[FanFic Fafner]Flugel - ปีกของผู้ที่เฝ้ารอคอย
-
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 21.52 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
8,428 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 22.24 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"เริ่มเย็นแล้วสินะ กลับบ้านดีกว่า"ลมหนาวฟัดมาอีกวูบหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่บัดนี้ไร้ฝูงนกที่เคยโผบิน พวกนกที่โบยบินออกไปสู่โลกภายนอกนั้นก็เพื่ออพยพย้ายถิ่นฐานตามสัณชาตญาณ แต่ว่าพวกมันคงไม่รู้สินะว่าโลกภายนอกนั้นไม่ได้มีที่ของพวกมันอีกแล้วแม้ว่าโลกกำลังฟื้นฟูตัวเองแต่ว่าตอนนี้มันคงไม่เข้มแข็งพอที่จะโอบอุ้มพวกนกเอาไว้ได้ เพราะงั้นพวกมันคงไม่กลับมาอีกแล้ว...
ผมเดินคิดเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับข้าวเย็นไปตามทางเดินจนเผลอไปชนคนเข้าให้ ผมรู้ทันทีว่าเป็นผู้หญิงก็เพราะเสียงร้องของเธอ
"ว้าย!"
"ขอโทษครับ...โทมิ!"ผมขอโทษพร้อมเงยหน้าขึ้นแต่ก็พบโทมิกำลังยืนทรงตัวให้ดีหลังจากเซไปเล็กน้อย
"อ้าวคาซึกิคุง ไปไหนมาเหรอ"เธอถามผม
"เอ่อ..ไปเดินเล่นมาน่ะ"ผมตอบโกหกไปเพราะไม่อยากให้เธอเป็นห่วง แต่เธอกลับมองเข้ามาในดวงตาของผมก่อนยิ้มให้
"งั้นเหรอ...ว่าแต่ไปกินข้าวบ้านชั้นมั้ย"เธอเอ่ยถามพร้อมชูตะกร้าในมือให้ดูซึ่งมีพวกหัวหอมกับแครอททำให้เดาเมนูอาหารได้ไม่ยาก
"คืนนี้ชั้นจะทำแกงกะหรี่น่ะไปกินด้วยกันมั้ย กินกันหลายๆคนต้องสนุกแน่ๆเลย"ผมนิ่งคิดเล็กน้อย จะว่าไปคืนนี้คุณพ่อเห็นว่าจะไปคุยเรื่องงานกับคุณมิโซกุจิ จะทำกินคนเดียวก็รู้สึกเบื่อๆแฮะ
"งั้นขอรบกวนด้วยนะ มาสิฉันจะช่วยถือให้"ผมพูดพร้อมกับยื่นมือไปหยิบตะกร้ามาถือแทนโดยที่โทมิก็ส่งให้อย่างว่าง่าย ระหว่างทางผมเผลอมองไปที่ท้องฟ้าหลายครั้งอย่างไม่รู้ตัวจนโทมิสังเกตเห็นจึงหยุดเดินแล้วหันมาถามผม
"มองอะไรอยู่เหรอคาซึกิคุง..."
"นกน่ะ....ตั้งแต่เริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงพวกมันก็หายไปเรื่อยๆจนตอนนี้เกือบจะฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ยังไม่เห็นพวกมันเลยซักตัว บางทีพวกมันคงไม่กลับมาอีก"คำพูดนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าในใจของผมที่มีต่อโซชิถูกพาดพิงกับสิ่งอื่นเพื่อปกปิดความจริงในใจ โทมิมองหน้าผมนิ่งอีกครั้งก่อนจะพูดตอบออกมา
"ไม่หรอกคาซึกิคุงแม้จะไปไกลแค่ไหนพวกมันก็ต้องกลับมาแน่นอนก็เพราะว่าที่นี่คือบ้านของพวกมันไงล่ะ..."สายลมหนาวที่ควรหนาวผมกลับรู้สึกอบอุ่น คงเพราะรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเธอละมั้งที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าผมจะโกหกหรือปกปิดใครได้ก็คงไม่อาจปกปิดเธอได้สินะ ดวงตาของเธอนั้นมักจะมองผู้อื่นทะลุปรุโปร่งอยู่เสมอ แต่ว่าเธอไม่เคยที่จะพูดจาว่าร้ายหรือดูถูกใครแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งที่เธอพูดออกมาทุกครั้งคือความอ่อนโยนของเธอที่มาจากเนื้อแท้อันอ่อนโยน เธอเป็นคนแบบนี้แหละ
"อืม...นั่นสินะ"รอยยิ้มขยับอยู่บนใบหน้าของผม ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้พูดกับโทมิความกลุ้มใจที่เคยมีก็มักหายไปทุกครั้ง
ขอบคุณนะ โทมิ....
ผมเลื่อนสายตามองไปทางทะเลที่อยู่ไกลออกไป คลื่นน้ำที่ซัดซาดเข้าหาชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพเดิมๆที่ผมไม่เคยเบื่อ อาจเพราะว่าสำหรับพวกเราแล้วที่แห่งนี้ก็คือ สรวงสวรรค์นั่นเอง
ระหว่างที่เริ่มคิดเรื่อยเปื่อยเป็นครั้งที่สองของวันอยู่ๆนัยน์ตาทั้งสองข้างของผมก็รู้สึกแปลกๆ...มันไม่เชิงว่าเจ็บ มันออกจะรู้สึกแสบร้อน จนผมเผลอใช้มือที่ว่างอยู่กุมบริเวณดวงตาทั้งสองไว้
"คาซึกิคุง!"โทมิเข้ามาประคองผมที่เริ่มยืนไม่อยู่ ข้าวของในมือหล่นสู่พื้นกระจัดกระจายไปทั่ว
"เป็นอะไรมากรึเปล่า...น...นี่มัน...ตาสีแดง"จากคำบอกของโทมิทำให้ผมรู้ว่าตาของผมได้กลายเป็นสีแดงไปแล้ว เธอดูจะเป็นกังวลมากกว่าผมซะอีก คงเพราะเธอคิดว่าอาการนี้หายไปแล้วซึ่งเธอจะคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกเพราะว่าผมไม่เคยบอกใครเลยว่า ตาของมันมันยังกลายเป็นสีแดงอยู่เสมอเวลาที่ผมคิดถึงโซชิ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมนึกถึงโซชิผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้มีแค่ครั้งนี้ที่ต่างออกไป....
ซ่า...
เสียงคลื่น?...ผมได้ยินเสียงคลื่นทั้งที่อยู่ตรงนี้ เสียงคลื่นที่รู้สึกเหมือนมันกำลังเรียกผมอยู่
"ทะเล..."โทมิเงยหน้ามองผมอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดแต่ผมไม่ได้สนใจ
"ชั้นต้องไปที่ทะเล...."พูดจบผมก็วิ่งออกไปทันทีโดยทิ้งโทมิเอาไว้ เธอจึงรีบวิ่งตามผมมาแทบจะทันที
"คาซึกิคุงรอชั้นด้วย!"เธอตะโกนไล่หลังผม แทนที่ผมจะชะลอฝีเท้าผมกลับเร่งฝีเท้าขึ้นอีกอย่างไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย อาจเพราะว่าเสียงทะเลที่เรียกหาผมอยู่ในหัวละมั้งที่ทำให้ผมไม่อาจสนใจสิ่งอื่นได้ ดวงตายังคงเป็นสีแดง ความรู้สึกที่ใกล้เคียงความเจ็บปวดยังไม่จางหายไปแต่กลับเพิ่มมากขึ้น หัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรืออะไรกันแน่ ลมหายใจเริ่มรัวถี่และหอบอย่างผ่อนคลายความร้อนในร่างกาย
ซ่า...ซ่า....
เสียงคลื่นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแสดงว่าผมเข้าใกล้ชายหาดมามากแล้ว ผมจึงเร่งความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมโดยหวังจะไปให้ถึงที่นั่นเร็วขึ้นแม้สักวินาทีก็ยังดี
"แฮ่กๆ"ผมหยุดวิ่งทันทีเมื่อเท้าเหยียบลงไปบนหาดทราย แล้วยืนหอบอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อโทมิตามมาถึงสภาพของเธอก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่
"คาซึกิ..คุงที่ทะ..เลมีอะ..ไร..เหรอ"เสียงของเธอขาดหายเป็นช่วงๆเพราะเหนื่อยที่วิ่งตามผมมา
"ฉันก็ไม่รู้..เหมือนกัน...เพียงแต่ว่า..มีบางสิ่งกำลังเรียก..ฉันอยู่..."เสียงผมตอบเธอก็ขาดหายไม่แพ้กันก่อนจะเริ่มควบคุมลมหายใจให้เข้าสู่สภาวะปกติได้แล้วลุกขึ้นยืนทรงตัวให้ดีโดยมีโทมิมองออกไปทางทะเลหลังจากฟังที่ผมพูดแล้วเธอก็มีท่าทางแปลกไปผมจึงลองจ้องมองไปในทางเดียวกับเธอ แล้วดวงตาของเราสองคนก็เบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น
ร่างหนึ่งที่เดินเข้ามานั้นมีส่วนสูงใกล้เคียงกับผม เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเลยกลางหลังไปมากจนดูคล้ายผู้หญิงแต่ผมก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย เขาสวมเครื่องแบบของอัลวิสที่ขาดวิ่น เสื้อนอกแขนยาวขาดหายไปข้างหนึ่งเหลือแต่เศษผ้ารุ่งริ่งแถวต้นแขนขวา ขากางเกงก็ยับเยินไม่แพ้เสื้อ ผ้าพันคอสีแดงที่ดูเหมือนผูกหลวมๆความจริงมันคงใกล้จะหลุดออกมามากกว่า เขาเดินด้วยท่าทางโซซัดโซเซราวกับไร้วิญญาณ ดวงตาเป็นสีแดงเช่นเดียวกับผม แต่สำคัญที่สุดคือใบหน้าของเขา ใบหน้าของผู้ที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอด
"โซ..ชิ..."ความดีใจแผ่ซ่านอยู่เต็มอก ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเมื่อเขาเห็นผมเข้าไปใกล้ก็หยุดเดินผมจึงหยุดตาม
"โซชินาย...กลับมาแล้ว..."ในใจกระโดดโลดเต้นอย่างหยุดไม่อยู่ สิ้นสุดกันเสียทีกับการรอคอย...
"นายรู้มั้ยว่าฉันรอนายมาตลอดเลยนะ....นี่นายพูดอะไรบ้างสิ"ผมบอกออกไปเช่นนั้นเมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรออก แล้วผมก็เห็นริมฝีปากของเขาขยับก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา
"เธอน่ะ...อยู่ที่นั่นใช่รึเปล่า..."ลมทะเลพัดแรงอย่างกระทันหันราวกับพายุพร้อมด้วยเสียงสัญญาณเตือนภัยได้ดังขึ้นหลังจากที่เงียบหายไป 2 ปีและเสียงประกาศที่ดังตามมา
"เฟสตูมไม่สามารถระบุประเภทได้ปรากฏขึ้นที่ชายหาดขอให้ทุกท่านที่อยู่บริเวณนั้นโปรดรีบเข้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยและขอให้ฟาฟเนอร์ทุกเครื่องไปประจำตำแหน่งที่บริเวณชายหาดโดยด่วน!"สิ้นเสียงประกาศไปไม่กี่นาทีหุ่นยนต์รบนามฟาฟเนอร์ทั้งหลายก็มาล้อมรอบพวกเราสามคนเอาไว้ แน่นอนทุกคนอยู่ในอาการตื่นตระหนกเมื่อได้พบกับเฟสตูมที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ ผมเองก็เช่นกัน
เฟสตูม...หมายความว่ายังไง....
ผมคิดทบทวนในใจไม่ต่างจากคนอื่นเพราะเฟสตูมที่ว่ากลับเป็นอดีตผู้ควบคุมระบบซิกฟรีดและยังเป็นอดีตผู้บัญชาการรบของพวกเราที่น่าจะสลายไปเมื่อ 2 ปีก่อนตามคำบอกของผม
ทุกคนไม่อาจขยับตัวได้เพราะสับสนแม้แต่คำสั่งโจมตีก็ยังไม่มี พวกเราต่างนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นมือของโซชิก็มีผลึกแก้วใสสีเขียวแทงออกมา ริมฝีปากนั้นเอ่ยออกมาอีกครั้ง
"เธอน่ะ...อยู่ที่นั่นใช่รึเปล่า..."ภาพที่ผมมองอยู่นั้นราวกับฝันร้ายเมื่อครั้งอดีต ภาพซ้อนของอดีตที่แม้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมิอาจลืมลง ในตอนนั้นสำหรับผมแล้วมันคือความผิดอันใหญ่หลวงซึ่งผมจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว เท้าของผมเริ่มขยับและเดินเข้าไปหาโซชิทันที
"คาซึกิคุงอย่าไปนะอันตราย!"เสียงของโทมิกล่าวเรียก
"อย่าเข้าไปนะคาซึกิ!"เสียงของเค็นจิตะโกนดังลั่นจากภายในฟาฟเนอร์ก่อนตามด้วยเสียงของคานนที่อยู่ในฟาฟเนอร์เช่นกัน
"อย่านะนั่นมัน.."ดูเหมือนคานนจะพูดไม่ออกว่านี่ไม่ใช่โซชิอีกแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอกเพราะว่าสิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว
"เธอน่ะ...อยู่ที่นั่นใช่รึเปล่า..."เสียงของโซชิพูดออกมาอีกครั้งในนามของเฟสตูม ผมยิ้มส่งให้เขารู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมา มือของผมยกขึ้นโอบกอดรอบคอเขาเอาไว้ก่อนจะพูดออกมา
"อืม อยู่สิ...ฉันน่ะอยู่ที่นี่รอนายมาตลอด"
"คาซึกิ!"ทุกคนต่างส่งเสียงเรียกผมแต่ไม่อาจมีเสียงใดส่งมาถึงจิตใจของผมได้อีกแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจของผมตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว อยากปกป้องคนสำคัญ...เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตและอยากปกป้องทุกสิ่งอันเป็นที่รัก โซชิคือคนสำคัญของผมเพราะงั้นผมจะต้องปกป้องเขาเอาไว้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม....
รู้สึกได้ถึงร่างกายของเขานั้นช่างเฉ็นเฉียบดุจน้ำแข็งแล้วยังซูบผอมเสียจนไม่รู้ว่ามีแรงยืนอยู่ได้อย่างไร เขายังยืนนิ่งผลึกที่อยู่ในมือของเขายังไม่ได้แทงเข้ามาในร่างของผม ริมฝีปากที่สั่นระริกนั้นขยับและส่งเสียงที่แสนแผ่วเบาออกมา
"คาซึ..กิ..."
เพล้ง!
เสียงผลึกสีเขียวในมือของเขาแตกกระจายแล้วสลายหายไป ดวงตาสีชาดเริ่มมีแววตาที่เปลี่ยนไป สีน้ำตาลและสีแดงสลับไปมาอยู่ภายในดวงตานั้นราวกับแก่งแย่งอำนาจในการควบคุมร่าง
"บอกฉันทีสิว่านายคือใคร"ผมเอ่ยถามโดยที่มือนั้นยังไม่ปล่อยออกไปจากร่างของเขา เพราะว่ามือของผมนั้นได้กุมความหวังเอาไว้อยู่
"ฉันคือ....มินะชิโร่ โซชิ"การแย่งชิงอำนาจในการควบคุมร่างโซชิคือผู้มีชัย ดวงตาของเขากลับสู่สีน้ำตาลดังที่ควรเป็น
ผ้าพันคอสีแดงหลุดลอยไปในท้องฟ้าราวกับวิหคสยายปีก ในท้องฟ้าสีครามที่ปีกหวนกลับคืนมาทะยานขึ้นไป สู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและความสิ้นหวังเพราะว่าพวกเรามีปีกแห่งความหวังและปรารถนาอยู่ในมือแล้ว อยากจะปกป้องปีกแห่งความปรารถนาด้วยมือคู่นี้ มือของผมกำลังกระชับแน่นอย่างหวังจะมอบความอบอุ่นให้กับร่างที่เย็นเฉียบของเขา จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว....เพราะงั้นน้ำตานี้จะเป็นครั้งสุดท้าย...
"คาซึกิ..ฉัน..."โซชิเริ่มต้นพูดออกมาแต่กลับหยุดไปเสียดื้อๆคงเพราะไม่อาจจะสรรหาคำใดๆมาพูดได้สินะ แต่ผมก็รู้ดีว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
"นายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก ไม่ว่านายจะเปลี่ยนไปแค่ไหนนายก็ยังคงเป็นโซชิเพื่อนรักของฉัน....เพราะงั้น..ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะโซชิ"ผมละมือที่โอบกอดเขาออกเปลี่ยนมายืนอยู่มองหน้าเขาที่ขยับรอยยิ้มส่งมาให้
"ฉันกลับมาแล้ว"น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความยินดี อาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ รอยยิ้มจากจิตใจที่แท้จริงของเขา คนอื่นๆเมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ต่างก็รีบลงมาจากฟาฟเนอร์และกรูเข้ามาหาพวกผมก่อนจะพูดออกมาพร้อมกัน
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ!"ขณะที่กำลังยินดีอยู่นั้นโทมิก็ได้สังเกตเห็นถึงบางสิ่งบนฟากฟ้าไกล สิ่งนั้นกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนกระทั่งพวกเราสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
"ดูสิพวกนก"ฝูงนกนับร้อยตัวกำลังบินมายังเกาะแห่งนี้ เหล่าวิหคที่คิดว่าคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วกำลังกลับมายังที่แห่งนี้ด้วยความยินดีที่ได้กลับบ้าน
ไม่ว่าจะจากไปไกลแค่ไหนแต่ว่าก็คงมีสักวันที่ทุกคนจะกลับมาสู่ที่แห่งนี้ ณ เกาะทัตสึมิยะของพวกเรา
ผมจะขอพูดอีกครั้งหนึ่งสำหรับทุกคนที่หวนกลับมา
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ..."
The end
ผมเดินคิดเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับข้าวเย็นไปตามทางเดินจนเผลอไปชนคนเข้าให้ ผมรู้ทันทีว่าเป็นผู้หญิงก็เพราะเสียงร้องของเธอ
"ว้าย!"
"ขอโทษครับ...โทมิ!"ผมขอโทษพร้อมเงยหน้าขึ้นแต่ก็พบโทมิกำลังยืนทรงตัวให้ดีหลังจากเซไปเล็กน้อย
"อ้าวคาซึกิคุง ไปไหนมาเหรอ"เธอถามผม
"เอ่อ..ไปเดินเล่นมาน่ะ"ผมตอบโกหกไปเพราะไม่อยากให้เธอเป็นห่วง แต่เธอกลับมองเข้ามาในดวงตาของผมก่อนยิ้มให้
"งั้นเหรอ...ว่าแต่ไปกินข้าวบ้านชั้นมั้ย"เธอเอ่ยถามพร้อมชูตะกร้าในมือให้ดูซึ่งมีพวกหัวหอมกับแครอททำให้เดาเมนูอาหารได้ไม่ยาก
"คืนนี้ชั้นจะทำแกงกะหรี่น่ะไปกินด้วยกันมั้ย กินกันหลายๆคนต้องสนุกแน่ๆเลย"ผมนิ่งคิดเล็กน้อย จะว่าไปคืนนี้คุณพ่อเห็นว่าจะไปคุยเรื่องงานกับคุณมิโซกุจิ จะทำกินคนเดียวก็รู้สึกเบื่อๆแฮะ
"งั้นขอรบกวนด้วยนะ มาสิฉันจะช่วยถือให้"ผมพูดพร้อมกับยื่นมือไปหยิบตะกร้ามาถือแทนโดยที่โทมิก็ส่งให้อย่างว่าง่าย ระหว่างทางผมเผลอมองไปที่ท้องฟ้าหลายครั้งอย่างไม่รู้ตัวจนโทมิสังเกตเห็นจึงหยุดเดินแล้วหันมาถามผม
"มองอะไรอยู่เหรอคาซึกิคุง..."
"นกน่ะ....ตั้งแต่เริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงพวกมันก็หายไปเรื่อยๆจนตอนนี้เกือบจะฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ยังไม่เห็นพวกมันเลยซักตัว บางทีพวกมันคงไม่กลับมาอีก"คำพูดนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าในใจของผมที่มีต่อโซชิถูกพาดพิงกับสิ่งอื่นเพื่อปกปิดความจริงในใจ โทมิมองหน้าผมนิ่งอีกครั้งก่อนจะพูดตอบออกมา
"ไม่หรอกคาซึกิคุงแม้จะไปไกลแค่ไหนพวกมันก็ต้องกลับมาแน่นอนก็เพราะว่าที่นี่คือบ้านของพวกมันไงล่ะ..."สายลมหนาวที่ควรหนาวผมกลับรู้สึกอบอุ่น คงเพราะรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเธอละมั้งที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าผมจะโกหกหรือปกปิดใครได้ก็คงไม่อาจปกปิดเธอได้สินะ ดวงตาของเธอนั้นมักจะมองผู้อื่นทะลุปรุโปร่งอยู่เสมอ แต่ว่าเธอไม่เคยที่จะพูดจาว่าร้ายหรือดูถูกใครแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งที่เธอพูดออกมาทุกครั้งคือความอ่อนโยนของเธอที่มาจากเนื้อแท้อันอ่อนโยน เธอเป็นคนแบบนี้แหละ
"อืม...นั่นสินะ"รอยยิ้มขยับอยู่บนใบหน้าของผม ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้พูดกับโทมิความกลุ้มใจที่เคยมีก็มักหายไปทุกครั้ง
ขอบคุณนะ โทมิ....
ผมเลื่อนสายตามองไปทางทะเลที่อยู่ไกลออกไป คลื่นน้ำที่ซัดซาดเข้าหาชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพเดิมๆที่ผมไม่เคยเบื่อ อาจเพราะว่าสำหรับพวกเราแล้วที่แห่งนี้ก็คือ สรวงสวรรค์นั่นเอง
ระหว่างที่เริ่มคิดเรื่อยเปื่อยเป็นครั้งที่สองของวันอยู่ๆนัยน์ตาทั้งสองข้างของผมก็รู้สึกแปลกๆ...มันไม่เชิงว่าเจ็บ มันออกจะรู้สึกแสบร้อน จนผมเผลอใช้มือที่ว่างอยู่กุมบริเวณดวงตาทั้งสองไว้
"คาซึกิคุง!"โทมิเข้ามาประคองผมที่เริ่มยืนไม่อยู่ ข้าวของในมือหล่นสู่พื้นกระจัดกระจายไปทั่ว
"เป็นอะไรมากรึเปล่า...น...นี่มัน...ตาสีแดง"จากคำบอกของโทมิทำให้ผมรู้ว่าตาของผมได้กลายเป็นสีแดงไปแล้ว เธอดูจะเป็นกังวลมากกว่าผมซะอีก คงเพราะเธอคิดว่าอาการนี้หายไปแล้วซึ่งเธอจะคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกเพราะว่าผมไม่เคยบอกใครเลยว่า ตาของมันมันยังกลายเป็นสีแดงอยู่เสมอเวลาที่ผมคิดถึงโซชิ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมนึกถึงโซชิผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้มีแค่ครั้งนี้ที่ต่างออกไป....
ซ่า...
เสียงคลื่น?...ผมได้ยินเสียงคลื่นทั้งที่อยู่ตรงนี้ เสียงคลื่นที่รู้สึกเหมือนมันกำลังเรียกผมอยู่
"ทะเล..."โทมิเงยหน้ามองผมอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดแต่ผมไม่ได้สนใจ
"ชั้นต้องไปที่ทะเล...."พูดจบผมก็วิ่งออกไปทันทีโดยทิ้งโทมิเอาไว้ เธอจึงรีบวิ่งตามผมมาแทบจะทันที
"คาซึกิคุงรอชั้นด้วย!"เธอตะโกนไล่หลังผม แทนที่ผมจะชะลอฝีเท้าผมกลับเร่งฝีเท้าขึ้นอีกอย่างไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย อาจเพราะว่าเสียงทะเลที่เรียกหาผมอยู่ในหัวละมั้งที่ทำให้ผมไม่อาจสนใจสิ่งอื่นได้ ดวงตายังคงเป็นสีแดง ความรู้สึกที่ใกล้เคียงความเจ็บปวดยังไม่จางหายไปแต่กลับเพิ่มมากขึ้น หัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรืออะไรกันแน่ ลมหายใจเริ่มรัวถี่และหอบอย่างผ่อนคลายความร้อนในร่างกาย
ซ่า...ซ่า....
เสียงคลื่นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแสดงว่าผมเข้าใกล้ชายหาดมามากแล้ว ผมจึงเร่งความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมโดยหวังจะไปให้ถึงที่นั่นเร็วขึ้นแม้สักวินาทีก็ยังดี
"แฮ่กๆ"ผมหยุดวิ่งทันทีเมื่อเท้าเหยียบลงไปบนหาดทราย แล้วยืนหอบอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อโทมิตามมาถึงสภาพของเธอก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่
"คาซึกิ..คุงที่ทะ..เลมีอะ..ไร..เหรอ"เสียงของเธอขาดหายเป็นช่วงๆเพราะเหนื่อยที่วิ่งตามผมมา
"ฉันก็ไม่รู้..เหมือนกัน...เพียงแต่ว่า..มีบางสิ่งกำลังเรียก..ฉันอยู่..."เสียงผมตอบเธอก็ขาดหายไม่แพ้กันก่อนจะเริ่มควบคุมลมหายใจให้เข้าสู่สภาวะปกติได้แล้วลุกขึ้นยืนทรงตัวให้ดีโดยมีโทมิมองออกไปทางทะเลหลังจากฟังที่ผมพูดแล้วเธอก็มีท่าทางแปลกไปผมจึงลองจ้องมองไปในทางเดียวกับเธอ แล้วดวงตาของเราสองคนก็เบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น
ร่างหนึ่งที่เดินเข้ามานั้นมีส่วนสูงใกล้เคียงกับผม เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเลยกลางหลังไปมากจนดูคล้ายผู้หญิงแต่ผมก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย เขาสวมเครื่องแบบของอัลวิสที่ขาดวิ่น เสื้อนอกแขนยาวขาดหายไปข้างหนึ่งเหลือแต่เศษผ้ารุ่งริ่งแถวต้นแขนขวา ขากางเกงก็ยับเยินไม่แพ้เสื้อ ผ้าพันคอสีแดงที่ดูเหมือนผูกหลวมๆความจริงมันคงใกล้จะหลุดออกมามากกว่า เขาเดินด้วยท่าทางโซซัดโซเซราวกับไร้วิญญาณ ดวงตาเป็นสีแดงเช่นเดียวกับผม แต่สำคัญที่สุดคือใบหน้าของเขา ใบหน้าของผู้ที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอด
"โซ..ชิ..."ความดีใจแผ่ซ่านอยู่เต็มอก ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเมื่อเขาเห็นผมเข้าไปใกล้ก็หยุดเดินผมจึงหยุดตาม
"โซชินาย...กลับมาแล้ว..."ในใจกระโดดโลดเต้นอย่างหยุดไม่อยู่ สิ้นสุดกันเสียทีกับการรอคอย...
"นายรู้มั้ยว่าฉันรอนายมาตลอดเลยนะ....นี่นายพูดอะไรบ้างสิ"ผมบอกออกไปเช่นนั้นเมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรออก แล้วผมก็เห็นริมฝีปากของเขาขยับก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา
"เธอน่ะ...อยู่ที่นั่นใช่รึเปล่า..."ลมทะเลพัดแรงอย่างกระทันหันราวกับพายุพร้อมด้วยเสียงสัญญาณเตือนภัยได้ดังขึ้นหลังจากที่เงียบหายไป 2 ปีและเสียงประกาศที่ดังตามมา
"เฟสตูมไม่สามารถระบุประเภทได้ปรากฏขึ้นที่ชายหาดขอให้ทุกท่านที่อยู่บริเวณนั้นโปรดรีบเข้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยและขอให้ฟาฟเนอร์ทุกเครื่องไปประจำตำแหน่งที่บริเวณชายหาดโดยด่วน!"สิ้นเสียงประกาศไปไม่กี่นาทีหุ่นยนต์รบนามฟาฟเนอร์ทั้งหลายก็มาล้อมรอบพวกเราสามคนเอาไว้ แน่นอนทุกคนอยู่ในอาการตื่นตระหนกเมื่อได้พบกับเฟสตูมที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ ผมเองก็เช่นกัน
เฟสตูม...หมายความว่ายังไง....
ผมคิดทบทวนในใจไม่ต่างจากคนอื่นเพราะเฟสตูมที่ว่ากลับเป็นอดีตผู้ควบคุมระบบซิกฟรีดและยังเป็นอดีตผู้บัญชาการรบของพวกเราที่น่าจะสลายไปเมื่อ 2 ปีก่อนตามคำบอกของผม
ทุกคนไม่อาจขยับตัวได้เพราะสับสนแม้แต่คำสั่งโจมตีก็ยังไม่มี พวกเราต่างนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นมือของโซชิก็มีผลึกแก้วใสสีเขียวแทงออกมา ริมฝีปากนั้นเอ่ยออกมาอีกครั้ง
"เธอน่ะ...อยู่ที่นั่นใช่รึเปล่า..."ภาพที่ผมมองอยู่นั้นราวกับฝันร้ายเมื่อครั้งอดีต ภาพซ้อนของอดีตที่แม้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังมิอาจลืมลง ในตอนนั้นสำหรับผมแล้วมันคือความผิดอันใหญ่หลวงซึ่งผมจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว เท้าของผมเริ่มขยับและเดินเข้าไปหาโซชิทันที
"คาซึกิคุงอย่าไปนะอันตราย!"เสียงของโทมิกล่าวเรียก
"อย่าเข้าไปนะคาซึกิ!"เสียงของเค็นจิตะโกนดังลั่นจากภายในฟาฟเนอร์ก่อนตามด้วยเสียงของคานนที่อยู่ในฟาฟเนอร์เช่นกัน
"อย่านะนั่นมัน.."ดูเหมือนคานนจะพูดไม่ออกว่านี่ไม่ใช่โซชิอีกแล้ว แต่ผมไม่สนใจหรอกเพราะว่าสิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว
"เธอน่ะ...อยู่ที่นั่นใช่รึเปล่า..."เสียงของโซชิพูดออกมาอีกครั้งในนามของเฟสตูม ผมยิ้มส่งให้เขารู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมา มือของผมยกขึ้นโอบกอดรอบคอเขาเอาไว้ก่อนจะพูดออกมา
"อืม อยู่สิ...ฉันน่ะอยู่ที่นี่รอนายมาตลอด"
"คาซึกิ!"ทุกคนต่างส่งเสียงเรียกผมแต่ไม่อาจมีเสียงใดส่งมาถึงจิตใจของผมได้อีกแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจของผมตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว อยากปกป้องคนสำคัญ...เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตและอยากปกป้องทุกสิ่งอันเป็นที่รัก โซชิคือคนสำคัญของผมเพราะงั้นผมจะต้องปกป้องเขาเอาไว้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม....
รู้สึกได้ถึงร่างกายของเขานั้นช่างเฉ็นเฉียบดุจน้ำแข็งแล้วยังซูบผอมเสียจนไม่รู้ว่ามีแรงยืนอยู่ได้อย่างไร เขายังยืนนิ่งผลึกที่อยู่ในมือของเขายังไม่ได้แทงเข้ามาในร่างของผม ริมฝีปากที่สั่นระริกนั้นขยับและส่งเสียงที่แสนแผ่วเบาออกมา
"คาซึ..กิ..."
เพล้ง!
เสียงผลึกสีเขียวในมือของเขาแตกกระจายแล้วสลายหายไป ดวงตาสีชาดเริ่มมีแววตาที่เปลี่ยนไป สีน้ำตาลและสีแดงสลับไปมาอยู่ภายในดวงตานั้นราวกับแก่งแย่งอำนาจในการควบคุมร่าง
"บอกฉันทีสิว่านายคือใคร"ผมเอ่ยถามโดยที่มือนั้นยังไม่ปล่อยออกไปจากร่างของเขา เพราะว่ามือของผมนั้นได้กุมความหวังเอาไว้อยู่
"ฉันคือ....มินะชิโร่ โซชิ"การแย่งชิงอำนาจในการควบคุมร่างโซชิคือผู้มีชัย ดวงตาของเขากลับสู่สีน้ำตาลดังที่ควรเป็น
ผ้าพันคอสีแดงหลุดลอยไปในท้องฟ้าราวกับวิหคสยายปีก ในท้องฟ้าสีครามที่ปีกหวนกลับคืนมาทะยานขึ้นไป สู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและความสิ้นหวังเพราะว่าพวกเรามีปีกแห่งความหวังและปรารถนาอยู่ในมือแล้ว อยากจะปกป้องปีกแห่งความปรารถนาด้วยมือคู่นี้ มือของผมกำลังกระชับแน่นอย่างหวังจะมอบความอบอุ่นให้กับร่างที่เย็นเฉียบของเขา จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว....เพราะงั้นน้ำตานี้จะเป็นครั้งสุดท้าย...
"คาซึกิ..ฉัน..."โซชิเริ่มต้นพูดออกมาแต่กลับหยุดไปเสียดื้อๆคงเพราะไม่อาจจะสรรหาคำใดๆมาพูดได้สินะ แต่ผมก็รู้ดีว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
"นายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก ไม่ว่านายจะเปลี่ยนไปแค่ไหนนายก็ยังคงเป็นโซชิเพื่อนรักของฉัน....เพราะงั้น..ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะโซชิ"ผมละมือที่โอบกอดเขาออกเปลี่ยนมายืนอยู่มองหน้าเขาที่ขยับรอยยิ้มส่งมาให้
"ฉันกลับมาแล้ว"น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความยินดี อาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ รอยยิ้มจากจิตใจที่แท้จริงของเขา คนอื่นๆเมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ต่างก็รีบลงมาจากฟาฟเนอร์และกรูเข้ามาหาพวกผมก่อนจะพูดออกมาพร้อมกัน
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ!"ขณะที่กำลังยินดีอยู่นั้นโทมิก็ได้สังเกตเห็นถึงบางสิ่งบนฟากฟ้าไกล สิ่งนั้นกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนกระทั่งพวกเราสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
"ดูสิพวกนก"ฝูงนกนับร้อยตัวกำลังบินมายังเกาะแห่งนี้ เหล่าวิหคที่คิดว่าคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วกำลังกลับมายังที่แห่งนี้ด้วยความยินดีที่ได้กลับบ้าน
ไม่ว่าจะจากไปไกลแค่ไหนแต่ว่าก็คงมีสักวันที่ทุกคนจะกลับมาสู่ที่แห่งนี้ ณ เกาะทัตสึมิยะของพวกเรา
ผมจะขอพูดอีกครั้งหนึ่งสำหรับทุกคนที่หวนกลับมา
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ..."
The end
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ