KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ
เขียนโดย nesugiso
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
13) ประตูมิติแห่งพาราทูแน๊กส์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความภายในโรงเรียนไนท์เบลดอันแสนกว้างใหญ่ บรรยากาศภายในโรงเรียนนั้นดูจะเป็นปกติเหมือนทุกๆวันหลังรวมแถวเคารพธงชาติในตอนเช้า เสียงเจี๊ยวจ๊าวยังคงดังไปทั่วตึก จากห้องเรียนของเด็กนักเรียนที่พึ่งจะเตรียมตัวเปลี่ยนวิชาเรียนหลังหมดคาบเรียนที่แล้ว รวมไปถึงตามทางเดินคอนกรีตที่ใช้เชื่อมต่อไปยังอาคารสถานที่ต่างๆ ก็ยังคงมีเด็กนักเรียนให้เห็นอยู่อย่างมากมาย ดูเผลินๆแล้วบรรยากาศในวันนี้ก็ไม่ต่างจากทุกๆวันธรรมดาของโรงเรียนแห่งนี้ซักเท่าไร
แต่ทว่ายังคงมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเด็กนักเรียนธรรมดานั้นยังไม่เคยได้เหยียบย่างเข้าไป หรือได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้
ลึกลงไปยังใต้ดินใจกลางโรงเรียนไนท์เบลดหลายชั้น ห้องใต้ดินแห่งหนึ่งที่เงียบกริบและมืดมิดไร้ผู้คน ภายในห้องนั้นแม้จะมีโต๊ะเหล็กและเก้าอี้พร้อมที่จะให้ใครบางคนมาจับจองที่นั่งตรงนั้น แต่ทว่าเมื่อมองบรรยากาศโดยรอบอันสุดหลอนแล้วคงจะไม่มีผู้ใดปราถนาที่จะมาที่นี่เป็นแน่
และเสียงๆหนึ่งคล้ายกับเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกริบในความมืดนั้น พนังปูนเก่าๆที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจกลับค่อยๆแยกออกจากกัน ผนังเลื่อนออกไปคนละทาง เผยให้เห็นประตูด้านในที่ทำมาจากเหล็กกล้า ประตูเปิดออกมากลายเป็นประตูเหล็กอีกชั้นหนึ่ง และเมื่อประตูเหล็กชั้นที่สองถูกเปิดออกอีกครั้งค่อยๆเผยให้แสงไฟที่ส่องสว่างลอดผ่านเข้ามายังภายในห้องที่แสนจะมืดมึนนั้น ตามมาด้วยร่างของนักเรียนหญิงของไนท์เบลดที่กำลังเดินออกมาจากข้างในนั้นอย่างรีบเร่ง
เมื่อมองตามเข้าไปยังปากประตูที่กำลังเปิดค้างเอาไว้ ภายในห้องใหญ่ที่เต็มไปด้วยชุดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แสนไฮเทค เหล่าบรรดานักเรียนของไนท์เบลดที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองนั้นต่างก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพของเหล่าบรรดากองทัพยักษ์ที่กำลังกรีฑาทัพเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และหลังจากนั้นภาพก็ตัดไปยังภาพอีกมุมหนึ่งจากที่ไกลๆ และอีกมุมหนึ่งจากข้างบนฟ้า แสดงให้เห็นถึงระยะทางและความเร็วของเหล่ากองทัพอสูรกายที่ค่อยๆใกล้เข้ามายังเมืองอย่างช้าๆ โดยที่มีแต่สะพานและแม้น้ำใหญ่เท่านั้นที่กำลังขวางทางอยู่
สายตาของสารวัตรนักเรียนสาวทั้งสามคนจ้องมองที่จอขนาดใหญ่นั้นด้วยความวิตกกังวล
"คิคาวะ! การติดต่อไปยังกองทัพเป็นยังไงบ้าง!" เสียงของเอวินอาจารย์ของพวกเธอดังขึ้นมา คิคาวะหมุนตัวที่อยู่บนเก้าอี้หันมาตามเสียงเรียกจากอาจารย์หนุ่มของเธอ
"หนูส่งภาพพวกนี้ไปให้พวกเขาแล้วล่ะคะ เขาตอบกลับมาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะรวบรวมกำลังพลแล้วพร้อมโจมตีในทันที"
"กองทัพคิดอะไรของเขากันอยู่นะ!" อาจารย์ฟุยุสึกิที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับคิคาวะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลอย่างที่สุด ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับความรู้สึกของเด็กนักเรียนทั้งหมดภายในห้องนั้น
"กะแล้วเชียว" อาจารย์เอวินพูดสวนขึ้นมา
"...เจ้าพวกขี้ขลาดพวกนั้น ถ้าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแล้วเนี่ย ต้องมีลังเลเป็นพิเศษเลยสินะ......คิคาวะ!!"
"คะ?!" คิคาวะตอบรับพร้อมกับทำสีหน้าชวนสงสัยเล็กน้อย
"ติดต่อผู้กองเชสแห่งฐานทัพกองทัพบกที่ 31 ให้ฉันที"
ภายใต้ศูนย์บัญชาการของฐานทัพกองทัพบกที่ 31 เหล่าบรรดาทหารประจำฐานทัพในชุดลายพลางสีเขียวกำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองตามคำสั่งของศูนย์บัญชาการที่ได้รับมอบหมายมา ภายในห้องบัญชาการของฐานทัพเหล่าทหารในตำแหน่งต่างๆยังคงปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเอง กลางห้องมีหน้าจอขนาดใหญ่แสดงภาพของเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆทั่วทั้งประเทศแห่งนี้ และแผนที่ของเมืองซึ่งแสดงออกมาเป็นภาพจำลองแบบโฮโลแกรมยังคงมีคนจับจ้องอยู่ด้วยความสนใจ
นายทหารหนุ่มคนหนึ่งเจ้าของผมสั้นสีบรอนอ่อนๆเข้าทรงกำลังดี ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงจ้องมองลงไปยังแผนที่ๆอยู่ข้างล่างตรงกลางห้องนั้น ผิวที่ขาวเผือกกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาทำให้เป็นเป้าสายตาของผู้หญิงทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องที่เป็นผู้หญิงภายในห้องนั้น ที่แม้แต่เดินผ่านตรงจุดที่เขากำลังยืนอยู่ต่างก็ต้องเหลียวมาชื่นชมใบหน้าอันหล่อเหลาของนายทหารคนนั้น นิ้วมือที่วางอยู่บนแขนที่กำลังกอดอกแน่นอยู่นั้นขยับขึ้นลงไล่นิ้วไปมาประหนึ่งว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และสิ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่นิ้วชี้ข้างขวานั่นก็คือแหวนสีทองรูปจักรราศีพฤษ
"ผู้กองเชสครับ" นายทหารยศน้อยคนหนึ่งเรียกหาเจ้านายของตัวเองจากโต๊ะทำงานของเขา ในขณะที่มือของเขาเองนั้นกำลังถือโทรศัพท์อยู่ เมื่อเจ้าของชื่อได้ยินก็หันไปตามเสียงเรียกนั้นทันที
"สายจากโรงเรียนไนท์เบลดครับ...." เมื่อได้ยินเช่นนั้น จากใบหน้าที่เรียบเฉยกลายใบหน้าที่คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันของผู้กองรูปหล่อในทันที ประหนึ่งเหมือนกับว่าผู้กองที่ชื่อว่า"เชส"จะรู้ถึงสถานการณ์บางอย่างผ่านโทรศัพท์นั้นไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งที่เมืองเล็กๆแสนจะเงียบสงบ ชาวเหมือนยังคงดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันของตัวเองตามปกติอย่างทุกๆวันโดยที่พวกเขาหารู้หรือไม่ว่าภยันตรายที่ร้ายแรงกำลังจะมาเยือนพวกเขาในไม่ช้า และบนท้องฟ้าในวันที่อากาศแจ่มใสที่ไร้ซึ่งกลุ่มเมฆสีขาวมาแต่งเติมแผ่นฟ้านั้น มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งในชุดนักเรียนของโรงเรียนไนท์เบลดพรอนเทร่ากำลังค่อยๆบินร่อนทราลงมาจากฟ้า และบินตรงเข้าไปยังตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งข้างๆกับตึกคู่แฝดอย่างรวดเร็ว
รามูเนสค่อยๆวางอคิลลิสลง ตอนนี้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แผลที่ถูกแทงมีขนาดใหญ่และกว้างจนทำให้เลือดนั้นไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้จะได้มีการห้ามเลือดด้วยผ้าหนาๆที่เขาปิดมันเข้ากับแผลนั้นอยู่ก็ตาม จู่ๆรามูเนสก็เกิดความรู้สึกโมโหจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ เขาหันหลังไปแล้วคว้าขอเสื้อของซิกฟรีดในทันที
"จะทำอะไรน่ะ! อย่านะครับ!!" แองเจโล่รีบเข้าไปห้ามปรามทันทีเมื่อเห็นท่าว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
"นี่พวกแก! ไหนว่าแผนมันจะได้ผลไม่ใช่เหรอ! แล้วนี่อะไร อยากจะฆ่าพวกเราทางอ้อมเลยหรือยังไง!!!" รามาเนสแสดงความโกรธของตัวเองด้วยการดึงคอเสื้อของซิกฟรีดเข้ามาใกล้ให้มากขึ้นอีก
"ไม่ใช่นะครับ! จริงอยู่ที่พวกเราเองก็ไม่รู้ว่ากล่องแห่งอาคาช่าจะยังคงมีพลังที่จะใช้เปิดประตูได้ แต่ว่านี่มันก็ไม่ใช่ความผิดของซิกฟรีดเลยนะครับ ยังมีวิธีอื่นอีกที่สามารถเปิดประตูได้ที่พวกเราเองก็ยังไม่รู้ นายเองก็น่าจะเห็นแล้วนี่ ถ้าจะโทษว่าเป็นความผิดของผมเถอะ ที่ยังรู้ไม่พอ..."
"เรื่องนี้มัน... เหนือความคาดหมายของฉัน" ซิกฟรีดตอบด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ แววตาที่สั่นระริกของเขาแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในตัวเองและผิดหวัง แม้แต่แองเจโล่ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆก็ดูออก และรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่สหายคนสนิดที่ทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจในตัวเองสุดๆ กลับเสียความมั่นใจไปแบบนี้
"....ว่าไงนะ นี่แก!!! อย่าพูดแบบไร้ความรับผิดชอบแบบนี้เซ่!!" รามูเนสที่ได้ยินคำตอบที่สุดแสนจะไม่สบอารมณ์ตัวเองก็ระเบิดความโมโหขึ้นอีกครั้ง จนแทบจะเหวี่ยงกำปั้นใส่ใบหน้าของซิกฟรีดเข้าให้ แต่ว่าเขาก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะมือหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยเลือดกำลังจับหมัดห้ามปรามเขาอยู่
"ช่างมันเถอะรามูเนส..." อคิลลิสพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาคล้ายกับคนที่กำลังเหนื่อยอ่อน "ตอนนี้น่ะไม่ใช่เวลาที่พวกเราสีคนจะมาทะเลาะกันนะ..."
"แต่ว่า!"
- ตูมมมมมมมมมมมมมมม !!!!! -
"ห๊ะ!!!"
ทันใดนั้นเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้นมากลางเมืองเล็กๆที่พวกเขาอยู่ เบนความสนใจของรามูเนสและคนอื่นๆไปชั่วขณะ เมื่อพวกเขามองตามเสียงระเบิดที่ดังเมื่อครู่นี้ไปนั้น ก็ได้พบกับเหล่ากองทัพยักษ์ที่พวกเขาพึ่งฝ่าวงล้อมและหนีออกมาหมาดๆ ในตอนนี้พวกมันได้เข้ามายังเมืองเล็กๆแห่งนี้แล้ว
พวกมันเริ่มที่จะพังทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางพวกมัน ทั้งรถยนต์ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ป้ายรถประจำทาง ถูกกำปั้นเหล็กของพวกมันทุบจนแหลกไม่มีชิ้นดี บ้างก็ถูกระเบิดมือของยักษ์ที่ใช้ธนูระเบิดใส่จนสิ่งของที่อยู่ในรัศมีระเบิดนั้นหายไปในเปลวเพลิง ไม่เว้นแม้กระทั้งร้านค้าต่างๆก็ถูกพวกยักษ์ปาระเบิดเข้าไปจนแรงอัดของระเบิดทำให้กระจนบานใหญ่แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี
เหล่าผู้กล้าทั้งสี่ยีงคงยืนอึ้งกันอยู่นานเมื่อนึกถึงที่ๆพวกเขาจากมา ระยะทางจากที่พวกเขาหนีจากกองทัพยักษ์มานั้นค่อนข้างห่างจากเมืองนี้มาก เรียกได้ว่าปลอดภัยและหายห่วงว่าจะมีใครโดนลูกหลงจากการต่อสู้ แต่นี่กลับตรงข้ามกันกับที่พวกเขาคิด กองทัพยักษ์เริ่มเข้ามาในเมืองได้หลังจากที่เหล่าผู้กล้าพึ่งจะมาถึงได้ไม่นาน
ในขณะที่พวกเขากำลังยืนอึ้งและสับสนกับตัวเองว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี รามูเนสและซิกฟรีดก็รู้สึกเหมือนมีมือของใครมาดึงแขนเสื้อและพยายามดันพวกเขาออกไป
"ไป!!! ไป!!! ไป!!!"
อคิลลิสผลักเขาทั้งสองออกไปเพื่อเป็นการกระตุ้นและเรียกสติของเพื่อนตัวเองกลับมา ซึ่งมันได้ผล รามูเนสและซิกฟรีดหันหลังมาดูอคิลลิสอยู่แว๊บเดียว ก่อนที่เขาทั้งสองจะรีบกระโดดพุ่งออกจากที่ตรงนั้นแล้วตรงไปยังกลุ่มยักษ์ที่อยู่ทางด้านหน้านั้น พร้อมกับเหวี่ยงพุ่งกำปั้นผ่านร่างของบรรดายักษ์ทั้งหลายจนพวกมันปลิวไปตาม แรงหมัดและเงาสุดท้ายของรามูเนส ในเวลาเดียวกันซิกฟรีดบินไปขวางทางที่พวกยักษ์กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมา ก่อนที่จะแจกบาทาของเขาเข้าไปเต็มๆใบหน้าของเหล่ายักษ์ทั้งหลายจนพวกมันปลิวกันไปคนละทิศคนละทาง
อคิลลิสที่กำลังยืนดูเหตุการณ์นี้อยู่ใกล้จู่ๆเขาก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนจนต้องเอาหลังตัวเองพิงกับผนังตึกข้างๆ แองเจโล่ที่อยู่ใกล้ๆรีบมาดูอาการของเพื่อนตัวเองด้วยความเป็นห่วง ดวงตาสีน้ำเงินกลมโตยังคงจับจ้องไปยังมือที่ชุ่มไปด้วยเลือดและผ้าผืนเดิมที่กำลังปิดบาดแผลไม่ให้เลือดไหลออกมา
"ฉันว่านายต้องห้ามเลือดแล้วนะอคิลลิส!" แองเจโร่ร้องบอก
"พลเมืองยังติดอยู่แถวนี้!" อคิลลิสบอกพร้อมส่งสายตาไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า กลุ่มยักษ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหารถบัสสีขาวแถบน้ำเงินคันหนึ่ง ที่ในนั้นเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่กำลังหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเห็นดังนั้นแองเจโล่ก็ระเบิดพลังขึ้นมาจนแสดงออกผ่านดวงตาสีน้ำเงินที่เปลี่ยนสีไปเป็นสีเหลืองที่ส่องสว่าง และด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์หลายพันเท่านักทำให้สายตาของแองเจโล่เห็นภาพที่อยูตรงหน้าเป็นเหมือนภาพสโลโมชั่น
แองเจโล่วิ่งเข้าไปหาพวกยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้าเหวี่ยงกำปั้นเข้าไปที่หน้าของยักษ์ตัวที่หนึ่งเช่นเดียวกันกับยักษ์อีกตัวที่อยู่ด้านซ้ายของหน้ารถบัส เขาวิ่งอ้อมไปทางด้านข้างของรถบัสที่เขาเห็นยักษ์ตัวนึกทำท่าทางแปลกๆ ยักษ์ตัวนั้นกำลังถือลูกระเบิดอยู่ในมือและดูเหมือนว่ากำลังคิดที่จะโยนมันเข้าไปภายในรถบัสนั้น แองเจโล่ดึงมันออกมาจากมือของมันอย่างใจเย็น แล้วขว้างมันออกไปยังกลุ่มยักษ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้าไปในเมือง พร้อมกับวิ่งเข้าไปขัดขา ชกเข้าไปที่หน้า ที่ท้องของยักษ์ที่เหลืออย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งมาที่หน้าประตูรถบัสคันนั้น
- แป๊ก! -
ทันทีที่เสียงดีดนิ้วของแองเจโล่ดังขึ้นมา ภาพในสายตาของเขาที่เคยเห็นภาพสโลโมชั่นกับเวลาที่แสนเชื่องช้าก็กลับเข้าสู่ปกติในทันใด เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหนขึ้นมาและพวกยักษ์ต่างกระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง บางตัวกระเด็นไปทับอีกสองสามตัวบ้าง หรือพุ่งล้มไปกับพื้นจนถนนแตกร้าวไปบ้าง แต่แองเจโล่ก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่้เกิดขึ้นมากนัก หลังจากที่เวลาของเขากลับมาเป็นปกติก็รีบตรงดิ่งไปเปิดประตูรถบัสคันนั้น และรีบให้ประชาชนชาวเมืองหนีออกมาจากรถบัสที่เคยขังพวกเขาเอาไว้ในทันที
เหล่าผู้กล้าบินมารวมกลุ่มกันบนถนนที่เต็มไปด้วยซากรถและซากปรหักพังฝีมือของพวกกองทัพยักษ์ และลูกหลงจากการต่อสู้ของเหล่าผู้กล้า อคิลลิสค่อยๆเดินออกมาจากตรอกเล็กๆนั้นอย่างช้าๆพร้อมกับสอดส่องสายตาไปรอบๆพื้นที่แห่งนั้น
"ยังมีพลเรือนติดอยู่แถวนี้อีก" อคิลลิสพูดขึ้นมาทำให้ผู้กล้าที่เหลือต่างเกิดความสนใจจนต้องมองไปรอบๆพื้นที่แถวนั้น
"เราต้องทำอะไรซักอย่าง!" รามูเนสพูดแนะขึ้นมา อคิลลิสเล็งความสนใจไปที่ไหนซักแห่งในขณะนั้น
"...เราทุกคน" ซิกฟรีดเสริมประโยคของรามูเนส และทุกคนหันไปมองอคิลลิสเป็นตาเดียวราวกับว่าต้องการคำชี้แนะอะไรซักอย่าง
"เราต้องจำกัดบริเวร ให้ตรงนั้นเป็นจุดเช็คพ้อยของพวกเรา...." อคิลลิสชี้ไปยังสถานที่ๆได้พูดถึงนั้น ที่นั่นก็คือถนนสายใหญ่ที่ทอดยาวลึกเข้าไปยังใจกลางเมืองไนท์เบรด ถนนตลอดสายนั้นเรียงรายไปด้วยเสาไฟรูปหงษ์สีทองที่ปากนั้นกำลังคาบตะเกียงหลอกไฟฟ้าตั้งหน้าเรียงรายกันหลายสิบเสา
"...ไหวแน่นะ" แองเจโล่ถามขึ้นมา
"พอได้อยู่ ช่วยต้านตรงนี้เอาไว้ให้ฉันที"
"ไม่ต้องห่วง ไปกันเลย!" รามูเนสพูดด้วยความมั่นใจก่อนที่จะชวนแองเจโล่และซิกฟรีดไปจากตรงนั้น ทั้งสองพยักหน้าแล้วบินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทั้งสามคนบินออกจากตรงนั้นไปได้ไม่นานอคิลลิสก็เริ่มสำรวจร่างกายของตัวเองอีกครั้ง สายตาของเขามองไปยังสายเลือดที่ยังคงไหลออกมา แม้จะไหลช้าลงบ้างแล้วก็ตาม แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้วมันก็ยังเป็นการเสียเลือดที่น่ากลัวและอันตราย มีอะไรบางอย่างทำให้พลังในการฟื้นฟูร่างกายของเขาผิดปกติไปจากเดิมเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นอคิลลิสจึงสลัดผ้าที่เคยนำมันมาซับตรงแผลเอาไว้ให้คลีออกเป็นผืนยาวๆแล้วบรรจงพันมันไปรอบๆตัวเพื่อปกปิดบาดแผลเอาไว้ และรวมไปถึงเรื่องที่เขาจะต้องใช้ความคล่องตัวมากๆหลังจากนี้
อคิลลิสเริ่มวิ่งผ่านซากรถที่พังไปรอบๆตัว ไม่นานนักลูกไฟที่หล่นลงมาจากฟ้าก็พุ่งลงมากระทบกับรถที่พังไปแล้วจนมันระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเป็นระยะๆตลอดทาง ผู้กล้าสีเขียววิ่งด้วยความเร็วสูงท่ามกลางกลุ่มเปลวเพลิงและควันที่คอยขวางหน้าเขา จนในที่สุดลูกไฟลูกสุดท้ายพุ่งลงมากลายเป็นระเบิดขนาดใหญ่ทำให้อคิลลิสต้องรีบเหาะหนีเปลวเพลิงที่กำลังไล่ตามหลังมา แล้วค่อยๆทิ้งระยะห่างออกไป
อีกด้านหนึ่งที่สี่แยกฝั่งตรงข้ามของธนาคารแห่งหนึ่งในเมือง รถตำรวจหลายสิบคันกำลังจอดเรียงรายขวางทางกองทัพยักษ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังย่างก้าวเข้ามา รวมไปถึงเป็นบังเกอร์ให้กับเจ้าหน้าที่ทุกนาย เหล่าตำรวจระดมยิงปืนไปที่เหล่ากองทัพยักษ์พวกนั้นอย่างไปหยั้งมอ แต่ทว่าปืนสั้นในมือของพวกเขาที่กำลังใช้อยู่นั้น ไม่สามารถทะลุผิวหนังหรือเกราะของพวกมันได้เลยแม้แต่น้อย และพวกยักษ์ยังเดินเรียงรายกันเข้ามาหาอย่างช้าๆดังมัจจุราชทมิฬที่กำลังย่างกรายเข้ามา
"ผู้หมวด! ผู้หมวด!" ตำรวจชั้นผู้น้อยนายหนึ่งรีบวิ่งหน้าตั้งมาหาหัวหน้าของตัวเอง
"ว่าไง!!"
"เขาบอกว่าอีกซักสิบหน้าทีเขาจะส่งร้อยเวรประจำวันมาช่วยเรา"
"ร้อยเวร!! ส่งมาทำไมร้อยเวรรู้มั๊ยว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่!!"
"แล้วเจออะไรล่ะครับ?!"
- ฟาวววว วววว วว -
ทันใดนั้นเองได้เกิดแสงสีเขียวขึ้นจากบนฟ้าพุ่งเข้ามาหาตำรวจที่อยู่ข้างล่างอย่างรวดเร็ว และปรากฏร่างของอคิลลิสที่พุ่งลงมาอยู่ตรงหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลาย สร้างความมึนงงให้กับเจ้าหน้าที่แถวนั้นอยู่พักใหญ่ อคิลลิสไม่รอช้ารีบบอกแผนที่เขาคิดเอาไว้อยู่ในหัวแล้วทันที
"ส่งเจ้าหน้าที่เขาไปในตึกอย่าให้ประชาชนวิ่งแตกตื่นออกมา จะโดนลูกหลง" อคิลลิสพูดพร้อมกับเริ่มชี้นิ้วไปรอบๆเป็นเชิงอธิบาย เพื่อให้ดูเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น
"พาประชาชนหนีออกไปที่ถนนยี่สิบ เลาะไปตามแม่น้ำ พวกคุณช่วยกันพื้นที่ตั้งแต่ตรงนี้ ยาวไปจนถึงถนนที่สิบแปด..."
เหมือนกับว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังประมวลผลกันยังไม่เสร็จว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าของพวกเขานั้นคือใคร พวกเขาได้แต่จ้องและมองใบหน้าของอคิลลิสตาปริบๆ
"แล้วทำไมพวกเราต้องฟังที่แกบอกด้วย?...."
- ครื้นนนนน นนนน.... เฮ!!!! -
ทันใดนั้นพวกยักษ์ที่เคยเคลือนที่เข้ามาอย่างช้าๆกลับเริ่มเร่งฝีเท้ากลายเป็นวิ่งอย่างบ้านคลั่ง เสียงฝีเท้าดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพื้นที่แห่งนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนเมื่อเห็นกองทัพที่อยู่ตรงหน้าเคลื่อนที่เข้ามาหาด้วยความรวดเร็วก็รีบเผ่นกันชนิดสายฟ้าแลบ ทิ้งเอาไว้แต่อคิลลิสที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
อคิลลิสผู้กล้าผมสีเขียวค่อยๆก้าวเข้าไปหาเหล่ากองทัพยักษ์สีดำทมิฬที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วอย่างอาจหาญ ภายใต้เสียงฝีเท้าที่ดังกึกก้อง เขาเริ่มระเบิดพลังขึ้นมาเป็นออร่าสีเขียวที่รายล้อมรอบๆตัว ไม่กี่วินาทีต่อมาเหล่ากองทัพยักษ์ที่เคยวิ่งกรูกันเข้ามาหาก็ถีบตัวเองขึ้นมาเหนือพื้นดินและลอยสูงละลิ่ว พร้อมกับนำปลายหอกแหลมๆหันลงไปทางที่อคิลลิสกำลังยืนอยู่ข้างล่าง โดยที่พวกมันเริ่มสังเกตเห็นว่าอคิลลิสเบ่งพลังขึ้นมาจนพื้นถนนรอบๆเริ่มแตกราวไปตามออร่าสีเขียวนั้น ปลายหอกอันแหลมคมนับสิบๆพุ่งลงมาจากฟ้า พร้อมกับร่างของอสูรกายฝูงหนึ่งที่กำลังจะพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว และทันทีที่หอกเข้าใกล้ตัวของอคิลลิสที่สุด ออร่าสีเขียวที่เคยเปร่งประกายอยู่ก็ระเบิดออกมากลายเป็นแสงสว่างจ้าไปทั่วพื้นที่นั้น
- หมัดมังกรเหิญ โลกันต์!!!! -
เสียงอันกึกก้องกังวาลดังไปทั่วพื้นที่นั้นก่อนที่จะเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพร้อมกับเสียงคำรามของสัตว์เทวะ ร่างของมังกรตัวสีเขียวพุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็วกระทบเข้ากับร่างของเหล่ายักษ์นั้นจนงหอกที่ถืออยู่พังทลายสิ้น รวมไปถึงชุดเกราะก็แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี
ร่างอันทมิฬสูงใหญ่ของเหล่ายักษ์ที่เคยลอยอยู่กลางอากาศนั้นร่วงลงมาจากฟ้าอย่างไม่เป็นท่าราวกับฝนที่กำลังตกลงมา ไม่นานนักร่างของพวกยักษ์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาได้อีกก็ได้เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมา และร่างของพวกมันก็ระเบิดกลายเป็นเปลวไฟ สลายไปเป็นฝุ่นละอองพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทิ้งเอาไว้แต่ร่างของเด็กหนุ่มอคิลลิสที่กำลังชูหมัดขึ้นฟ้าเป็นท่าสุดท้ายก่อนที่หมัดของเขาจะถูกปล่อยออกไป
และไม่นานนักเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังแอบอยู่หลังรถประจำตำแหน่งของตัวเองอยู่นั้น เห็นว่าเด็กหนุ่มที่ช่วยพวกเขาจากเหล่าอสูรกายพวกนั้นคอยๆเดินเซไปหาที่พักพิงจากรถตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปบนพื้นถนนอย่างหมดเรี่ยวแรง แผ่นหลังที่อาบเลือดชุ่มถูไปกับประตูรถจนเห็นเลือดเป็นทางยาว เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นหัวหน้าไม่รีรอที่จะรีบวิ่งเข้าไปช่วยในทันที
"เห้ยยยยยยย!!! เจ้าหนู!! เจ้าหนู!!"
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงร่างของอคิลลิสที่กำลังนั่งทรุดอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่นั้น สายตาของเขาก็ไม่ได้เหลือบไปมองที่ไหนบนร่างกายของอคิลลิสเลยนอกจากผ้าพันแผลที่เขาพันอยู่รอบๆตัวที่ตอนนี้เริ่มมีเลือดสีแดงสดกำลังไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง เขาละสายตาไปมองสีหน้าที่เหนื่อยอ่อน ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ จะเว้นดวงตาสีเขียวมรกตที่กำลังเรืองแสงอยู่นั้นที่ดูเหมือนว่ามุ่งมั่นอยากจะสู้ต่อ
"ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในตึกอย่าให้ใครเดินเพ่นพ่านออกมา! พาประชาชนหนีออกไปที่ถนนที่ยี่สิบ!...." ผู้หมวดกดเครื่องวิทยุสื่อสารที่เหน็บอยู่ตรงหัวไหล่ซ้ายแล้วสั่งการลูกน้องของตัวเองอย่างชำนานการ แล้วเหลือบหันมามองอคิลลิสที่กำลังนั่งอยู่อีกครั้ง
"มีคนบาดเจ็บ! เขาเสียเลือดด้วย! เรียกรถพยาบาลมาที่นี่ด่วนเลย!"
อีกด้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านไอราวุสที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ภูเขาที่สูงใหญ่ภายใต้นามว่า"ภูเขาแห่งความตาย"ที่ผู้คนทั่วไปต่างหวาดกลัวนักกลัวหนากับเรื่องที่เล่าขานที่แสนจะน่ากลัวสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราน บัดนี้ภูเขาลูกนี้ไม่ได้กลายเป็นภูเขาแห่งความตายอีกต่อไป เมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้มาเยือนเขาลูกนี้ เขาได้ทำการลบล้างชื่อของภูเขาแห่งความตายไปจนหมดสิ้น เมื่อเขาได้สามารถพิชิตยอดเขาแห่ง"ไฮฮ๊อกก้า"ได้สำเร็จ และเด็กหนุ่มคนนั้นมีนามว่า "เรย์ มิเลียร์"
ในเวลานี้บนยอดเขาแห่งไฮฮ๊อกก้า เรย์ก็ยังคงหมั่นฝึกวิชาจากคัมภีร์นกฟินิกซ์ที่เขาได้มาอย่างมุ่งมั่น ตอนนี้รอบๆตัวของเขานั้นห้อมล้อมไปด้วยแสงออร่าสีแดงฉานที่ลุกโชติช่วงไปทั่วร่างกาย ท่ามกลางหิมะสีขาวบริสุทธิ์ที่ปกคลุมยอดเขาลูกนั้นอันเป็นสถานที่ฝึกวิชาของเขา ซึ่งในตอนนี้ฝีมือของเรย์พัฒนาขึ้นมาอย่างมากจากเมื่อก่อน เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดก็ไม่ปาน เขาเริ่มควบคุมพลังของตัวเองได้มากขึ้นชนิดที่เขาเองสามารถสั่งได้อย่างใจนึก เขาเริ่มรู้สึกว่าพลังภายในที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนั้นมีมากขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆไม่รู้จบสิ้น
ร่างกายที่เคยแสนจะบอบบางตามประสาวัยรุ่นช่วงต้นๆในตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ร่างกายของเรย์ในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่อัดแน่นดั่งกับคนที่ผ่านการเล่นกล้ามมาแล้วหลายๆปี ท่อนแขนที่ใหญ่เป็นมัดๆจากที่เคยเรียวเล็ก กล้ามหน้าท้องซิกแพคที่เรียงระนาบอย่างสวยงาม รวมไปถึงกล้ามหน้าออกที่เคยแบบราบก็นูนขึ้นมาลูกใหญ่ ผิวสีโทนดำก็ดูขาวขึ้นมากลายเป็นผิวสีไข่ ในตอนนี้เด็กหนุ่มนามว่าเรย์ที่เคยดูเหมือนจะเป็นเด็กธรรมดา ตอนไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขากลายเป็นเรย์คนใหม่ที่มีเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
ดวงตาสีดำคลับของเรย์ไล่ไปตามตัวหนังสือที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ที่ถืออยู่ในมือ เมื่อถึงบรรทัดสุดท้ายที่ได้บันทึกอยู่ในบทเรียนนั้น เรย์ก็ปิดหนังสืออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเล่ห์นัย แล้วลุกขึ้นมาพร้อมกับหยิบเสื้อนักเรียนสีแดงของตัวเองขึ้นมาสวมใส่
ลานกว้างๆใกล้ๆกับวิหารหินนั้นมีลานประลองความแม่นยำของการยิงธนู เป้าธนูที่ทำด้วยฝางหญ้าที่นำมาถักทอรวมกันไว้อย่างเหนียวแน่นตั้งตระหง่านอยู่สามเป้า ในตอนนี้เรย์กำลังเผชิญหน้ากับเป้าทั้งธนูทั้งสามเป้า คันธนูเรียวโค้งสวยงามที่กำลังถืออยู่ในมือรอคอยการใช้งานจากผู้ที่กำลังถืออยู่ในตอนนี้ สายตาของเรย์ค่อยๆกวาดมองไปตามเป้าหมายทั้งสามนั้น สูดหายใจเข้าไปแล้วถอนมันออกมาครึ่งหนึ่ง
เสียงหายใจของเขายังไปทันหายไปในทันที เรย์ก็ง้างคันศรที่ตัวเองกำลังถืออยู่ในมือแล้วรัวลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็วและไม่ลังเล เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเป้าธนูตรงกลางของทั้งสามก็ถูกแทนทีด้วยลูกธนูที่เรย์ได้ยิงออกไป แล้วเข้าเป้าตรงกลางอย่างแม่นยำ
- ฟับ! ฟับ! ควัก! ฟาว! -
เสียงฟันดาบผ่านอากาศภายในห้องโถงใหญ่ของวิหารยังคงมีมาเป็นระยะๆอย่างไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางแสงสว่างที่สาดส่องลงมาจากเพดานหินสูง เรย์ยังคงตั้งใจฝึกซ้อมเพลงดาบของตัวเองด้วยดาบเก่าทื่อๆที่ดูแล้วจะไม่มีอันตรายซักเท่าไร ฝุ่นที่ล่องลอยไปในอากาศยังคงปลิวไปตามแรงกวัดแกว่งของดาบเล่มนั้น เมื่อสิ้นสุดกระบวนท่าของเพลงดาบนั้นเรย์ก็ค่อยๆลดมือลงไป ก่อนที่จะได้ยินเสียงวิ้งๆคล้ายกับเสียงแก้วใสๆที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ พร้อมกับแสงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเสียสมาธิมาพักใหญ่แล้ว
เรย์ค่อยๆชายตามองตามเสียงใสๆดั่งผนึกแก้วนั้นไป สิ่งที่เขาพบอยู่ตรงหน้านั้นก็คือ ดาบสีเงินที่วางอยู่อย่างเด่นเป็นสง่าบนฐานที่ปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงของรูปปันนักรบไนท์เบลดในสมัยก่อน รูปร่างของดาบช่างสวยงามวิจิตรบรรจงยิ่งนัก กับลวดลายที่โคนดาบที่สลักคล้ายรูปขนนกฟินิกซ์เป็นแนวยาวต่อๆกันขึ้นไป พนักมือตรงด้ามจับนั้นเขาเห็นที่ปลดล็อคพนักมือทั้งสองด้านเอาไว้ใช้ทำอะไรซักอย่างที่เขาเองก็ยังไม่รู้
ที่น่าแปลกใจสำหรับเรย์ก็คือดาบเล่มนี้ที่แสนจะสวยงามแต่กลับดูไม่น่าชื่นชมซักเท่าไรเลย เพราะสนิมที่เกาะกินไปทั่วดาบเล่มนั้นทำให้ดาบขาดเสน่ห์ที่น่าดึงดูดคนที่พบเห็น แต่มันกลับสามารถเรียกความสนใจจากเขาไปได้
"ดาบแห่งอินนูดิล ดาบของเอริเดดี้ยน มันรอคอยเจ้ามานานมากแล้ว" ในขณะนั้นเสียงๆหนึ่งได้ดังขึ้นมาเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มที่กำลังถือดาบอยู่นั้น เรย์หันควับไปในทันที ชายชราเจ้าของหนวดสีขาวที่เด่นเป็นสง่ามองเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ที่ไกลๆ เขาคือท่านผู้เฒ่าอิจิส
"และ... ในตอนนี้มันก็ยังรอเจ้า" น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังจะจูงใจใครซักคนให้ได้กำลังส่งไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังถือดาบเล่มนั้นอยู่ แต่ดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้คนๆนี้เปลี่ยนความคิดได้ซักเท่าไร
เรย์หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจแล้ววางดาบนั้นลงอย่างไม่ใยดี ทำให้เสียงโลหะกระทบกับของแข็งดังก้องไปทั่วห้องที่แสนอันเงียบเชียบนั้น
"ดาบของคนทรยศ... ฉันไม่มีวันจะเอามาใช้หรอก ท่านผู้เฒ่า อย่าจูงใจให้ผมใช้มันอีกเลย" เรย์ยื่นคำขาด
"แต่มันเป็นดาบของเจ้า! ดาบของผู้สืบทอดพลังแห่งแหวนอัคคี! มีแต่เพียงเจ้าคนเดียวที่สามารถจะกวัดแกว่งดาบเล่มนี้ได้!..."
"...แต่ท่านก็ยกมันขึ้นมาได้นิ ก็น่าจะใช้พลังของมันได้ล่ะ" เรย์ตอบกลับอย่างกวนๆพร้อมกับหยิบผ้าสนหนูขึ้นมาซับเหงื่อยตามร่างกาย แล้วเก็บเสื้อนักเรียนของตัวเองที่ถอดทิ้งเอาไว้ข้างๆฐานรองดาบนั่น พร้อมที่จะเดินหนีจากตรงนั้นไป
"งั้นเจ้าก็จะหนีมันอีกอย่างนั้นเหรอเรย์ หนีจากความเป็นจริงหลายๆอย่างหนีแม้กระทั่งโชคชะตาของตัวเองอย่างที่เจ้าเคยทำมา...."
คำพูดแทงใจดำของท่านผู้เฒ่าอิจิสส่งผลต่อจิตใจของเรย์ ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งในอดีตตอนเขายังเด็ก ภาพวันเก่าๆที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจที่เคยปกปิดเอาไว้ภายใต้หน้ากากอันแสนซื่อบื้อใบนี้ถูกฉายออกมาอีกครั้งหนึ่ง ภายของเรย์ที่หันหลังให้พ่อและแม่ น้องสาวตัวเล็กที่ยืนกุมของเล่นอยู่ในขณะที่เรย์นั่งทรุดตัวลง และภาพของเรย์ที่กำลังแอบมองนายทหารสองนายที่ยืนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาทั้งสอง ภาพต่างๆวนเวียนไปมาไม่รู้จบจนเรย์เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างเห็นได้ชัด
"เจ้ามีพลังแล้ว ไม่ต้องหนีอีกต่อไปแล้วนะเรย์"
".......อย่างท่านจะไปรู้อะไร!"
- ตูมมมมมมมมมมม!!!! -
เสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาอย่างน่าประหลาดเบนความสนใจของเขาทั้งคู่ได้ในฉับพลัน
"เกิดอะไรขึ้น!" เรย์อุทานขึ้นมาด้วยความแปลกใจพร้อมกับรีบวิ่งเพื่อไปยังที่มาของเสียงนั้น ท่านผู้เฒ่าอิจิสหลับตาลงอย่างช้าๆด้วยความหนักใจ ปล่อยให้เรย์เดินผ่านเขาไปอย่างไม่ห้ามปรามดังกับว่าเขารู้อะไรบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเรย์มาถึงที่มาของเสียงนั้นจากภายในห้องสี่เหลียมขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง เขาก็ไม่ลังเลยที่จะก้าวผ่านเข้าไปในห้องนั้นตามแสงสว่างสีทองที่ลอดออกมาจากช่องประตูที่ถูกเปิดออกเอาไว้ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเรื่องที่จะทำให้เขาตกใจอย่างที่สุดกำลังจะเกิดตรงหน้าเขาแล้ว หากเขาก้าวผ่านประตูนั้นไป
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเรย์ในตอนนี้นั่นคือเหล่านักบวชสีเท่าที่กำลังมุงดูภาพอะไรบางอย่างตรงหน้า จากแท่นหินสีทองที่คล้ายกับศิลาจารึกอะไรซักอย่างรูปห้าเหลี่ยม เมื่อเหล่านักบวชได้ยินเสียงฝีเท้าของเรย์ที่กำลังค่อยๆเดินเข้ามาต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียว และพวกเขาก็อาจจะรู้สึกไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นใบหน้าที่รับกับแสงสีทองสะท้อนความตกใจสุดขีดกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
เหล่าบรรดากองทัพยักษ์ที่เคลื่อนทัพออกมาจากประตูมิติอย่างไม่หยุดหย่อน บ้านเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟกำลังถูกเหล่าอสูรกายทมิฬพวกนั้นบดขยี้อย่างไม่ใยดี และสิ่งที่เขากำลังจะได้เห็นต่อไปคือภายของเหล่าบรรดาผู้กล้าทั้งสี่ที่กำลังรับมือกับกองทัพยักษ์นั้นตามลำพัง บางคนนั้นอ่อนแรง พลาดพลั้งและเกือบเสียทีพวกยักษ์นั้น แต่พวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยเลยแม้แต่น้อย
เรย์เห็นภาพของอคิลลิสที่กำลังนั่งพิงรถตำรวจพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาเป็นทางยาว คำถามมากมายที่ต้องการคำตอบจากภาพเหล่านี้ คำถามต่างๆที่ผุดขึ้นมาในหัวของเรย์อย่างไม่รู้จบ สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นมันคืออะไร
"นั่นคือศิลาส่องพิภพ..." ผู้เฒ่าอิจิสพูดขึ้นมา พร้อมกับเดินเข้ามายังภายในห้องนั้น "ทุกๆที่ ทุกๆแห่งบนโลกใบนี้เราสามารถดู เรียนรู้ และเสาะหาทุกๆสิ่งได้ ผ่านศิลานี้... ใช่ ที่ๆเจ้ากำลังเห็นอยู่คือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับเมืองของเจ้าในตอนนี้..."
นัย์ตาสีดำขลับของเรย์สั่นระรึก เขามองท่านผู้เท่าสลับกับแท่นศิลาด้วยความสับสนและกังวล
"กองทัพอันดูริลได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ส่วนใหญ่คือพวกยักษ์จากแดนอุอิรัคที่แสนโสมม เป็นดินแดนที่อยู่ห่างจากโลกของพวกเจ้าไปไกลมาก พวกมันไม่สามารถที่จะเดินทางมาที่นี่ในระยะเวลาอันสั้นได้ จึงจำต้องมีประตูข้ามมาหรือที่เจ้าน่าจะรู้จักดีคือประตูข้ามมิติ ซึ่งอย่างที่ข้าเคยบอกกับเจ้า การที่จะเดินทางทะลุมิติมาได้นั้นไม่ได้เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ หากพลังที่จะใช้ในการเปิดประตูมิติมีไม่มากพอ ก็ไม่สามารถที่จะสะกดพวกมันให้มาที่โลกนี้ได้"
"แล้วพวกมันมาได้ยังไง!!..." เรย์ถามขึ้นมา
"กล่องแห่งพลังยังไง ยังคงมีกล่องที่มีพลังแห่งเทพเจ้าที่หลับใหลอยู่ภายในเมืองที่เจ้าเกิดมา พวกมันใช้พลังของกล่องนั้น นานแสนนานแล้วที่เมืองนี้เก็บรักษาสมบัติอันล้ำค่าเอาไว้อย่างดี โรงเรียนไนท์เบลดเป็นที่เก็บสมบัติจากโบราณมากมาย แต่สมบัติที่ยังคงมีชีวิตและเป็นหนึ่งในสมบัติที่อันตรายมากๆ หนึ่งในนั้นก็น่าจะเป็นกล่องแห่งอาคาซ่าเนี่ยแหละ... ไม่น่าเชื่อด้วยว่าศาสตร์แห่งความมืดของเนโครมอนเซอร์ จะสามารถเชื่อมโยงพลังของทายาทอันดูริลได้ด้วย ผ่านไม้เท้าอันนั้น น่าเสียดายที่พวกเราพลาดไปให้มันอยู่ในมือของศัตรูได้"
ผู้เฒ่าอิจิสยังคงอธิบายต่อไป โดยที่ไม่ได้สังเกตุคนที่กำลังฟังอยู่เลยว่าตอนนี้อารมณ์ของเขานั้นพุ่งพล่านไปทั่วด้วยความโกรธ และเสียขวัญ
"พลาดอย่างนั้นเหรอ! น่าเสียดายอย่างนั้นเหรอ!!!" เรย์ขบฟันแล้วพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ "ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันอันตรายขนาดนั้นแต่กลับไม่บอกอะไรพวกเราเลย ไม่ทำอะไรกันซักอย่าง! ท่านทำแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ! ปล่อยให้ศัตรูเอาไปได้ง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน ท่านก็เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งไนท์เบลดไม่ใช่หรือไง!!!"
"เรื่องนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเรายังมองไม่เห็นและเราต้องจัดการกับมันก่อน พวกเราต้องหาให้เจอ อะไรบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับการคืนชีพของอันดูริล ถ้าพวกเราพลาดอีกจะไม่เป็นผลดีต่อไนท์เบลดแน่ เพราะฉะนั้นตัวเจ้าควรจะฝึกวิชานั่นให้สำเร็จซะก่อนจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า..."
เรย์กำหมัดแน่แล้วสะบัดมือชี้นิ้วไปที่ศิลาส่องพิภพตรงหน้า
"ดูซะ! นี่คือสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่นี่ไง!"
ภายที่กำลังปรากฏอยู่นั้นคือภาพที่ตัดสลับไปมาของเหล่าผู้กล้าทั้งสี่ที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างยากลำบาก ใบหน้าของพวกเขานั้นแม้จะเจอกับศัตรูที่เยอะกว่า แต่พวกเขาก็ไม่เคยแสดงออกว่าตัวเองท้อเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งสี่ยังคงยันกำลังของเหล่ากองทัพยักษ์พวกนั้นเอาไว้ โดยที่ริมแม่น้ำใหญ่มีประชาชนที่กำลังหนีอพยพอยู่
"เมืองของผมกำลังจะถูกทำลายอยู่แล้ว!!" เรย์กระชากผ้าคลุมของท่านผู้เฒ่าอิจิสเข้ามาหาตัวเองด้วยความโกรธ "แล้วจะให้ผมยืนอยู่ดูอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลย มันเป็นเรื่องที่ดีกว่าอย่างนั้นเหรอครับ!!"
"เฮ้อออ ออ..." ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจยาวๆด้วยความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย "ถึงตัวเจ้าจะไปที่นั่นตอนนี้ สงครามและการต่อสู้มันก็ไม่ยุติลงหรอกนะ"
ท่านผู้เฒ่าปัดมือเรย์ออกไปอย่างแรง แต่อารมณ์ของเรย์ที่พุ่งพล่านก็ไม่ได้เย็นลงเลยแม่แต่น้อย มิหน่ำซ้ำยังเพิ่มความรุ่นแรงขึ้นไปอีก
"แล้วจะให้ผมยืนดูอยู่ที่นี่รอให้ทุกคนตายก่อนเหรอครับ!!! จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว!!!" เรย์เดินจากตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผู้เฒ่าอิจิสถอนหายใจเฮือกใหญ่ อีกครั้งพร้อมกับมองตามแผ่นหลังอันแสนหนาของเรย์ไป
"ข้าเคยเตือนท่านแล้วว่ายังไงท่านก็ห้ามเขาไม่ได้หรอก..." เสียงๆหนึ่งดังก้องขึ้นมาในหัวของผู้เฒ่าอิจิส
"ข้ารู้ แต่เขายังเด็กเกินไป เด็กเกินไปกว่าที่จะไปที่นั่น มันเสี่ยงเกินไปสำหรับเขา เขายังไม่พร้อม..." ผู้เฒ่าอิจิสตอบ
"ที่นั่นเป็นตัวเลือกสุดท้ายแล้วที่จะทำให้เขาเป็นผู้ที่จะนำหนทางไปสู่ชัยชนะ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้.... ตอนนี้ถึงจะปล่อยให้เขาไปเจอกับ แม่ทัพแอลแกนดาลที่มาจากตำนานที่เก่งฉกาจ หรือท่านยินยอมให้เขาไปที่นั่นแต่โดยดี ในตอนนี้ผลมันก็ไม่ต่างกันเลยท่านอิจิส..."
"เขาใจร้อนและวู่วามท่านเองก็คงได้เห็นแล้ว เขาไม่มีทางที่จะทำสำเร็จ เรายังคงต้องเชื่อใจในแผนการของของทาเรียสตอนนี้"
แววตาของผู้เฒ่าอิจิสแสดงออกให้เห็นถึงความหนักใจเป็นอย่างมาก ในหัวของเขายังคงเต็มไปด้วยความสับสนกับเรื่องนี้ที่ยังไม่อยากจะตัดสินใจอะไรลงไป
"....เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ ดั่งเช่นผู้กล้าคนก่อน ท่านเองก็น่าจะรู้ดี ท่านควรจะเชื่อมั่นในตัวเขา... ว่ายังไงล่ะ"
เรย์เดินไปแต่งตัวในระหว่างทาง เขาเช็คสภาพเสื้อผ้ารอบๆตัวทุกๆอย่างยังอยู่ครบดี สายตาของเขาจับจ้องไปยังคัมภีร์ที่เขาได้วางเอาไว้ที่แท่นบูชาและไม่ลังเลที่จะหยิบมันไปด้วย เรย์เดินอย่างรีบเร่งไปที่ประตูเหล็กบานใหญ่แล้วเปิดมันออกมา เผยให้เห็นหิมะขาวที่ปกคลุมพื้นที่แถวนั้นไปทั่ว เขาเตรียมตัวที่จะบินทะยานสู่ท้องฟ้า แต่ทว่าท่านผู้เฒ่าอิจิสที่มาพร้อมกับไม้คฑาคู่ใจของเขาบินผ่านสายตาของเขาไป แล้วทะยานลงขวางตรงหน้าของเรย์นั้น
"สิ่งที่เจ้าต้องการคือเวลา เรย์" ท่านผู้เฒ่าพูดขึ้นมา
"ใช่ ผมต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด และถ้าท่านไม่มีธุระอะไรอีกแล้วช่วยหลีกไปด้วย!"
เรย์เตรียมชาตพลังเพื่อพุ่งทะยานออกไปจากตรงนั้นจนหิมะที่อยู่แถวนั้นปลิวไปตามอากาศ และหมุนไปตามแรงลมจากพลังของเขา แต่ทว่าท่านผู้เฒ่าอิจิสเองก็เริ่มทำอะไรบางอย่าง เขายกไม้เท้าสีเงินคู่กายที่มีปลายไม้เท้าเป็นช่องเล็กๆหันเข้าหาเรย์ ทันใดนั้นเองเรย์ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันเริ่มจะขยับไม่ได้ และพลังลมที่เคยพัดอย่างรุนแรงก็หายไปในพริบตา ในวินาทีต่อมาเรย์ก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างผลักเขาอย่างรุนแรงทำให้ร่างของเขากระเด็นไปติดผนังหินที่อยู่ด้านหลังนั้น
"อ่าว เป็นอะไรไปล่ะ ผู้กล้าสีแดงที่ยโสบ้าพลังเมื่อกี้นั้นหายไปไหนแล้ว"
"หนอยยยยย บ้าเอ้ย!!" เหมือนถูกแรงกดมหาสารที่แม้แต่ตัวของเรย์เองไม่มีแรงที่จะขยับเขยื้อนเลย
"ลำพังแค่จะเอาชนะพลังของข้าคนนี้ยังทำไม่ได้เลย แล้วยังมีหน้าจะไปสู้กับกองทัพของอันดูริลอีกเรอะ!"
"เจ็บใจนัก!!"
"ถ้าเจ้าจะอยากตายขนาดนั้นข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า... แต่ข้ามีเวลาให้กับเจ้า เวลาที่จะทำให้เจ้าสามารถทำเพื่อสำเร็จเป็นผู้กล้าที่แท้จริงได้ ถ้าเจ้าต้องการก็จง ตั้งใจฟังข้า!"
เมื่อผู้เฒ่าอิจิสดึงไม้เท้าดึงไม้เท้ากลับมาหาตัวเอง ร่างของเรย์ก็ตกลงพื้นทันที เรย์ค่อยๆลุกขึ้นมาด้วยความอ่อนแรงพร้อมกับความคิดที่เปลี่ยนไป
"เวลาอย่างนั้นเหรอ?"
"ใช่... แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้ามาหนึ่งข้อก่อน" เรย์พยักหน้าเมื่อจบประโยค
"เจ้าพร้อมรึเปล่า หากว่าที่ๆเจ้ากำลังจะไปเจ้าจะทรมาณจนตาย เจ้าอาจจะมีชีวิตอยู่เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เจ้า... อาจจะตายเมื่อทนไม่ได้กับความมืดหรือความหิวโหยที่เป็นบททดสอบเมื่อเข้าไปถึงที่นั่นแล้ว หรือเจ้าอาจจะออกมากลายเป็นปีศาจแห่งความแค้นไล่ล่าคนบริสุทธิ์.... เพื่อแลกกับเวลาทุกวินาทีที่เจ้าต้องการ เจ้าพร้อมที่จะรับบททดสอบนี้ไหม?"
"...ผมพร้อมครับ!!" เรย์ตอบในทันทีแบบไม่มีความลังเลใจใดๆ
"ดี!"
"ข้าเคยบอกความลับกับเจ้าแล้วใช่ไหมว่าที่แห่งนี้มีพลังบางอย่างสิงสถิตอยู่" ท่านผู้เฒ่าพูดขึ้นมาในขณะที่เขากำลังนำเรย์ไปยังที่สถานที่แห่งหนึ่งตามทางเดินนอกวิหารหินนั้น
"ใช่ผมจำได้ เพราะพลังนั่นทำให้ท่านอายุยืนมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ท่านจะเป็นพวกสายเลือดดูอิลที่มีอายุยืนยาวกว่าคนปกติก็ตาม แล้วอีกอย่างที่นี่ก็มีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้เวลาบนนี้มันช้ากว่าเวลาจริงของโลกมากๆ"
"นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ข้ากำลังจะบอกกับเจ้าก็คือ มีที่แห่งหนึ่งที่จะสามารถชะลอเวลาให้เจ้าได้ตราบนานเท่านาน"
"นานขนาดไหนเหรอ?" เรย์ยิ่งฟังก็ดูเหมือนจะยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นทุกครั้ง
"หนึ่งวันอาจจะเป็นแค่หนึ่งชั่วโมงสำหรับเจ้า หนึ่งปีอาจจะเป็นแค่หนึ่งนาทีสำหรับเจ้า หนึ่งวินาทีอาจจะเป็นหนึ่งวันสำหรับเจ้า.... หรือหนึ่งปีอาจจะเป็นหนึ่งวินาทีสำหรับเจ้า"
เรย์รู้สึกว่าตัวเองยิ่งฟังเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปกันใหญ่ เขาได้แต่เอามือเกาหัวจนมันดังแครกๆแล้วเดินตามท่านผู้เฒ่าไปและไม่ได้คุยกันอีกหลังจากนั้น จนกระทั่งเขาทั้งสองได้มาถึงที่หมาย นั่นก็คือที่ๆเรย์เคยฝึกวิชาการต่อสู้นั่นเอง ตรงหน้านั้นเป็นที่โล่งแจ้งที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งเรย์และท่านผู้เฒ่าค่อยๆเดินผ่านตรงนั้นไปในขณะที่สายตาของเรย์กำลังให้ความสนใจกับกลุ่มนักบวชที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งพวกเขาทั้งหลายนั้นกำลังยืนล้อมรอบกองไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ใกล้ๆกับหอคอยหินที่บดบังแสงอาทิตย์อ่อนๆในยามสาย เรย์พึ่งรู้สึกได้ว่าตั้งแต่ที่ตนได้ขึ้นมาบนยอดเขาลูกนี้ได้สำเร็จ พายุที่เคยโหมกระหน่ำยอดเขามาตลอดได้หายไปหมดแล้ว
เรย์และท่านผู้เฒ่าค่อยๆเดินไปสมทบกับเหล่านักบวชนั้น ท่านผู้เฒ่าชายมามองไปตรงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเรย์เห็นว่าท่านผู้เฒ่ากำลังมองอะไรอยู่อย่างชวนให้เขาสนใจด้วย ซึ่งเรย์เองก็ได้คำตอบนั่นแล้วเมื่อพบกับสิ่งที่อยู๋ตรงหน้า
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งหลายนั้นก็คือประตูหินรูปปั้นหัวมังกรบานใหญ่ที่อยู่บนเนินสูง ถัดจากบันไดขั้นสุดท้ายไปเป็นออร่าบางๆและหมอกควันจางๆ เรย์มองผู้เฒ่าอิจิสด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาภายในใจอีกครั้ง
"นี่ก็คือประตูมิติแห่งพาราทูแน๊กส์ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน มันจะนำพาเจ้าไปสู่ห้วงมิติแห่งกาลเวลา"
ตอนนี้เรย์ไม่ได้มีความลังเลใจเลยที่จะไปยังมิติแห่งกาลเวลาเพื่อรับบททดสอบ และเป็นการย่นเวลาเพื่อสำเร็จการฝึกนี้โดยเร็ว หรือเป็นการยืดเวลาออกไปหากว่ามิตินั้นเกิดบิดเบี้ยวขึ้นมา เรย์รีบเดินไปยังหน้าประตูมิตินั้นและยืนรอเพื่อให้ท่านผู้เฒ่าอิจิสเปิดประตูนั้น
ในขณะนั้นผู้เฒ่าอิจิสนำไม้เท้าคู่ใจของตัวเองขึ้นมากุมกันเอาไว้ แล้วกระแทกลงไปยังเตาไฟกลมๆตรงหน้าที่เหล่านักบวชกำลังยื่นล้อมอยู่ ทันใดนั้นประตูหินที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจก็เริ่มคลื่นไหว นัยน์ตาของรูปปั้นมังกรที่บนหัวประตูส่องแสงขึ้นมาเป็นสีเขียว และประตูนิ่งสนิดมานานก็เริ่มแยกตัวออกห่างจากกัน และไม่นานนักม่านพลังสีน้ำเงินก็ได้ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเรย์และทุกๆคน แสงสีขาวที่วนลึกลงไปอย่างไม่รู้จบ ทำให้เรย์รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกดูดลงไปมิตินั้น
"แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ หากเจ้าพลาดพลั้ง หากเจ้าล้มเลวจากการฝึกฝนที่เจ้าต้องการ เจ้า... จะสิ้นใจอยู่ภายในความเหงาและเดียวดายในมิติที่แสนเวิ้งว้าง ที่แม้แต่วิญญาณของเจ้าก็ไม่สามารถที่จะออกมาได้ เจ้าจะค่อยๆถูกลืมจากมิตรสหายของเจ้า หรือแม้กระทั่งคนที่เจ้ารัก และตัวตนที่เจ้าเคยมีอยู่บนโลกใบนี้ ก็จะค่อยๆลืมเลือนหายไป"
"หึ! ฉันไม่คิดจะตายวันนี้หรอก" แม้จะมีคำพูดของผู้เฒ่าอิจิสที่ฟังดูเหมือนกำลังขู่ขวัญคนที่อยู่บนเนินสูง แต่ไม่ใช่สำหรับเรย์ในตอนนี้ ความรู้สึกของเขายังคงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะผ่านไปยังอีกด้านนึงของประตูมิตินี้
"ก็แง๋ล่ะ..."
เมื่อสิ้นเสียงของผู้เฒ่าอิจิสไม้เท้าที่ถูกมือทั้งสองของเจ้าของๆมันนั้นก็ถูกกระแทกลงไปที่เตาเพลิงนั้น เสียงดังก้องกังวาลราวกับเหมือนของที่หนักมากๆล่นลงสู่พื้น และแสงที่อยู่ปลายไม้เท้าของผู้เฒ่าอิจิก็เริ่มส่องแสงขึ้นมาจากช่องว่างที่อยู่ปลายไม้เท้านั้น และแสงสีน้ำเงินก็เริ่มส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมา นัยน์ตาของเรย์ที่กำลังจ้องมองกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นจู่ๆก็กลายเป็นสีแดง ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกดูดแล้วหายวับไปกับตา เหลือเพียงแต่เหล่านักบวชที่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลาความเงียบงั้นและเสียงลมหนาวๆพัดผ่านมา
****
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอดนะครับ
กลับมาอัพตอนใหม่แล้วครับ ช่วยนี้ธุระเยอะๆจริงๆ แต่ไม่ทิ้งนิยายแน่นอนครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ