Fic GOT7 ::Apartment Love รักร้ายของชายต้วน (yaoi)
-
เขียนโดย sin_serious
วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.02 น.
2 chapter
0 วิจารณ์
7,810 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 22.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
2) ความซวยของเด็กแสบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMARK Part
“เป็นไงบ้างวะเพื่อน”
“มึงมาลองให้กูเหยียบดูสิ”
ผมทำท่าจะยกเท้าเหยียบไอ้ไมล์ไอ้เพื่อนตัวดีที่ชอบเห็นความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก พอมันเห็นผมทำแบบนั้นก็กระโดดหนีเท้าผม แล้วยิ้มเยาะมาให้ คนอื่นในกลุ่มก็ขำกัน
“น่าๆ อย่าหงุดหงิดเลยก็แค่เด็กมันกวน แค่นั้นเอง”
มันเดินเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ เชิงปลอบใจ ผมปัดมือมันออกแล้วมองมันตาขวาง แล้วมองตามหลังร่างเล็กที่วิ่งหนีผมหลังจากก่อวีรกรรมไว้กับเท้าผมเมื่อกี้
“ฮึ แสบชะมัด” มุมปากยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
“เห้ยๆ ยิ้มแบบนั้นมันหมายความว่าไงวะ”
“นี่หรือว่ามึง...”
“...จะกินเด็กเหรอวะ!”
ผัวะ!
ไมล์และเพื่อนๆ ที่เห็นรอยยิ้มของมาร์คก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ชอบมาพากล ก่อนจะยกนิ้วชี้หน้ามาร์คอ้าปากหวอแล้วก็โดนมือหนาตบหัวเข้าให้ คนอื่นก็หลบทันก่อนที่จะโดนไปด้วย มาร์คทำหน้าเซ็งแล้วเดินหนีเข้าไปในตึกคณะ เพราะวันนี้มีเรียนแค่ช่วงบ่าย แต่ว่าเขามาเพื่อซ้อมดนตรีกับวงที่รวมกันขึ้นมาเองในช่วงเช้าและกำลังจะไปกินข้าวกัน แต่กลับมาเจอไอ้เด็กบ้าชนเข้า พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละก็ถึงกับนิ่งไปก่อนจะคิดแกล้งพูดให้ร่างเล็กตรงหน้าโมโหเล่นๆ เห็นแล้วมันดูเร้าอารมณ์ดี(?) แล้วก็โมโหจริงๆ
“เอาเหมือนเดิมนะมึง” ไอ้ไมล์หันมาถาม
“เออ น้ำเปล่าด้วยขวดหนึ่ง” ผมก็ฝากมันซื้ออีกอย่าง
“กูด้วย” คนอื่นก็ลุกไปช่วยบ้างฝากบ้าง
ตอนนี้พวกผมมาถึงโรงอาหารใต้ตึกคณะก็ไปนั่งที่โต๊ะประจำที่ว่างตลอดเพราะไม่มีใครกล้านั่งที่พวกผม ก็ไม่ได้ห้ามให้มานั่งแต่คนอื่นมันกลัวกันไปเองจนไม่กล้านั่งน่ะสิ ไม่รู้แม่งกลัวอะไร...
มาต่อเรื่องของไอ้เด็กนั่นดีกว่า ที่จริงผมก็พอรู้จักมาก่อนนะจากชื่อเสียงเพราะมันค่อนข้างจะดังในหมู่ผู้ชาย ก็หน้าหวานๆ แบบนั้นไงล่ะ แถมยังตัวเล็กอีก พวกผู้ชายคณะผมก็ชอบพูดถึงมันว่าเป็นเด็กที่เฮฮาเข้ากับทุกคนได้ดี แล้วก็ยิ้มเก่งจนพวกมันเก็บเอามาเพ้อ แต่เสียอย่างหนึ่งคือแสบมาก ไม่ยอมคนง่ายๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
จนวันนั้นที่ไอ้ไมล์มันชวนไปคลับของพี่มัน ก็สังสรรค์กันธรรมดา ไปถึงคลับก็เปิดห้องวีไอพีชั้นบนที่เป็นห้องกระจกมองเห็นข้างล่างได้ เราก็ดื่มกันไปจนผมมาสะดุดตากับเด็กคนหนึ่งที่กำลังโดนรุ่นพี่ลากขึ้นไปเต้นบนฟลอร์ แรกๆ ก็ไม่กล้าเต้นแต่ต่อมาคงโดนกล่อมแล้วก็ดื่มไปหลายแก้วถึงได้เริ่มโยกย้ายร่างกายบางๆ นั่นไปตามเสียงเพลง
เอาจริงๆ คือผมติดใจกับใบหน้าน่ารักนั่นแล้วล่ะ พอมาเห็นท่าทางในคืนนั้นแล้วก็ยิ่งลืมไม่ลง ยืนดูร่างเล็กเต้นไปก็เกิดอารมณ์หงุดหงิดเพราะพวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ คอยเข้ามานัวเนียไม่ห่างและผมก็จะลงไปจัดการเองแล้วถ้าไม่มีไอ้เด็กอีกคนเข้ามาคอยกันไอ้พวกนั้นให้ร่างเล็กไว้ ผมก็ยืนมองจากด้านบนต่อ ร่างบางก็เริ่มเลื้อยไปกับเสาอย่างยั่วยวน แล้วยังหน้าเคลิ้มๆ นั่นอีก อารมณ์ในตัวผมนี่พลุ่งพล่านทันที แทบจะอยากลงไปลากร่างเล็กลงมาจากฟลอร์ไม่อยากให้ใครเห็น แต่ก็ได้ไอ้เด็กคนนั้นลากลงไปแทน และหลังจากนั้นพวกนั้นก็แยกย้ายกันกลับ
จากเหตุการณ์นั้นทำให้ผมคิดอะไรดีๆ ออก...หึ
คนอย่างมาร์คหมายตาอะไรไว้ก็ต้องได้ตามที่ต้องการ แล้วเจอกันนะเด็กน้อย...
End MARK Part
โครม!!
ขวับ
อึกๆ
“ฮ้า...เหนื่อยชะมัด”
เมื่อผมวิ่งมาถึงใต้ตึกคณะนิเทศ ก็ตรงเข้าไปที่โต๊ะประจำที่พวกเพื่อนกำลังนั่งกันอยู่ เข้าไปถึงก็วางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วคว้าขวดน้ำที่ไอ้มิวกำลังจะกรอกใส่ปากมาดื่มอึกใหญ่ แก้กระหาย แล้วก็นั่งลงข้างๆ มัน
“เฮ้ยๆ อะไรของมึงวะเนี่ย” ไอ้มิวถามด้วยหน้าตาตื่น
ผมนั่งพักหหายเหนื่อยซักพักก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องมีสภาพแบบนี้ เพราะไอ้เหี้ยนั่นคนเดียวเลย!
เพราะมันนั่นแหละที่เดินมาชนผมแล้วจะให้ผมขอโทษทั้งที่ใครเป็นฝ่ายผิดทุกคนก็น่าจะรู้นะครับ แต่ที่ผมยอมเนี่ยก็ไม่อยากกมีเรื่องกับคณะที่มีชื่อเสียงในเรื่องต่อยตีหรอก ไม่งั้นมีหวังได้เจ็บตัวตั้งแต่ยังไม่อ้าปากเลย เชื่อสิ เพราะงั้นถึงผมจะยอมขอโทษแต่ก็ยังได้เอาคืนบ้างเล็กๆ น้อยๆ ฮ่าๆๆ
แล้ว...มันจะมาเอาเรื่องผมมั้ยเนี่ย โอ๊ย...แบมแบมเอ๊ย
“มึงได้ยินกูถามมั้ยเนี่ย มึงถอดจิตไปไหนนั่งซะนิ่งเลยมึง”
“บ่นจังเว้ย! กูก็แค่พักหายเหนื่อย”
หลุดออกจากความคิดก็เพราะเสียงบ่นของไอ้เพื่อนขี้บ่นนี่แหละ ผมตวัดสายตาไปจ้องมันแบบรำคาญนิดๆ แต่มันก็หาได้สะทกสะท้านไม่ ยังกอดอกตีหน้าทมึงใส่เหมือนเดิม โอเค...
“มึงไปวิ่งหนีหมาที่ไหนมา ถึงได้หอบเป็นหมาหอบแดดแบบนี้ หะ”
“ก็หนีพวกคณะวิดวะงะ แม่ง เหนื่อย”
พอบอกจบไอ้พวกเพื่อนที่เหลือที่กำลังนั่งแชทในโทรศัพท์ นั่งเล่นเกมส์ นั่งคุยสาวก็หันมามองหน้าผมเป็นเชิงว่า มึงนี่กล้าไปมีเรื่องกับวิดวะเนอะ แบบเนี้ยะ
“แล้วมึงไปทำไรเขา มึงเล่ามาเลย เดี๋ยวเกิดเรื่องขึ้นมากูไม่ช่วยนะเว้ย”
“เออๆ คืองี้...ตอนแรกกูก็กำลังเดินมาคณะนี่แหละ แต่มันก็ต้องผ่านวิดวะใช่ปะ แล้วก็เหมือนเดิมนั่นแหละที่กูจะโดนแซวทุกวัน กูก็เลยรำคาญรีบๆ เดินให้มันพ้นๆ พวกแม่งนั่นสักที แต่ดันมีใครไม่รู้มาชนกูจนกูล้มกระแทกพื้นอ่ะมึง ล้มเลยนะล้ม โคตรเจ็บตูด” เล่าไปนี่ใส่อารมณ์กับท่าทางแบบสุดๆ เพื่อให้ไอ้มิวได้เข้าถึงอารมณ์ในตอนนั้น เว่อร์ปะ ฮ่าๆ
“เล่าต่อ แล้วก็เล่าความจริงมาด้วย”
ง่า...ไอ้นี่ชอบจับได้อยู่เรื่อย ไม่เคยโกหกมันสำเร็จเล้ย...
“อันที่จริง...กูก็ไม่ได้มองทางดีเท่าไหร่ แต่ว่ากูเป็นฝ่ายล้มนะมึง มันไม่สะเทือนเลยอ่ะ แล้วยังเอาหน้านิ่งๆ มาบอกให้กูขอโทษ หน้าตาก็ดีแต่แม่งกวนตีนไปหน่อย แถมยังสูงออย่างกับเสาไฟ...”
สูงกว่าผมตั้งเกือบสิบเซน วัดจากระดับสายตาผมที่พอดีกับลูกกะเดือกหมอนั่น
“มึงเลิกอิจฉาเขา แล้วเล่าให้จบสักทีซิ”
“...กูก็หงุดหงิดนะมึง แถมยังโดนเพื่อนในกลุ่มมันแซวหน้าตากูด้วย แต่กูก็ยอมขอโทษนะมึง”
บอกพร้อมหน้าตาวิ้งวับสุดๆ แต่ก็เจอสายตาคาดคั้นของมันกลับ
“แล้วกูก็เลยกระทืบเท้ามันแล้ววิ่งหนีมานี่ไง แฮะๆ”
“กูว่าแล้วไง แล้วคนที่มึงมีเรื่องด้วยเนี่ยมันปีหนึ่งวิดวะใช่มั้ยตกลง”
ผมส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มแหยๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า...
“ปีสามว่ะมึง”
“หะ!!!”
คราวนี้ไอ้พวกที่เล่นๆ อยู่ถึงกับหันมาพร้อมกันกับตาโตๆ ที่คงจะตกใจมาก
“นี่มึงไปมีเรื่องกับปีสามวิดวะ แล้วยังไปกระทืบตีนเขาแล้วก็วิ่งหนีมาเนี่ยนะ!”
“นายทำอะไรของนายเนี่ยแบมแบม” อุ๋งอิ๋งเพื่อนสาวในกลุ่ม
“ตายแน่มึง เอาหน้าตาน่ารักๆ ไปขอโทษเขาเลยไป๊!” ไอ้ครามเพื่อนแสนกะล่อนในกลุ่ม
“ก็...เออ...”
มิวถึงกับทรุดนั่งลงแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมพวกมันถึงได้เครียดกันแบบนี้สินะ คืองี้นะ...ถ้าพูดถึงวิศวะมันก็ต้องมีพวกโหดๆ เถื่อนๆ บ้างใช่ปะ แล้วที่มีชื่อที่สุดเลยคือวิศวะปีสามของปีนี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องไม่ยอมใครและอัดมาหมด แม้แต่พวกรุ่นพี่ยังไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งเท่าไหร่ เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่พวกเพื่อนผมมันจะกลัวกัน
“เห้ย...แต่คนที่กูมีเรื่องด้วยเนี่ยก็ไม่น่าจะเท่าไหร่นะมึง คงไม่มีอะไรหรอก”
“มึงรู้ได้ไงว่าเขาจะไม่เอาเรื่องมึงกลับ มึงรู้จัดเขาเหรอก หะ”
“ก็...เขาก็ดูไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น...มั้ง แต่ว่าน่าจะมีคนรู้จักนะมึง หน้าตาดีขนาดนั้น”
“แกลองบอกรูปพรรณสัณฐานมาซิ”
อ่าหะ พูดถึงคนหล่อ คนหน้าตาดีไม่ได้ ต้องถามยัยยอุ๋งอิ๋งที่เป็นติ่งคนหล่อในมหาลัย แต่นี่แกถามอย่างกับจะเอาไปจับโจรนะยัยอิ๋ง
“ก็ตัวสูงประมาณร้อยแปดสิบกว่า ขาว ตาคม ดั้งโด่ง ผมตั้งสีน้ำตาลเข้ม โครงหน้าดูไปทางจีนไม่ก็ยุโรป ชอบทำหน้านิ่งๆ มีเพื่อนคนหนึ่งที่ดูจะหน้าม่อ จำได้แค่เนี้ย”
“แบมแบม...” อุ๋งอิ๋งเรียกผมด้วยเสียงที่แผ่วเบา ก่อนจะยื่นมือมาวางแหมะบนไหล่แล้วทำหน้าเศร้า แบบแอ๊บๆ อะนะ
“คนที่แกเดินชน คนที่แกกระทืบเท้าเขาแล้วหนีมา คือพี่มาร์ค เดือนวิศวะสองปีก่อนและยังประธานนักศึกษาปีสามซึ่งเขาสามารถสั่งซ่อมข้ามคณะได้นะ ถ้าเขาจะทำ และอีกอย่างพี่แกนี่แหละที่ดังมากในมหาลัยเรื่องความหล่อจนสาวตบกันเพราะแย่งของที่พี่แกกินแล้ว? แถมยังเก่งทั้งเรื่องเรียนและเรื่องต่อยตี พี่แกคือที่สุดของคณะ ณ ตอนนี้ค่ะ”
O_O!
...ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ว่าถ้าเขาจะเอาเรื่องก็น่าจะตามมาตั้งนานแล้วนี่ ผมควรจะเบาใจใช่มั้ย
“แต่ที่แกยังรอดมาได้ เฮียเขาก็คงไม่เอาเรื่องแกหรอกมั้ง อย่าคิดมาก”
ไอ้มิวกับครามเข้ามาตบไหล่ผมเชิงให้กำลังใจ ก็จริงอย่างที่พวกมันว่า ถ้าเขาโกรธจริงผมก็คงไม่ได่มานั่งแบบนี้หรอก
“เที่ยงแล้ว กินไรดีวะ”
หลังจากที่ผ่านเรื่องปวดหัวไปก็ต้องเข้าสู่สาเหตุหลักคือการทำงานกลุ่มและจ่ายงานกันไปทำ จนเวลาผ่านเลยมาจนเที่ยง ไอ้มิวก็ถามขึ้นหลังจากเก็บของเสร็จเตรียมตัวไปโรงอาหาร ทุกคนก็กำลังจะไปเหมือนกัน ผมเลยขอโทรหาไอ้ยูคยอมก่อน เพราะมันเรียนอยู่ตึกข้างๆ จะได้ลงมากินข้าวพร้อมกัน ยูคยอมมันเรียนบริหารน่ะครับ ตึกคณะก็ห่างกันไม่มากเดินสักสิบนาทีก็ถึง
“ฮัลโหล ยูคยอม”
[ว่าไง]
“เลิกยังมึง มากินข้าวกัน กูรออยู่โรงอาหารนะ”
[เออ รอแปปละกันกำลังเลิกคลาส]
“โอเค ได้”
วางสายแล้วผมก็เดินตามกลุ่มเพื่อนไปโรงอาหารที่ตอนนี้เริ่มมีนักศึกษาบางกลุ่มนั่งจับจองโต๊ะกันแล้ว พวกเราก็เดินไปนั่งที่มุมเดิม แบ่งคนเฝ้าของแล้วแยกกันไปซื้ออาหาร ผมก็ซื้อมาเผื่อไอ้ยูคด้วยจะได้ไม่เสียเวลารอ
“แบมแบม วันนี้พ่อหนุ่มรูปหล่อของฉันจะมากินข้าวด้วยใช่ม้า”
“อือ กำลังมา”
“อ๊ายยยย...ยูคยอมของฉัน”
ครับ ปล่อยเธอเพ้อไปเธอชอบคนหล่อและเพื่อนสนิทผมก็เป็นหนึ่งในมโนของเธอครับ ตอนนี้พวกเราก็เริ่มทานข้าวกันแล้วล่ะครับ แล้วผมกฌมองเห็นไอ้ยูคเดินเข้ามาในโรงอาหารก็เลยโบกมือให้มันเห็น
“เธอๆ นั่นเดือนบริหารนี่นา หล่อเนอะ”
“หล่อแบบไอดอลอ่ะแก ได้ยินว่าเป็นเพื่อนน้องแบมแบมนี่”
“เหรอ ไม่ใช่เขาเป็นแฟนกันหรอกนะ เสียดายอ่ะ”
เสียงซุบซิบนินทาที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ แต่เพราะผมอยู่ใกล้เลยได้ยินชัดเต็มสองหู ใช่ครับยูคยอมมันเป็นเดือนคณะบริหารและดังในหมู่ออนนี นูน่า หรือพี่สาวนั่นแหละครับ แต่ที่ได้ยินต่อมานี่คือผมก็ได้ยินบ่อยยมากว่าผมกับมันคบกันหรือปล่าว ก็เพราะหน้าตาแบบนี้ไงคนถึงเอาไปคิดกันเองอยู่เรื่อย แต่ผมก็ไม่อะไรมากมายหรอก ชินแล้วล่ะ...
“รอนานไหม นี่ซื้อข้าวให้ด้วยเหรอ น่า รัก จัง เลย”
เมื่อยูคยอมมาถึงโต๊ะท่ามกลางสายตาของสาวๆ ทั้งโรงอาหาร และเดินมานั่งข้างผมที่จองที่ไว้ให้ ก็ทำท่าปลื้มปริ่มที่ผมซื้อข้าวไว้ให้แล้ว ยังยื่นมือมาหยิกแก้มทั้งสองข้างของผมอีก ไอ้ตรง ‘น่า รัก จัง เลย’ ก็จับแก้มผมส่ายไปส่ายมาจนเจ็บไปหมด
“มันเจ็บนะเว้ย! จะบวมมั้ยเนี่ย” ว่าพลางลูบแก้มตัวเองอย่างหงุดหงิด
“ก็แก้มมึงมันป่องๆ น่าหยิกน่าจิ้มนี่หว่า”
“พอเลยมึง แดกข้าวไปไม่งั้นกูจะเอาไปเทให้แพมมี่หน้าตึก”
เห็นมันจะเข้ามาจับแก้มผมอีกก็เลยขู่กันไว้ก่อน แล้วก็แพมมี่ที่ผมพูดถึงน่ะ เป็นสุนัขประจำคณะผมเองแหละ ตัวสีนวล เพศเมีย หน้าออกไปทางฝรั่งๆ หน่อย แต่ไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร ผมก็เลยตั้งชื่อให้มัน น่ารักดีว่ามะ
“ใจร้ายว่ะมึง เสียดายที่หน้าตาน่ารัก ใช่มั้ยครับอุ๋งอิ๋ง”
“ใช่จ้า มันน่ะสวยแต่หน้าแต่นิสัยนี่เสียยิ่งกว่าแกงบูดอีก ฮ่าๆ”
ได้ทีละหาพวก ไอ้นี่หนิ...
“กวนกูดีนัก กูยิ่งหงุดหงิดจากไอ้บ้านั่นอยู่ด้วย”
“หืม ไปหงุดหงิดใครมาวะ”
“คืองี้นะยูคยอม ก็เมื่อเช้าน่ะ แบมแบมเขา...” แล้วยัยอุ๋งอิ๋งก็จัดการเล่าเรื่องทุกอย่างแทนผมที่กำลังจะอ้าปากเล่าให้มันฟัง เล่าไปก็แอ็คติ้งซะโอเว่อร์จนพวกเพื่อนพากันขำ “เรื่องก็เป็นแบบนี้ล่ะจ้ะ”
“ทำไมมึงไม่บอกกูวะ เผื่อกูรู้จักจะได้ไปเคลียร์ให้ได้ เฮียมาร์คน่ะดังจะตายห่า มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่เคยจะรู้จักใครในมอ แล้วตอนนี้เป็นไง มีใครมาดักตีมึงยัง”
พอรู้เรื่องราวทั้งหมด ไอ้ยูคมันก็ทำหน้าโหดใส่ผมที่ไม่ยอมเล่าให้มันฟัง
“ปากมึงนี่ พี่คนนั้นคงไม่เอาเรื่องกูหรอกมั้งเรื่องเล็กแค่นี้เองนะมึง”
ปากว่าแต่ใจนี่แป้วไปเรียบร้อยละฮะ
แต่ว่า...ถ้าจะมาเอาคืนนี่ก็คงโดนนานแล้วมั้ง หรือว่าจะมาพรุ่งนี้วะ ทำไงดีเนี่ย!
“วันนี้ไปแฮงค์กันหน่อยมั้ยวะ”
กำลังนั่งยีหัวจนยุ่งเหยิงเพราะคิดหาทางออกอยู่ดีๆ ไอ้มิวก็ดันโพล่งขึ้นมาซะงั้น นึกไงมาชวนไปดริ๊ง นี่กูเครียดอยู่นะ เครียด!
“ไม่เอาว่ะ เมื่อคืนกูเพิ่งไปมา แม่งยังไม่หายแฮงค์เลยสัด งดๆ” บอกปัดไปงั้น...
“เออๆ แต่มึงก็ไปกับพวกกูก็ได้นี่หว่า ไม่ต้องแดกเหล้าแดกค็อกเทลพวกนี้ไปพลางๆ”
ดูมันจะอยากให้ผมไปด้วยซะเหลือเกินนะ มีลับลมคมในไรป่าวว้า...
ว่าแล้วก็จ้องหน้ามัน แล้วพูดกลบเกลื่อน
“ให้กูแดกน้ำนั่นอ่ะนะ กูไปนั่งหลีหญิงยังดีกว่า”
“แล้วมึงจะไปมั้ยครับ แบมแบม” มิวมันถามพลางทำหน้าเอือม
“ไปดิ”
หะๆ สุดท้ายก็ยอมไปจนได้ผม เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใครนี่นา พรุ่งนี้ก็มีเรียนสายๆ ด้วย เพราะงั้นก็ไม่มีปัญหาถ้าแฮงค์อีกอะนะ อิอิ
“เอ้อ แล้วมึงไปมั้ยยูคยอม”
“กูแวะไปก็ได้ แต่ต้องไปทำธุระก่อน”
ขาดมันไม่ได้หรอกครับเพื่อนคนนี้ เดี๋ยวไม่มีใครหิ้วกลับหอนี่ซวยเลย
“เหรอ งั้นเจอกันที่ The Nine นะมึง”
บอกมันเสร็จก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี มันเองก็กลับไปเรียนช่วงบ่าย ผมกับเพื่อนที่เหลือก็เดินขึ้นตึกไปเรียนเหมือนกัน
คืนนี้จะดื่มให้ลืมเรื่องเครียดไปเลยเว้ย!
...โดยไม่รู้ตัวเลยว่า คืนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่าง
MARK Part
ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น และเจ้าของร่างสูงอันเพอร์เฟ็คก็กำลังจะกลับห้อง ทุกวันนี้ชีวิตของเขาไม่ค่อยสงบเหมือนแต่ก่อนก็เพราะไอ้พวกเพื่อนตัวดีมาคอยพาเขาไปโน่นไปนี่ ทั้งที่เขาเป็นคนขี้รำคาญเลยไม่ค่อยออกไปไหนสักเท่าไหร่
“มาร์ค วันนี้ไปดินเนอร์กันมั้ยคะ”
และขณะที่เขากำลังเดินลงจากตึกพร้อมเพื่อนๆ หญิงสาวที่เขาเคยควงด้วยก็เดินเข้ามาทักพร้อมกับแขนเรียวที่กอดแขนแกร่งแน่นแล้วยังบดเบียดหน้าอกคัพซีเข้ากับแขนเขาอีก
เหอะ...มาร์คขำเบาๆ กับการกระทำของผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาเขา พยายามยั่วยวนต่างๆ นานา แต่เขาก็แค่ไม่สนใจและปฏิเสธไปก็เท่านั้น
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ว่าง”
บอกปัดพร้อมกับดันไหล่หญิงสาวออกห่าง แล้วเดินเลี่ยงเพื่อจะไปโรงจอดรถข้างตึก พวกเพื่อนก็เดินมาทางเดียวกันและรอดูท่าทีของมาร์คในการสลัดผู้หญิงคนนี้ว่าจะเป็นยังไง
“ทำไมล่ะคะ คราวก่อนมาร์คก็พูดแบบนี้นะ”
“ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่”
พูดจบกับเดินตรงไปที่โรงจอดรถทันที โดยไม่สนหญิงสาวเลยว่าจะเสียหน้าแค่ไหนที่มาหาผู้ชายถึงที่แถมยังอ่อยขนาดนั้นก็ยังโดนปฏิเสธกลับมา
“เสียใจด้วยนะคนสวย ไอ้มาร์คมันเบื่อของปลอมน่ะ”
ไมล์ที่เดินตามเพื่อนมาก็อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บ
“ของปลอมไรยะ” เธอเองก็หัวเสียเยวีนกลับ
“ก็ไอ้นี่ไง...”
ว่าพลางชี้ไปที่หน้าอกของสาวเจ้าก่อนจะทำหน้ากวนๆ ใส่แล้วเดินหนีออกมาเพราะไม่อยากที่จะได้ยินเสียง...
“อะ...กรี๊ดดดดดดดดดด!!”
“ฮะๆ ตลกชิบหายเลยว่ะ”
“มึงก็ชอบไปแหยเขา”
เพื่อนคนอื่นกลับไปแล้วตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้ไมล์ที่ยังอยู่โรงจอดรถ ถ้าจะพูดถึงผู้หญิงคนเมื่อกี้ล่ะก็ ก็ไม่มีอะไรแค่คนที่เคยควงไปเที่ยวแค่ไม่กี่ครั้ง และผมก็พยายามหาทางไล่เธอออกไปจากชีวิตผมอยู่ ฟังดูอาจจะร้ายไปหน่อย แต่ผมไม่ใช่คนเขาหาใครหรอกนะ มีแต่พวกนั้นนั่นแหละที่เดินเข้ามาหาผมเอง และผมก็จะบอกอยู่แล้วว่าแค่สนุกๆ อย่าคิดจะผูกมัดผม ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าผมจะแล...
“เออ แล้วนี่มึงจะไปไหนต่อป่าววะ”
ไอ้ไมล์ที่กำลังจะเดินไปที่รถของตัวเองถามขึ้น ผมที่กำลังเปิดประตูรถเลยหันไปมองและก็เห็นหน้าหม้อๆ ของมันยิ้มมาให้
“คงไม่ล่ะ กูจะกลับห้อง”
“เหรอ เออ ได้ยินว่ามึงย้ายหอใหม่ ไว้กูจะแวะไปเยี่ยม”
“ไปเยี่ยมได้ แต่ไม่ต้องหิ้วเหล้าไปแดกห้องกู กูต้องทำความสะอาดเองทุกทีเวลาพวกมึงนอนเมาเหมือนหมาไปทั่ว”
ผมบ่นเพราะเคยมีเรื่องที่พวกมันยกโขยงกันไปกินเหล้าที่ห้องผม แล้วสุดท้ายเจ้าของห้องอย่างผมก็ต้องคอยทำความสะอาด หลังจากที่พวกมันเมาไม่รู้เรื่องกัน โคตรเซ็ง...
“เออน่า...ไว้กูไถ่โทษเรื่องนั้นให้”
ตื้ด...ตื้ด....
“ฮัลโหล เออว่าไงมึง...ตอนเย็น...ว่างนักนะพวกมึง...เออๆ เดี๋ยวกูชวนมันให้”
เสียงโทรศัพท์ของไอ้ไมล์ดังขึ้น และเมื่อคุยก็รู้ว่าคงจะเป็นเพื่อนในกลุ่มสักคนที่โทรมา ผมที่กำลังจะขึ้นรถก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กอันคุ้นเคยกำลังเดินไปตามฟุตบาตริทชมถนนกับไอ้เด็กตัวสูงที่ผมเคยเห็นมันอยู่ด้วยกันที่คลับ ร่างเล็กกำลังพูดอะไรซักอย่างกับไอ้เด็กนั่น ดูท่าทางช่างพูดช่างจ้อ และคงจะมีความสุขมาก เพราะหน้าตาตอนพูดนี่ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ และมันเป็นใบหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกพองโตในใจ ก็มันน่ารักนี่เนอะ
หึๆ เรื่องเมื่อสายนี่จะเอายังไงดีน้า...
แต่ที่รู้สึกไม่ชอบใจที่สุดนี่คงจะเป็นเรื่องของไอ้เด็กที่ชอบอยู่ข้างตัวของร่างเล็กตลอดไม่ว่าไปไหน ตกลงมันสองคนเป็นเพื่อนกันธรรมดาจริงๆ เหรอวะ
ชิ! เป็นอะไรก็ช่างแม่งดิ ไม่เกี่ยวกับผมซะหน่อย
“ไอ้มาร์ค วันนี้มึงไป The Nine กับพวกกูอีกเปล่า พวกไอ้วินมันโทรมาชวนบอกว่าวันก่อนมีมึงไปด้วยนี่โคตรดี”
กำลังมองร่างเล็กอยู่ดีๆ ก็มีตัวอะไรมาบังสายตาจนต้องหันไปสนใจมัน ไอ้ไมล์มันเดินมายืนข้างรถผมก่อนออกปากชวน สายเมื่อกี้ก็คงมาชวนกันไปคลับพี่มันอีกทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งไปมา แม่ง ตับกูจะพังก่อนตายมั้ยวะ
“พวกมึงนี่ไม่คิดจะเว้นเลยหรือไงวะ หรือว่าไอ้นั่นไม่แข็งเลยอยากให้ตับแข็งแทน หะ”
“สัด ของกูยังใช้งานได้ดีเว้ย แล้วตกลงมึงจะไปปะ พวกห่านั่นบอกให้กูลากมึงไปให้ได้นะเว้ย แต่กูว่ามึงไปด้วยก็ดีนะ”
ไอ้ไมล์ทำหน้าเหวอตอนที่ผมด่ามัน ก่อนจะกลับมากวนตีนตามเดิม
“ดีตรงเรียกหญิงให้พวกมึงล่ะสิ”
เหอะ รู้หรอกน่าว่าจะใช้ผมไว้คอยเรียกหญิง ก็ยอมรับนะว่าหน้าตาผมดึงดูดคนรอบตัวให้เข้าหาอัตโนมัติ แต่ใครไม่ถูกใจผมก็ไม่เล้นด้วยนะเว้ย
“เออ...พ่อรูปหล่อ หล่อมาทั้งชีวิตนิมึง ไม่เข้าใจพวกกูหรอก แล้วตกลงจะไปป่าววะ”
“...คิดดูก่อน”
“คิดอะไรรอีกวะ เด็กมึงก็ไปนะเว้ย รุ่นน้องกูที่อยู่นิเทศแอบได้ยินมา”
...ไอ้ตัวแสบก็ไปที่นั่นอีกงั้นเหรอ จะไปดีหรือปล่าววะ เหลือบมองไอ้เหี้ยม์มันก็กำลังยืนยิ้มอยู่ ไอ้นี่...คิดจะเอาไอ้เด็ดแสบมาล่อกูเหรอ
“เด็ก?” เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไปซะ
“อ้าว ก็เดือนนิเทศตัวน้อยนั่นไง...กูเห็นนะว่าเมื่อคืนมึงจ้องเขาอยู่ แถมเมื่อเช้ามึงก็เพิ่งโดนมันทำแสบใส่แล้วยังไม่เอาเรื่องอีก มันผิดวิสัยมึงนะเว้ย...”
“เสือกนะมึง”
สังเกตดีนักนะมึงเรื่องคนอื่น แต่มาคิดดู...ไปเล่นอะไรสนุกๆ คืนนี้หน่อยก็ไม่เลว หึๆ
“แล้วไปปะละ”
“เออ”
แล้วเจอกันคืนนี้นะเด็กน้อย รับรองว่ามึงจะลืมคืนนี้ไม่ลงเลยล่ะ แบมแบม!
End MARK Part
++++++++++++++++++++++++
ตอนที่สองแล้วน้า...
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ