Beside...สายลมเคียงใจนายตะวัน

9.7

เขียนโดย OUM_PF

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 12.31 น.

  45 ตอน
  590 วิจารณ์
  95.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557 17.57 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

39)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 

Beside...สายลมเคียงใจนายตะวัน
ตอนที่๓๙
ร่างสูงใหญ่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟารับแขกด้วยท่วงท่าสบายๆ มือหนาถือรีโมทกดเปลี่ยนช่องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆจนเริ่มเบื่อภาณุผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะทำงานของคนตัวเล็กที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฟางรู้ไหมว่าทำไมผมถึงอยากเป็นนักบิน”ใบหน้าหวานค่อยๆเงยขึ้นมองเขาแกมประหลาดใจ
“เกิดอารมณ์อะไรอยากจะเล่าให้ฉันฟังตอนนี้คะ ฟางยุ่งอยู่นะ”
“ฟางก็ทำงานแล้วก็ฟังที่ผมเล่าไปด้วยก็ได้นี่”เธอพยักหน้าให้อย่างยอมจำนน เสียงเข้มจึงเอ่ยเล่าขึ้นอย่างสบายๆ บางคราก็เรียกเสียงหัวเราะใสๆจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี กว่าเรื่องเล่าของภาณุจะจบธนันต์ธรญ์ก็ทำงานเกือบจะเสร็จ และแน่นอนว่าการที่มีชายหนุ่มคอยก่อกวนอยู่นั้น ทำให้เวลางานของหญิงสาวล่วงกำหนดไปกว่าสองชั่วโมง
“พี่ฝ้ายเข้ามาเอาเอกสารได้เลยค่ะ”เสียงหวานเอ่ยผ่านโทรศัพท์ไปยังเลขาฯหน้าห้อง ไม่นานร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีก็เดินเข้ามา
“แหม รีบเคลียร์งานอย่างนี้จะไปเที่ยวไหนหรอคะ”เลขาฯสาวใหญ่มองสองหนุ่มสาวสลับกันไป-มา ธนันต์ธรญ์นั้นเอาแต่เขินอายเสเก็บของเข้ากระเป๋าถือ สุดท้ายภาณุจึงเป็นคนตอบเสียเอง
“ไปภูเก็ตน่ะครับ แล้วที่นี่หยุดถึงวันไหนครับ”
“ถึงวันที่สิบแปดค่ะ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ”
“เช่นกันครับ”สาวใหญ่หัวใจแทบละลายเมื่อเจอรอยยิ้มของหวานใจเจ้านายสาว ร่างท้วมรีบหอบเอกสารออกไปจากห้องทำงานของธนันต์ธรญ์ด้วยท่าทีเขินอาย
“วันนี้เพิ่งวันที่สิบสอง ถ้านั้นผมก็พาฟางเกเรได้ตั้งหกวันน่ะสิ”ภาณุหันไปเอ่ยกับร่างเล็กที่กำลังเก็บของเข้ากระเป๋าของตัวเอง
“หกวันอะไรกันคะ ฟางต้องอยู่กับแม่ด้วย ฟางให้คุณได้มากสุดสี่วัน”ชายหนุ่มหน้าหงอยเมื่อหญิงสาวยื่นคำขาด ร่างเล็กเดินอ้อมโต๊ะทำงานก่อนจะจูงมือคนตัวโตออกไปจากห้องทำงาน เพราะต้องรีบไปเก็บของอีก
 
ร่างบอบบางของธนันต์ธรญ์เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก และกระเป๋าสะพายใส่ของใช้จุกจิกส่วนตัว สายตาหวานมองร่างสูงใหญ่ของคนรักที่กำลังนั่งคุยกับมารดาของเธออย่างถูกคอ เธอกำลังสงสัยว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปเธอต้องเสียตำแหน่งลูกรักไปแน่ๆ
“แม่ขา”เธอเรียกมารดาก่อนจะรีบเร่งลงบันไดไปเพื่อสวมกอดร่างท้วมของท่าน
“อะหยังนี่ลูกคนนี้ ยะหยังอย่างละอ่อน ลงบันไดมาจะอั้นเดี๋ยวก็ได้เจ็บตั๋ว(อะไรกันลูกคนนี้ ทำอะไรเหมือนเด็ก  ลงบันไดมาแบบนั้นเดี๋ยวได้เจ็บตัวอีก)”
“แม่อยู่บ้านดูแลตั๋วเองดีๆหนา มีอะหยังก็ฮ้องแตงมัน(แม่อยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆนะคะ มีอะไรก็เรียกแตงมัน)”
“จ้าว ไปได้แล้วลูก เดี๋ยวจะบ่ตัน(ทัน)เครื่อง”อ้อมแขนเล็กรัดร่างมารดาแน่นขึ้นราวกับเด็กน้อย จมูกโด่งรั้นหอมแก้มมารดาซ้ายขวา ทิ้งกระเป๋าเดินทางให้ชายหนุ่มถือตามไปที่รถ ภาณุจัดการเก็บกระเป๋าคนตัวเล็กไว้ที่กระโปรงหลังรถ ก่อนจะกลับมายืนมองหญิงสาวที่ออดอ้อนมารดาอย่างน่ารัก
“น้องไปแล้วเน้อ ถึงแล้วเดี๋ยวโทร.หา”ว่าแล้วเธอก็จัดการหอมแก้มคุณพิมพ์ดาวอีกหลายๆรอบ
“แม่ฝากดูน้องด้วยนะลูก”คุณพิมพ์ดาวหันมาพูดกับเขา
“ครับ รับรองจะดูแลอย่างดีเลยครับ”กว่าธนันต์ธรญ์จะยอมผละจากอ้อมกอดของคนเป็นแม่ก็ทำเอาคุณพิมพ์ดาวเหนื่อย เขาหัวเราะให้กับท่าทีแบบเด็กๆของคนรักสาว แต่ก็เดินขึ้นรถก่อนจะสตาร์ทรถ มองคนตัวเล็กโบกมือลาคนเป็นแม่ตาปรอยๆก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เหมือนเขาพรากเด็กน้อยจากอ้อมอกมารดาอย่างไรอย่างนั้น
“ผมไม่ได้พาฟางไปขายซะหน่อย ทำเหมือนไม่อยากไปกับผมเลยนะ”เขาเอ่ยเย้าคนตัวเล็กที่แกะโน่นแกะนี่จากกระเป๋าสะพายมาทาน จนเขารู้สึกว่ากระเป๋าเธอคงมีขนมมากกว่าเครื่องสำอางแบบผู้หญิงๆเสียอีก
“อยากไปสิ แต่ฟางก็ไม่อยากอยู่ห่างแม่ด้วย”
“ถ้าไปถึงรับรองคุณต้องชอบที่นั่นแน่ๆ”
“มันสวยมากเลยหรอคะ”เขาหันไปมองดวงตากลมแป๋วที่มองมา ก่อนจะหันกลับไปตอบเธอด้วยน้ำเสียงหวานหยด
“สวยมาก...”
“...คนบ้า!”และเหมือนกับเธอจะรู้ตัวว่าเขานอกประเด็น กำปั้นน้อยๆจึงทุบลงบนแขนของเขาอย่างแรง เขาแสร้งร้องโอดโอยก่อนจะเอ่ยคาดโทษคนมือไว
“ระวังเถอะ ผมน่ะยิ่งทุบยิ่งคึกนะจะบอกให้ เกิดผลีผลามทำอะไรคุณขึ้นมาอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน”
“ก็ลองทำดูสิ จะตัดให้ขาดเลย!”เขาสะดุ้งโหยงเมื่อน้ำเสียงหวานนั้นเย็นแบบแปลกๆ ชวนให้เสียวสันหลัง แต่เมื่อหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่อมยิ้มน้อยๆก็รู้ว่าเขาโดนแม่ตัวดีแกล้งเข้าให้แล้ว
“ฟางหมายถึงความสัมพันธ์...ไม่ได้หมายถึงไอ้นั่นซะหน่อย”เขาหัวเราะเมื่อเสียงหวานเอ่ยแก้แผ่วเบา
“ไอ้นั่นแล้วไอ้ไหนล่ะ”และดูเหมือนคนตัวเล็กจะอึ้งยิ่งกว่าเมื่อเขาถามกลับไปแบบนั้น
“ไม่รู้!”เธอตัดบทสนทนาเสียง่ายๆ ใบหน้าหวานเบี่ยงออกไปด้านข้าง ขณะมือเล็กยังง่วนอยู่กับการส่งขนมเยลลี่เข้าปาก ตัวเล็กนิดเดียว กินเยอะอย่างกับช้างทั้งโขลง แถมอารมณ์ยังแปรปรวนขึ้นๆลงๆอีก แต่ไม่เป็นไร ทุกอย่างที่เป็นเธอ...เขารักทั้งนั้น
 
หลังจากเดินทางถึงท่าอากาศยาน ภาณุกับธนันต์ธรญ์ก็ขึ้นเครื่องบินที่กำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดภูเก็ต หญิงสาวนั้นดูจะตื่นเต้นมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียวที่เธอได้มีโอกาสไปเที่ยวทะเล และแน่นอนว่าการไปเที่ยวครั้งนี้เธอหวังให้มันสนุกที่สุด และเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดระหว่างเธอกับภาณุ แต่หลังจากตื่นเต้นได้ไม่นาน พอเครื่องขึ้นบินหลังตาก็เหมือนว่าจะเริ่มหย่อน ภาพก้อนเมฆสีสดใสพร่าเลือนไปทีละนิด ก่อนเธอจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออบอุ่นที่ค่อยๆเอนศีรษะของเธอให้ซบลงบนไหล่แกร่งของเขา
“ง่วงก็นอน กินเยอะเห็นไหม แทนที่จะได้นั่งดูวิวสวยๆ”เธอเบ้ปากใส่ผู้ใหญ่จอมเอาเปรียบ ก่อนจะซุกหน้าลงบนต้นแขนแกร่งและหลับตาลงเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา
 
ภาณุก้มลงมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังหลับฝันหวานอยู่ใกล้เขาด้วยรอยยิ้ม เขาสะกิดคนตัวเล็กเบาๆเธอก็รู้สึกตัว ดวงตาหวานดูงัวเงีย แต่ก็เบิกตากว้างเมื่อมองไปทั่วบริเวณแล้วไม่มีผู้โดยสารอยู่สักคน
“นี่ฉันคงขี้เซามากใช่ไหมคะ”เขาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะจัดแจงผมนุ่มที่ดูยุ่งๆให้เป็นระเบียบ
“เปล่าหรอก ผมแค่อยากเห็นหน้าคุณใกล้ๆ”เขาจูงข้อมือเล็กให้ลงจากเครื่อง และผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายที่เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกลบ่งบอกว่าคำพูดของเขาเป็นเรื่องจริง
 
หลังจากรับสัมภาระเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองจึงเดินไปขึ้นรถที่ภัทรดนัยส่งมารับ ภาณุหันไปมองคนตัวเล็กที่นั่งเงียบตลอดทาง ทว่าดวงตาหวานกลับมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆอย่างตื่นเต้น
“เราจะขึ้นเรือหรอคะ”
“ครับ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ถึงเกาะแล้ว”
“เกาะหรอคะ”เขายิ้มมองดวงตาหวานที่เป็นประกายด้วยความเอ็นดู เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องยอมศิโรราบให้ผู้หญิงคนไหน ไม่เคยคิดว่าจะมองหน้าผู้หญิงคนไหนแล้วมีความสุขได้มากขนาดนี้...
 
ธนันต์ธรญ์ส่งมือเล็กของตัวเองให้ภาณุที่ยื่นขึ้นมารับลงเรือ มืออีกข้างเกาะไหล่หนาเมื่อเรือเริ่มโคลงเคลง ลำแขนหนาตวัดรวบเอวบางขึ้นอุ้มลงเรือ ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะเริ่มบังคับเรือให้ออกจากฝั่ง
“ขับเรือเป็นด้วยหรอคะ”
“แน่นอนสิ ขับรถ ขับเรือ ขับเครื่องบิน ได้หมด คุณสมบัติดีอย่างนี้ต้องรับพิจารณาไว้เป็นสามีนะ”เขาเอ่ยเย้าคนตัวเล็กที่อยู่ๆใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมา ไม่รู้ว่าร้อนหรือว่ากำลังเขินอายกันแน่
“ทะเลสวยมากเลยนะคะ”
“อยากเล่นหรือเปล่าล่ะ”คนตัวเล็กพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาหันไปยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะตั้งใจบังคับเรือ เวลาผ่านไปไม่นานคนตัวเล็กที่แรกๆดูเหมือนตื่นเต้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นถ่ายภาพเก็บวิวทิวทัศน์ ก็เงียบสงบไป เหลือไว้เพียงแต่ร่างบอบบางที่ฟุบหลับกับหน้าตักของตัวเอง เขายิ้มน้อยๆอย่างเอ็นดู ราวยี่สิบนาทีต่อมาเรือจึงเคลื่อนเข้าสู่ฝั่งของเกาะตะวัน
เกาะตะวันเป็นเกาะส่วนตัวของครอบครัวของเขา ที่นี่ครึ่งหนึ่งถูกจัดให้เป็นรีสอร์ทส่วนตัวที่มีห้องพักเพียงแค่สิบสองห้อง และแน่นอนว่าราคาย่อมสูงลิ่วเพื่อแลกกับความเป็นส่วนตัว กลุ่มลูกค้าย่อมยอมจ่ายเพื่อแลกมันมา แต่ครึ่งหนึ่งของที่นี่ถูกใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของตระกูลจิระคุณ บ้านพักที่ถูกออกแบบด้วยฝีมือของบิดา มันดูสวยที่สุดในสายตาของเขา และมันก็มีความหมายสำหรับเขามากเช่นกัน
“ฟางครับ”เขาสะกิดเรียกคนตัวเล็ก เธอใช้มือขยี้ตาน้อยๆอย่างคนแสนเซา เสียงหวานยังเอ่ยถามงึมงำ
“ถึงแล้วหรอ”
“ถึงแล้ว มา ลงมาได้แล้ว”เขากระโดดลงจากเรือ หยิบกระเป๋าสะพายสีอความารีนของหญิงสาวขึ้นสะพาย ก่อนจะอ้าแขนเตรียมรับร่างเล็ก ธนันต์ธรญ์หาวหวอดๆ ก่อนจะโผเข้าอ้อมกอดของเขา เขาอุ้มร่างเล็กเดินจากน้ำทะเลมาวางไว้บนฝั่ง ก่อนจะเดินกลับไปเอาสัมภาระบนเรือ
ธนันต์ธรญ์มองตามร่างสูงที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ของตัวเอง กระเป๋าสะพายของเธอที่เจ้าตัวคล้องไว้กับตัว แถมในมือยังถือกระเป๋าเสื้อผ้าของเธออีกเช่นกัน เธออดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างโชคดีที่ได้พบเขา และเขาก็เลือกเธอเช่นที่เธอเลือกเขา หากในอีกห้าหกปีข้างหน้าจะมีลูกๆตัวเล็กที่เธอและเขาคอยช่วยกันจับจูง ดูแลพวกแกไปด้วยกันก็คงจะดีไม่น้อย...
“ยิ้มอะไร กำลังคิดว่าผมเหมาะแก่การเป็นเบ้รับใช้ล่ะสิ”
“เปล่าซะหน่อย ฟางแค่มองเฉยๆ”
“สายตาแบบนี้ใครจะเชื่อลง ไปกันเถอะ แดดแรงเดี๋ยวจะเป็นลมเอาตัวยิ่งเล็กๆอยู่”เขาตัดบทเองเสร็จสรรพก็ใช้มือข้างที่ว่างกุมมือเธอเดินไปยังบ้านพักหลังงามที่อยู่ไม่ไกล
“ยินดีต้อนรับ!”
เธอตกใจเล็กน้อยที่เมื่อภาณุเปิดประตูบ้านก็พบเข้ากับผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกสองคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนๆของภาณุ
“ไอ้เวร กูตกใจ!”
“เซอร์ไพรส์ไงวะ สวัสดีครับน้องฟาง แหม สวยอย่างนี้นี่เองไอ้ป๊อปถึงยอมสยบอยู่แทบเท้า”เธอยิ้มรับผู้ชายตัวสูงที่สุด
“สวัสดีค่ะ”
“อ้อฟาง นี่เขื่อน นี่โทโมะ ข้างๆเขื่อนคือเฟย์ คู่หมั้นมัน ข้างๆโทโมะคือแก้ว แฟนมัน”เธอเอ่ยทักทายทุกคนพอเป็นพิธี ก่อนจะถูกชวนเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นซึ่งพรปวีณ์กับจริญญากำลังยกน้ำและอาหารว่างมาเสิร์ฟ
“คุณป้ากำลังจะมาถึงน่ะ เดี๋ยวเฟย์กับแก้วไปช่วยกันเตรียมอาหารก่อนนะ”
“ฟางไปช่วยนะคะ”เธออาสา
“ได้เลยค่ะ”
ภาณุมองตามหลังสามสาวที่เดินหายเข้าไปในครัว เขาภาวนาให้วันนี้ห้องครัวจะยังอยู่ในสภาพเดิม คนหนึ่งเพิ่งทำอาหารเป็น คนหนึ่งเพิ่งเรียนทำอาหาร ส่วนอีกคนหนึ่งทำไมเป็นเลย...
“มึงว่าครัวมึงจะปลอดภัยป่ะไอ้ป๊อป”เขาหันไปยิ้มให้ภัทรดนัย
“กูช่วยตอบ...เละ!”
สามหนุ่มหัวเราะออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แม้รู้ว่าต้องเหนื่อย ตามเก็บของที่สามสาวทำเลอะเทอะไว้ เขาคิดแล้วมันดูเป็นเรื่องบังเอิญที่ดูตลกชะมัด เขาสามคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมจนตอนนี้ ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงเป็นความเป็นเพื่อนที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกๆที เขาผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาได้ก็เพราะว่าเพื่อน และหวังว่าเรื่องราวเลวร้ายที่มันกำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...
 
 
 
                                                                                                ...สายลมแห่งตะวัน
 
 
 
 

 
มาแล้วววววววว หายไปนานมากโข พอดีช่วงนี้ยุ่ง+เครียดมากๆเรื่องเรียน ปั่นนิยาายไม่ทัน เจือกปิด
คอมแล้วไม่ได้บันทึกนิยายไว้อีก หายไปตอนหนึ่ง แต่ตอนนี้เราคิดว่าค่อนข้างยาวนะ อ่านแก้ขัดไป
ก่อนละกันเนอะ เดี๋ยวจะรีบปั่นมาเสิร์ฟให้ จุ้บๆ
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา