Beside...สายลมเคียงใจนายตะวัน
เขียนโดย OUM_PF
วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 12.31 น.
แก้ไขเมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557 17.57 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Beside...สายลมเคียงใจนายตะวัน
ตอนที่๑
ในห้องทำงานกว้างของคุณพรพิมลกำลังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด คุณพรพิมลจ้องมองใบหน้าคมเข้มที่ช่างละม้ายคล้ายกับสามีของหล่อน ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม
“ว่าไง ที่แม่ขอร้องแกทำให้แม่ได้หรือเปล่า”นานที่สุดในความคิดของหล่อนกว่าลูกชายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดไม่แพ้กัน
“ผมขออนุญาตที่จะไม่แต่ง เหตุผลของผมมีเพียงเหตุผลเดียวนั่นก็คือผมไม่ได้รักเธอ ส่วนเหตุผลมากมายของแม่...ผมรับฟัง แต่ไม่คิดว่ามันจะสลักสำคัญอะไรกับผม เพราะฉะนั้นผมจึงขอยืนยันคำเดิม...หวังว่าแม่จะเข้าใจ”หล่อนมองร่างสูงสมชายชาตรีของลูกชายที่ลุกขึ้นยืนและทำท่าว่าจะเดินออกจากห้องทำงานของหล่อนอย่างไม่ยอมแพ้ หล่อนรู้ว่าต้องเอ่ยถึงเรื่องใดที่จะทำให้ชายหนุ่มจอมรั้นนั้นต้องหยุดตัวเองทันทีทันใด
“แกจะรอให้แม่ตายไปจากแกก่อนรึไง แกถึงจะยอมทำตามที่แม่ขอ ทำเพื่อแม่สักครั้งไม่ได้เลยหรือลูก แม่ทำเพื่อลูกมามากแล้วนะ”
ภาณุหมุนร่างกลับไปเผชิญหน้ากับมารดา เขารู้ว่ามารดานั้นต้องเหนื่อยขนาดไหนที่ต้องดูแลกิจการที่จัดได้ว่าใหญ่และหนักเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆของคุณพรพิมล ไหนจะต้องเลี้ยงลูกอย่างเขาให้โตขึ้นมาอย่างดีด้วยตัวคนเดีวอีก เขารู้ดีว่าต้องตอบแทนท่านในสักเรื่อง แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจฝืนใจทำได้ลง
“ผมรู้ดีครับ แต่บนโลกนี้มีอยู่สองสิ่งที่ผมต้องเลือกเอง”
“....”
“หนึ่งคือความฝัน...และสองคือหัวใจ ชีวิตของผม ผมขอเถอะนะครับแม่”เขาพูดก่อนจะหมุนตัวก้าวเดินออกจากห้องทำงานของมารดาอย่างมั่นคงและไม่คิดจะหันกลับไปแก้ไขสิ่งใดที่เขาได้ตัดสินใจมันไปแล้ว
“แม่ไม่ยอม!”นั่นเป็นเสียงที่เขาได้ยินในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน...และเขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
“เห้ย! โชนนนนน”
เสียงแก้วกระทบกันดังกังวาน สามสหายนั่งคุยกันเรื่องจิปาถะ สายตาต่างจับจ้องไปยังร่างอวบอิ่มในชุดเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่ยังโยกย้ายไมตามจังหวะเสียงเพลงอย่างสนุกสนาน ภัทรดนัยหันไปสะกิดวิศวะให้มองไปยังร่างอวบอิ่มขาวผ่องของผีเสื้อราตรีนางหนึ่งที่เดินมาเย้ายวนอยู่ใกล้ๆ ซ้ำสายตาของเจ้าหล่อนยังเชิญชวนโดยไม่รู้ตัว
ภาณุกระแอมเมื่อเห็นเพื่อนรักคิดทำการใหญ่ เขาจะไม่ว่าอะไรเลยหากไอ้เสือของตัวที่กำลังจ้องจะตะครุบเหยื่อนั้นมีผู้ถือกุญแจดวงใจหมดแล้ว
“น้อยๆหน่อยพวกมึง เดี๋ยวได้ฟ้องเฟย์กับแก้วให้”สองหนุ่มหันขวับมามองที่คุณชายเย็นชาประจำกลุ่ม ก่อนจะทำหน้าหงอยกันเป็นแถวพลางโอดครวญ
“ไอ้ป๊อป เป็นคนอย่างนี้หรอวะ เห็นเพื่อนจะมีความสุขหน่อยไม่ได้ อิจฉาพวกกูล่ะสิ”
ภัทรดนัยเอ่ยแหย่เพื่อนรักก่อนจะสาดน้ำสีอำพันเข้าปากอย่างไม่กลัวเมา นั่นเพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าสุดท้ายคนที่จะลากเข้ากลับเข้ากองบินก็คงไม่พ้นภาณุ
“เออ อิจฉา...มีผู้หญิงดีๆอยู่กับตัวแล้วยังจะไปหาเศษหาเลยกับผู้หญิงพวกนั้นอีกทำไมวะ”
“มึงก็หาเองสักคนสิวะ เนอะๆไอ้โมะ”เขาหันไปสะกิดเพื่อนรักอีกคนที่ยังไม่วางตาจากของหวานที่ส่งสายตายั่วยวนให้ไม่ขาด
“ไอ้เชี่ยโมะ!”เขาตบบ่าเพื่อนรัก ก่อนอีกคนจะหันมาพยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่คิดจะสนใจนัก
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ อยากให้แก้วมาเห็นช็อตนี้จริงๆโว้ย”
วิศวะหันมามองไอ้เพื่อนตัวดีอย่างเคืองแค้นที่บังอาจเอาคนรักของเขามาขู่ คนอย่างเขาแยกแยะออกว่าผู้หญิงแบบไหนนั้นควรเป็นแม่ของลูก และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาผู้หญิงที่รักแค่เงินและรูปร่างหน้าตาของเขามาทำพันธุ์แน่นอน
“เออๆ ไม่มองแล้วก็ได้ รำคาญพวกขี้ฟ้อง...แล้วมึงจะเอาไงกับชีวิตมึงต่อเนี่ยไอ้ป๊อป”เขาหันไปมองเสี้ยวหน้าคมของภาณุที่ก้มต่ำอย่างหนักใจ เขาเองก็เป็นห่วงและหนักใจกับปัญหาของเพื่อนไม่แพ้กัน
“ไม่รู้เลยว่ะ แม่ดูจริงจังไม่แพ้ตอนที่ฉันเลือกที่จะเรียนเป็นทหารอากาศเลย”เขาเอื้อมมือไปตบบ่าของภาณุอย่างให้กำลังใจ เพราะตอนนี้มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้มันได้
“พวกกูอยู่ข้างมึง อย่าลืมสิวะ ทุกปัญหามีทางแก้...”
“ถ้ามันแก้ไม่ตก...ก็ชิ่งแม่ง... ฮ่าๆๆๆๆ”สามเสียงเข้มพูดและหัวเราะออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อได้กลับมาพูดในหัวข้อที่ทั้งสามสหายต่างมีความคิดไม่ต่างกัน ซึ่งมันไม่แปลกสำหรับคนที่คบกันมานับสิบปีจะมีความคิดแบบเดียวกัน
“เออ ทำไมมึงไม่หาเมียสักคนมาอ้างกับแม่มึงก่อนล่ะ พอหมดเรื่องก็ให้ค่าตอบแทนกับเธอ ก็ถือว่าเจ๊ากันไป”ภัทรดนัยเสนอหนทางที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเวลานี้ซึ่งเขาก็เห็นด้วยจึงเอ่ยเสริม
“ใช่ๆ ขืนมึงตามหารักแท้ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะว่ะ บางทีเนื้อคู่มึงอาจจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”เขาเอ่ยติดตลกก่อนจะหันไปมองภาณุที่ยิ้มน้อยๆอย่างงที่เขาและภัทรดนัยรู้ว่านี่เป็นการปฏิเสธอย่างกลายๆของเพื่อนรัก
“ขอให้นั่นเป็นหนทางสุดท้ายที่กูจะทำละกัน อีกอย่างกูไม่ชอบกินหญ้าอ่อนเว้ย... เอ้า! ดื่มๆ”เขายกแก้วขึ้นชนกับภัทรดนัยและภาณุ อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนที่ต้องถูกบังคับอยู่เกือบตลอดทั้งชีวิต เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากอยู่ในสภาวะเดียวกันกับที่เพื่อนเป็นอยู่นั้นมันจะเป็นอย่างไร จะทุกข์ใจขนาดไหน แต่ก็อย่างว่า อย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาเลย เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นเขาคงจะระเบิดสมองตัวเองทิ้งโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว...เรื่องหัวใจบังคับกันได้ที่ไหนเล่า...
เสียงดนตรีอ่อนหวานลอยไปตามสายลมแผ่วเบาที่พัดพาเอาความเย็นสดชื่นให้แก่ร่างบอบบางที่นั่งพับเพียบอยู่บนตั่งตัวเล็ก มือเรียวสวยกำลังบรรเลงเพลงรักหวานซึ้ง เสียงหวานกังวานของขิมกำลังบรรเลงเพลงรักให้เพราะจับใจยิ่งขึ้น รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าประดับอยู่บนวงหน้าเรียวสวย เครื่องหน้าที่ไม่ได้โดดเด่น แต่เมื่ออยู่บนใบหน้ารูปไข่นั้นกลับทำให้เจ้าของนั้นน่ารักน่าทะนุถนอมดั่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
“ยังบ่นอนแหมก๊ะลูก”
เสียงหวานของคุณพิมพ์ดาวเอ่ยถามลูกสาวคนสวยที่กำลังเล่นเครื่องดนตรีชิ้นโปรดในบทเพลงรักที่เจ้าตัวชอบนักหนา
“ยังเจ้า น้องยังบ่ง่วงเลย ดึกแล้วแม่ควรจะนอนได้แล้วหนา”หล่อนยิ้ม ลูกสาวตัวดีที่ดึกแล้วไม่ยอมนอน ซ้ำยังแอบว่าหล่อนกลายๆราวกับหล่อนนั้นเป็นเด็กดื้อเสียเอง หล่อนยกมือขึ้นลูบผมนุ่มของลูกสาวอย่างรักใคร่
“แม่ต่างหากตี้ควรจะอู้ประโยคนี้กับน้อง ถ้ายังบ่ง่วง แม่ขอถามอะหยังสักอย่างได้ก่อ”หล่อนมองดวงตาใสแป๋วที่มองหล่อนเป็นการตั้งคำถามกลายๆ หล่อนจึงเอ่ยสิ่งที่อยากรู้กับบุตรสาว
“ตกลงน้องกับคุณพชรเป๋นอะหยังกั๋น ถ้าบ่ได้เป๋นอะหยังกั๋นแม่ว่าบ่ดีหนาตี้จะทำตั๋วสนิทสนมกั๋น จาวบ้านเปิ้นจะผ่อเฮาบ่ดี”หล่อนเอ่ยด้วยความรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาว ฝ่ายชายนั้นเป็นหนุ่มเมืองกรุงเล่ห์เหลี่ยมนั้นหล่อนคิดว่าแพรวพราวจนเกินกว่าที่ธนันต์ธรญ์จะรู้ทันหากอีกฝ่ายนั้นไม่ได้คิดจริงใจกับลูกสาวของหล่อน
“โธ่แม่ขา น้องกับเขาเป๋นเปื่อน(เพื่อน)กั๋น”
“แต่ก็มีสิทธิ์พัฒนาแม่นก่อ”หล่อนเอ่ยถามอย่างทีเล่นทีจริง เพราะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนั้นย่อมรู้ดีว่าฝ่ายชายนั้นไม่ได้มีเจตนาเพียงแค่ต้องการเป็นเพื่อนกับลูกสาวของหล่อนแน่ๆ
“บ่ฮู้เจ้า เรื่องของอนาคต”ลูกสาวตัวดียิ้มกว้างตาใสแป๋ว ก่อนจะโถมตัวโอบกอดรอบเอวของหล่อนอย่างออดอ้อน ก็เป็นซะอย่างนี้สิน่า...หล่อนจะไม่ห่วงเลยหากไม่ติดว่าธนันต์ธรญ์เองก็ยังเด็ก แถมยังใสซื่อจนหล่อนไม่คิดว่าลูกสาวจะทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเมืองกรุง หรือคนกร้านโลกที่ไม่รู้ว่าจะได้พบเจอเมื่อไหร่ในอนาคต แต่เรื่องเอาตัวรอดหล่อนเชื่อยิ่งกว่าเชื่อว่าเด็กแก่นแก้วคนนี้ชนะเลิศ
“น้องขอนอนตักแม่ได้ก่อ”หล่อนพยักหน้า ก่อนจะมองร่างบอบบางที่ล้มตัวลงนอนบนตักอุ่นของหล่อน หล่อนลูบผมนุ่มของลูกสาวอย่างเอ็นดู ดวงตากลมโตจ้องมองพรรณรายนับร้อยนับพันดวงบนผืนฟ้าอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ เรียวปากอิ่มจิ้มจิ้มคลี่ยิ้มหวานละลายใจ...รอยยิ้มของลูกน้อยช่างเหมือนคนที่หล่อนรักมากเหลือเกิน มากจนหล่อนคิดว่าเป็นคนคนเดียวกัน...
เวลาผ่านล่วงเลยมานับยี่สิบกว่าปี หล่อนไม่ปฏิเสธว่าแม้กระทั่งเวลานี้หล่อนก็ยังรักเขา รักมาก ยากที่จะลืมเลือนในเมื่อเขาคนนั้นคือพ่อของลูกน้อยที่หล่อนรักปานดวงใจ และหล่อนไม่อาจรู้เลยว่าเวลานี้เขาคนนั้นอยู่ที่ไหน จะเป็นอย่างไร...แต่คงเดาได้ไม่ยากเมื่อเขานั้นมีผู้หญิงที่เขารัก และตอนนี้เขาก็น่าจะมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น มีพ่อ แม่ ลูก...
หากหล่อนไม่รักเขาจนไม่ลืมหูลืมตา ป่านนี้ธนันต์ธรญ์ก็คงมีพ่ออย่างใครคนอื่นเขา ไม่ต้องทนคำครหาจากใครๆ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่แผลในใจก็ไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย...หล่อนยังเจ็บทุกครั้งที่คิดว่าเขารักผู้หญิงคนอื่น เจ็บทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองเป็นได้เพียงแค่ของเล่นที่เขาไม่คิดจะจริงจังด้วย เจ็บทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าเขาหลอกลวงหล่อน และเจ็บทุกครั้งที่ลูกน้อยเฝ้าถามถึงคนเป็นพ่อ...
เพราะหล่อนไม่ใช่คนที่เขาต้องการ...หากยืนกรานที่จะอยู่ที่บ้านหลังนั้น หล่อนจะเป็นได้เพียงแค่เมียน้อย...ธนันต์ธรญ์ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นลูกเมียน้อย... ไม่มีอะไรอัปยศอดสูไปมากกว่านั้น...หล่อนจึงเลือกที่จะเดินออกมา...และไม่คิดจะหันหลังกลับไป!
...สายลมแห่งตะวัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ