันไม่ใช่จิน แต่เป็นเรย...’
ไคโตะมองหญิงสาวที่จู่ๆก็เงียบและเหม่อลอยอย่างนึกสงสัย ‘เธอเป็นอะไรไปนะ?’ แต่เขาก็ได้แค่คิดเพราะเขารู้ดีว่าถ้าถามออกไปก็คงไม่ได้คำตอบ เขาหันเหความสนใจไปที่หนุ่มแว่นซึ่งตอนนี้หน้าซีดอย่างไม่น่าเชื่อก่อนจะยิ้มมุมปาก จับคอเสื้อของเจ้าคนขี้ขลาดแต่ทำเก่งและออกแรงดึง “ไป เราก็ไปได้แล้ว เรามีงานต้องทำ” ผู้ถูกดึงเบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยถาม “คุณไคโตะจะไปด้วยหรอครับ?” ไคโตะทำท่าสงสัยกับคำถามก่อนส่งสายตาเหมือนจะบอกนัยๆว่าถามอะไรโง่ๆ “มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว เรื่องสนุกๆแบบเนี่ยหากันได้ง่ายๆหรือไง อีกอย่างวิทยุอยู่ที่ฉัน ไปเร็ว” ซาโตรุมีสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะยิ้มแบบโง่ๆด้วยความโล่งอก ไคโตะที่เห็นคนทำเก่งแอบดีใจที่ไม่ต้องเจออันตรายคนเดียวก็หัวเราะชอบใจ “ทำเป็นเก่ง แต่จริงๆแล้วกลัวจนสั่น” ชายหนุ่มแว่นหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็รู้ว่ามันสายไปแล้วเมื่อเห็นแววตากวนๆของคนตรงหน้าที่ส่งมา จึงได้แต่ยิ้มแหะๆอย่างยอมรับความจริง
“พวกนั้นจะทำได้จริงเหรอ ไม่สิจะช่วยพวกเราจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าร่วมมือกับสตรูอยู่หรือ ก็ปีศาจเหมือนกันนี่” เสียงของทหารคนหนึ่งดังขึ้นมาในห้อง แรงบีบเบาๆที่มีทำให้มินาโกะที่อยู่ในอาการเหม่อลอยมีสะติ เธอมองลงมาหาเด็กน้อยด้านข้าง “พี่สาวพวกพี่ชายนะต้องทำได้ใช่ไหมคะ?” เด็กน้อยพูดเสียงเบา หญิงสาวยิ้มน้อยก่อนจะรูบหัวเด็กหญิงเบา “อืมได้แน่จะ” เสียงสบประหม่าของพวกทหารยังดังไม่หยุดทำให้เธอหันขวับไปมองทหารผู้เอ่ยในสิ่งที่เธอคิดว่าไร้สาระที่สุดอย่างหนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างมุ่มหมาย ทหารผู้นั้นคงจะรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายตาคู่งามเพราะพวกเขาหยุดปากแทบจะทันที
“พวกเขาจะทำสิ่งที่จำเป็น และจะทำมันสำเร็จ” มินาโกะพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังมากแต่หนักแน่น ทุกคนในห้องจึงกลับไปอยู่ในความเงียบ สายตาของคนในห้องจดจ่ออยู่กับภาพบนหน้าจอทีวีที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพที่เห็นด้านหนึ่งคือจินที่ยืนอยู่หน้าประตูอันหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือไคโตะที่เดินนำหน้าซาโตรุอย่างสบายๆ ในขณะที่ซาโตรุได้แต่พึมพัมอะไรก็ไม่รู้...
จินมองประตูเหล็กด้านหน้า ภาพของมินาโกะที่อาสาจัดการกับระเบิดแวบเข้ามาในหัว เขาถอนหายใจ จริงๆแล้วเขารู้ดีว่ามินาโกะทำได้ ความสามารถเธอมันไม่ธรรมดาแต่เขาก็อดห่วงไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขานึกว่าเขาได้เสียคนสำคัญของเขาไปแล้ว ในเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่เขาก็จะไม่มีวันเสียเธอไปอย่างแน่นอน จินผลักมันเปิดก่อนจะกระโดดไปด้านข้างแทบจะทันทีเพื่อหลบกระสุนที่พลุ่งเข้ามา จินหรี่ตาลง คนตรงหน้าก็คือผู้ใส่หน้ากากนั่นเอง “ทำแบบนี้ทำไม” จินเอ่ยถามแต่เขาไม่ได้คำตอบ สิ่งที่ได้คือกระสุนมากมายที่ตรงมาที่เขาจินหมุนตัวหลบพร้อมกับเบี่ยงไปทางฝั่งขวา จากนั้นก็ซ้ายแต่ถึงเขาจะหลบหลีกด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วก็ไม่วายโดนเฉี่ยวที่แขนทำให้เลือดไหลซึม มินาโกะที่ดูอยู่เม้มปากอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตามการต่อสู้ยังไม่จบ จินในตอนนี้สามารถเข้าประชิดบุคคลครงหน้าแล้ว เขาจับคอเสื้อของชายหน้ากากก่อนจะยกตัวมันขึ้นและจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง “อั๊ก” ชายหน้ากากร้องออกมา ก่อนจะกระอักนำ้ลายออกมา ชายหน้ากากพยายามจะแกะมือหนาของจินออก แต่จินไม่ยอมให้โอกาศมันทำสำเร็จ เขาใช้มือขวาชกหน้ามันจังๆ ทำให้ชายหน้ากากสลบลง เมื่อเห็นว่าผู้ก่อเรื่องหมดฤทธิ์แล้วก็หันความสนใจไปที่ระเบิดซึ่งเป็นวัตถุทรงเหลี่ยม ความสูงประมาณเข่าของเขา เขาหยิบวิทยุซึ่งเขาเควี่ยงออกไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาจากพื้น “ระเบิด จัดการได้ยัง?” คำตอบที่ได้รับเป็นเสียงของไคโตะ “ฮะฮาฮา ยังเลยครับคือว่ามันมี เฮ้ย ซาโตรุหลบ...” เสียงของซาโตรุแซกเข้ามา “คุณไคโตะครับ มันมีเยอะ อ้า ผมพลาดอีกแล้ว อ้า ช่วยด้วย!!” จากนั้นเสียงของคนก็หายไปกลายเป็นเสียงระเบิดดังลั่น แล้วก็เสียงวิทยุถูกตัดขาด จินขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ‘หรือเขาควรจะไปช่วยฝั่งนู้น’ สายตาของเขาเหลือบมองเวลาระเบิดทำให้รู้ว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว ‘ไม่ทัน’ สีหน้าของจินแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เสียงวิทยุเรียกสติเขากลับมา “จิน ได้ยินไหม”
“มินะ” เขาตอบ “จิน มินะนับสามแล้วจัดการกับระเบิดเลยนะ 3..2..1” จินก็เอื้อมมือเข้าไปแตะวัตถุนั้นทำให้มันแยกชิ้นส่วนออกจากกันจนไม่สามารถใช้งานได้ ก่อนที่เขาจะออกมาจากห้องเขาได้ยื้มพลังของซาโตรุจากการสัมผัสศาโตรุครั้งหนึ่ง พลังของจินซึ่งสามารถดึงพลังของคนอื่นมาเป็นของตนนั้นทำให้เขากลายเป็นผู้ใช้พลังที่ถูกจับตามองถึงแม้จะใช้ได้แค่พลังของคนล่าสุดที่สัมผัสโดนครั้งสุดท้ายคนเดียวก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็นผู้ใช้พลังระดับเอสนั้นมีมากกว่าความสามรถนั้น ที่พวกทหารขังเขาแยกเป็นพิเศษเป็นเพราะทักษะในการต่อสู้ของเขามันสูงมากและเขายังมีความสามารถในการปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญทำให้ถึงแม้เขาจะได้พลังที่ดูไร้ประโยชน์มากแค่ไหนการจะเอาชนะเขาได้ก็ยังยากอยู่ดี จินเหลือบไปมองคนที่ยังสลบอยู่ด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนจะพึมพำเบาๆ “คนธรรมดา”...
มินาโกะมองจอทีวีอย่างโล่งอกด้วยทั้งฝั่งจินและฝั่งซาโตรุต่างแยกชิ้นส่วนของระเบิดได้พร้อมกันตามคำสั่งของเธอ ฝั่งของซาโตรุนั้นต้องเผชิญกับกับดักมากมายและซาโตรุนั้นก็ดันซุ่มซ่ามอย่างมากทำให้เกือบไม่รอดถ้าไม่ได้ไคโตะช่วยไว้ แต่วิทยุดันพังเพราะแรงระเบิด โชคยังดีที่ไคโตะมีไหวพริบทำให้รู้ว่ามีกล้องอยู่ เขามองมาที่กล้องยกมือของตนขึ้นและชูสามนิ้ว เข้ายืนนิ่ง10วินาทีก่อนจะหันไปบอกซาโตรุ และนับถอยหลังพร้อมกับนิ้วของเขาที่เอาลงไปพร้อมๆกัน มินาโกะนั้นวิทยุหาจินตั้งแต่ไคโตะสบตามาที่กล้องแล้วทุกอย่างจึงเป็นไปได้ด้วยดี ‘เขารู้ได้ไงว่าคนหลังกล้องจะทำมันทัน?” คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัวของหญิงสาว เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงซึ่งแบกเจ้าหน้ากากที่หมดสติมาด้วย ข้างหลังจินคือไคโตะกับซาโตรุที่ตามมาติดๆ เด็กหญิงข้างกายมินาโกะวิ่งไปหาจินและกระโดดกอด มินาโกะไม่ได้เดินออกไปทันที หญิงสาวมองสำรวจร่างเจ้าของผมสีเงินอย่างละเอียด สายตาคู่งามหยุดที่เลือดตรงแขนของคนตรงหน้า เธอเดินจ้ำเข้าไปหาเขาโดยไม่สนเจ้าหน้ากากที่ถูกเขาโยนลงกับพื้นก่อนหน้านี้ หญิงสาวฉีกขอบผ้าคุมตัวเองออกและทำการเช็ดเลือดออก เธอถอนหายใจโล่งอกเมื่อรับรู้ว่ามันเป็นแผลตื้นๆเท่านั้น สายตาคมเข็มซื่อตรงมองลงมายังหญิงสาวข้างหน้าอย่างอบอุ่นโดยที่ผู้ถูกมองไม่รู้ตัวแม้แต่นิด “มินะจินไม่เป็นไร” มินาโกะพยักหน้ากับคำพูดของคนตรงหน้า
“ว้า น่าอิจฉาจังว่าไหมซาโตรุ มินาโกะจังกับมิคะจังเอาแต่สนในจิน ไม่มีเราสองคนในสายตาเลย” เสียงขี้เล่นของหนุ่มผมพระอาทิตย์ทำให้ดวงตาทองคำงดงามมองไปด้านหลังจินและสบเข้ากับดวงตาสีนำ้เงินของผู้พูด ไคโตะยิ้มยียวนมองหญิงสาว สีหน้าของมินาโกะไม่เปลี่ยนแปลงแต่ในหัวเธอนั้นเคร่งเครียด ‘เขาบาดเจ็บ..เมื่อไหร่.. หรือตอนนั้นที่ระเบิด เขาโดนมันงั้นหรือ?’ ส่วนเด็กน้อยก็ตาโตก่อนจะโพล่งออกไปโดยไม่คิด “อ้าพี่ชายบาดเจ็บหรอคะ” ซึ่งขัดกับหญิงสาวที่กำลังจะเอ่ยถามว่าบาดเจ็บได้อย่างไรแต่ก่อนที่คำถามของเด็กน้อยจะถูกตอบและก่อนที่คำถามของหญิงสาวจะถูกถามก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างด้านหลังพวกเขา
“เป็นไปไม่ได้! ทำไมนายถึงทำแบบนี้?!” เสียงตะโกนนั้นเป็นของหัวหน้าทหาร “ทำไมละครับหัวหน้า ผมนึกว่าคุณจะเข้าใจ สิ่งที่ผมทำคือการกำจัดพวรไร้ค่าพวกนี้ กำจัดพวกมีพลังอันน่ารังเกียจ หัวหน้าซึ่งเสียครอบครัวไปเพราะพวกมันน่าจะเข้าใจผมดี” ชายหนุ่มหน้ากากซึ่งตอนนี้ไม่มีหน้ากากบนหน้าแล้วตอบออกมาด้วยนำ้เสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “นายไม่ได้แค่จะกำจัดพวกนี้ แต่ยังจะทำให้คนบนเรือทั้งหมดตาย ซึ่งนั้นรวมถึงทหารบนเรือทั้งหมดด้วย” ชายวัยกลางคนในชุดทหารตะโกนตอบโต้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ ใครหละจะไปคิดว่าเจ้าคนที่สวมหน้ากากซึ่งคิดจะจมเรือทั้งรำนั้นนอกจากจะไม่ใช้ผู้มีพลังแล้วยังเป็นลูกน้องในสังกัดอีกด้วย
“ฮะฮาฮ่าฮา หัวหน้าครับเพื่อให้แผนการใหญ่ลุล่วง บ้างครั้งการเสียสละคนกลุ่มหนึ่งก็จำเป็นต้องทำสิครับ อย่างไรซะก็เพื่อกำจัดเจ้าสัตย์พวกนี้ทิ้ง ถ้าจะมีคนตายไปบ้างก็ช่วยไม่ได้จริงไหมครับหัวหน้า” คำอธิบายที่ไร้เหตุผลของลูกน้องที่ตัวเองไว้ใจทำให้ชายวัยกลางคนทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดที่ไม่ดูแลลูกน้องให้ดีกว่านี้ “ไม่โซมะ สิ่งที่นายทำมันแย่กว่าพวกที่มีพลังซะอีก นายกำลังหักหลังพวกเดียวกันเอง อย่างน้อยพวกมีพลังก็ฆ่าคนซึ่งๆหน้า” เมื่อพูดกับอาดีตลูกน้องเสร็จ เขาหันไปสั่งการคนอื่นๆ “พาตัวเจ้านี่ไปขัง จัดการระเบิดให้เรียบร้อย” หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองกลุ่มคนที่มีพลังในห้องแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง “เดี๋ยวก่อน” เสียงนุ่มอ่อนของผู้หญิงดังขึ้น ทำให้ชายวัยกลางหยุดเดิน “ขอกล่องประถมพยาบาล” ชายวัยกลางคนมองหญิงสาวตรงหน้าแต่ไม่ตอบอะไร เขาหันหลังเดินออกไป หญิงสาวขมวดคิ้วหงุดหงิด อยากจะจัดการเจ้าทหารวัยกลางคนนั้น สายตาของเธอกลับไปจดจ่อกับเลือดบนตัวของไคโตะอีกครั้ง ‘เธอต้องทำอะไรสักอย่าง’ เธอเดินเข้าไปหาเขาก่อนจะจัดการเอามือเขามาคล้องไว้ตรงไหล่บาง ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะฉีกยิ้มและกระชับการเกาะกุมของตนที่ไหล่บางแต่แล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างช่วยไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงสายตาคุกคามที่ถูกส่งมาจากด้านหลัง ‘ฮึ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร รู้สึกว่าผู้ใช้พลังระดับเอสจะไม่ชอบใจที่เขาใกล้ชิดกับสาวน้อยคนสนิท’ ชายหนุ่มคิดในใจแต่ก็ไม่ได้คลายการเกาะกุมลงราวกำลังจะกวนประสาทคนข้างหลัง จินหรี่ตาลง เขาหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพตรงหน้าทำให้เขาอยากเข้าไปกระชากร่างบางออกมาจากการเกาะกุมนั้น ‘มันใกล้เกินไป’ ชายหนุ่มยกมือหมายจะจับร่างบางออกมาแต่แล้วก็ชะงักมือ ‘เขาเป็นอะไรไป เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้ ไม่ว่าจะโดนทำร้ายหรือโดนด่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยโกรธ แต่นี่ก็แค่...’
“คุณไคโตะเป็นอะไรมากไหมครับ เป็นเพราะผม” เสียงของซาโตรุหยุดยั้งความคิดของจิน พร้อมๆกับทำรายบรรยากาศที่กำลังก่อเกืดขึ้นระหว่างชายหนุ่มกับคนที่มินาโกะกำลังช่วยพยุง “อะไร ฉันจะทำอะไรนายก็บังคับฉันไม่ได้หรอก แล้วจะเป็นเพราะนายเนี่ยนะ ไม่มีทาง แต่ถ้ามินาโกะจังเป็นคนพูดละก็ผมอาจจะยอมรับ” ไคโตะโต้ตอบซาโตรุพร้อมกับหันไปแหย่คนข้างๆอย่างนึกสนุก อาการหงุดหงิดเริ่มก่อตัวอีกครั้งเมื่อจินได้ยินสิ่งที่ไคโตะพูด แต่แล้วแรงกระตุกเบาๆที่มือก็หันเหความสนใจของเขาจากผู้ชายกับหญิงสาวตรงหน้า “พี่จิน พี่ผมทองคนนั้นจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เด็กน้อยถามนำ้เสียงไม่สบายใจ จินพยักหน้า “อืม” จากนั้นความคิดเขาก็เปลี่ยนไป ‘หมอนั่นคนเจ็บ จะเป็นห่วงก็ปกติ จะช่วยก็ปกติ ไม่แปลกที่หญิงสาวขี้ใจอ่อนตรงหน้าจะช่วย’
หญิงสาวที่ยังคงพยุงคนบาดเจ็บไม่ได้เอ็ะใจแม้แต่น้อยกับความขัดแย้งไร้เสียงที่เกิดขึ้น ในหัวของเธอกำลังคิดวิธีแก้ปัญหาของอาการบาดเจ็บของคนข้างๆที่ดูไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอะไรเลยโดยที่บาดแผลทั้งลึกทั้งใหญ่ ทันใดนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับกล่องประถมพยาบาล “คือว่าหัวหน้าให้เอามันมาให้นะครับ แล้วก็ให้พาพวกคุณไปที่ห้องพักอีกด้วย”
“เอ๋” เสียงสงสัยของซาโตรุเป็นสิ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ ชายหนุ่มทหารเกาหัวตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆ “คือว่าหัวหน้าเขาปากแข็งนะครับ จริงๆเขาขอบคุณพวกคุณมากเอ่อ...” ชายทหารไปไม่เป็นเมื่อเห็นสายตาแปลกๆจากคนกลุ่มตรงหน้า “คือผมพูดอะไร เอ่อ..” หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะรับกล่องประถมพยายาบาลไป “ห้องอยู่ไหน” ชายทหารตอบแล้วหญิงสาวก็ทำการพยุงคนบาดเจ็บไปทันทีโดยไม่สนชายทหารอีก หญิงสาวตัดสินใจรับสิ่งที่หยิบยื่นมาให้อย่างเร็วโดยไม่เกี่ยงอะไรทั้งนั้นเพราะเป็นห่วงอาการคนข้างกาย ในขณะที่หญิงสาวจากไปพวกจินก็ยังอยู่ที่เดิม จินตัดสินใจเดินตามทางที่มินาโกะมุ่งไปพร้อมกับอุ่มมิคะขึ้นมาไว้บนแขน ส่วนซาโตรุไม่ตามไปเขามองทหารตรงหน้าก่อนจะถาม “คุณดูไม่รังเกียจพวกเราเลยนะครับ โดยที่สิ่งที่คุณทำอยู่มันเป็นคำสั่งที่คุณต้องทำตามอย่างไม่เต็มใจ” ชายทหารมีสีหน้ากินไม่เข้าคลายไม่ออก “คือจริงๆแล้วผมไม่เคยเห็นด้วยกับมุมมองของคนธรรมดาที่มีต่อพวกคุณ เพราะคนธรรมดาก็มีคนเลวเหมือนกัน เช่นเดียวกันพวกคุณก็มีคนดีเหมือนที่พวกเรามี ผมไม่เห็นด้วยแต่ก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดขัดแย้งกับคนอื่น” ซาโตรุมองคนตรงหน้าแล้วทำให้คิดถึงตัวเองโดยเฉพาะคำว่าขี้ขลาดคือจุดที่ทำให้นึกถึงตัวเอง “ผมเข้าใจครับ อย่างไรก็ตามขอบคุณที่ไม่มองพวกผมอย่างสัตย์แต่อย่างมนุษย์ ถึงแม้คุณจะไม่ทำอะไร แต่การที่คุณเข้าใจพวกเราก็ต้องขอบคุณจริงๆ” ชายทหารพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นว่าคำพูดที่ซาโตรุพูดนั้นเขารู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน
“อยู่นิ่งๆ” หญิงสาวเอ่ยเสียงดุเบาๆกับชายหนุ่มที่มัวแต่เล่นและกวนประสาทเธอในขณะที่เธอกำลังพยายามร้างทำความสะอาดแผลให้เขาอยู่ ชายหนุ่มยิ้มยียวนกับมา ถึงแม้เขาจะยิ้มแต่หญิงสาวรู้ดีว่าไคโตะกำลังทนเจ็บอยู่เพราะหยดเหงื่อมากมายกำลังผุดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม หญิงสาวถอนหายใจ ‘เขาคงเล่นแบบนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองจากความเจ็บ’ เพราะคิดได้หญิงสาวจึงหยุดดุเขาแล้วเริ่มลงมืออย่างรวดเร็วและอย่างชำนาญ เธอหยิบเข็มออกมาสอดไหมเข้าไปในรูและเริ่มทำการเย็บแผลอย่างงดงามและรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าเสร็จแล้ว “อ้าวเสร็จแล้วหรอ แย่จังคนดูแลจะไปแล้ว” เจ้าคนบนเตียงกวนประสาท มินาโกะตอบโต้ใบหน้าเรียบๆ “ยังไม่เสร็จ” ชายหนุ่มยิ้มข้าง ‘อ่าวยังต้องเจ็บอีกหรอ’ หญิงสาวหลุดขำออกมาเมื่อเจ้าคนกวนประสาทเผลอหลุดสีหน้าเหลอหลอออกมา ไคโตะมองรอยยิ้มของหญิงสาวไม่วางตา เสียงหัวเราะของหญิงสาวก็สดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ‘ไม่น่าเชื่อ เธอคนนี้เหมาะกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจริงๆ’ มินาโกะเอียงหน้ามองคนที่มองตนไม่วางตา “มองอะไรหรือ?” ชายหนุ่มไอเบาๆแก้เก้อเมื่อรู้ตัวตนมองนานไปหน่อย จากนั้นก็ฉีกยิ้ม “มองคนหัวเราะครับ” หญิงสาวหุบยิ้มกับคำตอบ สายตาส่งไปให้ชายหนุ่มอย่างงงๆแต่ก็ไม่ถามอะไร เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างของจินที่อุ้มมิคะอยู่ “มินะโกะเสร็จหรือยัง?” เสียงของคนผมเงินราบเรียบ มันทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้ว่าถ้าจินเรียกเธอด้วยชื่อเต็มแปลได้สองอย่างคือว่าเขาโกรธไม่ก็มีเรื่องซีเรียสเกิดขึ้น เมื่อครุ่นคิดในสมองก็สรุปว่าเป็นอย่างหลังเพราะเธอคิดไม่ออกว่าเธอได้ทำอะไรที่จินจะโกรธ ‘อีกอย่างจินโกรธยากจะตาย’ เธอคิดเสร็จก็ส่ายหัว “ยังแต่ใกล้แล้ว”
จินมองหญิงสาวที่ดูไม่ค่อยสนใจคำถามเขาอย่างหงุดหงิด “เหลือสมานแผลใช่ไหม” เขาพูดอีกราวกับจะเร่งให้หญิงสาวรีบๆทำให้เสร็จได้แล้ว “สมานแผลหรอครับ?” ไคโตะถาม มินาโกะพยักหน้าแล้วถาบมือลงบนแผลของไคโตะอย่างเบามือ จากนั้นก็มีแสงออน่ๆออกมาจากมือนั้น ไคโตะรู้สึกถึงพลังที่กำลังไหลเข้าร่าง แผลที่เขารู้สึกเจ็บๆปวดๆไม่หายห็รู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ มินาโกะยกมือออกจากแผล สิ่งที่เหลืออยู่ราวกับไม่ใช่แผลที่พึ่งได้มาแต่เป็นเหมือนแผลที่ได้รับการรักษามาหลายอาทิตย์แล้ว ไคโตะตาเป็นประกาย “พลังในการรักษางั้นหรอ?” หญิงสาวส่ายหน้า “ก็ไม่เชือง...” แต่ก่อนที่หญิงสาวจะอธิบายต่อก็ถูกจินดึงตัวออกไป “ไคโตะฝากมิคะด้วย ฉันขอตัวมินาโกะ” จินเอ่ยรวดเร็วและออกไปพร้อมกับหญิงสาวอย่างรวดเร็วทิ้งให้ไคโตะอยู่ในห้องกับเด็กน้อยสองคน ‘ถ้าได้หญิงสาวมาเป็นพวกก็คงดี...’ ชายผมสีทองสว่างคิดในใจพร้อมกับสายตาที่นอกจากจะเปล่งประกายแล้วยังมุ่งมั่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ