KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ

9.7

เขียนโดย nesugiso

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.

  20 ตอน
  12 วิจารณ์
  26.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

12) ปะทะไนติงเกล... กองทัพอันดูริลตื่นขึ้นแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
         นานมาแล้วนับตั้งแต่ก่อนที่ประเทศไอคารอสจะถูกสถาปณาขึ้นมา ราชาคนแรก"กอนดอร์" ได้เก็บสะสมของวิเศษมากมายไว้กับตัวเอง ว่ากันว่าของวิเศษเหล่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือจากหลายๆเผ่าพันธุ์ด้วยกัน ทั้งมนุษย์ คนแคระ และเอล์ฟ  ของวิเศษในแต่ละชิ้นล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ประโยชน์ หรือให้โทษเมื่อของวิเศษเหล่านั้นกลายเป็นอาวุธมหาประลัยทำลายล้าง
 
         และหนึ่งในของวิเศษโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในไนท์เบลด หนึ่งในนั้นก็คือกล่องวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าเป็นกล่องที่บรรจุพลังแห่งแสงสว่างจากเทพอาซุร่า เทพธิดาแห่งท้องฟ้ายามราตรี เป็นกล่องที่มีพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นไม่รู้จบ
 
         หนึ่งในตำนานของไนท์เบลดได้กล่าวเอาไว้ว่า นักรบพเนจรแห่งไนท์เบลดคนหนึ่งได้ไปพบกับหญิงสาวลึกลับ หญิงสาวผู้ที่มีรูปโฉมงามอยู่ที่ภูเขาน้ำแข็งแห่งอิซูอาคามา เพื่อช่วยเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าปีศาจหนอนน้ำแข็ง ที่วนเวียนไปมาอยู่ที่นั่นหวังที่จะได้ตัวเธอมาครอง หลังจากที่ฟาดฟันกันอยู่นานสามวันเต็มๆในที่สุดนักรบแห่งไนท์เบลดก็ได้รับชัยชนะ แต่ทว่าชัยชนะนั้นต้องแลคมากับความจริงที่น่าตกใจ แท้ที่จริงแล้วหญิงสาวปริศนาคนนั้นก็คือเทพอาซูร่า ที่ได้ลงมาจุตินั่นเอง
 
         เพื่อตอบแทนในความกล้าหาญของนักรบพเนจรคนนั้น เทพแห่งท้องฟ้ายามราตรีได้มอบกล่องวิเศษกล่องหนึ่งเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่เขา และทันทีที่เทพธิดายื่นมือมาเปิดกล่องสีน้ำเงินนั่นออก นักรบพเนจรของไนท์เบลดก็ถูกแสงสว่างนั้นกลืนกินเข้าไป และพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าไกล และเขารู้สึกตัวอีกทีก็ได้อยู่ท่ามกลางมิตรสหายของตัวเองภายในเมืองไนท์เบลดนั่น เมื่อเห็นเช่นนั้นนักรบพเนจรจึงส่งกล่องวิเศษนี้ให้แก่จอมทัพของเขา
          ซึ่งกอนดอร์ราชาแห่งไนท์เบลดรู้สึกถึงเพลังอำนาจของมันที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง เขาคิดว่าพลังของตัวเองยังไม่เพียงพอที่จะใช้กล่องใบนี้ได้ จึงส่งกล่องวิเศษกล่องนี้ลงไปยังคลังเก็บสมบัติอันล้ำค่าของไนท์เบลด และได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับกล่องวิเศษนี้ว่า "กล่องแห่งอาคาช่า"
 
         แต่ทว่าหลังจากนั้นเมื่อจอมทัพอันดูริลแห่งกองทัพทมิฬได้รู้ข่าวเรื่องพลังของกล่องแห่งอาคาช่า ก็ส่งกองกำลังของตนมาบุกไนท์เบลด หวังที่จะมานำของที่เขาคิดว่าเทพเจ้าเป็นผู้มอบให้แก่มนุษย์ให้ได้ แต่ทว่าปราการแห่งกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งประดุจเพชรของไนท์เบลด ก็ไม่อาจที่จะตีแตกได้ภายในคราวเดียว
 
          นานนับเดือนที่กองทัพทมิฬยังคงบุกอย่างต่อเนื่องจากทุกทิศทุกทาง ห้อมล้อมเมืองไนท์เบลดเอาไว้ และผู้ที่เป็นฝ่ายอ่อนกำลังลงก็ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายไนท์เบลดซะเอง  
 
         ในขณะนั้นเองที่พวกเขาคิดว่าหนทางนี้น่าจะเป็นหนทางสุดท้ายที่เป็นเลือกที่ดีที่สุด จอมทัพแห่งไนท์เบลดกอนดอร์ ได้รวบรวมพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในเมือง และส่งพลังงานเหล่านั้นพุ่งไปยังกล่องแห่งอาคาช่าที่อยู่บนผืนฟ้าของเมืองไนท์เบลด เพื่อทำลายล้างกล่องใบนั้นให้หายไปจากไนท์เบลดไป เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าท่ามกลางความตกตะลึงและผิดหวังของอันดูริล ในที่สุดกองทัพทมิฬก็ได้จากเมืองไนท์เบลดไป
 

         และกล่องวิเศษไม่มีอยู่อีกแล้ว....
 
 
 
        หรือว่า ประวัติศาสตร์ ถูกเขียนให้เราเชื่อเช่นนั้น


.........
 
 
 
- ฟิ้ว.. ฟิ้ว -
 
          เสียงลมพัดผ่านอากาศไปบนด่านฟ้าของตึกสูงที่เรียงรายอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ ในวันที่บนฟ้าไร้ซึ่งลมพัดผ่าน เหล่าไนติงเกลชุดดำผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเงียบกริบเสมือนเป็นดั่งเงา ใบหน้าของพวกเขาถูกปกปิดด้วยหมวกที่คลุมทั้งหัวคล้ายกับชุดนินจาที่เผยให้เห็นเพียงแต่ดวงตาเท่านั้น ชุดที่พวกเขาใส่นั้นแม้จะต้องทำให้ดูคล่องตัวแต่เมื่อมองผิวเผินก็ดูแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย ด้วยเกร็ดเป็นแผ่นๆที่เรียงรายตามตัวและลวดลายที่แสนจะวิจิตรบรรจงรอบชุด กับผ้าคลุมสีดำที่ทำให้ดูน่าเกรงขาม
 
          พวกเขากำลังวิ่งอยู่ภายใต้เงาต่างๆที่แสงแดดในยามเช้าสอดส่องไปไม่ถึง เพื่อหลบหลีกเป้าสายตาของผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาบนถนนใหญ่นั้น
 
          เหล่าไนติงเกลชุดดำวิ่งเลาะไปยังใต้หลังคาที่มีเงาอยู่ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วไปปรากฏตัวอีกทีที่ด่านฟ้าของตึกตรงกันข้าม ที่ถัดจากตรงนั้นไปสองช่วงตึกราวกับว่าพวกเขาหายตัวไปในที่ไหนก็ได้
 
           สายตาของไนติงเกลร่างบางตัวเล็กผมยาวสยายสีน้ำตาล เจ้าของหน้ากากคล้ายรูปนกสีดำ กำลังจับจ้องไปยังโกดังที่อยู่ตรงหน้า เมื่อไปถึงที่หมาย เหล่าไนติงเกลก็รีบกระโดดลงจากบนด่านฟ้าของตึกสู่พื้นดินอย่างเชี่ยวชาญ แล้วตรงไปที่โกดังที่อยู่ตรงหน้านั้นนั้นอย่างรวดเร็ว 
 
         พวกเขาค่อยๆผ่านประตูเหล็กเก่าๆเข้าไปสู่ความมืดมิดของโกดังเก็บของหลังนั้น หน้าต่างภายในโกดังรอบด้านทั้งหมดถูกปิดสนิดหมดทุกบาน ภายในนั้นไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆทำให้ภาพในโกดังหลังนั้นมีแต่ความมืดครอบคลุมอยู่ไปทั่วทุกที่  ความมืดที่มีมากเกินกว่าสายตาของมนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นได้ แต่สำหรับพวกเขาแล้วนั้นมันไม่ใช่ สายตาของเขายังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แม้จะอยู่ในที่ๆไม่มีแสงใดๆเลยก็ตาม
 
         "เรียบร้อยดีใช่มั๊ยหมายเลขสิบสี่" ทันทีที่ไนติงเกลผู้สวมหน้ากากรูปนกนามว่าหมายเลขสิบสี่ได้มาสมทบกับกลุ่มไนติงเกลอีกกลุ่มหนึ่งที่มารออยู่ก่อนแล้ว ไนติงเกลที่สวมหน้ากากคล้ายกับรูปยักษ์ตาเดียวก็ได้พูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มๆที่ดูน่ากลัว ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ที่กำลังเดินมาพยักหน้าอย่างรวดเร็วเป็นการตอบรับ
 
         "ระบบรักษาความปลอดภัยของห้องนั้นเจาะเข้าไปได้ง่ายกว่าที่คิดมากๆเลย...." หมายเลขสิบสี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจในตัวเองมากๆ
 
         "ง่ายเกินคาด... หรือที่มันง่ายอาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ทำให้ภารกิจนี้สำเร็จไปได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับไอ้เจ้าพวกนั้น ที่เคยมาขโมยแหวนแห่งไนท์เบลดที่นั่น แต่ก็ทำไม่สำเร็จ"
 
         "เหอะๆ ไม่ต้องมายอฉันเลยหมายเลขสาม"  หมายเลขสิบสี่พูดแก้เขิน
 
         "ขอดูของหน่อย ดูสิว่าเธอได้อะไรมา" 
 
 
         ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ไม่ได้ตอบอะไรอีกหลังจากนั้น เขาปลดกระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลังของตัวเองแล้วนำของที่อยู่ข้างในนั้นออกมา แต่ในขณะที่ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่กำลังค่อยๆรูดซิบกระเป๋าของตัวเองอยู่นั้น แสงสว่างสีน้ำเงินภายในกระเป๋าใบนั้นก็ได้เล็ดลอดออกมาก่อนที่จะเจิดจ้ามากขึ้น เมื่อเขานำของที่พวกเขาได้ไปขโมยนั้นออกมาให้กับเหล่าไนติงเกลที่เหลือได้ชื่นชม
 
           กล่องแก้วศักดิ์สิทธิ์กับลวดลายที่แสนวิจิตรบรรจง รอบๆข้างกล่องนั้นเต็มไปด้วยลายใบไม้และรากไม้ แสงสว่างสีน้ำเงินอันเจิดจ้าทำให้เห็นลวดลายรอบๆกล่องนั้นได้อย่างชัดเจน สะท้อนกับสายตาของไนติงเกลที่กำลังจ้องมองมาที่มันอย่างชื่นชม ไม่เว้นแม้แต่หมายเลขสิบสี่ ผู้ที่กำลังถือกล่องใบนั้นก็ส่งสายตาเป็นแนวชื่นชมภายใต้หน้ากากผ่านเลนแก้วใสของหน้ากากนั้น
 
         "งดงามจริงๆ" ไนติงเกลหมายเลขสามพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูชื่นชม "เสียดายที่มันจะต้องถูกทำลายหลังจากที่เราเปิดประตูได้สำเร็จแล้ว"
 
         "...เราช้าไม่ได้แล้ว รีบไปกันเถอะ!" ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่พูดเร่งเร้าพวกที่เหลือพร้อมกับเดินนำออกจากที่นั่นไป
 
 
 
 
          "หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!"
 
         ทันในนั้นเองเสียงๆหนึ่งได้ดังขึ้นมาท่ามกลางความมืดนั้น และวินาทีต่อมาแสงไฟจากภายในโกดังก็ได้ส่องสว่างขึ้น แสงไฟจากเพดานสาดส่องลงมายังกลุ่มไนติงเกลชุดดำกลางพื้นที่โล่งๆนั่น เหล่าไนติงเกลต่างเหลียวมองไปรอบๆอย่างร้อนรนเพื่อหาต้นตอของที่มาของเสียงนั้น และไม่นานนัก สายตาของไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ได้ไปสะดุดกับร่างของชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนสีแดงเพลิงจากโรงเรียนไนท์เบลดที่อยู่ตรงระเบียงบันไดของโกดัง รวมไปถึงชายหนุ่มผมสีเขียวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งบนลังไม้ที่เทินกันสูงๆเอาไว้
 
       รามูเนสเด็กหนุ่มเจ้าของแหวนอัญมณีสีน้ำเงินยิ้มเยาะอย่างกวนๆเล็กน้อย พร้อมกับโบกมือเป็นการทักทาย
 
         "แสบมากเลยนะพวกแก ต้องให้ตามพวกแกมาตั้งไกล จนมาถึงเมืองที่อยู่นอกเมืองไนท์เบลดแบบนี้เนี่ย" ว่าแล้วรามูเนสก็กระโดดลงมาจากระเบียงบันไดนั้น แล้วประจันหน้ากับกลุ่มไนติงเกลกลุ่มใหญ่นั้น
 
         "คืนกล่องแห่งอาคาช่ามาซะ แล้วพวกนายจะไม่มีอันตรายอะไร" อคิลลิสที่กระโดดลงมาจากลังไม้นั้นพูดขึ้นมา แต่เขาไม่ได้สังเกตุเห็นว่าหมายเลขสิบสี่นั้นค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างที่เหน็บอยู่ข้างๆเอวที่แสนบอบบางอย่างเงียบๆ
 
         "....ฝันไปเถอะ!!!"
 
 
         ทันใดนั้นหมายเลขสิบสี่ก็เขวี้ยงอะไรบางอย่างไปทางอคิลลิส และเมื่อมันกระทบกับพื้นก็ได้ระเบิดขึ้นพร้อมกับควันสีดำทะมึนที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว แม้แต่อคิลลิสเองก็ยังต้องยกมือมาปิดจมูกเอาไว้ ส่วนรามูเนสที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้นพยายามที่จะเข้าไปขวางทางการหลบหนีของพวกไนติงเกล แต่เพราะควันสีดำที่แน่นขนัดทำให้เขาไม่สามารถที่จะฝ่าเข้าไปได้ และเพราะชุดของไนติงเกลที่ดูกลมกลืนไปกับควันนั้นทำให้พวกเขาหายไปจากที่ตรงนั้นได้อย่างเงียบเชียบและง่ายดาย 
 
         แต่ถึงกระนั้นสายตาที่สุดแสนจะว่องไวของรามูเนสก็ยังคงเห็นหลังของไนติงเกลที่พุ่งขึ้นไปยังระเบียงบันได และทะลุออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ทำให้รามูเนสตัดสินใจกระโดดแหวกอากาศควันพวกนั้นพุ่งตามไป และเมื่ออคิลลิสเห็นดังนั้นก็รีบตามรามูเนสไปด้วย
 
         "หยุดนะโว๊ยยยยยยยย!!!!" รามูเนสตะโกนลั่นเมื่อเขากระโดดลอยขึ้นมาถึงบนหลังคาของโกดังและเห็นว่าเหล่าไนติงเกลกำลังวิ่งหนีออกห่างเขาไปด้วยความเร็วสูง อคิลลิสที่ตามมาทีหลังเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็แอบทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย พร้อมกับถอนหายใจไปฟอดใหญ่ 
 
         "คงไม่หยุดง่ายๆสินะพวกแก..."
 
 
 
         ทันใดนั้นร่างของรามูเนสก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นมาจากพื้นดินอย่างช้าๆ เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับลมใต้ฝ่าเท้าของเขาที่หมุนเป็นวงกลมคล้ายกับพายุหมุน ก่อนที่เขาจะโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วพุ่งทยานออกไปราวกับเครื่องบินไอพ้นความเร็วสูงที่กำลังออกตัว เสียงแหวกอากาศจากร่างของรามูเนสดังสนั่นไปทั่ว ราวกับเสียงเครื่องบินไอพ้นที่ได้ออกตัว
 
         กลุ่มไนติงเกลที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงบนด่านฟ้าของตึกได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากที่ไกลๆด้วยความเร็วสูง เมื่อหมายเลขสิบสี่หันหลังไปมอง ก็พบว่าผู้กล้าสีน้ำเงินที่พวกเขาหนีมาได้เมื่อกี้นี้กำลังเหาะไล่ตามพวกเขาอยู่พร้อมกับผู้กล้าสีเขียวที่ตามหลังอยู่ไกลๆ
 
          หมายเลขสิบสี่ที่วิ่งนำหน้าคิดหาทางสกัดขวากหนามของพวกเขาเอาไว้จึงรีบหยิบของที่อยู่ข้างเอวของตัวเองออกมา นั่นก็คือปืนกระบอกสีดำคู่ใจของเขา และเมื่อชักปืนออกมาได้แล้ว เขาก็หันปากกระบอกปืนไปที่รามูเนสที่กำลังบินมาพร้อมกับลั่นไกลไปสองสามนัด แต่ว่าด้วยความเร็วของผู้กล้าสีน้ำเงินที่สูงกว่า รามูเนสจึงหมุนตัวเบี่ยงหลบกระสุนที่กำลังพุ่งเข้ามาไปรอบๆแล้วพุ่งลงมาหาด้วยความเร็วที่สูงขึ้นมากจากเดิมไปอีก
 
          ในขณะที่รามูเนสมีสมาธิจดจ้องอยู่กับเหล่าไนติงเกลชุดดำที่อยู่ตรงหน้า หมายเลขสามที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้พุ่งเข้ามาหาเขาจากด้านข้างแล้วรวบตัวของรามูเนสอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วสูงในการบินไล่ตามไนติงเกลของรามูเนสทำให้ร่างของพวกเขาทั้งสองนั้นพุ่งทะลุเข้าไปยังหน้าต่างของตึกที่อยู่ข้างๆ
 
          อคิลลิสที่เหาะตามหลังรามูเนสมาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าของเขาอย่างชัดเจน จึงรีบบินตามลงไปยังตึกชั้นที่เพื่อนของเขานั้นตกลงไปอย่างเป็นห่วง 
 
         อคิลลิสลอยตัวอยู่กลางอากาศมองภาพของทั้งสองคนที่ตกลงมาจากยอดตึกเมื่อกี้นี้ผ่านทางรูขนาดใหญ่ที่แตกเป็นวงกว้าง แม้คนที่อยู่ภายในตึกนั้นจะพากันวิ่งแตกตื่นเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ แต่สายตาของเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย อคิลลิสมองสลับกับรามูเนสเพื่อนของเขาและชายชุดดำ ที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองด้วยหน้ากากที่คล้ายกับรูปของยักษ์ตาเดียว เมื่อมองดูเผลินๆแล้วร่างของหมายเลขสามดูสูงใหญ่กว่าตัวของรามูเนสมากนัก ทั้งสองคนค่อยๆยืนขึ้นมาประจันหน้ากัน ก่อนที่รามูเนสจะเห็นว่าเพื่อนของเขาที่ตามมานั้นกำลังมองดูเขาอย่างน่าเป็นห่วง
 
         "...ไม่ต้องห่วงฉัน ตรงนี้ฉันจัดการเอง นายรีบตามเจ้าพวกนั้นไปเถอะ!" อคิลลิสพยักหน้าเป็นการตอบรับแล้วมองไนติงเกลหมายเลขสามอย่างไม่แน่ใจก่อนที่จะเหาะจากตรงนั้นไป 
 
         รามูเนสค่อยๆกำหมัดขวาที่กำลังยกขึ้นมาอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มหยันอย่างกวนอารมณ์
 
         "หึ! ถ้าคิดจะมาสู้กับฉันล่ะก็ ขอบอกตรงนี้เลยว่าแกคิดผิดอย่างแรงเลย! เพราะแกน่ะไม่ใช่คู่มือของฉันหรอก!"
 
         "อย่างนั้นหรอกเหรอ" แม้ถ้อยคำเหยียดยามจากผู้กล้าสีน้ำเงินจะดังไปทั่วห้องนั้นอย่างมั่นใจ แต่ท่าทีของหมายเลขสามก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยซักนิด
 
         "ก็หวังว่าหลังจากนี้แกคงจะเก่งจริงๆ อย่างที่ปากของแกพูดเอาไว้ล่ะนะ"
 
         "ว่ายังไงนะ!!"
 
 
 
 
 

          เงามืดของบริเวณซอกตึกที่แสงแดดนั้นสอดส่องเข้าไปไม่ถึง กลุ่มไนติงเกลกลุ่มใหญ่ค่อยๆวิ่งออกมาจากเงาดำนั้นและมุ่งหน้าสู่ถนนที่โล่งแจ้งตรงหน้า พวกเขามุ่งหน้าต่อไปโดยไม่เกรงกลัวรถที่กำลังแล่นสัญจรไปมาอยู่บนถนนตรงนั้น โดยที่พวกเขาวิ่งขึ้นหลังคาเหล่าบรรดารถที่อยู่บนท้องถนนนั้นไปอย่างรวดเร็ว บางส่วนก็วิ่งไต่กำแพงแล้วขึ้นไปวิ่งอยู่บนผ้าใบกันฝนสาด หรือสังกะสีกันสาดตามร้านค้าต่างๆ ราวกับว่าเมืองเล็กๆเมืองนี้กลายเป็นสวนสนุกของพวกเขาไปแล้ว 
 
          แม้จะมีสายตาของชาวเมืองคอยจับจ้องดูว่าสิ่งที่กำลังผ่านพวกเขาไปนั้นคืออะไร แต่พวกเขาก็ไม่สนใจยังคงมุ่งหน้าต่อไปเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายตามแผนการของพวกเขาที่ได้วางกันเอาไว้
         อคิลลิสค่อยๆบินมาแอบอยู่บนยอดตึกหลังหนึ่ง ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเหล่าไนติงเกลที่กำลังค่อยๆวิ่งผ่านสายตาของเขาไป เขาเลือกที่จะซุ่มดูเหตุการณ์และค่อยๆสะกดรอยตามเหล่าไนติงเกลไปแทนที่จะเข้าปะทะกับเหล่านักรบชุดดำพวกนั้น
 

         กลุ่มไนติงเกลมาถึงที่ราบในแถบภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งที่นั่นมีใครบางคนกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ เมื่อมาถึงที่หมายแล้วไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ก็ไม่ลังเลที่จะส่งกระเป๋าเป๋ที่อยู่ด้านหลังให้กับชายผู้ที่มีผ้าคลุมสีดำกำลังปิดบังใบหน้าของตัวเองอยู่ อคิลลิสที่เหาะตามมาทีหลังเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน เขาม้วนตัวกลางอากาศก่อนที่จะร่อนลงพื้นดินที่มีหญ้าอยู่บางๆเพื่อที่จะประจันหน้ากับเหล่ากลุ่มคนชุดดำตรงหน้า
 
         "ทำได้ดีมาก..." 
 
         น้ำเสียงที่ทุ้มๆดูน่ากลัวพูดชมเชยให้กับหมายเลขสิบสี่ เมื่อคนที่กำลังถูกชมเชยได้ยินก็เกิดรอยยิ้มขึ้นมา แสดงให้เห็นแก้มที่เปลี่ยนสีจากสีขาวใสกลายเป็นสีแดงจางๆบนใบหน้าที่ถูกปิดกั้นด้วยหน้ากาก อคิลลิสมองสลับไปมากับคนในชุดผ้าคลุมและไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ เขาเห็นได้ว่าชายตรงหน้าของเขามีร่างกายที่ดูสูงใหญ่มากกว่าหมายเลขสิบสี่มากนัก หรืออันที่จริงแล้วหมายเลขสิบสี่นั้นตัวเล็กมากๆกว่าไนติงเกลทุกคนที่อยู่ตรงหน้าของอคิลลิสนั้น
 
         "เจ้ามาช้าเกินไปแล้วอัศวินแห่งไนท์เบลดพรอนเทร่า เมื่อกล่องนี้มาอยู่ในมือของข้า ทุกอย่างก็จะจบ...."
 
          เนโครมอนเซอร์พูดขึ้นมาพร้อมกับชูกระเป๋าเป๋ที่อยู่ในมือให้ดูเป็นหลักฐาน แต่อคิลลิสก็ไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไรนัก สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในขณะนั้นคือการรวบรวมสมาธิไปที่หมัดขวาก่อนที่จะปล่อยพลังออกมา เกิดเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งตรงที่ตรงกลุ่มคนตรงหน้า เมื่อเห็นดังนั้นเนโครมอนเซอร์จึงยกมือขึ้นเหนือหัวแล้วทันใดนั้นเองเคียวยมทูตสีดำทมิฬที่มีขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมกับออร่าสีดำที่มากมายมหาสารที่แม้กระทั่งหมัดที่มีความรุนแรงของอคิลลิสก็ยังผ่านไปไม่ได้
 
          และไม่เพียงแค่นั้น เมื่อเนโครมอนเซอร์กวัดเคียวคู่ใจของตัวเองผ่านอากาศไป พลังหมัดที่อคิลลิสปล่อยออกไปเมื่อกี้นี้ได้ย้อนกลับมาหาด้วยพลังที่เท่าทวีคูณจนทำให้ร่างของเขาปลิวไปจากตรงนั้น ก่อนที่นะม้วนกลิ้งไปบนพื้นสองสามตลบ
 
         "ข้าจะให้เจ้าได้เห็นเป็นขวัญตาซะก่อน เมื่อยามที่ประตูนี้ถูกเปิดออก!" อคิลลิสที่นอนแนบนิ่งไปบนพื้นดินนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง
 
          และทันใดนั้นสิ่งของที่เคยอยู่ในกระเป๋าสีดำนั้นก็ค่อยๆลอยขึ้นมาตามคำสั่งจากฝ่ามือของเนโครมอนเซอร์ กล่องแก้วที่เจิดจรัสแสงสีน้ำเงินค่อยๆลอยขึ้นไปอยู่บนอากาศเหนือหัวของเหล่าไนติงเกลที่อยู่ข้างหน้าของอคิลลิส
 
         "เจ้าหยุดมันไม่ได้หรอกอัศวินชาวไนท์เบลด เจ้าไม่มีทางเอากล่องใบนี้ไปได้ตราบใดที่มันยังอยู่ในอาณํติของข้า!" อคิลลิสค่อยๆลุกขึ้นมา ดวงตาสีเขียวของเขายังคงจ้องมองเนโครมอนเซอร์อย่างไม่คาดสายตาด้วยความโกรธเล็กน้อย
 
         "ถ้าเอาไปไม่ได้....ก็ทำลายมันแทนยังไง!! แองเจโล่ ซิกฟรีด ลงมือ!!!!"
 
 
  
 
         และทันใดนั้นเองแค่เพียงพริบตาเดียวของเหล่าไนติงเกล ก็ได้มีผู้กล้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตรงหน้าของเขา แองเจโล่ผู้กล้าแห่งแหวนอัสนีบาตโผล่ขึ้นมาตรงหน้าของอคิลลลิสและกำลังชี้นิ้วของตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งเมฆสีขาว ทันใดนั้นสายฟ้าสีเหลืองที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าได้กระทบเข้ากับนิ้วชี้ของแองเจโล่ ทำให้ทั่วทั้งร่างกายของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าที่มีพลังมหาสารที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง และในเวลาเดียวกันหมายเลขสิบสี่ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่บนฟ้า ร่างชายหนุ่มในชุดนักเรียนของไนท์เบลดกำลังลอยอยู่กลางอากาศและแสงที่สว่างจ้านั้นเหมือนว่าเขากำลังจะทำอะไรบางอย่าง 
 
         ซิกฟรีดผู้กล้าแห่งแหวนเนบิวล่ากำลังรวบรวมพลังของตัวเองไปที่ฝ่ามือทั้งสองของตัวเอง ที่กำลังยื่นออกไปตรงหน้า ท่าทางของเขาแลดูเหมือนว่าเขากำลังเล็งปืนใหญ่มาที่กล่องแห่งอาคาช่าที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศนั้น แสงสีม่วงที่เจิศจรัสอยู่บนฟ้าที่แม้แต่คนที่กำลังมองขึ้นไปก็ยังเห็นได้ชัด และไม่นานนักพลังของเขาทั้งสองก็ถึงขีดสูงสุดแล้ว
 

         - ดรรชนีสายฟ้าฟาด!!!!! -
 
         - กาแลคติก เอซโพชั่น!!!! -
 

         ทันทีที่แองเจโล่เหวี่ยงนิ้วชี้ไปที่กล่องแก้วสีน้ำเงินที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า สายฟ้าสีเหลืองที่มีพลังมหาสารก็พุ่งทะยานขึ้นไปจนมันกระทบกับกล่องแก้วที่ลอยอยู่อย่างแรง และลำแสงสีม่วงที่มีพลังมหาสารพุ่งลงมาจากฟ้าอย่างรวดเร็วของซิกฟรีดมาสมทบกับพลังของแองเจโล่ที่เหลือทำให้พลังในการทำลายล้างนั้นมีเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ  

         สายพลังของทั้งสองคนยังคงถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ลำแสงเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนพลังงานขนาดใหญ่ เหล่าไนติงเกลได้แต่ยืนดูอย่างไม่สามารถทำอะไรได้เพราะพลังของมันมหาสารมากเกินกว่าที่พวกเขาจะลงมือได้ เมื่อลำแสงรวมตัวกันจนถึงขีดสุด กลุ่มก้อนพลังงานมหาสารก็ได้ระเบิดขึ้น แรงอัดของมันทำให้เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วผืนฟ้าจนไปถึงในเมืองใหญ่ข้างหลังของพวกเขา แม้แต่คนที่กำลังเดินไปมาอยู่ในเมืองยังต้องมองตามเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนท้องฟ้าจะถล่มอย่างนั้น
 
 
         


         อีกด้านหนึ่ง สายตาของรามูเนสสอดส่ายไปมายังพื้นที่ข้างล่างที่เต็มไปด้วยตึกที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ จากอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างล่างนั่น ไม่นานนักหลังจากที่เขาได้ยินเสียงที่คล้ายกับเสียงปืนดังมาจากข้างล่าง แสงไฟสีดำก็พุ่งขึ้นมาหาเขาจากข้างล่างอย่างรวดเร็วจนทำให้เขาต้องหมุนตัวไปรอบๆเพื่อหลบแสงสีดำที่พุ่งเข้ามาหาทั้งสี่ห้าจุดนั้น
 
         และทันทีที่สายตาของรามูเนสเห็นการเคลื่อนไหวภายใต้เงาของตึกหลังหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง ชายหนุ่มที่กำลังลอยตัวอยู่บนฟ้าก็ดีดตัวออกจากที่เดิมและพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูงมากตรงไปยังเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับรวบรวมพลังเอาไว้ที่หมัดขวาก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดที่มีพลังมหาสารไปที่เงานั้น ทำให้พื้นดินแตกกระจายเป็นรูระเบิดขนาดใหญ่ ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่ว เสียงดังสนั่นหวั่นไหว พื้นที่แถวนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วคล้ายกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวขึ้นก็ไม่ปาน
 
          เมื่อฝุ่นควันที่ฟุ้งลอยหายไปจนหมด รามูเนสพ้นลมหายใจออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่หมัดของเขากระทบลงไปนั้นเป็นแค่พื้นดินเปล่าๆ เขาเริ่มสอดสายตาไปรอบๆอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาเป้าหมายของตัวเอง และไม่นานนักหลังจากเสียงลมที่เข้าโสดประสาทหูที่ว่องไวของเขา ไนติงเกลหมายเลขสามก็กระโดดขึ้นมาจากเงาของตึกอีกหลังหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม พุ่งเข้ามาพร้อมกับตั้งท่าจะชกรามูเนสด้วยหมัดของเขาที่ตอนนี้มีสนับมือคล้ายหนามติดอยู่
 
         เมื่อเห็นได้ว่าเป็นช่วงเวลาจวนตัว รามูเนสจึงล้มตัวลงกับพื้น แล้วม้วนตัวไปบนพื้นเพื่อไปฝั่งตรงกันข้ามของหมายเลขสามพร้อมกับลุกขึ้นมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความว่องไวที่ไม่แพ้กันหมายเลขสามก็พลิกกลับมาเหวี่ยงหมัดของตัวเองจนทำให้รามูเนสต้องยอมตั้งการ์ดซ้ายขึ้นมาป้องกันตัวเอง
 
         สองแขนที่มีพละกำลังมหาสารกำลังปะทะกัน ทำให้เห็นว่าแขนของพวกเขานั้นสั่นไปหมด รามูเนสขบฟันแน่นเข้นแรงที่มีอยู่ภายในร่างกายออกมา สายตาของทั้งสองประสานกัน หมายเลขสามไม่รอให้พลังกายของตัวเองลดลงไปมากกว่านี้จึงใช้มือที่ว่างอยู่พุ่งเข้าไปคว้าคอของรามูเนสพร้อมกับบีบมันแน่น
 
          มือที่แสนจะใหญ่กว่าใบหน้าของรามูเนสนั้นกำลังออกแรงไปบนฝ่ามือจนทำให้หมดหายใจของรามูเนสติดขัดจนแทบจะหมดสติไปเลยในตอนนั้น เมื่้อเห็นท่าว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายเพรียกพร้ำ เขาจึงตัดสินใจรวบรวมพลังเอาไว้บนหมัดขวาของเขาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยพลังหมัดที่เต็มไปด้วยไอเย็นไปที่ท้องของไนติงเกลอย่างไม่คิดชีวิต จึงทำให้ไนติงเกลที่กำลังบีบคอของเขาอยู่นั้นกระเด็นถอยหลังไป และทำให้เขารอดพ้นจากอันตรายได้อีกครั้งหนึ่ง
 


         รามูเนสสำลักอากาศเล็กน้อยเพราะว่าขาดอาการหายใจไปนาน แต่เมื่อเขาได้ดูท่าทีของไนติงเกลที่กำลังค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างไม่สะทบสะท้านในพลังหมัดของเขานั้นก็ทำให้เขาหัวเราะแห้งๆออกมา
 
         "ฮะๆ ไม่เลวเหมือนกันนี่นาย" เรมูเนสพูดพร้อมกับปาดเลือดที่อยู่ที่ริมฝีปาก
 
         "หึ คิดว่าผู้กล้าแห่งไนท์เบลดจะมีฝีมือมากกว่านี้ซะอีก" หมายเลขสามยิ้มอย่างดูถูก แต่นั่นก็ไม่ได้สะทบสะท้านกับความรู้สึกของผู้กล้าที่กำลังยิ้มเยาะสักเท่าไร
 
         "ฮ่า! เมื่อกี้นี้ฉันแค่ออมมือให้หรอกรู้เอาไวซะด้วยเจ้าบื้อ" รามูเนสว่า "เพราะเป็นแผนของเจ้าแองเจโล่กับซิกฟรีดหรอกถึงทำให้แกมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้น่ะ"
 
         "อะไรนะ!!..." หมายเลขสามสบถขึ้นมา
 
         "ฉันแค่ถ่วงเวลาแก แล้วก็ปล่อยให้พวกแกที่เหลือหนีไปเท่านั้น เพราะว่าเป้าหมายจริงๆของพวกฉันไม่ใช่การนำกล่องแห่งอาคาช่ากลับไปหรอกนะ แต่เป็นคนที่พวกเรากำลังตามหามาตลอดอยู่ต่างหาก ทายาทอันดูริลยังไงเล่า! พวกฉันถึงปล่อยให้พวกแกหนีไปจนถึงตอนนี้ไง..."
 
         "อย่างนั้นหรอกเหรอ....หึหึหึ ฮ่าๆๆๆๆ" จู่ๆหมายเลขสามก็หัวเราะร่าออกมาหลังจากที่ได้ยินประโยคของรามูเนส คนที่กำลังถูกหัวเราะก็ทำสีหน้าที่งงๆแบบไม่เข้าใจอย่างที่สุด
 
         "ขำอะไรของนายกันฟร๊ะ!!"
 
         "...ถ้าแกคิดว่าจะได้เจอทายาทอันดูริลในวันนี้แล้วล่ะก็ แกคิดผิดแล้วล่ะ แกไม่มีวันได้เจอเขาหรอก ทายาทอันดูริลน่ะ" เมื่อรามูเนสได้ยินประโยคนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที
 
         "ว่าไงนะ!"
 
         "การจะเปิดประตูมิติออกมาได้ ไม่ได้มีแค่วิธีที่แกรู้อยู่แค่วิธีเดียวหรอกนะ รู้เอาไว้"
 
         "หมายความว่าไง?!" ยิ่งรามูเนสฟังเรื่องราวจากปากของหมายเลขสามก็ยิ่งจะไม่เข้าใจไปมากกว่าเดิม
 
        "การที่จะเปิดกล่องวิเศษออกมาได้จะต้องใช้พลังมหาสารมากคิดว่าแกคงรู้ดี แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่มันสามารถส่งผ่านพลังของเจ้านายของข้าได้”
 
         “อะไรนะ!!!”
 
         “แต่ก่อนหน้านั้นฉันคงต้องบอกเรื่องนี้กับแกก่อน ว่าในเมืองไนท์เบลดที่พวกแกลงทุนลงแรงปกป้องมันอยู่ในตอนนี้น่ะมันไม่น่าดูเอาซะเลย ในเมืองนั้นน่ะมันมีแต่หนอนบ่อนไส้ โดยเฉพาะโรงเรียนไนท์เบลดของแกเอง รู้เอาไว้ด้วย"
 
         "อะไรนะ!!... นี่แกพูดอะไรของแกกันเนี่ย!!!" รามูเนสตวาดลั่น สายตาสั่นระรึกแสดงความรู้สึกว่าเขารู้สึกตกใจมากที่ได้ยินประโยคจากหมายเลขสาม
 
         "หึหึหึ"
 
 
 
 
         เสียงคำรามจากฟากฟ้าค่อยๆจางหายไปแต่ว่าฝุ่นควันยังฟุ้งกระจายอยู่ไปทั่วพื้นที่ ซิกฟรีดที่ลอยอยู่บนฟ้าค่อยๆลอยลงมาสมทบกับอคิลลิสและแองเจโล่กำลังยืนมองดูเหล่าไนติงเกลในฝุ่นที่ค่อยๆจางออกไป พวกเขาค่อยๆยืนขึ้นมาทีละคนหลังจากที่ถูกแรงระเบิดจากพลังของเหล่าผู้กล้าทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าพัดไป
 
          "เท่านี้พวกแกก็คงจะเปิดประตูมิติไม่ได้อีกต่อไปแล้วสินะ" อคิลลิสพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างที่จะมั่นใจในตัวเองมากๆ ไนติงเกลมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่หมดหวัง แต่ผิดกับเนโครมอนเซอร์ที่ค่อยๆฉีกยิ้มอันน่ากลัวออกมา
 
         เสียงคล้ายกับพลังงานบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้า ทำให้พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงนั้น และเพราะสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ภายบนแผ่นฟ้าสีครามนั้น สิ่งที่เหล่าผู้กล้าแห่งไนท์เบลดคิดว่าตัวเองได้ทำลายมันได้สำเร็จไปแล้วกำลังส่องแสงสว่างอยู่ดังเดิม สายตาของพวกเขาสั่นระริกเพราะความตกใจ เนโครมอนเซอร์กระชับฝ่ามือที่กำลังถือเคียวคู่ใจของตัวเองแล้วค่อยๆก้าวเดินออกมาอย่างมั่นใจ
 
         "ดูจากสีหน้าของพวกเจ้าแล้วมันคงไม่ได้เป็นไปตามแผนการของพวกแกสินะ ฮ่าๆ" น้ำเสียงอันน่ากลัวของเนโครมอนเซอร์พูดขึ้นมาเรียกร้องความสนใจจากเหล่าผู้กล้าทั้งสามของไนท์เบลดนั้น
 
         "บ้าน่ะ... เป็นไปไม่ได้" น้ำเสียงที่ดูผิดหวังของอคิลลิสดังขึ้นมา
 
         "ก็บอกแล้วยังไงล่ะว่าข้าจะต้องให้พวกเจ้าดูให้ได้ ยามที่ประตูมิติถูกเปิดออกไง!!!"
 
 
 
 
         ทันทีที่เนโครมอนเซอร์ยกเคียวคู่ใจขึ้นเหนือหัว เกิดเป็นแสงสีดำมืดห้อมล้อมร่างกายของเขาเอาไวก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปยังกล่องแห่งอาคาช่าที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า เสียงดังสนั่นดั่งฟ้าคำรามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ผิดไปจากครั้งก่อน เมื่อกล่องแห่งอาคาช่าเริ่มแสดงพลังอะไรบางอย่างขึ้นมา ออร่าสีน้ำเงินบางๆเริ่มก่อตัวขึ้นห้อมล้อมตัวเองเอาไว้กลายเป็นลูกแก้วสีน้ำเงินใสขนาดใหญ่ที่ยังคงเผยให้เห็นกล่องอยู่ภายใน และไม่มีวินาทีต่อมาลำแสงสีน้ำเงินก็พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว 
 
         ลำแสงหยุดอยู่ที่ตรงปลายขอบฟ้าก่อนที่ท้องฟ้าจะแหวกออกกลายเป็นหลุดสีดำขนาดใหญ่ สายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงปร้างไปมาจากปลายขอบของหลุมดำนั้น และทันใดนั้นเองแสงสีดำทมิฬที่คล้ายกับลำแสงของเนโครมอนเซอร์ที่เคยปล่อยออกมา ก็ได้ปรากฏขึ้นและกำลังพุ่งตรงลงมายังที่พื้นดินเบื้องหน้าของเนโครมอนเซอร์อย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นหวัดไหวไปทั่วเมื่อมันกระทบกับพื้นดิน ฝุ่นตลบอบอวนไปหมดราวกับว่ากำลังจะเกิดพายุหมุนขึ้นอยู่ตรงนั้น เพียงแค่ชั่วพริบตาของเหล่าผู้กล้าทั้งสามคน ลำแสงก็พุ่งกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกลุ่มควันนั้น และภาพที่ไม่น่าเชื่อสายตาของตัวเองก็ได้บังเกิดขึ้นมา
 
         เมื่อลำแสงสีดำทมิฬกลับไปยังในที่ๆมันจากมา เผยให้เห็นกองทัพยักษ์สีดำทมิฬ ร่างของพวกมันสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปหลายเท่า ใบหน้าที่ดูดุร้ายกับคมเขี้ยวที่ยื่นออกมาจากปากอันน่ากลัวของพวกมัน ชุดเกราะสีเงาจันทร์ของพวกมันหนาเตอะและมาพร้อมกับอาวุธประจำกายของพวกมันครบมือ ไม่ว่าจะเป็นขวานใหญ่ ดาบเหล็ก ธนู และกำปั้นเหล็ก เสียงลมหายในเขาออกดังสันไปทั่วดั่งฝูงสัตว์ป่า ทำให้เหล่าผู้กล้าทั้งสามคนยืนอึ้งกับภาพที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา
 
          รามูเนสที่รีบวิ่งออกมาจากชายป่าข้างๆพร้อมกับหมายเลขสาม เมื่อเขาได้มาเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็รู้สึกตกใจมากเช่นกัน
 
         "ไม่จริง...." รามูเนสพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
 
         "สงครามเริ่มขึ้นแล้วล่ะสินะ หึหึ แผนคงล้มเหลวจริงๆแล้วล่ะ" ไนติงเกลหมายเลขสามยิ้มเยาะ พร้อมกับตบบ่าของรามูเนสสามทีแล้วค่อยๆเดินจากตรงนั้นไป
 
          "ไหนล่ะทายาทอันดูริลที่นายอยากจะเจอ?... นี่แหละที่ฉันกำลังจะบอกว่าการจะเปิดประตูมิติได้มันไม่ได้มีวิธีที่แกรู้มาวิธีนั้นวิธีเดียว"
 
         "ดะ.. เดี๋ยวก่อนสิแก!!!"
 
         "... ปกป้องเมืองนี้ให้สนุกก็แล้วกัน แล้วพบกันใหม่" 
 
 
         ไนติงเกลชี้หน้ากวนอารมณ์ของรามูเนสก่อนที่จะปล่อยลวดสลิงที่ติดอยู่บนแขนซ้ายไปยังต้นไม้ข้างๆ แล้วพุ่งตัวออกไปจากตรงนั้นเพื่อไปสมทบกันไนติงเกลที่เหลือ ทิ้งให้รามูเนสอยู่ตรงนั้นแล้วมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ลำพัง สายตาของเขาก็ยังคงสั่นระริก ไม่เพียงแค่นั้น เรียวขาในชุดนักเรียนสีแดงกับรองเท้าเครื่องแบบนักเรียนยาวๆสีขาวของไนท์เบลดก็สั่นระริกไปด้วย
 
          "บ้าน่า! ทำไมกัน!... ทั้งๆที่เมื่อกี้เรายังมีความมั่นใจขนาดนั้นอยู่แล้วแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้มัน โถ่เว้ย!!!"
 
 
 
- ฟาววว วววว ! -
 
         "...ศูนย์สาม!!" ไนติงเกลหมายเลขสามค่อยๆกระโดดพุ่งลงมาจากฟ้าแล้วเดินมาสมทบกับเหล่าไนติงเกลที่เหลือ หมายเลขสิบสี่มองตามสายตาที่ลอดผ่านเลนแก้วของหน้ากากหมายเลขสามนั้น ไปยังเหล่าผู้กล้าแห่งไนท์เบลดทั้งสามที่กำลังยืนสอดส่ายสายตาไปมากับเหล่ากองทัพยักษ์อย่างหวั่นๆ
 
         "ขอโทษที่ช้า พอดีมีธุระกับผู้กล้าสีน้ำเงินนิดหน่อย" ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ก็ยังคงเห็นสายตาที่น่าผิดหวังของหมายเลขสามอยู่
 
 
 
         "กองทัพ จริงๆด้วย" แองเจโล่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวั่นๆเมื่อสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ยักษ์แต่ละตัว ที่มีความสูงมากกว่าเขาหลายเท่านัก เหล่าผู้กล้ายังคงไม่ได้ทำอะไรนอกจากตั้งท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้อยู่อย่างนั้น
 
         "ทำยังไงกันดี? กองทัพมากมายขนาดนี้แค่พวกเราสามคนก็หยั้งเอาไว้ไม่อยู่หรอกนะ..."
 
         "ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! ต้องสกัดพวกมันตั้งแต่ตรงนี้ อย่าให้พวกมันผ่านเข้าไปในเมืองได้เด็ดขาด!" อคิลลิสพูดกำชับแองเจโล่และซิกฟรีดที่กำลังสับสนอยู่
 
         "ถ้างั้นก็ดี!" เนโครมอนเซอร์เดินนำหน้าเหล่ายักษ์ที่ยืนขวางหน้าเขาออกมา
 
         "ข้าจะให้พวกแกได้สนุกกับความพินาศย่อยยับจากกองทัพของท่านอันดูริลเป็นคนแรกเลยแล้วกัน ไปเลยเหล่ากองทัพออค์แห่งจอมมาร!!!"
 
 
 
 
         เมื่อเนโครมอนเซอร์ยกเคียวคู่ใจของตัวเองชี้ไปยังผู้กล้าทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า เหล่ากองทัพทมิฬก็กรีฑาทัพด้วยเสียงคำรามที่ดังกึกก้อง เสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ที่กระทบกับพื้นดังประสานเสียงกันไปทั่วพื้นดิน แรงสั่นสะเทือนคล้ายกับแผ่นดินกำลังจะแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจะบั่นทอนกำลังใจของผู้กล้าทั้งสามไปมากแต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป
 
         ผู้กล้าทั้งสามระเบิดพลังภายในของตัวเองออกมา อคิลลิสออกวิ่งน้ำหน้าเข้าหากองทัพยักษ์ที่ยืนเรียงรายกันดั่งกำแพงเหล็กสีดำ โดยมีแองเจโล่และซิกฟรีดวิ่งตามหลังมา พวกเขาไม่รอช้ารีบเปิดเกมส์รุกใส่ผ่านตรงข้ามก่อนโดยที่อคิลลิสเหวี่ยงหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของยักษ์ตัวแรกจนมันกระเด็นไป และตามอีกสองสามหมัดจากยักษ์ที่วิ่งกรูเข้ามาหา รวมไปถึงยักษ์อีกตัวที่กำลังวิ่งเข้ามาก็โดนฝ่าเท้าของอคิลลิสเตะจนกระเด็นไปให้ยักษ์ที่วิ่งตามมาจากข้างหลังรับเอาไว้
 
         ซิกฟรีดพุ่งเข้ามาพร้อมกับรวบรวมพลังเอาไว้ที่ฝ่ามือกลายเป็นลูกบอลกลมๆคล้ายคลึงกับดวงดาวตามทางช้างเผือก แล้วก็เหวี่ยงลูกบอลนั้นเข้าไปในกลุ่มยักษ์ที่ยืนประจักษ์หน้าเขาอยู่ ลูกบอลแสงนั้นพุ่งหายเข้าไปในกลุ่มยักษ์นั้น ก่อนที่จะเปล่งแสงสว่างกลายเป็นระเบิดอานุภาพรุนแรงที่แม้แต่ยักษ์ที่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปยังต้องกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง และในขณะเดียวกันนั้นซิกฟรีดต้องยกมือกันกำปั้นเหล็กขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามา แล้วสวนกลับไปด้วยพลังหมัดทันที พร้อมโจมตีด้วยพลังหมัดที่รวบรวมเอาไว้เป็นคลื่นพลังแสงอีกครั้งหนึ่งจนยักษ์หลายตัวหายไปในพริบตา
 
         แองเจโล่วิ่งเบี่ยงไปทางขวาด้วยความเร็วสูง แล้วพุ่งกระโดดเตะเข้าไปที่ใบหน้าขนาดใหญ่ของยักษ์ที่ตัวสูงตัวหนึ่งจนมันค่อยๆล้มไปทับกับยักษ์ตัวเล็กที่อยู่ด้านหลัง ในขณะเดียวกันที่แองเจโล่กำลังจะเหาะลงจากพื้น เหล่าพลธนูของกองทัพทมิฬก็สาดฝนลูกธนูเข้าใจเขาที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ จนทำให้เขาต้องตัดสินใจที่จะหลบลูกธนูเหล่านั้นก่อนซึ่งเขาก็ทำได้ดี เพราะการเคลื่อนไหวประดุจความเร็วแสงนั้น ลูกธนูนับพันลอยผ่านเขาไปราวกับว่าตัวของเขาเป็นเพียงแค่อากาศ 
         และในจังหวะที่จะโต้กลับ แองเจโล่ที่พุ่งลงมาจากฟ้าแล้วเข้าโจมตีเหล่ายักษ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ จนทำให้ยักษ์กลุ่มนั้นขาดใจก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองตายไปแล้วซะอีก เมื่อพวกมันล้มถึงพื้น ประหนึ่งเหมือนกับว่าร่างกายของมันหายวับไปกลายเป็นลูกไฟสีดำพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่จะแตกแล้วหายไป
 
         
 
         การต่อสู้ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด เหล่าผู้กล้าทั้งสามยังคงต่อสู้โดยที่คิดว่าจะตรึกกำลังของกองทัพมืดนี้ แม้พวกเขาจะเปี่ยมไปด้วยพลังแต่ก็ยังคงมีบางครั้งที่โดนศัตรูของพวกเขาสวนกลับมาบ้าง อคิลลิสกำลังรับมือกับยักษ์ที่กำลังใช้ดาบของตัวเองไล่ฟันเขาอยู่ เขาต้องเบี่ยงตัวหลบเมื่อยักษ์อีกตัวหนึ่งพุ่งดาบลงมาหวังแทงร่างของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะนั้นเองยักษ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาก็ใช้กำปั้นเหล็กทุบดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมันนั้น ดินที่เคยอยู่นิ่งๆเป็นปกติกลับมีอะไรเคลื่อนไหวทันทีที่ยักษ์ตัวนั้นลงหมัด อะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหาอคิลลิสอย่างรวดเร็วจนมันปรากฏตัวขึ้นมา แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีอคิลลิสก็ถูกซัดเสยปลายคางจนตีลังกาหงายหลังล้มลงไป มันคือดินที่มีรูปร่างคล้ายกับกำปั้นที่ยักษ์ตัวนั้นทุบลงไปเมื่อกี้นี้เอง
 
          แองเจโล่ใช้หมัดของตัวเองต่อยไปยังยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามา รวมไปถึงเตะสวนกลับยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาจนมันล้มกลิ้งไปไม่เป็นท่า และในขณะนั้นยักษ์ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนสองตัวก็รีบคว้าแขนของแองเจโล่ทำให้เขาทำอะไรไม่ได้อีก หางตาของซิกฟรีดเหลือบมองไปยังยักษ์ตัวหนึ่งที่กำลังง้างหมัดที่เต็มไปด้วยเหล็กใส่ใบหน้าของแองเจโล่ และแล้วใบหน้าเนียนใสของแองเจโล่ก็ถูกกำปั้นเหล็กที่พุ่งเข้ามาชกเข้าอย่างจัง
 
          หลังจากวินาทีนั้นเองที่แองเจโล่รู้สึกว่าตัวเองมึนหัวมากๆก่อนที่จะโดนหมัดซ้ำอีกหนจนเลือดไหลกลกปาก แต่ในขณะที่มันจะชกอีกหมัดหนึ่งเข้าไปนั้น ลำแสงสีน้ำเงินที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้พุ่งลงมาจากฟ้าและปะทะเข้ากับร่างกายจนมันหายวับไปกับตาเช่นเดียวกันกับยักษ์ที่อยู่แถวนั้นทั้งหมด
 
         แองเจโล่ทิ้งตัวลงกับพื้นเพราะอาการมึนหัวที่ยังรุมเร้าอยู่ เพียงแต่สายตาของเขานั้นเสาะหาเจ้าของพลังแสงที่มาช่วยเขาเอาไว้ และไม่นานหลังจากเสียงที่พัดผ่านอากาศมา รามูเนสก็ปรากฏตัวขึ้นบนฟ้าและพุ่งตรงลงมาตรงหน้าของเขา พร้อมกับยืนประจันหน้าพวกยักษ์ที่กำลังเสริมทัพเข้ามา 
 
         "เกือบไปแล้วนะเจ้าเตี้ย" รามูเนสมองแองเจโล่ด้วยหางตา
 
         "...ขอบใจนะ" แองเจโล่ใช้มือปาดเลือดที่กำลังไหลออกจากปากพร้อมกับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่วนรามูเนสนั้นก็ม้วนตัวเตะใส่ยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาหวังจะเล่นทีเผลอ จนตัวมันปลิวลอยไปอย่างไม่เป็นท่า
 
         "อคิลลิสล่ะ?!" รามูเนสหันมาถามแองเจโล่ ซึ่งแองเจโล่ก็ส่งสายตามองผ่านหลังของรามูเนสจนเขาต้องมองตามสายตาไป
 
 
 
           อคิลลิสยังคงปล่อยหมัดใส่ศัตรูของตัวเองอย่างไม่ยั้งมือ เขาพึ่งปล่อยหมัดมังกรใส่กลุ่มยักษ์ตรงหน้าจนเกราะหนาๆของพวกมันแตกร้าวไม่มีชินดี แล้วก็ม้วนตัวเตะเข้าไปที่ขาพับอีกครั้งหนึ่งจนมันปลิวม้วนตัวกลางอากาศก่อนที่จะล้มลงไปที่พื้นอย่างแรง
 
         ในขณะเดียวกันที่อคิลลิสยังคงจดจ้องอยู่กับเหล่ายักษ์ที่วิ่งกรูเข้ามาหาอย่างไม่หยุดหย่อน ยักษ์ตัวหนึ่งหันหลังไปมองราวกับว่ามีแรงกดดันมหาสารบางอย่างค่อยๆก้าวเข้ามาหาอย่างช้าๆ จนมันต้องถอยหนี รวมไปถึงยักษ์ตัวอื่นๆก็ทำแบบเดียวกันหลังจากที่ได้เห็นแล้วว่าอะไรที่กำลังเดินผ่านพวกเขาไปอย่างช้าๆ
 
         ผ้าคลุมสีเลือดนกขาดๆตรงปลายที่ปกปิดมาจนถึงหัวไหล่ซ้ายปลิวโปกสะบัดตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามา ชุดเกราะสีทองคล้ายกับเกร็ดมังกรที่มีรอยสนิมขึ้นเปราะไปหมด แขนของชุดเกราะข้างซ้ายถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมของตัวเอง เผยให้เห็นแต่เพียงแขนขวาที่ในตอนนี้กำลังจับดาบยาวเก่าๆที่มีร่องรอยแตกๆจากการใช้งานไปบ้างแล้ว 
 
          สายตาที่มองลอดผ่านหมวกเจ็ดแฉกแลดูเหมือนวิหคมัจจุราชที่กำลังจะเอาชีวิตคนตรงหน้า เสียงฝีเท้าจากรองเท้าที่ห่อหุ้มไปด้วยเหล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะๆ จนทำให้อคิลลิสที่พึ่งทุ่มยักษ์ตัวหนึ่งลงไปที่พื้นอย่างแรงต้องเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ 
 
         ราวกับเหมือนมีใครได้หยุดเวลาเอาไว้ เสียงอึกกระทึกครึกโครมของสงครามที่เคยดังสนั่นในตอนนี้ได้หายวับไปกับสายลม เมื่อคนในชุดเกราะเหล็กร่างสูงตรงหน้าของอคิลลิสค่อยๆย่างก้าวสามขุมเข้ามาหาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเปิดฉากด้วยการเหวี่ยงดาบคู่ใจไปยังร่างของอคิลลิส จนคนที่เกือบจะถูกฟันต้องเบี่ยงตัวหลบไป 
 
         ถึงแม้จะเร็วกว่าแต่อคิลลิสก็ยังรู้สึกได้ว่าคมดาบมันมีความรุนแรงเอามากๆ  เสียงเฮดังสนั่นกึกก้องเมื่อเห็นว่าผู้นำของพวกยักษ์เริ่มที่จะลงมือดวลกับผู้กล้าสีเขียวแล้ว เหล่าผู้กล้าทั้งสามที่กำลังจดจ้องอยู่กับศัตรูของตัวเองตรงหน้าก็ต้องหยุดการต่อสู้เอาไว้ก่อน แล้วหันมาดูสหายของตัวเองที่กำลังจะเปิดศึกกับคนที่พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นแม่ทัพของกองทัพนี้
 
         "ดาบนั่นแค่เป็นการทักทายจากข้า แอลแกนดาล แห่งภูเขานาร์ซูเบล" ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าของอคิลลิสพูดทักทายพร้อมกับควงดาบไปมาอย่างสบายอารมณ์
 
         "ว่าไงนะ?!" อคิลลิสส่งเสียงขึ้นมาด้วยความสงสัย
 
         "แต่หลังจากนี้จะเป็นของจริงเตรียมรับมือเอาไว้ให้ดี ชาวไนท์เบลด!!!"
 
 
 
         ว่าแล้วก็ลงดาบไปที่ร่างของอคิลลิสอีกครั้งแต่ทว่าคราวนี้อคิลลิสใช้แขนของตัวเองรับดาบเล่มนั้นเอาไว้ พร้อมกับระเบิดพลังภายในของตัวเองขึ้นมาจนเกิดเป็นออร่าสีเขียวที่เจิดจรัสขึ้นอีกครั้ง แรงพละกำลังของทั้งสองมีมากมายนักจนแสดงของมาทางท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันหนาแน่นของทั้งสอง กล้ามที่แขนของอคิลลิสที่ใหญ่อยู่แล้วตอนนี้เขาเกร็งจนเห็นเส้นเลือดขึ้นมาตามท่อนแขนนั้น ท่อนแขนทั้งสองของอคิลลิสสั่นไปหมด จนกระทั่งเขาตัดสินใจที่จะโต้กลับไปด้วยพลังหมัดที่ปล่อยออกมาจากหมัดขวาเข้าไปเต็มๆท้องของแอลแกนดาล
 
         อคิลลิสหลุดออกมาได้ก็จริง แต่ทว่าแอลแกนดาลโหมเข้าไปโจมตีใส่อคิลลิสอย่างไม่ยั้งมือราวกับว่าหมัดที่ได้ปล่อยออกไปเมื่อกี้นี้ไม่ได้สะทบสะท้านอะไรเลย ดาบแล้วดาบเล่าที่อคิลลิสพยายามหลบ บางครั้งเขาก็หลบได้อย่างฉิวเฉียด แต่บางครั้งก็ถูกคมดาบเฉี่ยวๆจนเสื้อนักเรียนสีแดงเพลิงของเขาขาด เผยให้เห็นผิวหนังที่ถูกฟันเป็นรอยเลือดทางยาว 
 
         อคิลลิสสวนกลับไปบ้างด้วยหมัดมังกรอันทรงพลังแต่แอลแกนดาลแสดงชั้นเชิงที่เหนือกว่า โดยการใช้ดาบรับหมัดที่อคิลลิสปล่อยออกมาได้ทั้งหมด พร้อมกับโต้กลับไปด้วยกำปั้นเหล็กเข้าไปที่ใบหน้าและท้องอย่างละสองทีจนอคิลลิสปลิวไปแล้วล้มลงนอนกับพื้น เสียงเฮดังสนั่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าของเหล่าผู้กล้าทั้งสามดูจะไม่สู้ดีนักเมื่อได้เห็นอคิลลิสล้มลงไปนอนกับพื้น
 
         อคิลลิสลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้วปล่อยหมัดใส่แอลแกนดาลพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาอย่างไม่หวาดกลัว แต่นั่นก็ไม่เพียงพอสำหรับเขา แอลแกนดาลปัดหมัดของอคิลลิสด้วยดาบของตัวเองพร้อมกับปล่อยพลังเป็นลูกบอลกระแสไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปที่หน้าอกของอคิลลิสอย่างแรง ทำให้จังหวะของคนที่จะโต้กลับนั้นเสียไป และเปิดช่องว่างขนาดใหญ่ให้กับแอลแกนดาล
 
 
- จรุด!!!!!! -
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!"
 
         
         วินาทีนั้นเองที่ปลายดาบคู่ใจของแอลแกนดาลพุ่งเข้าไปทะลุหัวไหล่ซ้ายของอคิลลิส เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาตามแรงดาบที่ได้พุ่งเข้าไป หัวใจของเหล่าผู้กล้าทั้งสามตกวูบ เมื่อได้เห็นเพื่อนของเขาเสียท่า
 
         "อคิลลิส!!!!!!!!" รามูเนสไม่รอช้ารีบรุกเข้าไปช่วยอคิลลิสที่กำลังถูกดาบของแอลแกนดาลปักคาอยู่ที่ร่างอยู่อย่างนั้น ลำแสงสีน้ำเงินถูกปล่อยออกมาจากหมัดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแอลแกนดาลต้องยอมดึงดาบออกไปจากร่างของอคิลลิส เพื่อใช้มันปัดหมัดที่รามูเนสปล่อยออกมา
 
         และในตอนนี้พวกยักษ์ที่เหลือก็ไม่ได้สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้กล้าทั้งสี่อีกต่อไป พวกมันรีบวิ่งรุกหน้าเพื่อที่จะไปยังเมืองเล็กๆที่อยู่ข้างหน้า รวมไปถึงกลุ่มไนติงเกลที่หายไปพร้อมกับแสงดีดำหลังจากที่เนโครมอนเซอร์ปักเคียวของตัวเองไว้ที่พื้น ลำแสงสีดำยังคงถูกปล่อยออกมาจากปลายคมของเคียวที่โค้งยาวนั้น ทิ้งให้เหล่าผู้กล้ารับมือกับแอลแกนดาลอย่างยากลำบากไปตามลำพัง
 
         รามูเนสยังคงปล่อยหมัดใส่แอลแกลดานอย่างไม่หยั้ง รวมไปถึงลูกเตะอีกสองสามครั้งไปบนร่างยักษ์ของแอลแกนดาล แต่ว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสะบทสะท้านเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำรามูเนสยังโดนดาบของแอลแกนดาลปาดเป็นทางยาวที่ลำตัวก่อนที่คนที่ถูกฟันแล้วล้มกลิ้งลงไป 
 
         แองเจโล่ที่พึ่งปล่อยสายฟ้าสีเหลืองใส่กลุ่มยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเขาเห็นว่ารามูเนสเริ่มทำท่าว่าจะเสียท่าให้กับแอลแกนดาล เขาถึงเรียกสายฟ้าสีเหลืองจากท้องฟ้าส่งลงมามาผ่านนิ้วของเขาไปจนทั่วร่างกาย ก่อนที่จะปล่อยใส่แอลแกนดาลจนจังหวะที่จะเข้ามาทำร้ายรามูเนสต้องหยุดชะงักลงไป
 
         "พวกเราต้องไปแล้ว!!!" ซิกฟรีดร้องบอกรามูเนส หลังจากที่เขากับแองเจโล่มารับตัวอคิลลิสที่นอนอยู่ตรงนั้น
 
         "ก็ไปเซ่!!!!!" รามูเนสหันมาตอบพร้อมกับปล่อยหมัดไอเย็นใส่แอลแกนดาล ไม่ให้แอลแกนดาลได้ตั้งตัวได้ทัน
 
 
 
         แอลแกนดาลปัดเกร็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามตัวรวมไปถึงควันที่เกิดการระเบิดจากสายฟ้าของแองเจโล่ กว่าเขาจะตั้งตัวได้ทันเหล่าผู้กล้าทั้งสามก็บินหนีไปไกลแล้ว สายตาของแอลแกนดาลมองตามเหล่าผู้กล้าที่อยู่บนฟ้าไกลๆ ด้วยสายตาที่บ่องบอกถึงความคิดที่ผิดมากๆ หากคิดจะตามพวกนั้นไป เขาจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองต่อไป เพื่อที่จะบรรลุความต้องการของเจ้านายของตัวเองให้ได้  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา