REMINISCENCE [CHANHUN]
เขียนโดย Hadassah
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.44 น.
แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.59 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
9) Time To Tell
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ผมกำลังยืนอยู่ด้านหน้าห้องพักก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆอีกสักพักใหญ่ก็ได้เวลาอาหารเย็น เซฮุนล็อคห้องเสร็จพอดีจากนั้นเราก็เริ่มออกเดินกัน อากาศที่นี่สดชื่นมากมองไปข้างๆห้องพักมีลำธารเล็กๆและมีสะพานข้ามไปอีกฝั่ง อีกทั้งต้นไม้ดอกไม้สีสันต่างๆ มีเสียงนกร้อง อะไรๆในตอนนี้มันดูลงตัวดูสวยงามไปหมด หรือส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่า คนที่อยู่ข้างๆผมในตอนนี้กำลังทำให้ผมมีความสุขอยู่ก็ได้
เราสองคนเดินมาตามทางเดินของรีสอร์ทอย่างเงียบๆ เงียบจนได้ยินแต่เสียงกุญแจห้องพักที่เซฮุนแกว่งไปมาเหมือนเด็กๆเซฮุนดูจะชอบบรรยากาศที่นี่ไม่น้อย เพราะใบหน้าของเซฮุนระบายรอยยิ้มบางๆเสมอตลอดทางที่เราเดินมาด้วยกัน นั่นทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ บางทีผมก็อยากให้เซฮุนรู้ ในบรรดาทุกสิ่งรอบข้างในตอนนี้ที่ว่าสวยงามแล้ว ยังไม่น่ามองเท่าเซฮุนเลยในสายตาของผม นึกแล้วก็รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ลึกๆ จากที่ตอนแรกผมแค่จะหลอกแกล้งทำดีกับเซฮุน แต่หัวใจผมไม่ได้หลอกไปด้วย กลายเป็นว่าผมกำลังจริงจังกับเซฮุนซะอย่างนั้น
เซฮุนเหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกแอบมองอยู่นานเลยหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้างุนงงเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามเป็นนัยว่าผมมีอะไรหรือเปล่าถึงได้เอาแต่มองหน้าอยู่อย่างนั้น ผมอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยได้ไม่ตอบอะไรแล้วแสร้งเงยหน้ามองนกมองไม้ไปเรื่อย ถ้าจะให้ตอบผมคงไม่มีอะไรจะงัดออกมาแก้ตัวแล้วล่ะเวลานี้ แต่คนข้างๆผมตอนนี้สิ เอาแต่หัวเราะยิ้มร่ากับอาการเงอะๆงะๆที่ดูเขินอายของผม ทำแบบนั้นมันน่าดึงเข้ามาหอมแก้มซักฟอดใหญ่จริงๆเลย หลังจากที่พยายามหยุดขำอยู่นานพอตั้งสติได้เซฮุนหันมามองผมเล็กน้อยก่อนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ นี่ ถามอะไรหน่อยได้ไหม เมื่อตอนนั้นที่เราไปกินไอติมกันสามคน นายบอกว่าชมรมจะแจกปิ๊คกีต้าร์ทุกคน แล้วจะแจกวันไหนหรอ มันสำคัญยังไง”
“ก็คงจะแจกวันสุดท้ายตอนปิดค่ายเห็นไอ้จงแดบอกมานะ ที่สำคัญก็คือปิ๊คทุกอันที่แจก จะมีชื่อและตรามหาวิทยาลัยที่ด้านหน้า ด้านหลังจะมีชื่อของเจ้าของสลักอยู่ใส่กล่องกำมะหยี่อย่างดี”
“แค่นั้นเองหรอ แล้วมันมีความเป็นมา หรือมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาไหม”
“ฮ่าๆไม่คิดว่านายจะเชื่อหรือสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย แต่มันก็คล้ายๆธรรมเนียมรับน้องนะจะว่าแบบนั้นก็ได้ มันก็แค่บอกว่าเราอยู่สถาบันไหนแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เรียนคณะดนตรีแล้วจะมีปิ๊คแบบนี้ได้ ต้องคนที่อยู่ในชมรมดนตรีมหาวิทยาลัยวิคตอเรียเท่านั้น เพราะทุกครั้งเวลาไปแข่งขันดนตรีกับที่อื่น ทางมหาวิทยาลัยจะส่งเด็กชมรมเราไปแข่งตลอด เราเลยได้อะไรที่ต่างออกมา”
“แค่นี้เอง?... ฉันนึกว่ามันจะมีอะไรพิเศษมากกว่าแผ่นพลาสติกบางๆรูปสามเหลี่ยมซะอีก เพราะดูแล้วมันน่าจะสำคัญ”
“จริงๆมันก็สำคัญ เพราะถ้าเราใช้ปิ๊คกีต้าร์ในการเล่น เสียงมันก็จะใสและกังวานขึ้นไง อ่าใช่.... พอนายพูดถึงเรื่องนี้ก็นึกขึ้นได้ จะเล่าอะไรให้ฟังเอาไหม"
"....อืม เอาสิ"
"เมื่อก่อนตอนเป็นที่ฉันเป็นเฟรชชี่ปี 1 เด็กชมรมใหม่ๆเลย ฉันเคยได้ยินพวกรุ่นพี่รุ่นก่อนเล่ากันมาว่า เด็กชมรมดนตรีทุกคนจะเก็บรักษาปิ๊คประจำตัวไว้อย่างดีจนกว่าจะเรียนจบเลยก็ว่าได้ เพราะเชื่อกันว่ามันจะทำให้เราโชคดี นำพาเราให้ไปถึงฝั่งอย่างที่ตั้งใจไว้"
"...."
"เพราะการเรียนดนตรีก็ไม่เหมือนคณะอื่นในมหาวิทยาลัยนี้ เราต้องฝึกฝนเป็นประจำ ต้องขยันเป็นสองเท่าเพราะเราเรียนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ต้องบังคับตัวเองให้ได้ที่จะผ่านแต่ละบททดสอบ อย่างน้อยมหาลัยวิคตอเรียก็บังคับให้เด็กคณะดนตรีทุกคนต้องเรียนกีต้าร์กับเปียโนในปี 1 เทอม 1 และต้องผ่านระดับ 5 ถึงจะสามารถเลือกเมเจอร์ได้ บททดสอบแต่ละระดับไม่ใช่เล่นๆนะ ตอนฉันเรียนกว่าจะผ่านมาได้กับไอ้จงแดก็เล่นเอาแทบจะคุกเข่าขออาจารย์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นนายต้องเตรียมตัวดีๆ"
"...."
"แต่.... จริงๆแล้วนายไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เพราะถึงยังไงฉันจะอยู่ข้างๆคอยช่วยนายเอง”
“….”
“แล้วก็.... มันยังมีความหมายอีกนัยนึง บางทีฉันคิดว่ามันงมงายและก็ไร้สาระ แต่ฉันก็ยังเห็นพวกรุ่นพี่หลายคนทำเวลาที่พวกเค้ามีความรู้สึกพิเศษให้กับใครสักคน… มันคือเรื่องเล่าที่ว่า ถ้าเราให้ปิ๊คกีต้าร์ประจำตัวกับใคร นั่นหมายความว่า เราให้หัวใจของเรากับคนๆนั้นไปแล้ว.... และคนๆนั้นจะเป็นของเราแค่คนเดียว.... มันเหมือนเป็นการสารภาพและตีตราจองของความรัก”
“….”
“มันมีความลับที่แฝงอยู่ มีความในใจที่ซ่อนไว้ในนั้น มีความหมายในตัวของมัน.... ”
“….”
ผมเล่าไปก็มองใบหน้าของเซฮุนไป เซฮุนดูเหมือนจะเหม่อลอยสายตามองไปข้างหน้านิ่งเฉย แต่ถึงอย่างนั้นหว่างคิ้วที่หยักลงของเซฮุนที่ฉายบนใบหน้าและเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามไรผมที่หน้าผาก ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องที่ผมเล่ามันชวนให้เครียดมากขนาดนั้นเลยหรือเซฮุนอาจจะกำลังคิดอะไรบางอย่างในใจก็ได้ถ้าให้ผมเดา ผมจึงค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของเซฮุนเบาๆ แล้วกดบีบแรงขึ้นมาอีกนิดให้คนข้างๆผมพอรู้สึกตัว
“นี่ ทำไมทำหน้าแบบนั้น คิดมากหรือไง ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องกังวลเลย มันก็แค่วิธีการแสดงออกของความรักอย่างหนึ่ง ถึงมันออกจะงี่เง่าแต่ดูๆไปมันก็มีความหมายดี คิดเหมือนกันไหม... ”
“อะ อือๆ ฟังดูขลังดี อย่างกับเรื่องเล่ารักนิรันดร์ไม่มีวันตายประมาณนั้นเลย แล้ว... นายเคยให้ปิ๊คประจำตัวของนายกับใครหรือยัง... ”
“ยัง... ฉันยังไม่เคยให้ใครเลย เก็บไว้อย่างดี”
“….”
“แต่ตอนนี้ฉันมีคนที่ฉันจะให้แล้ว”
“….”
“….”
“คนนั้น.... ที่นายกับเควิ่นกำลังชอบอยู่ใช่ไหม ”
“หึ... ใช่ ฉันคิดว่าฉันจะสารภาพรักกับคนๆนั้นเร็วๆนี้แหละ บรรยากาศที่นี่เหมาะกับการบอกความในใจมากที่สุด”
“.... อืม ถูกของนาย ที่นี่เหมาะมากที่จะบอกความในใจ ยังไงก็ขอให้โชคดีนะ ขอให้คนๆนั้นรับคำสารภาพของนาย อย่าลืมพามาให้ฉันรู้จักบ้าง”
“ขอบใจ.... แน่นอนฉันจะพามาให้นายรู้จัก แต่ไม่แน่นะ จบค่ายอาจจะมีคนมาสารภาพกับนายก็ได้ น้องชายฉันออกจะหน้าตาดีขนาดนี้ ”
“….”
“ฉันว่าเรารีบขึ้นไปทานข้าวกันเถอะ ป่านนี้ไอ้จงแดคงรอจนเฉาแล้ว”
“….”
เมื่อเห็นว่าเซฮุนไม่ตอบอะไรกลับมา ผมจึงคว้าข้อมือเซฮุนให้เดินตามมาเร็วๆไปที่ห้องอาหารชั้นบน เซฮุนเหมือนทิ้งน้ำหนักตัวปล่อยให้ผมลากเดินตามมาง่ายๆ ผมคิดว่าผมรับรู้ทุกอย่างผ่านทางสีหน้าและอาการของเซฮุนหลังจากที่ผมพูดออกไปแบบนั้น แววตาของเซฮุนเปลี่ยนไป.... และผมไม่สามารถหาคำตอบได้จากแววตาคู่นั้น ความเงียบและความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกได้เกิดขึ้นระหว่างเราอีกแล้ว หรือเซฮุนจะโกรธผม ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเซฮุนอาจจะแอบหึงผมอยู่ มันเป็นความรู้สึกไม่แน่ใจ มันสับสน ถ้าพรุ่งนี้ผมพูดออกไปแล้วเซฮุนไม่รับรัก ผมคงทำอะไรไม่ถูก เหมือนสิ่งที่ผมหวังมันพังลงมาตรงหน้าคงล้มทั้งยืนแน่ๆ แต่ผมจะขอเสี่ยงดูอีกสักครั้งกับรักครั้งนี้ รออีกหน่อยนะเซฮุนพรุ่งนี้เที่ยงคืนฉันจะบอกความจริงกับนายทุกอย่างเลย
*******************************************************************************************
ตอนนี้ผม เซฮุนและจงแดกำลังนั่งทานอาหารกันที่โต๊ะอาหารด้านในเซฮุนทานไป 2-3 คำก็วางช้อนแล้ว ทำให้ผมอดที่จะหันไปมองหน้าไม่ได้ พอผมหันไปเซฮุนก็หันหน้าหนีมองไปทางอื่นตลอด มันผิดปกติมากแล้วผมว่า แต่ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยถามอะไรก็ มีอีกเสียงหนึ่งที่เอ่ยทักจากทางด้านหลังเสียก่อน
“สวัสดีครับน้องเซฮุน ขอพี่นั่งด้วยได้ไหม”
“อ่า ... เอ่อ ได้ครับ เชิญตามสบาย”
เซฮุนกล่าวเชิญพร้อมกับผายมือไปที่เก้าอี้เป็นการชวน ผมจ้องหน้าคนมาใหม่ด้วยสายตาขวางอย่างอดไม่ได้ มันต้องมาแทรกตลอดเลยไอ้หมอนี้ ผมต้องทำอะไรซักอย่างแล้วก่อนที่ไอ้เควิ่นมันจะเดินตามเกมของมัน นึกขึ้นได้ผมเลยหันไปกระซิบกับไอ้จงแดทันที
“จงแด คืนนี้กูขอมอบหน้าที่เปิดงานให้มึง ถ้าทุกคนถามให้บอกว่ากูไม่สบาย แพ้ลม แพ้อากาศ แพ้สัตว์แพ้เหี้ยอะไรก็บอกไปโอเคนะ กูจะพาเซฮุนกลับห้อง”
“อ่าวมึง ทำแบบนี้มันน่าสงสัยนะเว้ย ไปกันสองคนด้วย เค้าจะคิดว่ามึงหนีงานไปมีไรกันดิ่วะ”
“กูสั่งอะไรก็ทำๆไปสิวะอย่าขัดคำสั่งกู!”
“เออๆ เอาที่มึงสบายใจเลย กูช่วยแล้วต้องให้ค่าตอบแทนกูด้วยอย่าลืม”
“เออๆ ขอบใจมาก งั้นกูไปละ”
ผมกระซิบเสร็จก็ตบบ่าจงแดหนักๆเหมือนเป็นการฝากความหวังไว้ที่มัน แล้วหันไปหาเซฮุนซึ่งกำลังคุยอยู่กับไอ้เควิ่นอย่างถูกคอ หงุดหงิดเว้ย ไม่มีอารมณ์จะยัดอาหารต่อเลย หมดเวลาของมึงแล้วไอ้เควิ่น กูปล่อยมานานพอละ
ผมวางช้อนลงในจานแล้วดื่มน้ำตามจนหมดแก้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที และไม่ลืมที่จะดึงข้อมือเซฮุนให้ลุกขึ้นมาด้วย เซฮุนอึกอักตกใจเล็กน้อยหันมามองหน้าผมพร้อมกับหรี่ตามองเหมือนสงสัย ผมเลือกที่จะเงียบตอบกลับไปแล้วดึงข้อมือเซฮุนให้เดินตาม แต่ไอ้เควิ่นดันเรียกไว้ซะก่อน
“มึงจะพาเซฮุนไปไหน”
“เรื่องของกูอย่าเสือก”
“แต่กูกับเซฮุนกำลังคุยกันอยู่ มันไม่ดูเสียมารยาทไปหน่อยหรอ”
“กูไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับคนอย่างมึง”
“น้องเซฮุนครับ อยู่คุยเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหมครับ คุยกับเซฮุนแล้วรู้สึกถูกคอ”นั่นดูมัน ต่อคำกับผมไม่ได้ก็หันไปอ้อนเซฮุน ถึงเซฮุนอยากอยู่ผมก็ไม่ให้อยู่!
“ไว้เราไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นใกล้ๆห้องพักไหมครับพี่เควิ่น ตอนนี้ผมคงไม่สะดวก”
“ก็ดะ... ”
“ไม่ได้! วันนี้เซฮุนไม่สบาย ต้องนอนพักทั้งคืน” ผมแย้งออกไปทันทีเมื่อเห็นว่าเซฮุนกำลังเชิญชวนไอ้เควิ่นมาคุยแถวห้องพักก่อนจะหันไปทำตาข่มใส่กล้ามากที่ไปชวนมันต่อหน้าผม ผมเลยดึงแขนเซฮุนออกแรงกระชากเล็กน้อยให้เซเข้าหาตัวผม ก่อนจะพูดลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินเบาๆแค่สองคน
“บอกมัน ว่านายไม่สบาย ไม่สะดวกคุย”
“อะไร ฉันสบายดีทุกอย่าง นายอย่ามามั่ว!”
“ถ้าไม่บอกมัน คืนนี้ฉันจะทำให้นายหลับไปด้วยความเพลียเลยคอยดู บอกสิเร็วๆ!”
“ไอ้บ้าเอ้ย!”
ถึงจะเอ่ยปากด่าผม แต่พวงแก้มนั้นกลับมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา ผมยักคิ้วกวนเซฮุนไปทีนึงอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า เวลาเห็นเซฮุนโกรธแล้วผมชอบจริงๆให้ตายมันกระตุ้นอารมณ์เลยล่ะ แต่เซฮุนก็คือเซฮุนจริงๆ ยังคงยืนเชิดหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ผมบีมแขนเซฮุนให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นการเตือนสติร่างบางข้างๆผมให้รู้ว่าผมเอาจริง เซฮุนหันมาทำตาถลึงใส่ผมจะเอาเรื่องก่อนจะกลอกตาไปมาเหมือนรู้สึกเอือมๆ
“เอ่อ พี่เควิ่นฮะ ผมรู้สึกปวดหัวนิดหน่อยเริ่มมึนๆ คิดว่าจะกลับไปพักที่ห้องน่ะครับ คืนนี้คงไม่ได้ไปคุยเล่นด้วยแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“อะ เอางั้นก็ได้ครับเซฮุน พักผ่อนเยอะนะครับ ตามสบายเลย”
เมื่อเห็นว่าไอ้เควิ่นบอกลาเรียบร้อย ผมยักคิ้วกวนตีนมันหนึ่งทีอย่างมีชัย ก่อนจะดึงข้อมือเซฮุนให้ตามมาแล้วเดินด้วยความเร็วไปที่ห้องพักทันที
ผมกระชากลากเซฮุนมาตลอดทางจนถึงหน้าห้องพักจนได้ แรงเยอะเหมือนกันนะขัดขืนได้ขนาดนี้ทำเอาเหนื่อยเลย พอมาถึงหน้าห้องแล้ว ผมบอกให้เซฮุนไขกุญแจเพราะเซฮุนเป็นคนเก็บไว้ แต่การยืนนิ่งเฉยกลับมานี่คืออะไร ไม่ได้ยินที่พูดหรืออยากลองดีกับผมกันแน่
“ไขประตูเร็วๆ กุญแจอยู่ที่นายไม่ใช่หรอ”
“….”
“ได้ยินไหมที่พูดน่ะ จะยืนนิ่งอีกนานไหม ”
“….”
“อยากลองดีกับฉันสินะ เข้าห้องได้เมื่อไหร่หาทางหนีให้ได้ก็แล้วกัน”
“….”
ผมกลอกตาไปมาด้วยความเอือมปนโมโห ก่อนจะโน้มตัวก้มไปใกล้เซฮุนแล้วใช้มือคลำไปทั่วตัวทั้งเสื้อและกางเกงด้วยความเร็วเซฮุนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับตกใจร้องเสียงหลงออกมาเมื่อมือผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งโอบเอวเซฮุนให้แน่นเท่านั้นหลังจากที่คลำหาอยู่ซักพักผมก็ล้วงหากุญแจได้สำเร็จ และไม่รอช้าผมรีบไขประตูแล้วจับเซฮุนดันเข้าไปในห้องพร้อมกับกดล็อคประตูทันที
เซฮุนหันมาเตรียมอ้าปากจะต่อว่าแต่ผมไวกว่าตรงเข้าไปประชิดร่างบางตรงหน้าจับใบหน้าเรียวสวยให้เงยขึ้นล็อคใบหน้าไว้แล้วทาบไปยังริมฝีปากบางของคนตรงหน้าทันที ด้วยความที่เซฮุนไม่ทันได้ตั้งตัว ผมเลยได้เปรียบส่งลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจโพรงปากหวานนุ่มละมุนของร่างบางตรงหน้า เซฮุนยกมือขึ้นดันอกผมทุบตีเอาเป็นเอาตายส่งเสียงขัดขืนในลำคอ ยิ่งคนตรงหน้าต่อต้านเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งกดจูบลึกลงไปให้หนักขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
พอเห็นว่าร่างบางตรงหน้าเหมือนจะหมดลมซะก่อน ผมค่อยๆถอยจูบออกแล้วไล่ริมฝีปากขึ้นไปที่พวกแก้มก่อนจะฝังจมูกลงไปยังพวกแก้มแดงระเรื่อของเซฮุน กลิ่มหอมอ่อนจากร่างบางตรงหน้ากำลังทำให้ผมขาดสติแล้ว.... ผมเลื่อนริมฝีปากไปยังหลังใบหูของเซฮุนแล้วขบเม้มเบาๆอย่างชอบใจก่อนจะไล่ลงมากดจูบหนักๆที่หลังต้นคอโดนไม่ลืมที่จักฝากรอยแดงแสดงความเป็นเจ้าของไว้ให้เห็นพร้อมกับสอดมือเข้าไปทางชายเสื้อแล้วบีบคลึงเอวบางของคนตรงหน้าเบาๆเหมือนเซฮุนจะรู้ตัวแล้วว่าผมจะทำอะไรต่อเลยออกแรงดันอกผมออกอย่างแรงจนผมเซไปข้างหลังเล็กน้อย
“หยุดเลย! อย่าเข้ามาใกล้! ออกไป!” เซฮุนขึ้นเสียงใส่ผมอย่างเหนื่อยหอบพร้อมกับชี้หน้าผมด้วยความโกรธเคือง สายตาที่บ่งบอกถึงความรังเกียจได้ส่งมาที่ผมอย่างชัดเจน
“….”
“เราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรแบบนี้ได้นายก็รู้!”
“ทำไมจะไม่ได้ ฉันจะทำอะไรกับนายมากกว่านี้ยังได้เลยถ้าฉันจะทำ”
“เหอะนายมันชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวที่สุด!”
“.....”
“นายมีคนที่นายชอบอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ฉัน! เพราะฉะนั้นนายจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”
"...."
“เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรอ เราไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษอะไรแบบนั้นให้กันเลยด้วยซ้ำ แล้วนายทำแบบนี้ทำไม จูบทำไม.... ”
“….”
“ถ้าไม่รักอย่าทำแบบนี้.... ”
“….”
“อย่ายุ่งกับชีวิตฉันอีกเลย…. ”
“ทำไม ไม่ให้ฉันยุ่งเพื่อที่นายจะได้เข้าใกล้ไอ้เควิ่นได้ง่ายขึ้นงั้นดิ่?”
“ก็แล้วแต่จะคิด!”
"นายชอบไอ้เควิ่นใช่ไหม! ชอบมันใช่ไหม!?"
"เควิ่นก็ไม่ได้แย่นี่ ทำไมจะชอบไม่ได้ ทำไม หึงฉันหรือไง"
"เหอะ ใครหึง"
"....ก็ดี งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว"
เซฮุนพูดจบก็หันหลังไปที่ปลายเตียงเหมือนเดินหนีผม ผมอดโมโหไม่ได้ก้าวยาวๆไปจับต้นแขนเซฮุนก่อนจะกระชากเข้าหาตัว
“เดี๋ยว! มาเคลียร์กันให้รู้เรื่อง ฉันเคยบอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ใครเดินหนี!”
“เอาเลย ฉันขัดคำสั่งนาย นายจะทำอะไรฉันก็ทำเลย....”
เซฮุนพูดด้วยเสียงสั่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผม ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าตาแดงก่ำเหมือนกำลังจะร้องไห้ น้ำใสๆที่คลอเอ่ออยู่ในม่านตาคู่สวยนั้นกำลังจะไหลออกมาทำให้ผมรู้สึกผิดกับสิ่งที่ผมทำลงไป ทั้งที่สิ่งที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดคือน้ำตาของเซฮุน แต่ตอนนี้ ผมทำให้คนที่ผมรักร้องไห้....
“อย่าร้องไห้ ฉันขอโทษ อย่าร้อง.... อย่าร้องนะเซฮุน" ผมเอื้อมมือจะไปเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า แต่ร่างนั้นกลับปัดมือผมออกอย่างไม่ใยดี
“เพราะนาย นายไม่ชัดเจนกับฉันเอง…. เราเลยอยู่กันในสภาพนี้”
“ขอโทษ.... ”
“นายน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ชัดเจนตรงไหน ตอบได้ไหม…. ”
“ขอโทษ.... ”
“จริงๆแล้วนายรู้สึกยังไงกับฉัน บอกความจริงออกมาอย่าเอาแต่พูดขอโทษแบบนี้”
“ขอโทษ.... ”
“เลิกพูดคำว่าขอโทษเสียที! ฉันได้ยินมามากพอแล้ว ฉันเกลียดคำว่าขอโทษ! ฉันไม่อยากฟัง!”
เซฮุนขึ้นเสียงใส่ผมพร้อมกับผลักผมออกจนเซไปชนกับกำแพง ผมได้แต่มองแผ่นหลังของเซฮุนที่ตอนนี้ยืนหันหลังให้ผมแล้ว ร่างบางที่ยืนกอดตัวเองร้องไห้จนตัวโยนทำให้ผมอยากจะเข้าไปกอดไว้ แต่เซฮุนคงจะเกลียดผมแล้ว
“เหอะ จนถึงวินาทีนี้นายยังตอบไม่ได้เลยหรอปาร์คชานยอล”
“….”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามนายเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”
“….”
“มันอาจจะดูสำคัญตัวเองผิดไปที่ถามคำถามนี้”
“….”
“เผื่อมันจะช่วยให้นายจะรู้สึกตัว รู้ใจตัวเองสักที”
“….”
“ถ้าคำตอบของนายคือไม่ เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน”
“....”
“ฉันให้โอกาสนายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“….”
“….”
“รักฉันบ้างหรือเปล่า”
“….”
“….”
“ไม่.... ”
“โอเค.... ฉันเข้าใจแล้ว ”
“ไม่เคย....”
“ฉันรู้แล้วจะย้ำอีกทำไม!”
“ไม่เคยคิด....”
“นี่นาย!”
“ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะต้องมาสารภาพรักกับคนที่ฉันเคยบอกว่าฉันเกลียดที่สุด”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ