Fic Naruto พันธสัญญาสีดำ ความเศร้า ความรัก ภาค1
9.3
เขียนโดย นิกซ์
วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 07.27 น.
71 ตอน
68 วิจารณ์
93.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564 21.50 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
56) story fic : haruno family 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพี่ชายและน้องสาว
“กลับมาแล้วค่า”เสียงหวานใสดังขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอ ริน อ้าว นั่นใครเหรอจ๊ะ”ฮารุโนะ ชิสึกุ เอ่ยถามลูกสาวบุญธรรม ฮารุโนะ ริน วันแปด ขวบ ริน นั้นถือว่าอายุห่างจากลูกชายคนเดียวของเธอแค่สองปี แต่ทั้งสองกลับรักกันดุจพี่น้องสายเลือดเดียวกัน หรือแม้แต่ ลูกสาวของเธอ ที่อายุแค่ สิบสี่ก็ได้เข้าเป็นหน่วยลับของโคโนฮะ ก็รักน้องสาวบุญธรรมมาก ในวันนี้ แม่ตัวน้อยของเธอได้พาเพื่อนชายมาด้วย เค้าเป็นเด็กชายท่าทางทะเล้นรุ่นเดียวกับริน มีเอกลักษณ์สวมแว่นกันน้ำสีส้ม
“เพื่อนของหนูเองค่า ชื่อ โอบิโตะ”
เด็กหนุ่มนามโอบิโตะ โค้งเคารพก่อนจะแนะนำตัวอย่างสุภาพ”สวัสดีครับ ผมชื่ออุจิวะ โอบิโตะ”
“น่ารักจริง”
“แม่คะ พี่ฮารุชิ ล่ะ”
“หลังบ้านน่ะ วันนี้เห็นว่ามีเพื่อนมาหา มีอะไรรึเปล่า แม่ว่า อย่าไปกวนเค้าเลยนะ”
เด็กสาวหน้าจ๋อย”อะไรกัน ไม่เห็นบอกเลย”
ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรต่อ
“มีอะไรเหรอริน นั่นใครน่ะ”ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มผมสีดำ ตาสีมรกต หน้าตาหล่อเหลาคมคายเข้ามา
“พี่ชาย”เด็กสาวผมสีน้ำตาลพุ่งเข้าไปกอดทันที
โอบิโตะตะลึงกับผู้มาใหม่ ว่า เนี่ยนะ คนที่อายุมากกว่าสองปี เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่า ตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ สูงประมาณ ร้อยหกสิบกว่า สูงมากกว่าเค้ามากเลย
“ฮารุชิ แล้วเพื่อนของลูกล่ะจ๊ะ”ชิสึกุ เอ่ยถามลูกชาย
“เค้าไปแล้วล่ะครับ มีธุระ”
รินที่กอดเอวพี่ชายเงยหน้าถามเสียงใส”งั้น พี่ก็ว่างแล้วใช่มั้ยคะ”
“จ้า ว่าแต่ เด็กคนนั้นใคร เพื่อนของรินเหรอ”สายตาสีมรกตมองไปยังเด็กสวมแว่นตากันน้ำสีส้ม
คนถูกมองก็รีบแนะนำตัว “สวัสดีครับ ผมชื่อ อุจิวะ โอบิโตะ ครับ”
ฮารุชิเหมือนไม่ค่อยสนใจผู้มาใหม่ซักเท่าไหร่
ผู้เป็นแม่ทำได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างหน่ายๆกับนิสัยเสียๆของลูกชาย
“พี่คะ สอนหนูปาดาวกระจายหน่อยได้ไหม”
“หือ? ทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะเรียนล่ะ พี่จะไม่แปลกใจเลยนะ ถ้าเป็นคาถาแพทย์ล่ะก็ ว่าไปอย่าง”
“ไม่ใช่ค่ะ โอบิโตะ ต่างหาก”
“เอ๋? ถ้าพี่ฟังไม่ผิด เค้ามาจากตระกูลอุจิวะไม่ใช่เหรอ”
ชิสึกุเกรงว่าเด็กหนุ่มจะเสียใจจึงห้ามลูกชาย”ฮารุชิ น้องๆเค้ามาขอคำแนะนำ ก็ช่วยแนะนำเค้าหน่อยเถอะ”
เมื่อเจอแม่พูดขอร้องแบบนี้ คนเป็นลูกก็ไม่กล้าขัด“ก็ได้ครับแม่ ขอดูพื้นฐานเธอหน่อยสิ”
หนุ่มแว่นส้มหน้าขึ้นสี“เอ่อ มันน่าอายมากๆเลยนะครับ”
“นิ ชั้นจะรู้ปัญหาของเธอไหม “
รินบ่นกับพี่ชาย”พี่คะ นี่ไม่ใช่การรักษาคนนะ”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก จะเรียนไหม ถ้าไม่ก็ไป ถ้าเรียนก็ตามมา”
รินมองตามหลังพี่ชายที่กำลังจะเดินไปที่ฝึก ก่อนจะหันกลับมายิ้มแห้งๆให้เพื่อนชาย”อย่าไปโกรธพี่เค้าเลยนะ จริงๆแล้วพี่ฮารุชิเป็นคนน่ารักนะ”
ในใจของโอบิโตะ…น่าถีบซะมากกว่า หยิ่งชิบ แต่ถึงยังงั้น…”ชั้นจะเรียน”
รินยิ้มให้ ก่อนจะจูงมือเพื่อนชายให้ที่ลานฝึก ที่อยู่ในป่า ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้าน
“มาแล้วเหรอ?”
โอบิโตะ อดชมร่างสูงที่กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการนั่งแบบสบายๆแต่กลับดูสง่างาม ในที
เด็กสาวเอ่ยเสียงใส”พี่นี่ อย่าเก๊กสิ”
“ไม่ได้เก๊ก เอ้า ไอ้น้อง ปาดาวกระจายดูหน่อย จะได้รู้ปัญหาของนาย จะได้แก้ถูกจุด เร็วๆ ปาไปที่ต้นไม้ต้นนั้น”นิ้วเรียวชี้ไปที่ต้นไม้ที่อยู่ห่างเด็กทั้งสองไปไกลพอสมควร และมันมีเป้าไว้ซะด้วย
รินเห็นว่า ระยะนั้นมันก็เท่ากับเป้าที่โรงเรียนเค้าให้ปาพอดีเลย
โอบิโตะหยิบดาวกระจายออกมา แล้วปาออกไป
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ไม่เข้าซักเป้า…คนปาอยากจะร้องไห้
“อา…เราพบปัญหาแล้ว”ฮารุชิเดินตรงมาที่เด็กหนุ่ม
“อะไรเหรอครับ”
“สมาธิ เธอว่อกแว่ก เอาง่ายๆเธอโลเล ไม่สนใจเป้าหมายที่จะปา สนแต่สิ่งรอบตัว”
“ระ..รู้ได้ยังไง”
“โอบิโตะอย่าเถียงเค้าเลยน่า”
“นี่มันเป้านิ่งนะ น้องชาย การปาอาวุธน่ะ ต้องใช้สมาธิ และเด็ดขาด ยิ่งถ้าเป็นเป้าที่ไม่นิ่งด้วย ถ้าเธอไม่มีสมาธิ อาจจะแย่นะ งั้นดูตัวอย่างก็แล้วกัน”ฮารุชิหยิบดาวกระจายออกมา แล้วปาออกไป
เข้าเป้าเป๊ะ
เด็กหนุ่มตะลึง “แม่นโคตร! พี่ชาย พี่ชายเก่งกว่าพวกพี่ๆซะอีก”
“หยุดไฮเปอร์ก่อนเถอะ สนใจสิ่งที่ทำสิ”
โอบิโตะทำตาม ในขณะที่มือถือดาวกระจาย
“ปาได้”
ชิ้ง!ชิ้ง!ชิ้ง!
“โอ้โห เกือบเข้าเป้าแล้วนะโอบิโตะ”รินอมยิ้ม ในขณะที่คนปานั้นแสนจะอาย แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลอุจิวะนั้น นอกจากเนตรวงแหวนแล้ว สิ่งหนึ่งที่เก่งไม่แพ้ใครเลยก็คือ การปาดาวกระจาย ที่แม่นราวกับจับวาง ตัวเค้าที่ขึ้นชื่อเป็นตระกูลอุจิวะแท้ๆแต่กลับทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย
“คิดมาก”
“เอ๋?”
ฮารุชิหันไปหาน้องสาว”ริน ไปเอาน้ำชามาให้พี่หน่อยสิ”
เด็กสาวตอบรับอย่างว่าง่าย”ได้ค่ะ”
เมื่อแน่ใจแล้วว่ารินเดินไปไกลแล้ว ฮารุชิจึงเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่มองตามหลังน้องสาว
“เธอยังเบิกเนตรวงแหวนไม่ได้ใช่มั้ย?”
เมื่อเจอคำถามแบบนี้คำเอาคนถูกถามสะอึก เมื่อเจอสายตาคาดคั้นของคนตัวสูง ก็ไม่กล้าโกหก “ครับ ผมยังเบิกเนตรไม่ได้ แล้วมันเกี่ยวอะไร”
“เท่าที่รู้มา เนตรวงแหวนมีพลังมาก ถ้าคุมไม่ได้ ก็จะเป็นภัยต่อตัวผู้ใช้เอง คนตระกูลอุจิวะจึงมีสมาธิดี ทำให้ ปาอาวุธได้แม่นยำยังไงล่ะ”
“ยากจัง แล้วต้องทำยังไง ผมถึงจะ…”สีหน้าเด็กหนุ่มสลดลง น้ำตาเริ่มซึมออกมา
ฮารุชิทำสีหน้าเหม็นเบื่อ มองเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยสายตาอันเวทนา ก่อนจะเหลือบไปเห็นรินที่กำลังถือน้ำชาเดินมาแต่ไกล จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉยแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีคนที่อยากจะปกป้องรึเปล่า?”
“เอ่อ…ก็มีครับ”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมบางของคนตัวสูง เค้าลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดู “ถ้ามีสิ่งสำคัญที่อยากจะปกป้องล่ะก็…เธอก็สามารถเก่งขึ้นได้นะ ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องใครสักคนมันจะกลายมาเป็นพลังกับตัวเราได้ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดหรอกนะ ในสนามรบเราต้องมีความเด็ดขาด ตัดความโลเลออกให้หมด เอ้า ลองปาอีกรอบ ลองคิดซะว่า ที่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ มีแต่ตัวเธอคนเดียว และคิดซะว่าเป้าหมายปานั้นเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด สนใจสิ่งที่จะทำเพียงอย่างเดียวก็พอ”
โอบิโตะลองทำตามโดยที่ฮารุชิเดินถอยหลังไปปิดปากน้องสาว แล้วใช้นิ้วชี้ แตะที่ปากตน เพื่อเป็นการบอกนัยๆว่า เงียบก่อนซึ่งรินก็ทำตามแต่โดยดี
ชิ้ง!ชิ้ง!ชิ้ง!
“ขะ…เข้าเป้าแล้ว อันหนึ่ง”
“ดีจังเลยโอบิโตะ”รินยิ้มหวาน
คนถูกชมหน้าขึ้นสี
“กลับไปฝึกซะ”
“ครับ?”
“โดนเป้าอันหนึ่งอย่านึกว่าจะเก่งแล้วนะ จำความรู้สึกตอนที่จะปาดาวกระจายเมื่อกี้เอาไว้ก็พอ และก็อย่าลืมที่ชั้นบอกด้วยล่ะ ขอตัวก่อน”
“พี่คะ แล้วน้ำชา”รินร้องท้วงทันที
คนตัวสูงยิ้มละไม”ขอโทษด้วยนะ มีธุระที่ต้องทำน่ะ เจอกันหลังมื้อค่ำ ฝากบอกแม่ด้วยว่าข้าวเย็นของพี่ไม่ต้องเตรียม” คนเป็นน้องเริ่มงอนแก้มป่อง มันช่างน่าเอ็นดูซะจน คนตัวสูงต้องหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง แล้วยิ้มอ่อนโยนตบท้าย”ไปนะ”ว่าจบ ร่างของฮารุชิก็หายไป
รินหน้าขึ้นสี ส่วนโอบิโตะนั้นแสนจะอิจฉาที่คนๆนี้ช่างมีเสน่ห์ และได้หอมแก้มรินอีก
“แม๊ว ฮารุชิไปไหนซะล่ะ รินจัง”เสียงแหลมเล็กดังขึ้น
เด็กทั้งสองหันมามอง มันคือเจ้าแมวตัวผอมเพรียวตาซ้ายบอด มันมีขนสีขาวดำ
รินทักทายด้วยรอยยิ้ม”ทามะเองเหรอ พี่ไปธุระแล้วล่ะจ้ะ มีอะไรเหรอ”
“รินจัง แมวนี่มัน”
“แมวนินจาจ้ะ เป็นสัตว์เลี้ยงของพี่ฮารุชิ”ว่าแล้วเด็กสาวก็อุ้มเจ้าแมวขึ้นมา “ว่าแต่แกมีอะไรรึ เจ้าเหมียว”
“เมี๊ยว เจ้าหมอนั่นบอกว่าจะเอาตำแยแมวมาให้น่ะสิ”
เด็กสาวอมยิ้ม ระที่ว่าของพี่ชาย คงจะเป็น การไปหาสมุนไพรให้สัตว์เลี้ยงล่ะสินะ “เดี๋ยวค่ำๆ พี่คงจะกลับล่ะนะ รอหน่อยก็แล้วกัน งั้นโอบิโตะ เรามานั่งเล่นดื่มชากันเถอะ”
“อื้ม”
เจ้าแมวเหมียวร้องขึ้น”ว้าว ดังโงะ น่ากินจัง”
“ไม่ได้นะทามะ ถ้าพี่ฮารุชิรู้ว่าแกแอบกินของหวานล่ะก็ แกโดนพี่จับล้างท้องแน่”
“เซ็งเลย”
เด็กหนุ่มหัวเราะร่า”ฮ่าๆ อดไปเจ้าเหมียว”
“ชิ”
“เฮ้ย!”โอบิโตะร้องลั่น เมื่อเจ้าเหมียวกระโดดมายืนบนไหล่ของเด็กหนุ่มสวมแว่นตากันน้ำสีส้ม “ทำอะไรน่ะ”
“บ่านายน่านอนจัง เมี๊ยว”
รินรีบดึงเจ้าแมวให้ลงจากบ่าเพื่อนชาย“ทามะ อย่าเอาแต่ใจนะ ลงมา เดี๋ยวฟ้องพี่หรอกว่าแกดื้อ รู้ใช่มั้ยว่าพี่ฮารุชิ เวลาโกรธน่ะเป็นยังไง”
“ก็ได้” เจ้าแมวกระโดดลง”ไปล่ะนะ รินจัง อย่ากลับบ้านเย็นล่ะ เป็นห่วง”
“จ้าๆ”
เมื่อเจ้าแมวเดินกลับไปแล้ว รินต้องหันไปขอโทษเพื่อนชายทันที
“ขอโทษนะ โอบิโตะ เจ้าทามะมันชอบเอาแต่ใจ นึกจะขึ้นบ่าใครก็ขึ้นน่ะนะ คนทั้งบ้านที่มันกลัวก็พี่ฮารุชินั่นแหละ”
“ไม่หรอกรินจัง คือ ชั้นแค่ตกใจนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก ดื่มชากินขนมเถอะ”
เด็กทั้งสองก็กินขนมดื่มชา พลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ไม่ไหวๆ อ่อนโคตรๆ ชั้นอยู่มานาน เพิ่งเคยเห็นคนปาดาวกระจายได้มัวแบบนี้ ”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาธรรมดา สวมชุดรัดกุม รวมๆแล้ว เป็นชายหนุ่มแสนธรรมดา นั่งบนต้นไม้ บ่นขึ้น
“ผมเองก็เซ็งครับ ซึบารุซัง อยากเตะ ทักษะพอมีแต่ฝีมือไม่ได้เรื่อง ถ้าไม่ติดว่ารินเป็นคนขอนะ”ฮารุชิที่เฝ้าดูน้องสาวบนต้นไม้ใหญ่ นั่งลงข้างๆซึบารุ ทวดที่เป็นทั้งอาวุธดาบคู่ ของตน ซึ่งตอนนี้ได้ใช้พันธะโลหิตทำให้กลายเป็นมนุษย์ นั่งข้างๆ โดยซึบารุได้ทำการแปลงโฉมปลอมตัว ให้ไม่สะดุดตา เพราะอยากจะเดินเล่นรอบโคโนฮะ
“แต่นายก็ใจดีนะ ที่ยอมสอนแบบนั้น”
“ผมแค่ แก้ไขจุดบกพร่องก็เท่านั้นแหละครับ เด็กคนนั้นน่ะมีฝีมือนะ มัวแต่จะโชว์คนอื่นจนลืมนึกึถงตัวเอง ผมไปล่ะ ซึบารุซังก็อย่าไปสู้กับใครล่ะเดี๋ยวความจะแตกเอานะ”
“รู้แล้วๆ เจ้านี่นิ ชั้นอุดอู้อยู่ในคัมภีร์ตั้งนาน ขอเดินเล่นแบบสบายๆหน่อยก็แล้วกัน สองทุ่มมาเจอกันที่นี่นะ”
“งั้นผมไปทำงานที่โรงพยาบาลก่อนล่ะครับ แล้วเจอกัน”เด็กหนุ่มกระโดดไปอีกทาง
ซึบารุขมวดคิ้ว…นี่มันเด็กสิบขวบแน่รึวะ ตัวสูง มีความสามารถ เป็นหมอในโรงพยาบาล ลูกหลานตูมันจะเก่งไปไหนฟะ!...
มื้อเย็นที่บ้านฮารุโนะนั้นไม่ค่อยเงียบเหงาอย่างที่เคย เพราะวันนี้มี แขกซึ่งเป็นเพื่อนของริน อย่างอุจิวะ โอบิโตะ เด็กหนุ่มช่างพูดช่างคุย ช่วยทำให้มื้อเย็นของครอบครัว ที่ตอนนี้ เหลือแต่ ฮารุโนะ ชิสึกุ กับฮารุโนะ ริน เท่านั้น มีชีวิตชีวา มากขึ้น ชิสึกุนั้นรู้ดีว่าลูกชายของตนถึงแม้ว่าจะอายุเพียงสิบปี แต่ก็ทำงานเป็นหมอในโรงพยาบาลแล้ว ถึงแม้ว่าจะทำในช่วงกลางคืนก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่ค่อยมีเวลากลับมากินมื้อเย็นพร้อมหน้า เช่นเดียวกับฮารุยที่ตอนนี้ เป็นหน่วยลับ ไปแล้ว นานๆทีจะกลับบ้าน ส่วนสามี ฮารุโนะ ฮาราตะ เป็นหมอใหญ่ประจำโรงพยาบาลโคโนโฮะ ที่บางวันกว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบรุ่งเช้า ตอนกลางวันก็หลับเป็นตาย นานๆทีจะได้อยู่พร้อมหน้า สำหรับเธอน่ะ ชินแล้ว แต่กับรินนี่สิ คงจะไม่ชินที่พี่ชายกับคุณพ่อต้องไปทำงานที่โรงพยาบาล อีกไม่นาน ฮารุชิก็จะได้รับตำแหน่งจูนินแล้ว เพราะทางเบื้องบนเห็นว่า อายุน่าจะพอแล้ว
“คุณแม่คิดอะไรเหรอคะ? ถอนหายใจบ่อยจัง”รินเอ่ยถาม
ผู้เป็นแม่ยิ้มละไม”ก็ อีกไม่กี่วัน ฮารุชิก็จะเป็นจูนินแล้วนี่จ๊ะ”
โอบิโตะช็อค”อายุพี่เค้าแค่ สิบปีเองนะครับ”
รินยิ้มแป้นก่อนจะเอ่ยอย่างภูมิใจ”ความจริง พี่เค้าผ่านการเป็นจูนิน เมื่อสองปีก่อนแล้วจ้ะ แต่ ท่านรุ่นสามเห็นว่า พี่อายุแค่ แปดปี น่าจะยังไม่พร้อม เลยต้องรอให้พี่เค้าพร้อมก่อนน่ะจ้ะ พี่ใครก็ไม่รู้ ภูมิใจ”
“ผมนี่อยากจะเก่งอย่างเค้าบ้างจัง”…รินเนี่ยดูมีความสุขจังเลยนะ…
ชิสึกุลูบหัวโอบิโตะอย่างเอ็นดู”เป็นตัวของตัวเองเถอะนะ หนุ่มน้อย เข้มแข็งและแข็งแกร่งในแบบของตัวเองเถอะ ถ้ามีความพยายามล่ะก็ เธอต้องเป็นนินจาที่ยิ่งใหญ่แน่จ้ะ”
เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจกับคำพูดและฝ่ามือบางที่ลูบหัวของตนเหลือเกิน “ขอบคุณครับ”
หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จ โอบิโตะก็ลากลับบ้านไป
เมื่อเพื่อนกลับบ้านไปแล้ว เด็กสาวก็ช่วยแม่ล้างจาน สีหน้าดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เหงาเหรอริน”
“ไม่หรอกค่ะ แม่”
ผู้เป็นแม่ยิ้มให้”อย่าโกหกเลยนะ ริน แม่ดีใจนะที่มีรินอยู่ด้วย แม่เลยไม่เหงาแบบนี้” สำหรับรินนั้นเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคร้าย ฮาราตะ ที่เป็นหมอ เห็นเด็กน้อยร้องไห้ กำลังจะถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เค้าจึงรับตัวมาเลี้ยงเพราะความสงสาร ตอนนั้น รินอายุสี่ขวบ อายุนั้นไม่ห่างจากฮารุชิ ซักเท่าไหร่ ฮารุชิตั้งแต่อายุห้าขวบก็ขยันฝึกวิชาท่องตำรา เพื่อที่จะเก่งขึ้น แทนที่จะเล่นตามประสาเด็กๆ แต่พอรินเข้ามา ฮารุชิ ก็รักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ถึงแม้ว่าจะวุ่นกับการฝึกแต่เค้ามีเวลามาเล่นกับน้องสาว
“กลับมาแล้วครับ”
รินรีบวิ่งไปที่หน้าประตูทันที
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ”เด็กกระโดดกอดพี่ชายทันที
“กลับมาแล้วจ้ะ น้องสาว”
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไม วันนี้กลับไวจัง”
“ไม่มีเคสหนัก หรือ เร่งด่วนอะไรน่ะครับ พ่อเลยให้ผมกลับมาก่อน ส่วนพ่อเค้าจะตรวจเอกสารอีกทีแล้วถึงจะกลับน่ะครับ”
“เหรอจ๊ะ ว่าแต่กินข้าวรึยังลูก”
“กินแล้วครับ”
“พี่กินอีกเถอะ พี่ผอมจะแย่ “
“ไม่เอาล่ะริน กินมื้อดึกมาก จะลงพุงเปล่าๆ พรุ่งนี้ไปโรง’บาลกับพี่ไหม จะได้ฝึกรักษาคนจริงๆไปเลย”
“จริงเหรอ หนูไปได้เหรอคะ”
“อื้อ พรุ่งนี้พี่จะไปรับที่โรงเรียนดีมั้ย”
“ดีค่ะ หนูรักพี่ที่สุดเลย”
ชิสึกุมองภาพนั้นอย่างเป็นสุข ถึงจะหยิ่งจะร้าย จะเย็นชายังไง เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาวแล้ว ฮารุชิก็จะกลายเป็นพี่ชายแสนดี ของรินทันที
ซึบารุที่ในตอนนี้มองภาพครอบครัวของฮารุโนะจากต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากบ้าน อย่างเอ็นดู …ขอให้ตระกูลเราสงบสุขแบบนี้ไปตลอดนะ…
“ต่างจากสมัยเราจริงๆเลยแฮะ”ว่าจบ ชายหนุ่มก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ตอนนี้ พระจันทร์นั้นส่องสว่างเหลือเกิน
เอาอันนี้แก้ขัดไปก่อนนะคะ อันนี้เป็นเรื่องสั้นจบในตอนนะ เม้นต์ให้กำลังใจไรเตอร์บ้างนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
“กลับมาแล้วค่า”เสียงหวานใสดังขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอ ริน อ้าว นั่นใครเหรอจ๊ะ”ฮารุโนะ ชิสึกุ เอ่ยถามลูกสาวบุญธรรม ฮารุโนะ ริน วันแปด ขวบ ริน นั้นถือว่าอายุห่างจากลูกชายคนเดียวของเธอแค่สองปี แต่ทั้งสองกลับรักกันดุจพี่น้องสายเลือดเดียวกัน หรือแม้แต่ ลูกสาวของเธอ ที่อายุแค่ สิบสี่ก็ได้เข้าเป็นหน่วยลับของโคโนฮะ ก็รักน้องสาวบุญธรรมมาก ในวันนี้ แม่ตัวน้อยของเธอได้พาเพื่อนชายมาด้วย เค้าเป็นเด็กชายท่าทางทะเล้นรุ่นเดียวกับริน มีเอกลักษณ์สวมแว่นกันน้ำสีส้ม
“เพื่อนของหนูเองค่า ชื่อ โอบิโตะ”
เด็กหนุ่มนามโอบิโตะ โค้งเคารพก่อนจะแนะนำตัวอย่างสุภาพ”สวัสดีครับ ผมชื่ออุจิวะ โอบิโตะ”
“น่ารักจริง”
“แม่คะ พี่ฮารุชิ ล่ะ”
“หลังบ้านน่ะ วันนี้เห็นว่ามีเพื่อนมาหา มีอะไรรึเปล่า แม่ว่า อย่าไปกวนเค้าเลยนะ”
เด็กสาวหน้าจ๋อย”อะไรกัน ไม่เห็นบอกเลย”
ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรต่อ
“มีอะไรเหรอริน นั่นใครน่ะ”ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มผมสีดำ ตาสีมรกต หน้าตาหล่อเหลาคมคายเข้ามา
“พี่ชาย”เด็กสาวผมสีน้ำตาลพุ่งเข้าไปกอดทันที
โอบิโตะตะลึงกับผู้มาใหม่ ว่า เนี่ยนะ คนที่อายุมากกว่าสองปี เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่า ตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ สูงประมาณ ร้อยหกสิบกว่า สูงมากกว่าเค้ามากเลย
“ฮารุชิ แล้วเพื่อนของลูกล่ะจ๊ะ”ชิสึกุ เอ่ยถามลูกชาย
“เค้าไปแล้วล่ะครับ มีธุระ”
รินที่กอดเอวพี่ชายเงยหน้าถามเสียงใส”งั้น พี่ก็ว่างแล้วใช่มั้ยคะ”
“จ้า ว่าแต่ เด็กคนนั้นใคร เพื่อนของรินเหรอ”สายตาสีมรกตมองไปยังเด็กสวมแว่นตากันน้ำสีส้ม
คนถูกมองก็รีบแนะนำตัว “สวัสดีครับ ผมชื่อ อุจิวะ โอบิโตะ ครับ”
ฮารุชิเหมือนไม่ค่อยสนใจผู้มาใหม่ซักเท่าไหร่
ผู้เป็นแม่ทำได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างหน่ายๆกับนิสัยเสียๆของลูกชาย
“พี่คะ สอนหนูปาดาวกระจายหน่อยได้ไหม”
“หือ? ทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะเรียนล่ะ พี่จะไม่แปลกใจเลยนะ ถ้าเป็นคาถาแพทย์ล่ะก็ ว่าไปอย่าง”
“ไม่ใช่ค่ะ โอบิโตะ ต่างหาก”
“เอ๋? ถ้าพี่ฟังไม่ผิด เค้ามาจากตระกูลอุจิวะไม่ใช่เหรอ”
ชิสึกุเกรงว่าเด็กหนุ่มจะเสียใจจึงห้ามลูกชาย”ฮารุชิ น้องๆเค้ามาขอคำแนะนำ ก็ช่วยแนะนำเค้าหน่อยเถอะ”
เมื่อเจอแม่พูดขอร้องแบบนี้ คนเป็นลูกก็ไม่กล้าขัด“ก็ได้ครับแม่ ขอดูพื้นฐานเธอหน่อยสิ”
หนุ่มแว่นส้มหน้าขึ้นสี“เอ่อ มันน่าอายมากๆเลยนะครับ”
“นิ ชั้นจะรู้ปัญหาของเธอไหม “
รินบ่นกับพี่ชาย”พี่คะ นี่ไม่ใช่การรักษาคนนะ”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก จะเรียนไหม ถ้าไม่ก็ไป ถ้าเรียนก็ตามมา”
รินมองตามหลังพี่ชายที่กำลังจะเดินไปที่ฝึก ก่อนจะหันกลับมายิ้มแห้งๆให้เพื่อนชาย”อย่าไปโกรธพี่เค้าเลยนะ จริงๆแล้วพี่ฮารุชิเป็นคนน่ารักนะ”
ในใจของโอบิโตะ…น่าถีบซะมากกว่า หยิ่งชิบ แต่ถึงยังงั้น…”ชั้นจะเรียน”
รินยิ้มให้ ก่อนจะจูงมือเพื่อนชายให้ที่ลานฝึก ที่อยู่ในป่า ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้าน
“มาแล้วเหรอ?”
โอบิโตะ อดชมร่างสูงที่กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการนั่งแบบสบายๆแต่กลับดูสง่างาม ในที
เด็กสาวเอ่ยเสียงใส”พี่นี่ อย่าเก๊กสิ”
“ไม่ได้เก๊ก เอ้า ไอ้น้อง ปาดาวกระจายดูหน่อย จะได้รู้ปัญหาของนาย จะได้แก้ถูกจุด เร็วๆ ปาไปที่ต้นไม้ต้นนั้น”นิ้วเรียวชี้ไปที่ต้นไม้ที่อยู่ห่างเด็กทั้งสองไปไกลพอสมควร และมันมีเป้าไว้ซะด้วย
รินเห็นว่า ระยะนั้นมันก็เท่ากับเป้าที่โรงเรียนเค้าให้ปาพอดีเลย
โอบิโตะหยิบดาวกระจายออกมา แล้วปาออกไป
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ไม่เข้าซักเป้า…คนปาอยากจะร้องไห้
“อา…เราพบปัญหาแล้ว”ฮารุชิเดินตรงมาที่เด็กหนุ่ม
“อะไรเหรอครับ”
“สมาธิ เธอว่อกแว่ก เอาง่ายๆเธอโลเล ไม่สนใจเป้าหมายที่จะปา สนแต่สิ่งรอบตัว”
“ระ..รู้ได้ยังไง”
“โอบิโตะอย่าเถียงเค้าเลยน่า”
“นี่มันเป้านิ่งนะ น้องชาย การปาอาวุธน่ะ ต้องใช้สมาธิ และเด็ดขาด ยิ่งถ้าเป็นเป้าที่ไม่นิ่งด้วย ถ้าเธอไม่มีสมาธิ อาจจะแย่นะ งั้นดูตัวอย่างก็แล้วกัน”ฮารุชิหยิบดาวกระจายออกมา แล้วปาออกไป
เข้าเป้าเป๊ะ
เด็กหนุ่มตะลึง “แม่นโคตร! พี่ชาย พี่ชายเก่งกว่าพวกพี่ๆซะอีก”
“หยุดไฮเปอร์ก่อนเถอะ สนใจสิ่งที่ทำสิ”
โอบิโตะทำตาม ในขณะที่มือถือดาวกระจาย
“ปาได้”
ชิ้ง!ชิ้ง!ชิ้ง!
“โอ้โห เกือบเข้าเป้าแล้วนะโอบิโตะ”รินอมยิ้ม ในขณะที่คนปานั้นแสนจะอาย แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลอุจิวะนั้น นอกจากเนตรวงแหวนแล้ว สิ่งหนึ่งที่เก่งไม่แพ้ใครเลยก็คือ การปาดาวกระจาย ที่แม่นราวกับจับวาง ตัวเค้าที่ขึ้นชื่อเป็นตระกูลอุจิวะแท้ๆแต่กลับทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย
“คิดมาก”
“เอ๋?”
ฮารุชิหันไปหาน้องสาว”ริน ไปเอาน้ำชามาให้พี่หน่อยสิ”
เด็กสาวตอบรับอย่างว่าง่าย”ได้ค่ะ”
เมื่อแน่ใจแล้วว่ารินเดินไปไกลแล้ว ฮารุชิจึงเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่มองตามหลังน้องสาว
“เธอยังเบิกเนตรวงแหวนไม่ได้ใช่มั้ย?”
เมื่อเจอคำถามแบบนี้คำเอาคนถูกถามสะอึก เมื่อเจอสายตาคาดคั้นของคนตัวสูง ก็ไม่กล้าโกหก “ครับ ผมยังเบิกเนตรไม่ได้ แล้วมันเกี่ยวอะไร”
“เท่าที่รู้มา เนตรวงแหวนมีพลังมาก ถ้าคุมไม่ได้ ก็จะเป็นภัยต่อตัวผู้ใช้เอง คนตระกูลอุจิวะจึงมีสมาธิดี ทำให้ ปาอาวุธได้แม่นยำยังไงล่ะ”
“ยากจัง แล้วต้องทำยังไง ผมถึงจะ…”สีหน้าเด็กหนุ่มสลดลง น้ำตาเริ่มซึมออกมา
ฮารุชิทำสีหน้าเหม็นเบื่อ มองเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยสายตาอันเวทนา ก่อนจะเหลือบไปเห็นรินที่กำลังถือน้ำชาเดินมาแต่ไกล จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉยแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีคนที่อยากจะปกป้องรึเปล่า?”
“เอ่อ…ก็มีครับ”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมบางของคนตัวสูง เค้าลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดู “ถ้ามีสิ่งสำคัญที่อยากจะปกป้องล่ะก็…เธอก็สามารถเก่งขึ้นได้นะ ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องใครสักคนมันจะกลายมาเป็นพลังกับตัวเราได้ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดหรอกนะ ในสนามรบเราต้องมีความเด็ดขาด ตัดความโลเลออกให้หมด เอ้า ลองปาอีกรอบ ลองคิดซะว่า ที่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ มีแต่ตัวเธอคนเดียว และคิดซะว่าเป้าหมายปานั้นเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด สนใจสิ่งที่จะทำเพียงอย่างเดียวก็พอ”
โอบิโตะลองทำตามโดยที่ฮารุชิเดินถอยหลังไปปิดปากน้องสาว แล้วใช้นิ้วชี้ แตะที่ปากตน เพื่อเป็นการบอกนัยๆว่า เงียบก่อนซึ่งรินก็ทำตามแต่โดยดี
ชิ้ง!ชิ้ง!ชิ้ง!
“ขะ…เข้าเป้าแล้ว อันหนึ่ง”
“ดีจังเลยโอบิโตะ”รินยิ้มหวาน
คนถูกชมหน้าขึ้นสี
“กลับไปฝึกซะ”
“ครับ?”
“โดนเป้าอันหนึ่งอย่านึกว่าจะเก่งแล้วนะ จำความรู้สึกตอนที่จะปาดาวกระจายเมื่อกี้เอาไว้ก็พอ และก็อย่าลืมที่ชั้นบอกด้วยล่ะ ขอตัวก่อน”
“พี่คะ แล้วน้ำชา”รินร้องท้วงทันที
คนตัวสูงยิ้มละไม”ขอโทษด้วยนะ มีธุระที่ต้องทำน่ะ เจอกันหลังมื้อค่ำ ฝากบอกแม่ด้วยว่าข้าวเย็นของพี่ไม่ต้องเตรียม” คนเป็นน้องเริ่มงอนแก้มป่อง มันช่างน่าเอ็นดูซะจน คนตัวสูงต้องหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง แล้วยิ้มอ่อนโยนตบท้าย”ไปนะ”ว่าจบ ร่างของฮารุชิก็หายไป
รินหน้าขึ้นสี ส่วนโอบิโตะนั้นแสนจะอิจฉาที่คนๆนี้ช่างมีเสน่ห์ และได้หอมแก้มรินอีก
“แม๊ว ฮารุชิไปไหนซะล่ะ รินจัง”เสียงแหลมเล็กดังขึ้น
เด็กทั้งสองหันมามอง มันคือเจ้าแมวตัวผอมเพรียวตาซ้ายบอด มันมีขนสีขาวดำ
รินทักทายด้วยรอยยิ้ม”ทามะเองเหรอ พี่ไปธุระแล้วล่ะจ้ะ มีอะไรเหรอ”
“รินจัง แมวนี่มัน”
“แมวนินจาจ้ะ เป็นสัตว์เลี้ยงของพี่ฮารุชิ”ว่าแล้วเด็กสาวก็อุ้มเจ้าแมวขึ้นมา “ว่าแต่แกมีอะไรรึ เจ้าเหมียว”
“เมี๊ยว เจ้าหมอนั่นบอกว่าจะเอาตำแยแมวมาให้น่ะสิ”
เด็กสาวอมยิ้ม ระที่ว่าของพี่ชาย คงจะเป็น การไปหาสมุนไพรให้สัตว์เลี้ยงล่ะสินะ “เดี๋ยวค่ำๆ พี่คงจะกลับล่ะนะ รอหน่อยก็แล้วกัน งั้นโอบิโตะ เรามานั่งเล่นดื่มชากันเถอะ”
“อื้ม”
เจ้าแมวเหมียวร้องขึ้น”ว้าว ดังโงะ น่ากินจัง”
“ไม่ได้นะทามะ ถ้าพี่ฮารุชิรู้ว่าแกแอบกินของหวานล่ะก็ แกโดนพี่จับล้างท้องแน่”
“เซ็งเลย”
เด็กหนุ่มหัวเราะร่า”ฮ่าๆ อดไปเจ้าเหมียว”
“ชิ”
“เฮ้ย!”โอบิโตะร้องลั่น เมื่อเจ้าเหมียวกระโดดมายืนบนไหล่ของเด็กหนุ่มสวมแว่นตากันน้ำสีส้ม “ทำอะไรน่ะ”
“บ่านายน่านอนจัง เมี๊ยว”
รินรีบดึงเจ้าแมวให้ลงจากบ่าเพื่อนชาย“ทามะ อย่าเอาแต่ใจนะ ลงมา เดี๋ยวฟ้องพี่หรอกว่าแกดื้อ รู้ใช่มั้ยว่าพี่ฮารุชิ เวลาโกรธน่ะเป็นยังไง”
“ก็ได้” เจ้าแมวกระโดดลง”ไปล่ะนะ รินจัง อย่ากลับบ้านเย็นล่ะ เป็นห่วง”
“จ้าๆ”
เมื่อเจ้าแมวเดินกลับไปแล้ว รินต้องหันไปขอโทษเพื่อนชายทันที
“ขอโทษนะ โอบิโตะ เจ้าทามะมันชอบเอาแต่ใจ นึกจะขึ้นบ่าใครก็ขึ้นน่ะนะ คนทั้งบ้านที่มันกลัวก็พี่ฮารุชินั่นแหละ”
“ไม่หรอกรินจัง คือ ชั้นแค่ตกใจนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก ดื่มชากินขนมเถอะ”
เด็กทั้งสองก็กินขนมดื่มชา พลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ไม่ไหวๆ อ่อนโคตรๆ ชั้นอยู่มานาน เพิ่งเคยเห็นคนปาดาวกระจายได้มัวแบบนี้ ”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาธรรมดา สวมชุดรัดกุม รวมๆแล้ว เป็นชายหนุ่มแสนธรรมดา นั่งบนต้นไม้ บ่นขึ้น
“ผมเองก็เซ็งครับ ซึบารุซัง อยากเตะ ทักษะพอมีแต่ฝีมือไม่ได้เรื่อง ถ้าไม่ติดว่ารินเป็นคนขอนะ”ฮารุชิที่เฝ้าดูน้องสาวบนต้นไม้ใหญ่ นั่งลงข้างๆซึบารุ ทวดที่เป็นทั้งอาวุธดาบคู่ ของตน ซึ่งตอนนี้ได้ใช้พันธะโลหิตทำให้กลายเป็นมนุษย์ นั่งข้างๆ โดยซึบารุได้ทำการแปลงโฉมปลอมตัว ให้ไม่สะดุดตา เพราะอยากจะเดินเล่นรอบโคโนฮะ
“แต่นายก็ใจดีนะ ที่ยอมสอนแบบนั้น”
“ผมแค่ แก้ไขจุดบกพร่องก็เท่านั้นแหละครับ เด็กคนนั้นน่ะมีฝีมือนะ มัวแต่จะโชว์คนอื่นจนลืมนึกึถงตัวเอง ผมไปล่ะ ซึบารุซังก็อย่าไปสู้กับใครล่ะเดี๋ยวความจะแตกเอานะ”
“รู้แล้วๆ เจ้านี่นิ ชั้นอุดอู้อยู่ในคัมภีร์ตั้งนาน ขอเดินเล่นแบบสบายๆหน่อยก็แล้วกัน สองทุ่มมาเจอกันที่นี่นะ”
“งั้นผมไปทำงานที่โรงพยาบาลก่อนล่ะครับ แล้วเจอกัน”เด็กหนุ่มกระโดดไปอีกทาง
ซึบารุขมวดคิ้ว…นี่มันเด็กสิบขวบแน่รึวะ ตัวสูง มีความสามารถ เป็นหมอในโรงพยาบาล ลูกหลานตูมันจะเก่งไปไหนฟะ!...
มื้อเย็นที่บ้านฮารุโนะนั้นไม่ค่อยเงียบเหงาอย่างที่เคย เพราะวันนี้มี แขกซึ่งเป็นเพื่อนของริน อย่างอุจิวะ โอบิโตะ เด็กหนุ่มช่างพูดช่างคุย ช่วยทำให้มื้อเย็นของครอบครัว ที่ตอนนี้ เหลือแต่ ฮารุโนะ ชิสึกุ กับฮารุโนะ ริน เท่านั้น มีชีวิตชีวา มากขึ้น ชิสึกุนั้นรู้ดีว่าลูกชายของตนถึงแม้ว่าจะอายุเพียงสิบปี แต่ก็ทำงานเป็นหมอในโรงพยาบาลแล้ว ถึงแม้ว่าจะทำในช่วงกลางคืนก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่ค่อยมีเวลากลับมากินมื้อเย็นพร้อมหน้า เช่นเดียวกับฮารุยที่ตอนนี้ เป็นหน่วยลับ ไปแล้ว นานๆทีจะกลับบ้าน ส่วนสามี ฮารุโนะ ฮาราตะ เป็นหมอใหญ่ประจำโรงพยาบาลโคโนโฮะ ที่บางวันกว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบรุ่งเช้า ตอนกลางวันก็หลับเป็นตาย นานๆทีจะได้อยู่พร้อมหน้า สำหรับเธอน่ะ ชินแล้ว แต่กับรินนี่สิ คงจะไม่ชินที่พี่ชายกับคุณพ่อต้องไปทำงานที่โรงพยาบาล อีกไม่นาน ฮารุชิก็จะได้รับตำแหน่งจูนินแล้ว เพราะทางเบื้องบนเห็นว่า อายุน่าจะพอแล้ว
“คุณแม่คิดอะไรเหรอคะ? ถอนหายใจบ่อยจัง”รินเอ่ยถาม
ผู้เป็นแม่ยิ้มละไม”ก็ อีกไม่กี่วัน ฮารุชิก็จะเป็นจูนินแล้วนี่จ๊ะ”
โอบิโตะช็อค”อายุพี่เค้าแค่ สิบปีเองนะครับ”
รินยิ้มแป้นก่อนจะเอ่ยอย่างภูมิใจ”ความจริง พี่เค้าผ่านการเป็นจูนิน เมื่อสองปีก่อนแล้วจ้ะ แต่ ท่านรุ่นสามเห็นว่า พี่อายุแค่ แปดปี น่าจะยังไม่พร้อม เลยต้องรอให้พี่เค้าพร้อมก่อนน่ะจ้ะ พี่ใครก็ไม่รู้ ภูมิใจ”
“ผมนี่อยากจะเก่งอย่างเค้าบ้างจัง”…รินเนี่ยดูมีความสุขจังเลยนะ…
ชิสึกุลูบหัวโอบิโตะอย่างเอ็นดู”เป็นตัวของตัวเองเถอะนะ หนุ่มน้อย เข้มแข็งและแข็งแกร่งในแบบของตัวเองเถอะ ถ้ามีความพยายามล่ะก็ เธอต้องเป็นนินจาที่ยิ่งใหญ่แน่จ้ะ”
เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจกับคำพูดและฝ่ามือบางที่ลูบหัวของตนเหลือเกิน “ขอบคุณครับ”
หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จ โอบิโตะก็ลากลับบ้านไป
เมื่อเพื่อนกลับบ้านไปแล้ว เด็กสาวก็ช่วยแม่ล้างจาน สีหน้าดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เหงาเหรอริน”
“ไม่หรอกค่ะ แม่”
ผู้เป็นแม่ยิ้มให้”อย่าโกหกเลยนะ ริน แม่ดีใจนะที่มีรินอยู่ด้วย แม่เลยไม่เหงาแบบนี้” สำหรับรินนั้นเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคร้าย ฮาราตะ ที่เป็นหมอ เห็นเด็กน้อยร้องไห้ กำลังจะถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เค้าจึงรับตัวมาเลี้ยงเพราะความสงสาร ตอนนั้น รินอายุสี่ขวบ อายุนั้นไม่ห่างจากฮารุชิ ซักเท่าไหร่ ฮารุชิตั้งแต่อายุห้าขวบก็ขยันฝึกวิชาท่องตำรา เพื่อที่จะเก่งขึ้น แทนที่จะเล่นตามประสาเด็กๆ แต่พอรินเข้ามา ฮารุชิ ก็รักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ถึงแม้ว่าจะวุ่นกับการฝึกแต่เค้ามีเวลามาเล่นกับน้องสาว
“กลับมาแล้วครับ”
รินรีบวิ่งไปที่หน้าประตูทันที
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ”เด็กกระโดดกอดพี่ชายทันที
“กลับมาแล้วจ้ะ น้องสาว”
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไม วันนี้กลับไวจัง”
“ไม่มีเคสหนัก หรือ เร่งด่วนอะไรน่ะครับ พ่อเลยให้ผมกลับมาก่อน ส่วนพ่อเค้าจะตรวจเอกสารอีกทีแล้วถึงจะกลับน่ะครับ”
“เหรอจ๊ะ ว่าแต่กินข้าวรึยังลูก”
“กินแล้วครับ”
“พี่กินอีกเถอะ พี่ผอมจะแย่ “
“ไม่เอาล่ะริน กินมื้อดึกมาก จะลงพุงเปล่าๆ พรุ่งนี้ไปโรง’บาลกับพี่ไหม จะได้ฝึกรักษาคนจริงๆไปเลย”
“จริงเหรอ หนูไปได้เหรอคะ”
“อื้อ พรุ่งนี้พี่จะไปรับที่โรงเรียนดีมั้ย”
“ดีค่ะ หนูรักพี่ที่สุดเลย”
ชิสึกุมองภาพนั้นอย่างเป็นสุข ถึงจะหยิ่งจะร้าย จะเย็นชายังไง เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาวแล้ว ฮารุชิก็จะกลายเป็นพี่ชายแสนดี ของรินทันที
ซึบารุที่ในตอนนี้มองภาพครอบครัวของฮารุโนะจากต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากบ้าน อย่างเอ็นดู …ขอให้ตระกูลเราสงบสุขแบบนี้ไปตลอดนะ…
“ต่างจากสมัยเราจริงๆเลยแฮะ”ว่าจบ ชายหนุ่มก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ตอนนี้ พระจันทร์นั้นส่องสว่างเหลือเกิน
เอาอันนี้แก้ขัดไปก่อนนะคะ อันนี้เป็นเรื่องสั้นจบในตอนนะ เม้นต์ให้กำลังใจไรเตอร์บ้างนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ