The Princess I ภารกิจรักร้าย ล่าหัวใจเจ้าชายจอมกวน
9.8
เขียนโดย keang_sujittra
วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11.52 น.
10 chapter
32 วิจารณ์
17.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2558 22.46 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
9) ตอนที่ 9 : รูมเมท
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เจ๊ฟาง~~~~” >O<
เสียงของอีตาธามดังขึ้นก่อนตัวทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้อง (ที่พิชชี่บอกว่ามันจะเป็นที่พักของฉันตลอด 2 เดือนอ่ะนะ) พร้อมๆกับร่างของเขาที่โถมมาหาฉันทั้งตัว ไอ้หมอนี่คงกอดฉันไปแล้วถ้าไม่ได้กั้งช่วยดึงคอเสื้อของเขาไว้ น่าอันตรายจริงๆเลยแฮะผู้ชายคนนี้
“ทำไมเจ๊ฟางไปนานจังเลยอ่ะ ผมรอแทบแย่”
ดูมันสิ ขนาดโดนดึงไว้เขาก็ยังคงป้อล้อฉันไม่หยุด ก่อนมันจะหันไปทำตาขวางใส่พิชชี่ เป็นหมาบ้ารึไงย่ะ-*-
“หรือว่า... นี่เฮียพิช เฮียแอบไปทำอะไรเจ๊ฟางมารึเปล่าเนี่ย ถึงได้มาช้าซะ” หนอย! ไอ้บ้านี่ คิดไปถึงนั่น จะด่ามันว่าไงดีวะเนี่ย ไอ้... ไอ้
“ไอ้ลามก” เออ! นั่นแหละ ฉันกะจะด่าอีตาธามแบบนั้นอยู่พอดี้ พอดี แต่ว่า... นั่นมันไม่ใช่เสียงฉันหนิ แล้วเมื่อกี้ใครพูดวะ
“อ้าวไอ้เบ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พิชชี่หันไปทักจองเบที่ยืนอยู่ที่ประตู ฉันเลยหันไปมองบ้าง ที่แท้เสียงเมื่อกี้ก็เสียงหมอนี่นี่เอง จะว่าไปแล้วนายก็จัดอยู่ในพวก พูดน้อยแต่ต่อยหนักเหมือนกันนะเนี่ย เล่นซะอีตาธามหุบปากเลย
“ตั้งแต่ไอ้ธามพล่าม” โอเค สั้นๆ ง่ายๆ แต่แปลได้ว่าอีตาธามพูดมากนั่นเอง ประโยคแบบนี้ฟางขอกดไลค์ค่ะ^O^
“ปล่อยฉันได้แล้วไอ้กั้ง จับฉันไว้แบบนี้ไม่หาโซ่มาล่ามฉันไว้เลยล่ะ” ธามไทพูดพลางเอามือปัดแขนของอีกฝ่ายที่ยังจบคอเสื้อเขาไว้จากทางด้านหลัง กั้งยักไหล่น้อยๆก่อนจะพูดหน้าตาย
“แกก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ฉันจะได้ซื้อโซ่มาเตรียมไว้ล่ามแก” ฉันยิ้มเมื่อได้ยินสองคนนี้เถียงกันอีกแล้ว พวกเขาดูสนิทกันจังเลยแฮะ แต่ฉันว่าสำหรับอีตาธามโซ่อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องหาตะกร้อมาครอบปากไว้ด้วยถึงจะเหมาะ -O-
ฉันลากกระเป๋าหนึ่งในสามใบของฉันมาวางไว้บนเตียง ไม่ได้ฟังหรอกว่าพวกเขาคุยอะไรกันต่อ เพราะฉันกำลังยุ่งอยู่กับการหาสัมภาระในกระเป๋าของตัวเองอยู่น่ะ ไม่ต้องสงสัยกันนะว่าอะไร ก็แค่ของเล็กๆน้อยๆที่ยัยแต๊งกิ้วยัดใส่กระเป๋ามาให้สำหรับป้องกันตัวนะ ยัยนั่นดูจะเป็นห่วงฉันมากเลยใช่มั้ยล่ะ^_^
“หาอะไรอยู่เหรอฟาง ให้ช่วยมั้ย” แล้วก็เป็นพิชชี่ที่ยื่นหน้าเข้ามาถาม ในขณะที่ฉันแทบจะมุดหัวเข้าไปในกระเป๋าได้อยู่แล้ว จะเข้ามาใกล้ทำไมนักหนาวะ ตกใจหมด ฉันรีบโผล่หน้าออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกรอกตาไปมา ตอบว่าไงดีล่ะ
“อ๋อ! กำลังหาโซ่มาล่ามคนอยู่น่ะ” ฉันเลือกประเด็นที่พวกเขาเคยพูดกันก่อนหน้านี้มาตอบ เชื่อสิว่า คนพวกนี้ไม่ได้สิ้นคิดถึงขนาดคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริงหรอก
แล้วก็เป็นดังคาด เพราะพอฟังคำตอบของฉันจบ พวกเขาก็เงียบไปประมาณ 5 วิ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไม่กลัวเสียฟอร์ม แม้กระทั่งหนุ่มเนิร์ดอย่างจองเบก็ยังเป็นไปกับเขาด้วยเลย
เอ่อ คือ... ถ้าพวกนายไม่คิดจะรักษาหน้าตัวเองในฐานะ The Prince ก็ช่วยนึกอายฉันในฐานะผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องหน่อยเหอะ -_-;
“เจ๊อ่ะ ใจร้าย” T^T ธามไททำหน้าเบ้ เห็นจะมีแค่เขานี่แหละที่ไม่ได้หัวเราะบ้าหลุดโลกไปกับเจ้าพวกนั้นด้วย แต่ดูมันทำหน้าทำตาแล้ว สัญชาตญาณบอกฉันว่าอีตาธามกำลังเอานิสัยเด็กปัญญาอ่อนออกมาใช้อีกแล้ว
“นี่พี่ฟางคงไม่ได้เอาโซ่ใส่กระเป๋ามาจริงๆใช่มั้ยครับเนี่ย” กั้งหันมาแหย่ฉันยิ้มๆ ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแหย่กลับไปบ้าง
“ไม่หรอกนา พี่ไม่บ้าพกโซ่มาแบบนั้นหรอก ของที่พี่เอามาด้วยก็มีแค่สเปรย์พริกไทย เครื่องช็อตไฟฟ้า แล้วก็สนับมือ แค่นั้นเอง”
ใช่! แค่นั้นเองจริงๆนะ ฉันไม่ได้พกปืนมาด้วยแน่นอน อิอิ ^O^
“โห นี่เจ๊พกอาวุธมาขนาดนี้ ตกลงจะมาสัมภาษณ์พวกผมหรือว่ามาทำสงครามครั้งที่ 3 กันแน่เนี่ย” อีตาธามพูด
เหอะ! ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับพวกนาย 2 เดือนเนี่ยมันอันตรายยิ่งกว่าอยู่ในสนามรบอีกนะจะบอกให้ -_-*
“แล้วนี่พี่ป๊อปไปไหนล่ะพี่เบ ไม่มาด้วยกันเหรอ” กั้งถามขึ้นเล่นเอาฉันชะงัก ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าลอยวาบเข้ามาในหัวทันที ฉันอุตส่าห์ลืมๆมันไปได้แล้วนะเนี่ย แต่ชื่อของผู้ชายคนนั้นก็ไปสะกิดต่อมความจำของฉันจนได้
“ก่อนจะมาด้วยกัน ให้ฉันหาตัวมันให้เจอก่อนมั้ย?” จองเบย้อนเรียบๆ ตามสไตล์ของเขา ถึงเขาจะพูดน้อยแค่ไหน แต่ฉันก็ยังสัมผัสได้ว่าความกวนของเขานั้นไม่ได้น้อยหน้ากว่าใครในกลุ่มเลยสักนิดเดียว เจ้าหญิงฟางเอาหัวเป็นประกัน!!!
“ว่าแต่พวกนายสองคนเป็นรูมเมทกันเหรอ?” ฉันหันไปถามกั้งกับธามไทที่นั่งเขม่นมองกันอยู่บนโซฟา ก็ฉันไม่รู้จะชวนพวกเขาคุยเรื่องอะไรดีนี่นา อยากเปลี่ยนประเด็นเรื่องไอ้หมีลามกนั่นด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว ฉันฉลาดใช่ม่ะ ^_^
“ใช่ครับพี่ฟาง ห้องผมกับไอ้ธามอยู่ริมสุดนู่นเลย ส่วนห้องข้างๆนี่เป็นของพี่พิชกับพี่เบ” กั้งเป็นคนตอบคำถามของฉัน งั้นก็แสดงว่าพิชชี่กับจองเบเป็นรูมเมทกันสินะ
แต่เดี๋ยว... เหมือนฉันจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ
ที่นี่คือหอพักของ The Prince ที่มีลักษณะเป็นบ้านมากกว่าหอพักทั่วไป และก็มีชั้นเดียว แต่ภายในก็ค่อนข้างจะกวางไม่น้อย (ถึงจะไม่เท่าของ The Princess ที่เป็นหอพักสองชั้นก็เถอะ)
พอเดินเข้ามาด้านในฉันก็พบกับห้องรับแขกซึ่งเป็นโถงรูปครึ่งวงกลม ถ้ายืนอยู่ที่ประตูบ้าน เมื่อมองตรงไปด้านหน้าก็จะเป็นประตูห้องพักที่มีอยู่สามห้อง ห้องที่ฉันนั่งอยู่คือห้องที่อยู่ซ้ายมือสุด ตรงข้ามกับห้องของฉันก็คือห้องของกั้งกับธามไท โดยมีห้องของพิชชี่กับจองเบกั้นอยู่ตรงกลาง
ภายในห้องที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็กว้างพอๆกับห้องของฉันที่ไฮท์ฟลาวน์นั่นแหละ... ไม่สิ ห้องนี้กว้างกว่าห้องของฉันซะด้วยซ้ำ แถมยังมีห้องน้ำอยู่ในตัวอีกต่างหาก ทั้งห้องถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ ดูเรียบหรู มีระเบียงต่อออกไปด้านหลังด้วย แต่ตอนนี้มันถูกปิดอยู่ด้วยม่านสีขาวบริสุทธิ์ ถึงจะดูขรึมไปหน่อย แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบสไตล์การตกแต่งแบบนี้ มันอาจจะธรรมดาๆ แต่ดูมีอะไรๆดี
ที่จริงห้องนี้สามารถอยู่ได้สองคนแบบสบายๆเลยนะเนี่ย เพราะกะจากระยะสายตาแล้ว ที่ว่างที่เหลือในห้องยังสามารถวางเตียงอีกเตียงหนึ่งได้พอดีเลย และนั่นคือปัญหา...
จำได้มั้ย? ที่ฉันบอกว่าบ้านหลังนี้มีห้องพักแค่ 3 ห้อง และทุกคนในที่นี้ก็มีรูมเมทกันหมดแล้วยกเว้นฉัน ไม่อยากจะเสี่ยงคิดไปเองเลยแฮะ ว่าฉันต้องเป็นรูมเมทกับใคร TOT
“แล้วไอ้หมี เอ่อ... ป๊อปปี้น่ะ เขาพักที่ไหนเหรอ?” ฉันเอ่ยถามออกไป ก็ไม่ได้อยากจะถามนักหรอก แค่ชื่อยังไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำ แต่ที่ฉันต้องถามออกไปก็เพื่อความแน่ใจของตัวเองต่างหาก
“อ้าว! นี่เจ๊ยังไม่รู้หรอกเหรอเนี่ย” ธามไทมองหน้าฉันอย่างงงๆ แต่ฉันเนี่ยสิที่งงยิ่งกว่า เริ่มเห็นเค้าลางความโชคร้ายลอยมาแต่ไกลเลยสิ หวังว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดหรอกนะ พวกเขาคงไม่ได้ใจร้ายให้ฉันเป็นรูมเมทของไอ้หมีลามกนั่นหรอกใช่มั้ย? ไม่! ไม่!! ไม่!!!
“ห้องนี้เป็นห้องของไอ้ป๊อปน่ะ แล้วเธอกับไอ้ป๊อปก็เป็นรูมเมทกัน” คำตอบนั้นของพิชชี่เล่นเอาฉันนั่งอึ้ง ตัวแข็งค้างไปทันที
“ว่าไงนะ!!!” OoO
แงๆ ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งคนสวยอย่างฉันด้วยเนี่ย อิจฉาความสวยเกินมนุษย์ของฉันเหรอไง ถึงได้ลิขิตให้ฉันต้องมาเจอคนโรคจิตอย่างหมอนั่น แถมยังให้หมอนั่นมาเป็นรูมเมทของฉันอีก สวรรค์จะแกล้งฉันไปถึงไหน
“นี่ผมก็นึกว่าเจ๊จะรู้จากพี่มาร์คแล้วซะอีกนะเนี่ย” กั้งพูด ฉันหันขวับไปมองทันที
มาร์คัสงั้นเหรอ! แสดงว่ามาร์คัสเองก็รู้มาก่อนแล้วน่ะสิว่าฉันต้องมานอนห้องเดียวกับไอ้หมีโรคจิตนั่น ถึงว่า ทำไมตอนฉันถามถึงได้ตอบแปลกๆ
“เอาน่าเจ๊ฟาง เจ๊ไม่ต้องกลัวไปหรอก เฮียป๊อปน่ะเป็นสุภาพบุรุษจะตาย รับรองเฮียแกไม่ลุกขึ้นมาปล้ำเจ๊แน่นอน” ธามไทพูด
น้อยไปน่ะสิ! ฉันหันไปค้อนใส่ธามไทตาคว่ำ ถ้าคนอย่างไอ้หมีโรคจิตนั่นเป็นสุภาพบุรุษ รับรองว่าคาสโนว่าปลาไหลเรียกพี่อย่างอีตาธามก็โค-ตะ-ระ สุภาพบุรุษแล้วล่ะ
“แต่ผมว่าอยู่ห้องเดียวกับพี่ป๊อปก็ดีกว่าต้องอยู่กับไอ้ธามนะครับพี่ฟาง เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ผมว่าชีวิตพี่ตลอดสองเดือนคงจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”
โนววววววววว ฉันว่าข้อนี้นายคิดผิดแล้วกั้ง เอาตรงๆนะ กับธามไทฉันค่อนข้างจะมั่นใจว่ายังรับมือกับเขาได้ แต่กับคนที่ลวนลามฉันตั้งแต่ครั้งที่เจอหน้าอย่างอีตาป๊อปปี้เนี่ย ฉันคิดจนสมองจะระเบิดอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า จะรับมือกับเขายังไงดี
ถ้าเกิดอยู่ๆเขาเกิดบ้าอยากจะฆ่าฉันขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ คนที่อยู่ที่นี่ก็เพื่อนของเขาทั้งนั้น กว่าจะมีคนรู้ข่าวฉัน ฉันไม่กลายเป็นศพถูกแยกชิ้นส่วนไปฝังซะแล้วเรอะ ไม่นะ... นี่ชีวิตวัยรุ่นอันแสนสดใสของฉันจะต้องจบลงเพราะน้ำมือของไอ้หมีลามกที่ชื่อว่าป๊อปปี้อย่างนั้นเหรอเนี่ย ม่ายยยยยย!!!!
“ฟาง!!!”
จู่ๆพิชชี่ก็ตะโกนเรียกฉันซะดังลั่น เล่นเอาฉันถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองหน้าเจ้าของเสียงอย่างงงๆ เขาจะตะโกนทำไมเนี่ย? กลัวฉันจะจำชื่อตัวเองไม่ได้เหรอไงยะ
“มีอะไรเหรอพิชชี่ เรียกซะดังเลย” ฉันหันไปทำตาใสใส่พิชชี่ ไม่ได้หรอก ตอนนี้ฉันต้องทำตัวเป็นเจ้าหญิงผู้แสนเรียบร้อยไว้ก่อน พวกเขาจะได้สงสาร ไม่แกล้งฉันมากไง อ้อ! ยกเว้นไอ้หมีไว้คน ที่จ้างให้ตายฉันก็ไม่มีวันญาติดีกับเขาเด็ดขาด!!!
“เธอนั่นแหละเป็นอะไร ฉันเรียกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ยักจะได้ยิน”
อ้าวเหรอ! ฉันส่งยิ้มแหยๆไปให้ทุกคนในห้องที่กำลังมองฉันด้วยแววตาสงสัย เมื่อกี้ฉันคงจะอินกับความคิดตัวเองจนเกินไปใช่มั้ยเนี่ย เล่นซะหูตึงเลย ^^;
“นี่ๆ หรือว่าเมื่อกี้เจ๊กำลังเหม่อคิดถึงแฟนอยู่ใช่ม่ะ”
เก็บน้องหมาในปากไว้ได้ไม่นานเท่าไหร่ แกก็พามันออกมาเดินเล่นอีกแล้วนะอีตาธาม แถมทันทีที่หมอนั่นพูดจบ สายตาทุกคนที่ตอนแรกมองมาอย่างสงสัย ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความอยากรู้แทบจะในทันทีเลยด้วย
“บ้าเหรอไง! ฉันโสดสนิทแล้วก็ยังไม่คิดจะมีแฟนย่ะ” >O<ฉันค้อนขวับๆใส่ทุกคนในห้อง โดยเฉพาะธามไทที่ทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เห็นแล้วหมั่นไส้!
“ทำหน้าแบบนั้นจะบอกว่าฉันโกหกเหรอไง” ฉันเริ่มเหวี่ยงอย่างไม่สบอารมณ์ แค่บอกว่าไม่มีแฟน ทำไมต้องทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องช็อคโลกแบบนั้นด้วยวะ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับเจ๊” ^^;อีตาธามพูดเสียงอ่อย
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหน”-^- ฉันมองหน้าหมอนั่นอย่างหาเรื่อง ว่าจะอยู่เงียบๆแล้วเชียว หาเรื่องให้ฉันต้องวีนจนได้
“ก็ผมดีใจที่เจ๊โสด ผมจะได้จีบเจ๊ไง” ^O^
“ตลกตายล่ะ” ฉันเบ้หน้าใส่ อยากยกตำแหน่งแถขั้นเทพให้มันแทนตำแหน่งเจ้าชายซะจริง สีข้างถลอกหมดแล้วมั้งนั่น
“ที่จริง... พวกเราก็รู้กันอยู่แล้วล่ะ” พิชชี่พูด ฉันก็เลยหันไปมอง
“รู้อะไร?”
“ก็รู้ว่าพี่ยังไม่มีแฟนไง”
เป็นกั้งที่ตอบคำถามของฉันแทน ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันแปลกใจซะเท่าไหร่ ขนาดที่โรงเรียนฉัน พวกเขาต่างก็เป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงเรียน (ยกเว้นฉัน ซึ่งไปมุดหัวอยู่ในรูไหนก็ไม่รู้ถึงได้ไม่รู้จัก) มีคนรู้ประวัติละเอียดยิบ ชนิดที่ว่าเจ้าตัวเองยังแทบไม่รู้ เพราะฉะนั้น ณ ที่แห่งนี้มันก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมเจ้าพวกนี้ก็ดูจะสนิทกับมาร์คัสอยู่ไม่น้อย เผลอๆมาร์คัสอาจจะเผาฉันไว้เยอะแล้วก็ได้
“รู้แล้ว? แล้วทำไมต้องทำหน้าแปลกใจด้วยล่ะ” ฉันเอ่ยถาม ก็มันสงสัยจริงๆนี่หว่า แถมพอฉันตอบความจริงก็ยังจะทำหน้างงกันอีกแน่ะ
“ก็ไม่คิดว่าเธอจะพูดตรงแบบนี้นี่นา” ในที่สุดจอบเบก็ได้ฤกษ์พูดกับฉันซะที สาบานได้ว่า ตั้งแต่เขาแนะนำชื่อให้ฉันรู้จักในห้องประชุม ฉันก็ไม่ได้ยินเขาพูดกับฉันอีกเลย -_-;จะให้เข้าใจว่าไงดีล่ะ เขาแค่เป็นคนพูดน้อย หรือว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าฉันกันแน่...
โอเค กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อ
“แล้วมันแปลกยังไง ไม่มีก็บอกว่าไม่มี ฉันจำเป็นต้องโกหกพวกนายเหรอไง?”
“มันก็ไม่เชิง แค่ไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างเธอจะยอมรับว่าไม่มีแฟน” หนอย! ฟังนายพิชชี่พูดแล้วปรี๊ด ผู้หญิงอย่างฉันไม่มีแฟนแล้วมันจะตายขึ้นมาเหรอไงวะ เดือดร้อนอะไรด้วยล่ะวะเนี่ย -*-
“ไม่คิด พวกนายก็คิดซะสิ แล้วก็เปลี่ยนความคิดของพวกนายที่มีต่อฉันใหม่ซะด้วย”
ฉันเชิดหน้าขึ้น เดาได้ลางๆว่า ข่าวลือเกี่ยวกับตัวฉันที่ลอยมาเข้าหูเจ้าพวกนี้คงจะไม่ใช่ข่าวที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ถึงพวกเราเหล่าเจ้าหญิงจะมีคนรักและยกย่องเชิดชูมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าคนเกลียดจะไม่มี ยกตัวอย่างเช่นยัยมนิลาเป็นต้น แล้วคิดว่าไง คนอย่างฉันจำเป็นต้องเก็บเรื่องของพวกนั้นมาคิดให้รกสมองมั้ย? แน่นอน... คำตอบก็คือไม่!!!
“ถ้าพี่อยากให้พวกเราเปลี่ยนความคิดที่มีต่อพี่ พี่ก็ต้องแสดงให้พวกเราเห็นสิ ว่าจริงๆแล้วพวกพี่เป็นคนยังไง” กั้งพูด
นี่ถามจริง! ฉันกำลังจะสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานใช่มั้ย ไม่ใช่เก็บประวัติเด็กม.ปลาย จริงจังซะ -^-
“แล้วความคิดของพวกนายตอนนี้ คิดว่าฉันเป็นคนยังไงล่ะ” ฉันย้อนถามกลับ โทษที พอดีเป็นคนไม่ชอบอธิบายอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้คนอื่นฟังอ่ะ ฟังคนอื่นพูดสบายกว่าเยอะ ^^
“ก็...” ธามไทมีสีหน้าครุ่นคิดปนลังเล ฉันเห็นแบบนั้นก็เลยอาสาตอบแทนซะเลย
“ผู้หญิงปากร้าย เหวี่ยง วีน เอาแต่ใจ ไล่จับผู้ชาย เป็นนางมารร้ายในคราบคน?”
“นั่นแหละ ใช่เลย เฮ้ย!” อีตาธามร้องออกมาอย่างถูกใจ แล้วก็ต้องเอามือปิดปากแทบไม่ทันเมื่อรู้ว่าตนเองแสดงอาการมากไป ฉันหรี่ตามองอย่างเอือมๆ ไม่ทันแล้วย่ะ อีตาบ้า!
“คือ... ผมไม่ได้จะหมายความว่าแบบนั้นนะฮะเจ๊” ธามไทจะแก้ตัว แต่ฉันโบกมือห้าม
“ไม่เป็นไร ฉันแค่จะบอกว่าสิ่งที่พวกนายได้ยินมาน่ะมันถูกต้องแล้ว”
“ฮะ!!!” O_O
ดูแต่ละคนทำหน้าเข้าสิ หน้าตลกชะมัด สงสัยกันล่ะสิว่าทำไมฉันถึงพูดแบบนั้น
ฉันเป็นผู้หญิงปากร้าย => แน่นอน ใครร้ายมาฉันก็ต้องร้ายกลับ ไม่มีเหตุผลที่เจ้าหญิงอย่างฉันจะยอมทนให้คนอื่นแกล้งเหมือนนางเอกนิยายนี่นา ^O^
ฉันเหวี่ยง => อันนี้ก็ยอมรับ เพราะขืนใครมาเล่นแง่กับฉัน แม่ด่าไม่เลี้ยงแน่
ฉันวีน => ถ้ามีคนมาหาเรื่องคุณ คุณคิดว่าคุณจะส่งยิ้มให้เค้าแล้วขอโทษเค้ามั้ยล่ะ สงบเสงี่ยมแบบนั้นไม่ใช่นิสัยของฉันหรอกนะจะบอกให้
ฉันเอาแต่ใจ => อืมมมม อันนี้ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอ่ะนะ เพียงแต่ว่าฉันอาจจะมากกว่าผู้หญิงทั่วไปนิดนึง
ฉันไล่จับผู้ชาย => อ๊ะๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิด ไล่จับที่ว่าน่ะคือจับไปฆ่าต่างหาก อย่างเช่นพวกชอบม่อแต่ไม่มีความกล้าพอ หรือไม่ก็พวกปากว่ามือถึง พูดด้วยคำจับไปถึงนู่น ฉันไม่พาพวกเขาไปยัดโถส้วมโรงเรียนก็บุญแล้ว =^=
ฉันเป็นนางมารร้ายในคราบคน => ความจริงฉันก็ไม่ได้ร้ายถึงขนาดนางมารแบบนั้นหรอกนะ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นนางฟ้าในคราบคนเหมือนกัน อันนี้ยอมรับได้
“อย่างเจ๊เนี่ยนะ” ธามไทตั้งต้นเดินเวียนไปมารอบเตียงที่ฉันนั่งอยู่ทันที แต่สายตาก็ยังคงมองมาทางฉันอย่างจับสังเกต
“มองอะไรนักหนาเนี่ยธาม คิดว่าฉันปลอมตัวมาเหรอไง”
นั่นดิ นี่ฉันชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทุกทีแล้วนะ แทนที่พอมาถึงที่นี่ ฉันจะได้สัมภาษณ์พวกเขาทันที แต่นี่อะไร! ฉันกลับต้องมานั่งให้พวกเขาสัมภาษณ์แทน นี่มันไม่ใช่เรื่องเลยนะเว้ยเฮ้ย!
“แหมเจ๊ เจ๊ก็ต้องเข้าใจความรู้สึกพวกผมนิดนึง วีรกรรมของพวกเจ๊กับเพื่อนที่พวกผมได้ยินมา มันใช่ย่อยซะที่ไหน”
“อย่างกับเรื่องของพวกนายที่ฉันได้ยินมามันใช่ย่อยนักหนิ” ฉันเหน็บ
มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย อีตาธามพูดเหมือนกับว่าฉันและยัยเจ้าหญิงเคยไปเผาบ้านฆ่าล้างโคตรใครอย่างนั้นแหละ
“โหพี่ฟาง มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะครับ ไอ้เรื่องที่พวกผมทำน่ะมันเป็นวิถีลูกผู้ชาย แต่คนที่เป็นผู้หญิงอย่างพวกพี่จะมาทำแบบพวกผมได้ยังไง”
“เดี๋ยวนะ” ฉันรีบส่งเสียงขัด เมื่อรู้สึกว่ายิ่งฟังก็ยิ่งจะทะแม่งๆเข้าไปทุกที
“นายลองพูดให้เคลียร์ดิ๊ ว่าไอ้วิถีลูกผู้ชายที่นายพูดมาน่ะมันยังไง” ฉันหันไปหากั้ง
เงียบ... พอฉันถามพวกมันก็เงียบค่ะท่านผู้อ่าน โอ้ย!! ฟางอยากจะกรี๊ดดดดดด >O<
“คงไม่ได้หมายถึง... หาเรื่องเขาไปทั่ว ทำลายได้ทุกอย่าง เตะหมา ทำร้ายคนชรา รังแกเด็ก เซ็กส์เสื่อม มั่วไม่เลือกที่ หาความดีไม่ได้หรอก.... ใช่ม่ะ”
“โห นี่คุณสมบัติของพวกฉันยาวเป็นหางว่าวแบบนี้เลยเหรอเนี่ย” พิชชี่พูดยิ้มๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
โอเค ยอมรับว่าไอ้ข้างบนนั่นน่ะฉันใส่สีตีไข่ลงไปเล็กน้อยเพื่ออรรถรสในการเล่า แต่ส่วนใหญ่ฉันก็ฟังมาจากที่ยัยเจ้าหญิงเล่าให้ฟังทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ใส่ไข่ลงไปจนโอเว่อร์ขนาดนั้นสักหน่อย
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไอ้พวกบ้านี่มันยิ้มรับคำกล่าวหาของฉันเนี่ยสิ แถมไม่คิดจะแก้ตัวเลยด้วย แย้งกันขึ้นมาสักนิดสิเฟ้ย! อย่าทำให้ฉันต้องเสียดายความหล่อแต่กลับทำนิสัยเลวแบบนี้ดิวะ
“เฮ้อ~~~ เคยมีใครบอกเจ๊มั้ยเนี่ยว่าสายตาเจ๊มันน่าอันตรายสำหรับผู้ชายอย่างผมขนาดไหน”
จู่ๆ อีตาธามก็ถอนหายใจออกมาดังลั่น พลางใช้สายตาระยิบระยับนั่นมองมาที่ฉันอย่างซุกซน พูดอะไรของเขาอีกล่ะ ไอ้หมอนี่น่ะ -_-;
เชื่อสิ ว่าเดี๋ยวเขาต้องพาฉันออกนอกเรื่องอีกแน่ๆ แต่ที่น่าเจ็บใจคือ ฉันเผลอออกนอกเรื่องตามเขาไปด้วยทุกทีเนี่ยสิ -*-
“พูดอะไรของนาย?”
“ก็เจ๊มีสายตาพิฆาตอ่ะ มองมาที ผมงี้แทบละลาย อยากจะขอเจ๊แต่งงานขึ้นมาทันทีเลยดูดิ”
เออ! เอากับมันสิ ไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนหม้อได้ตลอดเวลาเหมือนอีตานี่เลยให้ตาย ว่าแต่... ที่หมอนี่พูดมามันจริงรึเปล่านะ อิอิ ^O^
“เว่อร์ไปแล้วแก ไอ้ธาม” กั้งส่ายหน้า
ฉันเห็นด้วยกับนายเลยว่ะกั้ง เพื่อนนายนี่โคตรจะเว่อร์ สงสัยจะมีความสามารถพิเศษทำให้เรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องระดับบิ๊กได้แน่เลย ว่าม่ะ
“ฉันเว่อร์ตรงไหน ถ้าไม่เชื่อ แกก็ลองไปยืนให้เจ๊ฟางจ้องตาดูดิ ไม่เขินให้เตะ” อีตาธามพูด
ฉันเลยเบนเข็มสายตาไปยังร่างของกั้งแทน และก็เห็นว่าหมอนั่นมองฉันอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่สนใจ หนอย! คิดจะเมินฉันเหรอไงวะ
“อย่าเลยครับพี่ฟาง เสียเวลาเปล่า ผู้ชายอย่างผมน่ะถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบจริงๆล่ะก็ โดนจ้องยังไงก็ไม่มีทางเขินหรอกครับ”
อ้าว! ซะงั้น ฉันควรจะดีใจดีมั้ยเนี่ย ที่หมอนี่พูดออกมาตรงๆแบบนี้น่ะ T^T
“แต่ผมไม่ได้หมายความว่าพี่ฟางไม่สวยนะ ผมยอมรับว่าพี่เป็นผู้หญิงที่สวยมาก เพียงแต่ว่าพี่ไม่ใช่เสปคของผมแค่นั้นเอง”
กั้งพูดเมื่อเห็นฉันยังมอง ขอบใจย่ะ นายช่วยให้ฉันมั่นใจในตัวเองขึ้นมากเลย -^- ประชดโว้ย!! ไม่ได้การล่ะ สงสัยต้องเอาเสน่ห์ออกมาบริหารสักหน่อยแล้ว ไม่งั้นกว่าจะได้กลับไฮท์ฟลาวน์ ฉันต้องแห้งเหี่ยวเป็นดอกไม้เฉาแน่นอน และฉันก็จะโดนยัยมนิลาหัวเราะเยาะ ไม่! ไม่นะ!! ฟางคนนี้ไม่มีทางยอมเด็ดขาด!!!
ฉันสอดสายตาหาคนที่จะมาทดสอบเสน่ห์ของตัวเองทันที ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าลิงสี่ตัวที่นั่งอยู่ในห้องนี้นี่แหละ ตัดกั้งออกไปเพราะประโยคชวนเจ็บเมื่อกี้ T^T อ้อ! แล้วก็ตัดอีตาธามออกไปด้วย เพราะฉันไม่คิดว่าหมอนั่นจะช่วยในการทดสอบของฉันได้หรอก หน้าหม้อออกนอกหน้าซะขนาดนั้น
ฉันตวัดสายตาไปทางจองเบ คิดว่าเด็กเนิร์ดอย่างหมอนั่นจะสนใจฉันมั้ย?? ... ก็ไม่ยังไงล่ะ! เพราะฉะนั้นต้องตัดหมอนั่นทิ้งไปอีกคน อืม... ถ้างั้นฉันก็คงจะเหลือตัวเลือกสุดท้ายล่ะสินะ
“โอ๊ะโอ แจ๊กพอตแตกที่เฮียพิชซะแล้วสิ”
ปากนายนี่มันวอนโดนเตะจริงๆเลยธาม ให้ตายสิ นี่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ มันก็ดันแทรกเสียงขึ้นมาล้อฉันซะแล้ว มันอ่านความคิดฉันได้เหรอไงวะเนี่ย ถึงได้รู้ว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่น่ะ
“อะไรของแกไอ้ธาม แจ๊กพอต?” พิชชี่ส่งสายตางงๆไปหาธามไท ก่อนจะเบนสายตามาทางฉัน เห็นม่ะ ขนาดพิชชี่ยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังกลายเป็นตัวทดสอบเสน่ห์ให้ฉันอยู่น่ะ =()=
“อ้าว! ก็ได้ข่าวว่าเฮียเองก็มีสาวติดตรึมเหมือนกันหนิ เฮียก็ลองให้เจ๊ฟางเค้าทดสอบเสน่ห์ของเค้าหน่อยสิ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหนุ่มฮอตอย่างเฮียจะรอดพ้นสายตาพิฆาตของเจ๊ฟางได้รึเปล่า”
เห็นม่ะ อีตาธามมันอ่านใจฉันได้จริงๆด้วย -_-;
“พูดเป็นเล่น” พิชชี่ว่า
ฉันหันไปค้อนใส่อีตาธามที่พูดซะโอเว่อร์ ก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้าต่อ พิชชี่ส่ายหน้าพรืดทันทีเมื่อเห็นฉันมอง คนหล่อโรงเรียนนี้มันเป็นอะไรกันนักวะ เจอคนสวยอย่างฉันแล้วส่ายหน้ากันทุกทีเลย หรือว่า... พวกเขาจะชอบของแปลกกันหว่า ถึงว่าสิ คนสวยๆอย่างฉันถึงไม่อยู่ในสายตา -O-
“ไม่เอานาฟาง ฉันไม่เล่นนะ เธออย่าไปบ้าจี้ตามไอ้ธามมันนักเลย เดี๋ยวก็เพี้ยนตามมันไปด้วยหรอก” พิชชี่พูด
จะรีบไปไหนล่ะครับนั่น พูดซะลิ้นพันกันตุงนังเลย แต่ที่บอกว่าอีตาธามเพี้ยนน่ะ แอบเห็นด้วยนะเนี่ย อิอิ
“แล้วนายป๊อดเหรอไง?” ฉันมองหน้าเขาอย่างหาเรื่อง เหมือนที่เคยใช้กับเด็กไฮท์ฟลาวน์บ่อยๆ (เป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แนะนำว่าอย่าทำตามนะคะ อิอิ >_^)
“เหอะ หน้าอย่างฉันเนี่ยนะ” พิชชี่หัวเราะเบาๆ อย่างนี้ค่อยสนุกหน่อย เด็กที่ไฮท์ฟลาวน์กลัวฉันจนหงอกันหมดแล้ว แกล้งไม่ค่อยหนุกเลย มาอยู่ที่นี่ฉันคงมีเรื่องสนุกๆให้ทำเพียบแน่
ฉันมองหน้าพิชชี่อย่างสำรวจ เขา... ก็ดูหล่อดีแฮะ ส่วนสูงเค้าต้อง 180 อัพแหงเลย สูงชะลูดซะ ผมสีดำสนิทที่ถูกเซตไว้อย่างเป๊ะเข้ากับหน้าเขาสุดๆ ว่าแต่...ทำไมตอนเจอกันครั้งแรกฉันถึงมองไม่ค่อยเห็นความหล่อของเขาเลยวะ
“จะมองหน้าฉันอีกนานมั้ยเจ้าหญิง” เสียงทักของผู้ชายตรงหน้าทำให้ฉันต้องเลื่อนสายตากลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง อ้าว! แล้วจะหลบตากันทำไมเนี่ย เกิดกลัวกันขึ้นมารึไง
“แล้วนายจะหลบตาฉันอีกนานมั้ยล่ะ อย่าบอกนะว่านายกลัวผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างฉันน่ะ”
“นี่เจ้าหญิง” เขาหันกลับมาจ้องหน้าฉันตาเขียว หุหุ ยั่วโมโหคนหล่อนี่มันสนุกดีจัง ^O^
“คิดว่าผู้หญิงอย่างเธอจะทำให้ผู้ชายที่ไหนกลัวได้เหรอไง?” ได้สิยะ ที่ไฮท์ฟลาวน์น่ะใครๆก็กลัวฉันกันทั้งนั้นแหละ แต่... มันคงจะไม่ใช่สำหรับที่นี่...ล่ะมั้ง
“ก็นายไง แค่มองตาฉันนายยังไม่กล้าเลย” ฉันพูด พิชชี่เพียงแค่กระตุกยิ้มขึ้นมาแวบนึง ก่อนจะมองฉันด้วยสายตาแบบเดิม อะไรของเขาวะ นายกำลังทำผิดโทษฐานทำให้คนสวยงงนะเว้ยเห้ย!
“ฉันกล้าทำมากกว่ามองตาซะอีก เธอจะลองดูมั้ยล่ะ?” ฉันตาวาวเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเขา
โธ่เอ้ย! ฉันอุตส่าห์คิดว่านายน่าคบด้วยที่สุดแล้วนะเนี่ย ที่แท้นายก็ไม่ได้ต่างอะไรจากไอ้หมีลามกป๊อปปี้ และอีตาธามหน้าม่อเล้ยยย เจ้าชู้ไม่ต่างกัน โอเค... ฉันจะเล่นตามเกมส์นายต่อไป
“อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะ” ฉันส่งยิ้มหวานเฉียบให้เขา ในขณะที่มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบอาวุธลับที่ฉันพกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมา นายรู้จักเจ้าหญิงฟางคนนี้น้อยเกินไปแล้วพิชชี่ ฉันจะทำให้นายรู้ว่ากุหลาบสวย... มักมีหนามคม!
“ก็... อย่างที่ผู้ชายเค้าชอบทำกัน” หมอนั่นกระตุกยิ้ม พลางใช้มือหยิบปอยผมของฉันขึ้นดม เอิ่มมมม....... ฉันควรจะตบหน้าคนหล่ออย่างเค้าสักป๊าปดีมั้ยเนี่ย แต่... ไม่ดีกว่า
“งั้นฉันก็มีสิ่งที่ผู้หญิงเค้าชอบทำกันเหมือนกัน” ฉันส่งยิ้มหวานเฉียบให้เค้าอีกครั้งเมื่อเห็นเค้าทำหน้างง
“อะไร?” ทันทีที่เค้าถามจบ ฉันก็ผลักอกเค้าเบาๆ ให้ห่างจากตัวฉันนิดหน่อย ก่อนจะใช้อาวุธลับในมือฉีดใส่หน้าเค้าทันที
“โอ้ย!! ยัยบ้า เธอเอาอะไรมาฉีดใส่หน้าฉันเนี่ย” พิชชี่ยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ พลางร้องลั่น ฉันยกยิ้มอย่างสะใจ ดูท่าอาวุธลับของฉันจะทะลุเป้าเข้าเบ้าตาของเค้าเต็มๆเลยแฮะ
“สเปรย์พริกไทยไง ผู้หญิงเค้าชอบพกไว้ป้องกันตัวเวลาเจอผู้ชายหน้าม่อแบบนาย” ^O^ ฉันหัวเราะคิกอย่างสะใจเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของพิชชี่ ช่วยไม่ได้นะ ก็นายดันมาม่อผิดที่ผิดเวลา แถมยังผิดคนอีกต่างหาก เพราะผู้หญิงอย่างฉันมีลโลแกนประจำตัว ‘ดูแต่ตา มืออย่างต้อง ถ้าขืนลอง ฉันเอาตาย!!’
“ยัยบ้าเอ้ย! แสบชะมัด” พิชชี่สบถ
“หมายถึงสเปรย์พริกไทยอ่ะนะ” ฉันแหย่ แม้จะพอรู้ว่าเค้ากำลังกัดฉันอยู่ก็ตาม
“หมายถึงเธอนั่นแหละ ยัยบ้า!” >O<คราวนี้ได้เสียงหัวเราะสมทบมาจากเพื่อนของเค้าที่เหลืออีกสามคนด้วย โอ้โหแฮะ ขนาดฉันทำกับเพื่อนเค้าขนาดนี้แล้ว เจ้าสามคนนี้ยังไม่ยักจะมีใครโกรธฉันสักคน แถมดูเหมือนจะสมน้ำหน้าหมอนั่นนิดๆด้วย ช่างเป็นเพื่อนที่รักกันมากซะจริงๆ
~~~ฉันไม่ได้อกหัก แต่เธอแค่รักคนอื่น ไม่เห็นใครต้องฝืน ฝืนใจที่ไหนกัน คงห้ามกันลำบาก มันรักมากกว่านั้น ~~~
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นลั่นห้อง (แน่นอนว่าไม่ใช่ของฉัน) ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันไปมา ก่อนจะหันไปทางพิชชี่ซึ่งเป็นตัวต้นเสียง
“ว่าไง” พิชชี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นรับด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ดีนัก แอบรู้สึกผิดนะเนี่ย ที่ทำให้คนหล่ออารมณ์เสียได้ขนาดนี้
“มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย” เจ้าของโทรศัพท์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิด หวา~~~ มีคนมาช่วยฉันเพิ่มความหงุดหงิดให้พิชชี่ซะแล้วสิ
“เออๆ เดี๋ยวฉันไปเคลียร์เอง แกดูมันไว้ก่อนแล้วกัน” พูดจบเค้าก็ตัดสายทิ้งไป ก่อนจะตวัดสายตาเขียวปั๊ดมาทางฉัน หวาย~ จู่ๆก็โดนจ้อง ตกใจหมด >///<
“มีอะไรเหรอเฮียพิช ท่าทางซีเรียสจัง” ธามไทถามขึ้น นั่นแหละพิชชี่ถึงได้เลิกจ้องฉันแล้วหันเรดาร์ไปหาอีตาธามแทน
“เด็กที่ชมรมมีปัญหานิดหน่อยน่ะ สงสัยคงต้องลงไปดูเอง” พิชชี่ตอบก่อนจะเบนสายตามามองฉันอีกครั้ง
“ยังไงพวกแกก็พาฟางไปที่ห้องด้วยก็แล้วกัน ถ้าฉันเคลียร์เรื่องชมรมเสร็จเดี๋ยวตามไป” เค้าไม่เรียกฉันว่ายัยบ้าแล้วแฮะ สงสัยจะโกรธคนสวยได้ไม่นาน อิอิ
“เอางั้นก็ได้” จองเบรับคำอย่างว่าง่าย แต่ฉันกลับหันไปมองหน้าพิชชี่ หมอนั่นเลิกคิ้วน้อยๆเหมือนจะถามว่าฉันมองอะไร ...
เออนั่นสิ! นี่ฉันมองอะไร แล้วมองเขาทำไมวะเนี่ย!! งง
“ไปเหอะครับพี่ฟาง ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว” กั้งหันมาพูดกับฉันก่อนจะเดินนำออกไป ตามด้วยธามไทและจองเบ ฉันรีบเดินตามพวกเขาไป แต่ก็ดันหยุดชะงักอยู่ที่ประตู จะหยุดทำไมอีกล่ะวะเนี่ย!
“มีอะไร จะเอาสเปรย์มาฉีดใส่ตาฉันอีกรอบเหรอไง” พิชชี่ที่ยังอยู่ในห้องส่งเสียงขึ้นอย่างกวนๆ แหม มันคันปากอยากด่าคนหล่อซะจริง แต่...
“อย่าลืมไปล้างหน้าล่ะ แค่สเปรย์พริกไทยมันแสบอยู่ไม่นานหรอก” แค่นั่นล่ะ! คำพูดฉัน
คนสวยเป็นโรคขี้สงสารคนหล่อง่ะ แทนที่จะด่ากลับไปสงสารเขาแทน ใครก็ได้มาลากฉันไปตบหน่อยเหอะ เริ่มหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆละ >O<
.
.
.
.
.
เม้นๆๆๆๆๆ
เสียงของอีตาธามดังขึ้นก่อนตัวทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้อง (ที่พิชชี่บอกว่ามันจะเป็นที่พักของฉันตลอด 2 เดือนอ่ะนะ) พร้อมๆกับร่างของเขาที่โถมมาหาฉันทั้งตัว ไอ้หมอนี่คงกอดฉันไปแล้วถ้าไม่ได้กั้งช่วยดึงคอเสื้อของเขาไว้ น่าอันตรายจริงๆเลยแฮะผู้ชายคนนี้
“ทำไมเจ๊ฟางไปนานจังเลยอ่ะ ผมรอแทบแย่”
ดูมันสิ ขนาดโดนดึงไว้เขาก็ยังคงป้อล้อฉันไม่หยุด ก่อนมันจะหันไปทำตาขวางใส่พิชชี่ เป็นหมาบ้ารึไงย่ะ-*-
“หรือว่า... นี่เฮียพิช เฮียแอบไปทำอะไรเจ๊ฟางมารึเปล่าเนี่ย ถึงได้มาช้าซะ” หนอย! ไอ้บ้านี่ คิดไปถึงนั่น จะด่ามันว่าไงดีวะเนี่ย ไอ้... ไอ้
“ไอ้ลามก” เออ! นั่นแหละ ฉันกะจะด่าอีตาธามแบบนั้นอยู่พอดี้ พอดี แต่ว่า... นั่นมันไม่ใช่เสียงฉันหนิ แล้วเมื่อกี้ใครพูดวะ
“อ้าวไอ้เบ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พิชชี่หันไปทักจองเบที่ยืนอยู่ที่ประตู ฉันเลยหันไปมองบ้าง ที่แท้เสียงเมื่อกี้ก็เสียงหมอนี่นี่เอง จะว่าไปแล้วนายก็จัดอยู่ในพวก พูดน้อยแต่ต่อยหนักเหมือนกันนะเนี่ย เล่นซะอีตาธามหุบปากเลย
“ตั้งแต่ไอ้ธามพล่าม” โอเค สั้นๆ ง่ายๆ แต่แปลได้ว่าอีตาธามพูดมากนั่นเอง ประโยคแบบนี้ฟางขอกดไลค์ค่ะ^O^
“ปล่อยฉันได้แล้วไอ้กั้ง จับฉันไว้แบบนี้ไม่หาโซ่มาล่ามฉันไว้เลยล่ะ” ธามไทพูดพลางเอามือปัดแขนของอีกฝ่ายที่ยังจบคอเสื้อเขาไว้จากทางด้านหลัง กั้งยักไหล่น้อยๆก่อนจะพูดหน้าตาย
“แกก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ฉันจะได้ซื้อโซ่มาเตรียมไว้ล่ามแก” ฉันยิ้มเมื่อได้ยินสองคนนี้เถียงกันอีกแล้ว พวกเขาดูสนิทกันจังเลยแฮะ แต่ฉันว่าสำหรับอีตาธามโซ่อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องหาตะกร้อมาครอบปากไว้ด้วยถึงจะเหมาะ -O-
ฉันลากกระเป๋าหนึ่งในสามใบของฉันมาวางไว้บนเตียง ไม่ได้ฟังหรอกว่าพวกเขาคุยอะไรกันต่อ เพราะฉันกำลังยุ่งอยู่กับการหาสัมภาระในกระเป๋าของตัวเองอยู่น่ะ ไม่ต้องสงสัยกันนะว่าอะไร ก็แค่ของเล็กๆน้อยๆที่ยัยแต๊งกิ้วยัดใส่กระเป๋ามาให้สำหรับป้องกันตัวนะ ยัยนั่นดูจะเป็นห่วงฉันมากเลยใช่มั้ยล่ะ^_^
“หาอะไรอยู่เหรอฟาง ให้ช่วยมั้ย” แล้วก็เป็นพิชชี่ที่ยื่นหน้าเข้ามาถาม ในขณะที่ฉันแทบจะมุดหัวเข้าไปในกระเป๋าได้อยู่แล้ว จะเข้ามาใกล้ทำไมนักหนาวะ ตกใจหมด ฉันรีบโผล่หน้าออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกรอกตาไปมา ตอบว่าไงดีล่ะ
“อ๋อ! กำลังหาโซ่มาล่ามคนอยู่น่ะ” ฉันเลือกประเด็นที่พวกเขาเคยพูดกันก่อนหน้านี้มาตอบ เชื่อสิว่า คนพวกนี้ไม่ได้สิ้นคิดถึงขนาดคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริงหรอก
แล้วก็เป็นดังคาด เพราะพอฟังคำตอบของฉันจบ พวกเขาก็เงียบไปประมาณ 5 วิ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไม่กลัวเสียฟอร์ม แม้กระทั่งหนุ่มเนิร์ดอย่างจองเบก็ยังเป็นไปกับเขาด้วยเลย
เอ่อ คือ... ถ้าพวกนายไม่คิดจะรักษาหน้าตัวเองในฐานะ The Prince ก็ช่วยนึกอายฉันในฐานะผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องหน่อยเหอะ -_-;
“เจ๊อ่ะ ใจร้าย” T^T ธามไททำหน้าเบ้ เห็นจะมีแค่เขานี่แหละที่ไม่ได้หัวเราะบ้าหลุดโลกไปกับเจ้าพวกนั้นด้วย แต่ดูมันทำหน้าทำตาแล้ว สัญชาตญาณบอกฉันว่าอีตาธามกำลังเอานิสัยเด็กปัญญาอ่อนออกมาใช้อีกแล้ว
“นี่พี่ฟางคงไม่ได้เอาโซ่ใส่กระเป๋ามาจริงๆใช่มั้ยครับเนี่ย” กั้งหันมาแหย่ฉันยิ้มๆ ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแหย่กลับไปบ้าง
“ไม่หรอกนา พี่ไม่บ้าพกโซ่มาแบบนั้นหรอก ของที่พี่เอามาด้วยก็มีแค่สเปรย์พริกไทย เครื่องช็อตไฟฟ้า แล้วก็สนับมือ แค่นั้นเอง”
ใช่! แค่นั้นเองจริงๆนะ ฉันไม่ได้พกปืนมาด้วยแน่นอน อิอิ ^O^
“โห นี่เจ๊พกอาวุธมาขนาดนี้ ตกลงจะมาสัมภาษณ์พวกผมหรือว่ามาทำสงครามครั้งที่ 3 กันแน่เนี่ย” อีตาธามพูด
เหอะ! ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับพวกนาย 2 เดือนเนี่ยมันอันตรายยิ่งกว่าอยู่ในสนามรบอีกนะจะบอกให้ -_-*
“แล้วนี่พี่ป๊อปไปไหนล่ะพี่เบ ไม่มาด้วยกันเหรอ” กั้งถามขึ้นเล่นเอาฉันชะงัก ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าลอยวาบเข้ามาในหัวทันที ฉันอุตส่าห์ลืมๆมันไปได้แล้วนะเนี่ย แต่ชื่อของผู้ชายคนนั้นก็ไปสะกิดต่อมความจำของฉันจนได้
“ก่อนจะมาด้วยกัน ให้ฉันหาตัวมันให้เจอก่อนมั้ย?” จองเบย้อนเรียบๆ ตามสไตล์ของเขา ถึงเขาจะพูดน้อยแค่ไหน แต่ฉันก็ยังสัมผัสได้ว่าความกวนของเขานั้นไม่ได้น้อยหน้ากว่าใครในกลุ่มเลยสักนิดเดียว เจ้าหญิงฟางเอาหัวเป็นประกัน!!!
“ว่าแต่พวกนายสองคนเป็นรูมเมทกันเหรอ?” ฉันหันไปถามกั้งกับธามไทที่นั่งเขม่นมองกันอยู่บนโซฟา ก็ฉันไม่รู้จะชวนพวกเขาคุยเรื่องอะไรดีนี่นา อยากเปลี่ยนประเด็นเรื่องไอ้หมีลามกนั่นด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว ฉันฉลาดใช่ม่ะ ^_^
“ใช่ครับพี่ฟาง ห้องผมกับไอ้ธามอยู่ริมสุดนู่นเลย ส่วนห้องข้างๆนี่เป็นของพี่พิชกับพี่เบ” กั้งเป็นคนตอบคำถามของฉัน งั้นก็แสดงว่าพิชชี่กับจองเบเป็นรูมเมทกันสินะ
แต่เดี๋ยว... เหมือนฉันจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ
ที่นี่คือหอพักของ The Prince ที่มีลักษณะเป็นบ้านมากกว่าหอพักทั่วไป และก็มีชั้นเดียว แต่ภายในก็ค่อนข้างจะกวางไม่น้อย (ถึงจะไม่เท่าของ The Princess ที่เป็นหอพักสองชั้นก็เถอะ)
พอเดินเข้ามาด้านในฉันก็พบกับห้องรับแขกซึ่งเป็นโถงรูปครึ่งวงกลม ถ้ายืนอยู่ที่ประตูบ้าน เมื่อมองตรงไปด้านหน้าก็จะเป็นประตูห้องพักที่มีอยู่สามห้อง ห้องที่ฉันนั่งอยู่คือห้องที่อยู่ซ้ายมือสุด ตรงข้ามกับห้องของฉันก็คือห้องของกั้งกับธามไท โดยมีห้องของพิชชี่กับจองเบกั้นอยู่ตรงกลาง
ภายในห้องที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็กว้างพอๆกับห้องของฉันที่ไฮท์ฟลาวน์นั่นแหละ... ไม่สิ ห้องนี้กว้างกว่าห้องของฉันซะด้วยซ้ำ แถมยังมีห้องน้ำอยู่ในตัวอีกต่างหาก ทั้งห้องถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ ดูเรียบหรู มีระเบียงต่อออกไปด้านหลังด้วย แต่ตอนนี้มันถูกปิดอยู่ด้วยม่านสีขาวบริสุทธิ์ ถึงจะดูขรึมไปหน่อย แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบสไตล์การตกแต่งแบบนี้ มันอาจจะธรรมดาๆ แต่ดูมีอะไรๆดี
ที่จริงห้องนี้สามารถอยู่ได้สองคนแบบสบายๆเลยนะเนี่ย เพราะกะจากระยะสายตาแล้ว ที่ว่างที่เหลือในห้องยังสามารถวางเตียงอีกเตียงหนึ่งได้พอดีเลย และนั่นคือปัญหา...
จำได้มั้ย? ที่ฉันบอกว่าบ้านหลังนี้มีห้องพักแค่ 3 ห้อง และทุกคนในที่นี้ก็มีรูมเมทกันหมดแล้วยกเว้นฉัน ไม่อยากจะเสี่ยงคิดไปเองเลยแฮะ ว่าฉันต้องเป็นรูมเมทกับใคร TOT
“แล้วไอ้หมี เอ่อ... ป๊อปปี้น่ะ เขาพักที่ไหนเหรอ?” ฉันเอ่ยถามออกไป ก็ไม่ได้อยากจะถามนักหรอก แค่ชื่อยังไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำ แต่ที่ฉันต้องถามออกไปก็เพื่อความแน่ใจของตัวเองต่างหาก
“อ้าว! นี่เจ๊ยังไม่รู้หรอกเหรอเนี่ย” ธามไทมองหน้าฉันอย่างงงๆ แต่ฉันเนี่ยสิที่งงยิ่งกว่า เริ่มเห็นเค้าลางความโชคร้ายลอยมาแต่ไกลเลยสิ หวังว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดหรอกนะ พวกเขาคงไม่ได้ใจร้ายให้ฉันเป็นรูมเมทของไอ้หมีลามกนั่นหรอกใช่มั้ย? ไม่! ไม่!! ไม่!!!
“ห้องนี้เป็นห้องของไอ้ป๊อปน่ะ แล้วเธอกับไอ้ป๊อปก็เป็นรูมเมทกัน” คำตอบนั้นของพิชชี่เล่นเอาฉันนั่งอึ้ง ตัวแข็งค้างไปทันที
“ว่าไงนะ!!!” OoO
แงๆ ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งคนสวยอย่างฉันด้วยเนี่ย อิจฉาความสวยเกินมนุษย์ของฉันเหรอไง ถึงได้ลิขิตให้ฉันต้องมาเจอคนโรคจิตอย่างหมอนั่น แถมยังให้หมอนั่นมาเป็นรูมเมทของฉันอีก สวรรค์จะแกล้งฉันไปถึงไหน
“นี่ผมก็นึกว่าเจ๊จะรู้จากพี่มาร์คแล้วซะอีกนะเนี่ย” กั้งพูด ฉันหันขวับไปมองทันที
มาร์คัสงั้นเหรอ! แสดงว่ามาร์คัสเองก็รู้มาก่อนแล้วน่ะสิว่าฉันต้องมานอนห้องเดียวกับไอ้หมีโรคจิตนั่น ถึงว่า ทำไมตอนฉันถามถึงได้ตอบแปลกๆ
“เอาน่าเจ๊ฟาง เจ๊ไม่ต้องกลัวไปหรอก เฮียป๊อปน่ะเป็นสุภาพบุรุษจะตาย รับรองเฮียแกไม่ลุกขึ้นมาปล้ำเจ๊แน่นอน” ธามไทพูด
น้อยไปน่ะสิ! ฉันหันไปค้อนใส่ธามไทตาคว่ำ ถ้าคนอย่างไอ้หมีโรคจิตนั่นเป็นสุภาพบุรุษ รับรองว่าคาสโนว่าปลาไหลเรียกพี่อย่างอีตาธามก็โค-ตะ-ระ สุภาพบุรุษแล้วล่ะ
“แต่ผมว่าอยู่ห้องเดียวกับพี่ป๊อปก็ดีกว่าต้องอยู่กับไอ้ธามนะครับพี่ฟาง เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ผมว่าชีวิตพี่ตลอดสองเดือนคงจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”
โนววววววววว ฉันว่าข้อนี้นายคิดผิดแล้วกั้ง เอาตรงๆนะ กับธามไทฉันค่อนข้างจะมั่นใจว่ายังรับมือกับเขาได้ แต่กับคนที่ลวนลามฉันตั้งแต่ครั้งที่เจอหน้าอย่างอีตาป๊อปปี้เนี่ย ฉันคิดจนสมองจะระเบิดอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า จะรับมือกับเขายังไงดี
ถ้าเกิดอยู่ๆเขาเกิดบ้าอยากจะฆ่าฉันขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ คนที่อยู่ที่นี่ก็เพื่อนของเขาทั้งนั้น กว่าจะมีคนรู้ข่าวฉัน ฉันไม่กลายเป็นศพถูกแยกชิ้นส่วนไปฝังซะแล้วเรอะ ไม่นะ... นี่ชีวิตวัยรุ่นอันแสนสดใสของฉันจะต้องจบลงเพราะน้ำมือของไอ้หมีลามกที่ชื่อว่าป๊อปปี้อย่างนั้นเหรอเนี่ย ม่ายยยยยย!!!!
“ฟาง!!!”
จู่ๆพิชชี่ก็ตะโกนเรียกฉันซะดังลั่น เล่นเอาฉันถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองหน้าเจ้าของเสียงอย่างงงๆ เขาจะตะโกนทำไมเนี่ย? กลัวฉันจะจำชื่อตัวเองไม่ได้เหรอไงยะ
“มีอะไรเหรอพิชชี่ เรียกซะดังเลย” ฉันหันไปทำตาใสใส่พิชชี่ ไม่ได้หรอก ตอนนี้ฉันต้องทำตัวเป็นเจ้าหญิงผู้แสนเรียบร้อยไว้ก่อน พวกเขาจะได้สงสาร ไม่แกล้งฉันมากไง อ้อ! ยกเว้นไอ้หมีไว้คน ที่จ้างให้ตายฉันก็ไม่มีวันญาติดีกับเขาเด็ดขาด!!!
“เธอนั่นแหละเป็นอะไร ฉันเรียกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ยักจะได้ยิน”
อ้าวเหรอ! ฉันส่งยิ้มแหยๆไปให้ทุกคนในห้องที่กำลังมองฉันด้วยแววตาสงสัย เมื่อกี้ฉันคงจะอินกับความคิดตัวเองจนเกินไปใช่มั้ยเนี่ย เล่นซะหูตึงเลย ^^;
“นี่ๆ หรือว่าเมื่อกี้เจ๊กำลังเหม่อคิดถึงแฟนอยู่ใช่ม่ะ”
เก็บน้องหมาในปากไว้ได้ไม่นานเท่าไหร่ แกก็พามันออกมาเดินเล่นอีกแล้วนะอีตาธาม แถมทันทีที่หมอนั่นพูดจบ สายตาทุกคนที่ตอนแรกมองมาอย่างสงสัย ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความอยากรู้แทบจะในทันทีเลยด้วย
“บ้าเหรอไง! ฉันโสดสนิทแล้วก็ยังไม่คิดจะมีแฟนย่ะ” >O<ฉันค้อนขวับๆใส่ทุกคนในห้อง โดยเฉพาะธามไทที่ทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เห็นแล้วหมั่นไส้!
“ทำหน้าแบบนั้นจะบอกว่าฉันโกหกเหรอไง” ฉันเริ่มเหวี่ยงอย่างไม่สบอารมณ์ แค่บอกว่าไม่มีแฟน ทำไมต้องทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องช็อคโลกแบบนั้นด้วยวะ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับเจ๊” ^^;อีตาธามพูดเสียงอ่อย
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหน”-^- ฉันมองหน้าหมอนั่นอย่างหาเรื่อง ว่าจะอยู่เงียบๆแล้วเชียว หาเรื่องให้ฉันต้องวีนจนได้
“ก็ผมดีใจที่เจ๊โสด ผมจะได้จีบเจ๊ไง” ^O^
“ตลกตายล่ะ” ฉันเบ้หน้าใส่ อยากยกตำแหน่งแถขั้นเทพให้มันแทนตำแหน่งเจ้าชายซะจริง สีข้างถลอกหมดแล้วมั้งนั่น
“ที่จริง... พวกเราก็รู้กันอยู่แล้วล่ะ” พิชชี่พูด ฉันก็เลยหันไปมอง
“รู้อะไร?”
“ก็รู้ว่าพี่ยังไม่มีแฟนไง”
เป็นกั้งที่ตอบคำถามของฉันแทน ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันแปลกใจซะเท่าไหร่ ขนาดที่โรงเรียนฉัน พวกเขาต่างก็เป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงเรียน (ยกเว้นฉัน ซึ่งไปมุดหัวอยู่ในรูไหนก็ไม่รู้ถึงได้ไม่รู้จัก) มีคนรู้ประวัติละเอียดยิบ ชนิดที่ว่าเจ้าตัวเองยังแทบไม่รู้ เพราะฉะนั้น ณ ที่แห่งนี้มันก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมเจ้าพวกนี้ก็ดูจะสนิทกับมาร์คัสอยู่ไม่น้อย เผลอๆมาร์คัสอาจจะเผาฉันไว้เยอะแล้วก็ได้
“รู้แล้ว? แล้วทำไมต้องทำหน้าแปลกใจด้วยล่ะ” ฉันเอ่ยถาม ก็มันสงสัยจริงๆนี่หว่า แถมพอฉันตอบความจริงก็ยังจะทำหน้างงกันอีกแน่ะ
“ก็ไม่คิดว่าเธอจะพูดตรงแบบนี้นี่นา” ในที่สุดจอบเบก็ได้ฤกษ์พูดกับฉันซะที สาบานได้ว่า ตั้งแต่เขาแนะนำชื่อให้ฉันรู้จักในห้องประชุม ฉันก็ไม่ได้ยินเขาพูดกับฉันอีกเลย -_-;จะให้เข้าใจว่าไงดีล่ะ เขาแค่เป็นคนพูดน้อย หรือว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าฉันกันแน่...
โอเค กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อ
“แล้วมันแปลกยังไง ไม่มีก็บอกว่าไม่มี ฉันจำเป็นต้องโกหกพวกนายเหรอไง?”
“มันก็ไม่เชิง แค่ไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างเธอจะยอมรับว่าไม่มีแฟน” หนอย! ฟังนายพิชชี่พูดแล้วปรี๊ด ผู้หญิงอย่างฉันไม่มีแฟนแล้วมันจะตายขึ้นมาเหรอไงวะ เดือดร้อนอะไรด้วยล่ะวะเนี่ย -*-
“ไม่คิด พวกนายก็คิดซะสิ แล้วก็เปลี่ยนความคิดของพวกนายที่มีต่อฉันใหม่ซะด้วย”
ฉันเชิดหน้าขึ้น เดาได้ลางๆว่า ข่าวลือเกี่ยวกับตัวฉันที่ลอยมาเข้าหูเจ้าพวกนี้คงจะไม่ใช่ข่าวที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ถึงพวกเราเหล่าเจ้าหญิงจะมีคนรักและยกย่องเชิดชูมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าคนเกลียดจะไม่มี ยกตัวอย่างเช่นยัยมนิลาเป็นต้น แล้วคิดว่าไง คนอย่างฉันจำเป็นต้องเก็บเรื่องของพวกนั้นมาคิดให้รกสมองมั้ย? แน่นอน... คำตอบก็คือไม่!!!
“ถ้าพี่อยากให้พวกเราเปลี่ยนความคิดที่มีต่อพี่ พี่ก็ต้องแสดงให้พวกเราเห็นสิ ว่าจริงๆแล้วพวกพี่เป็นคนยังไง” กั้งพูด
นี่ถามจริง! ฉันกำลังจะสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานใช่มั้ย ไม่ใช่เก็บประวัติเด็กม.ปลาย จริงจังซะ -^-
“แล้วความคิดของพวกนายตอนนี้ คิดว่าฉันเป็นคนยังไงล่ะ” ฉันย้อนถามกลับ โทษที พอดีเป็นคนไม่ชอบอธิบายอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้คนอื่นฟังอ่ะ ฟังคนอื่นพูดสบายกว่าเยอะ ^^
“ก็...” ธามไทมีสีหน้าครุ่นคิดปนลังเล ฉันเห็นแบบนั้นก็เลยอาสาตอบแทนซะเลย
“ผู้หญิงปากร้าย เหวี่ยง วีน เอาแต่ใจ ไล่จับผู้ชาย เป็นนางมารร้ายในคราบคน?”
“นั่นแหละ ใช่เลย เฮ้ย!” อีตาธามร้องออกมาอย่างถูกใจ แล้วก็ต้องเอามือปิดปากแทบไม่ทันเมื่อรู้ว่าตนเองแสดงอาการมากไป ฉันหรี่ตามองอย่างเอือมๆ ไม่ทันแล้วย่ะ อีตาบ้า!
“คือ... ผมไม่ได้จะหมายความว่าแบบนั้นนะฮะเจ๊” ธามไทจะแก้ตัว แต่ฉันโบกมือห้าม
“ไม่เป็นไร ฉันแค่จะบอกว่าสิ่งที่พวกนายได้ยินมาน่ะมันถูกต้องแล้ว”
“ฮะ!!!” O_O
ดูแต่ละคนทำหน้าเข้าสิ หน้าตลกชะมัด สงสัยกันล่ะสิว่าทำไมฉันถึงพูดแบบนั้น
ฉันเป็นผู้หญิงปากร้าย => แน่นอน ใครร้ายมาฉันก็ต้องร้ายกลับ ไม่มีเหตุผลที่เจ้าหญิงอย่างฉันจะยอมทนให้คนอื่นแกล้งเหมือนนางเอกนิยายนี่นา ^O^
ฉันเหวี่ยง => อันนี้ก็ยอมรับ เพราะขืนใครมาเล่นแง่กับฉัน แม่ด่าไม่เลี้ยงแน่
ฉันวีน => ถ้ามีคนมาหาเรื่องคุณ คุณคิดว่าคุณจะส่งยิ้มให้เค้าแล้วขอโทษเค้ามั้ยล่ะ สงบเสงี่ยมแบบนั้นไม่ใช่นิสัยของฉันหรอกนะจะบอกให้
ฉันเอาแต่ใจ => อืมมมม อันนี้ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอ่ะนะ เพียงแต่ว่าฉันอาจจะมากกว่าผู้หญิงทั่วไปนิดนึง
ฉันไล่จับผู้ชาย => อ๊ะๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิด ไล่จับที่ว่าน่ะคือจับไปฆ่าต่างหาก อย่างเช่นพวกชอบม่อแต่ไม่มีความกล้าพอ หรือไม่ก็พวกปากว่ามือถึง พูดด้วยคำจับไปถึงนู่น ฉันไม่พาพวกเขาไปยัดโถส้วมโรงเรียนก็บุญแล้ว =^=
ฉันเป็นนางมารร้ายในคราบคน => ความจริงฉันก็ไม่ได้ร้ายถึงขนาดนางมารแบบนั้นหรอกนะ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นนางฟ้าในคราบคนเหมือนกัน อันนี้ยอมรับได้
“อย่างเจ๊เนี่ยนะ” ธามไทตั้งต้นเดินเวียนไปมารอบเตียงที่ฉันนั่งอยู่ทันที แต่สายตาก็ยังคงมองมาทางฉันอย่างจับสังเกต
“มองอะไรนักหนาเนี่ยธาม คิดว่าฉันปลอมตัวมาเหรอไง”
นั่นดิ นี่ฉันชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทุกทีแล้วนะ แทนที่พอมาถึงที่นี่ ฉันจะได้สัมภาษณ์พวกเขาทันที แต่นี่อะไร! ฉันกลับต้องมานั่งให้พวกเขาสัมภาษณ์แทน นี่มันไม่ใช่เรื่องเลยนะเว้ยเฮ้ย!
“แหมเจ๊ เจ๊ก็ต้องเข้าใจความรู้สึกพวกผมนิดนึง วีรกรรมของพวกเจ๊กับเพื่อนที่พวกผมได้ยินมา มันใช่ย่อยซะที่ไหน”
“อย่างกับเรื่องของพวกนายที่ฉันได้ยินมามันใช่ย่อยนักหนิ” ฉันเหน็บ
มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย อีตาธามพูดเหมือนกับว่าฉันและยัยเจ้าหญิงเคยไปเผาบ้านฆ่าล้างโคตรใครอย่างนั้นแหละ
“โหพี่ฟาง มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะครับ ไอ้เรื่องที่พวกผมทำน่ะมันเป็นวิถีลูกผู้ชาย แต่คนที่เป็นผู้หญิงอย่างพวกพี่จะมาทำแบบพวกผมได้ยังไง”
“เดี๋ยวนะ” ฉันรีบส่งเสียงขัด เมื่อรู้สึกว่ายิ่งฟังก็ยิ่งจะทะแม่งๆเข้าไปทุกที
“นายลองพูดให้เคลียร์ดิ๊ ว่าไอ้วิถีลูกผู้ชายที่นายพูดมาน่ะมันยังไง” ฉันหันไปหากั้ง
เงียบ... พอฉันถามพวกมันก็เงียบค่ะท่านผู้อ่าน โอ้ย!! ฟางอยากจะกรี๊ดดดดดด >O<
“คงไม่ได้หมายถึง... หาเรื่องเขาไปทั่ว ทำลายได้ทุกอย่าง เตะหมา ทำร้ายคนชรา รังแกเด็ก เซ็กส์เสื่อม มั่วไม่เลือกที่ หาความดีไม่ได้หรอก.... ใช่ม่ะ”
“โห นี่คุณสมบัติของพวกฉันยาวเป็นหางว่าวแบบนี้เลยเหรอเนี่ย” พิชชี่พูดยิ้มๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
โอเค ยอมรับว่าไอ้ข้างบนนั่นน่ะฉันใส่สีตีไข่ลงไปเล็กน้อยเพื่ออรรถรสในการเล่า แต่ส่วนใหญ่ฉันก็ฟังมาจากที่ยัยเจ้าหญิงเล่าให้ฟังทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ใส่ไข่ลงไปจนโอเว่อร์ขนาดนั้นสักหน่อย
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไอ้พวกบ้านี่มันยิ้มรับคำกล่าวหาของฉันเนี่ยสิ แถมไม่คิดจะแก้ตัวเลยด้วย แย้งกันขึ้นมาสักนิดสิเฟ้ย! อย่าทำให้ฉันต้องเสียดายความหล่อแต่กลับทำนิสัยเลวแบบนี้ดิวะ
“เฮ้อ~~~ เคยมีใครบอกเจ๊มั้ยเนี่ยว่าสายตาเจ๊มันน่าอันตรายสำหรับผู้ชายอย่างผมขนาดไหน”
จู่ๆ อีตาธามก็ถอนหายใจออกมาดังลั่น พลางใช้สายตาระยิบระยับนั่นมองมาที่ฉันอย่างซุกซน พูดอะไรของเขาอีกล่ะ ไอ้หมอนี่น่ะ -_-;
เชื่อสิ ว่าเดี๋ยวเขาต้องพาฉันออกนอกเรื่องอีกแน่ๆ แต่ที่น่าเจ็บใจคือ ฉันเผลอออกนอกเรื่องตามเขาไปด้วยทุกทีเนี่ยสิ -*-
“พูดอะไรของนาย?”
“ก็เจ๊มีสายตาพิฆาตอ่ะ มองมาที ผมงี้แทบละลาย อยากจะขอเจ๊แต่งงานขึ้นมาทันทีเลยดูดิ”
เออ! เอากับมันสิ ไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนหม้อได้ตลอดเวลาเหมือนอีตานี่เลยให้ตาย ว่าแต่... ที่หมอนี่พูดมามันจริงรึเปล่านะ อิอิ ^O^
“เว่อร์ไปแล้วแก ไอ้ธาม” กั้งส่ายหน้า
ฉันเห็นด้วยกับนายเลยว่ะกั้ง เพื่อนนายนี่โคตรจะเว่อร์ สงสัยจะมีความสามารถพิเศษทำให้เรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องระดับบิ๊กได้แน่เลย ว่าม่ะ
“ฉันเว่อร์ตรงไหน ถ้าไม่เชื่อ แกก็ลองไปยืนให้เจ๊ฟางจ้องตาดูดิ ไม่เขินให้เตะ” อีตาธามพูด
ฉันเลยเบนเข็มสายตาไปยังร่างของกั้งแทน และก็เห็นว่าหมอนั่นมองฉันอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่สนใจ หนอย! คิดจะเมินฉันเหรอไงวะ
“อย่าเลยครับพี่ฟาง เสียเวลาเปล่า ผู้ชายอย่างผมน่ะถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบจริงๆล่ะก็ โดนจ้องยังไงก็ไม่มีทางเขินหรอกครับ”
อ้าว! ซะงั้น ฉันควรจะดีใจดีมั้ยเนี่ย ที่หมอนี่พูดออกมาตรงๆแบบนี้น่ะ T^T
“แต่ผมไม่ได้หมายความว่าพี่ฟางไม่สวยนะ ผมยอมรับว่าพี่เป็นผู้หญิงที่สวยมาก เพียงแต่ว่าพี่ไม่ใช่เสปคของผมแค่นั้นเอง”
กั้งพูดเมื่อเห็นฉันยังมอง ขอบใจย่ะ นายช่วยให้ฉันมั่นใจในตัวเองขึ้นมากเลย -^- ประชดโว้ย!! ไม่ได้การล่ะ สงสัยต้องเอาเสน่ห์ออกมาบริหารสักหน่อยแล้ว ไม่งั้นกว่าจะได้กลับไฮท์ฟลาวน์ ฉันต้องแห้งเหี่ยวเป็นดอกไม้เฉาแน่นอน และฉันก็จะโดนยัยมนิลาหัวเราะเยาะ ไม่! ไม่นะ!! ฟางคนนี้ไม่มีทางยอมเด็ดขาด!!!
ฉันสอดสายตาหาคนที่จะมาทดสอบเสน่ห์ของตัวเองทันที ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าลิงสี่ตัวที่นั่งอยู่ในห้องนี้นี่แหละ ตัดกั้งออกไปเพราะประโยคชวนเจ็บเมื่อกี้ T^T อ้อ! แล้วก็ตัดอีตาธามออกไปด้วย เพราะฉันไม่คิดว่าหมอนั่นจะช่วยในการทดสอบของฉันได้หรอก หน้าหม้อออกนอกหน้าซะขนาดนั้น
ฉันตวัดสายตาไปทางจองเบ คิดว่าเด็กเนิร์ดอย่างหมอนั่นจะสนใจฉันมั้ย?? ... ก็ไม่ยังไงล่ะ! เพราะฉะนั้นต้องตัดหมอนั่นทิ้งไปอีกคน อืม... ถ้างั้นฉันก็คงจะเหลือตัวเลือกสุดท้ายล่ะสินะ
“โอ๊ะโอ แจ๊กพอตแตกที่เฮียพิชซะแล้วสิ”
ปากนายนี่มันวอนโดนเตะจริงๆเลยธาม ให้ตายสิ นี่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ มันก็ดันแทรกเสียงขึ้นมาล้อฉันซะแล้ว มันอ่านความคิดฉันได้เหรอไงวะเนี่ย ถึงได้รู้ว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่น่ะ
“อะไรของแกไอ้ธาม แจ๊กพอต?” พิชชี่ส่งสายตางงๆไปหาธามไท ก่อนจะเบนสายตามาทางฉัน เห็นม่ะ ขนาดพิชชี่ยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังกลายเป็นตัวทดสอบเสน่ห์ให้ฉันอยู่น่ะ =()=
“อ้าว! ก็ได้ข่าวว่าเฮียเองก็มีสาวติดตรึมเหมือนกันหนิ เฮียก็ลองให้เจ๊ฟางเค้าทดสอบเสน่ห์ของเค้าหน่อยสิ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหนุ่มฮอตอย่างเฮียจะรอดพ้นสายตาพิฆาตของเจ๊ฟางได้รึเปล่า”
เห็นม่ะ อีตาธามมันอ่านใจฉันได้จริงๆด้วย -_-;
“พูดเป็นเล่น” พิชชี่ว่า
ฉันหันไปค้อนใส่อีตาธามที่พูดซะโอเว่อร์ ก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้าต่อ พิชชี่ส่ายหน้าพรืดทันทีเมื่อเห็นฉันมอง คนหล่อโรงเรียนนี้มันเป็นอะไรกันนักวะ เจอคนสวยอย่างฉันแล้วส่ายหน้ากันทุกทีเลย หรือว่า... พวกเขาจะชอบของแปลกกันหว่า ถึงว่าสิ คนสวยๆอย่างฉันถึงไม่อยู่ในสายตา -O-
“ไม่เอานาฟาง ฉันไม่เล่นนะ เธออย่าไปบ้าจี้ตามไอ้ธามมันนักเลย เดี๋ยวก็เพี้ยนตามมันไปด้วยหรอก” พิชชี่พูด
จะรีบไปไหนล่ะครับนั่น พูดซะลิ้นพันกันตุงนังเลย แต่ที่บอกว่าอีตาธามเพี้ยนน่ะ แอบเห็นด้วยนะเนี่ย อิอิ
“แล้วนายป๊อดเหรอไง?” ฉันมองหน้าเขาอย่างหาเรื่อง เหมือนที่เคยใช้กับเด็กไฮท์ฟลาวน์บ่อยๆ (เป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แนะนำว่าอย่าทำตามนะคะ อิอิ >_^)
“เหอะ หน้าอย่างฉันเนี่ยนะ” พิชชี่หัวเราะเบาๆ อย่างนี้ค่อยสนุกหน่อย เด็กที่ไฮท์ฟลาวน์กลัวฉันจนหงอกันหมดแล้ว แกล้งไม่ค่อยหนุกเลย มาอยู่ที่นี่ฉันคงมีเรื่องสนุกๆให้ทำเพียบแน่
ฉันมองหน้าพิชชี่อย่างสำรวจ เขา... ก็ดูหล่อดีแฮะ ส่วนสูงเค้าต้อง 180 อัพแหงเลย สูงชะลูดซะ ผมสีดำสนิทที่ถูกเซตไว้อย่างเป๊ะเข้ากับหน้าเขาสุดๆ ว่าแต่...ทำไมตอนเจอกันครั้งแรกฉันถึงมองไม่ค่อยเห็นความหล่อของเขาเลยวะ
“จะมองหน้าฉันอีกนานมั้ยเจ้าหญิง” เสียงทักของผู้ชายตรงหน้าทำให้ฉันต้องเลื่อนสายตากลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง อ้าว! แล้วจะหลบตากันทำไมเนี่ย เกิดกลัวกันขึ้นมารึไง
“แล้วนายจะหลบตาฉันอีกนานมั้ยล่ะ อย่าบอกนะว่านายกลัวผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างฉันน่ะ”
“นี่เจ้าหญิง” เขาหันกลับมาจ้องหน้าฉันตาเขียว หุหุ ยั่วโมโหคนหล่อนี่มันสนุกดีจัง ^O^
“คิดว่าผู้หญิงอย่างเธอจะทำให้ผู้ชายที่ไหนกลัวได้เหรอไง?” ได้สิยะ ที่ไฮท์ฟลาวน์น่ะใครๆก็กลัวฉันกันทั้งนั้นแหละ แต่... มันคงจะไม่ใช่สำหรับที่นี่...ล่ะมั้ง
“ก็นายไง แค่มองตาฉันนายยังไม่กล้าเลย” ฉันพูด พิชชี่เพียงแค่กระตุกยิ้มขึ้นมาแวบนึง ก่อนจะมองฉันด้วยสายตาแบบเดิม อะไรของเขาวะ นายกำลังทำผิดโทษฐานทำให้คนสวยงงนะเว้ยเห้ย!
“ฉันกล้าทำมากกว่ามองตาซะอีก เธอจะลองดูมั้ยล่ะ?” ฉันตาวาวเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเขา
โธ่เอ้ย! ฉันอุตส่าห์คิดว่านายน่าคบด้วยที่สุดแล้วนะเนี่ย ที่แท้นายก็ไม่ได้ต่างอะไรจากไอ้หมีลามกป๊อปปี้ และอีตาธามหน้าม่อเล้ยยย เจ้าชู้ไม่ต่างกัน โอเค... ฉันจะเล่นตามเกมส์นายต่อไป
“อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะ” ฉันส่งยิ้มหวานเฉียบให้เขา ในขณะที่มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบอาวุธลับที่ฉันพกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมา นายรู้จักเจ้าหญิงฟางคนนี้น้อยเกินไปแล้วพิชชี่ ฉันจะทำให้นายรู้ว่ากุหลาบสวย... มักมีหนามคม!
“ก็... อย่างที่ผู้ชายเค้าชอบทำกัน” หมอนั่นกระตุกยิ้ม พลางใช้มือหยิบปอยผมของฉันขึ้นดม เอิ่มมมม....... ฉันควรจะตบหน้าคนหล่ออย่างเค้าสักป๊าปดีมั้ยเนี่ย แต่... ไม่ดีกว่า
“งั้นฉันก็มีสิ่งที่ผู้หญิงเค้าชอบทำกันเหมือนกัน” ฉันส่งยิ้มหวานเฉียบให้เค้าอีกครั้งเมื่อเห็นเค้าทำหน้างง
“อะไร?” ทันทีที่เค้าถามจบ ฉันก็ผลักอกเค้าเบาๆ ให้ห่างจากตัวฉันนิดหน่อย ก่อนจะใช้อาวุธลับในมือฉีดใส่หน้าเค้าทันที
“โอ้ย!! ยัยบ้า เธอเอาอะไรมาฉีดใส่หน้าฉันเนี่ย” พิชชี่ยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ พลางร้องลั่น ฉันยกยิ้มอย่างสะใจ ดูท่าอาวุธลับของฉันจะทะลุเป้าเข้าเบ้าตาของเค้าเต็มๆเลยแฮะ
“สเปรย์พริกไทยไง ผู้หญิงเค้าชอบพกไว้ป้องกันตัวเวลาเจอผู้ชายหน้าม่อแบบนาย” ^O^ ฉันหัวเราะคิกอย่างสะใจเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของพิชชี่ ช่วยไม่ได้นะ ก็นายดันมาม่อผิดที่ผิดเวลา แถมยังผิดคนอีกต่างหาก เพราะผู้หญิงอย่างฉันมีลโลแกนประจำตัว ‘ดูแต่ตา มืออย่างต้อง ถ้าขืนลอง ฉันเอาตาย!!’
“ยัยบ้าเอ้ย! แสบชะมัด” พิชชี่สบถ
“หมายถึงสเปรย์พริกไทยอ่ะนะ” ฉันแหย่ แม้จะพอรู้ว่าเค้ากำลังกัดฉันอยู่ก็ตาม
“หมายถึงเธอนั่นแหละ ยัยบ้า!” >O<คราวนี้ได้เสียงหัวเราะสมทบมาจากเพื่อนของเค้าที่เหลืออีกสามคนด้วย โอ้โหแฮะ ขนาดฉันทำกับเพื่อนเค้าขนาดนี้แล้ว เจ้าสามคนนี้ยังไม่ยักจะมีใครโกรธฉันสักคน แถมดูเหมือนจะสมน้ำหน้าหมอนั่นนิดๆด้วย ช่างเป็นเพื่อนที่รักกันมากซะจริงๆ
~~~ฉันไม่ได้อกหัก แต่เธอแค่รักคนอื่น ไม่เห็นใครต้องฝืน ฝืนใจที่ไหนกัน คงห้ามกันลำบาก มันรักมากกว่านั้น ~~~
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นลั่นห้อง (แน่นอนว่าไม่ใช่ของฉัน) ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันไปมา ก่อนจะหันไปทางพิชชี่ซึ่งเป็นตัวต้นเสียง
“ว่าไง” พิชชี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นรับด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ดีนัก แอบรู้สึกผิดนะเนี่ย ที่ทำให้คนหล่ออารมณ์เสียได้ขนาดนี้
“มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย” เจ้าของโทรศัพท์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิด หวา~~~ มีคนมาช่วยฉันเพิ่มความหงุดหงิดให้พิชชี่ซะแล้วสิ
“เออๆ เดี๋ยวฉันไปเคลียร์เอง แกดูมันไว้ก่อนแล้วกัน” พูดจบเค้าก็ตัดสายทิ้งไป ก่อนจะตวัดสายตาเขียวปั๊ดมาทางฉัน หวาย~ จู่ๆก็โดนจ้อง ตกใจหมด >///<
“มีอะไรเหรอเฮียพิช ท่าทางซีเรียสจัง” ธามไทถามขึ้น นั่นแหละพิชชี่ถึงได้เลิกจ้องฉันแล้วหันเรดาร์ไปหาอีตาธามแทน
“เด็กที่ชมรมมีปัญหานิดหน่อยน่ะ สงสัยคงต้องลงไปดูเอง” พิชชี่ตอบก่อนจะเบนสายตามามองฉันอีกครั้ง
“ยังไงพวกแกก็พาฟางไปที่ห้องด้วยก็แล้วกัน ถ้าฉันเคลียร์เรื่องชมรมเสร็จเดี๋ยวตามไป” เค้าไม่เรียกฉันว่ายัยบ้าแล้วแฮะ สงสัยจะโกรธคนสวยได้ไม่นาน อิอิ
“เอางั้นก็ได้” จองเบรับคำอย่างว่าง่าย แต่ฉันกลับหันไปมองหน้าพิชชี่ หมอนั่นเลิกคิ้วน้อยๆเหมือนจะถามว่าฉันมองอะไร ...
เออนั่นสิ! นี่ฉันมองอะไร แล้วมองเขาทำไมวะเนี่ย!! งง
“ไปเหอะครับพี่ฟาง ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว” กั้งหันมาพูดกับฉันก่อนจะเดินนำออกไป ตามด้วยธามไทและจองเบ ฉันรีบเดินตามพวกเขาไป แต่ก็ดันหยุดชะงักอยู่ที่ประตู จะหยุดทำไมอีกล่ะวะเนี่ย!
“มีอะไร จะเอาสเปรย์มาฉีดใส่ตาฉันอีกรอบเหรอไง” พิชชี่ที่ยังอยู่ในห้องส่งเสียงขึ้นอย่างกวนๆ แหม มันคันปากอยากด่าคนหล่อซะจริง แต่...
“อย่าลืมไปล้างหน้าล่ะ แค่สเปรย์พริกไทยมันแสบอยู่ไม่นานหรอก” แค่นั่นล่ะ! คำพูดฉัน
คนสวยเป็นโรคขี้สงสารคนหล่อง่ะ แทนที่จะด่ากลับไปสงสารเขาแทน ใครก็ได้มาลากฉันไปตบหน่อยเหอะ เริ่มหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆละ >O<
.
.
.
.
.
เม้นๆๆๆๆๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ