[FanFic Fafner]Flugel - ปีกของผู้ที่เฝ้ารอคอย
-
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 21.52 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
8,427 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 22.24 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความAs long as you still believe me...one day I'll come back...to where you are...
ตราบใดที่นายยังคงเชื่อมั่นในตัวฉัน...สักวันฉันจะกลับมา...ยังที่ซึ่งมีนายอยู่...
หลังจากเมื่อตอนนั้น เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป 2 ปี ผมยังคงอยู่ที่นี่...ที่ลานของภูเขาแห่งความเดียวดาย ที่ซึ่งเคยออกปากว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้วยังคงมาอยู่เสมอ...
“ภูเขาสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่คนเดียว” ใครกันนะเป็นผู้ที่คิดขึ้นมา สำหรับผมแล้วเมื่อก่อนนี้อาจจะใช่เพราะผมคิดมาตลอดว่าบางที..ผมไม่อยู่ซะคงจะดีกว่า ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วตอนนี้ผมอยากจะมีตัวตนอยู่เพื่อรอใครคนหนึ่ง..คำสัญญาของผมและโซชิเพียงสองคน...เพราะงั้นผมจึงได้มาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
ร่างกายของผมปะทะกับสายลมที่พัดผ่านมา เมื่อมองออกไปข้างหน้าก็ยังคงเป็นทิวทัศน์เดิมที่เคยมองอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนเหมือนเมื่อครั้งที่ผมและทุกคนยังเด็กนัก....ยังคงมองเห็นถึงตัวตนของผมในเวลานั้นอยู่เสมอ...
เมื่อมองดู ณ เวลานี้สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นตัวผมและทุกคนที่เติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลา...ละทิ้งความลังเล ความเศร้า ความอ่อนแอทั้งหมดก็เพื่อปกป้องทิวทัศน์นี้เอาไว้..เหมือนกับโซชิ ในที่สุดผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว...
เมื่อคราวที่ได้สยายปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามที่ทอดยาวออกไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ผมจะต้องเข้มแข็งขึ้น..จะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ความเศร้าที่พยายามแทรกเข้ามานี้ให้ได้ ผมจะต่อสู้เพื่อรักษาที่อยู่ของผมเอาไว้โดยไม่ให้ใครหรือภัยร้ายมากล้ำกรายได้โดยเด็ดขาด ทั้งปีกของผมที่เป็นความหวังและทุกคนที่หวังในตัวผม ผมจะปกป้องมันไว้ด้วยมือของผมเอง
จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว...
"โซชิ..."ชื่อของคนหนึ่งที่ผมรอคอยหลุดออกมาโดยที่นัยน์ตาของผมยังจ้องมองออกไปไกลอยู่เสมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มักกลายเป็นสีแดงอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะยามเมื่อผมนึกถึงโซชิมันก็จะกลายเป็นสีแดงทุกครั้งไป
แม่ของโทมิ..คุณหมอโทมิบอกว่าอาจเพราะร่างกายยังไม่เสถียรจากการรักษาภาวะ"การดูดกลืน"และมันคงเป็นแบบนี้ไปอีกซักพัก
นั่นเพราะว่าเมื่อ2ปีก่อนหลังจากที่ผมได้กลับมาแล้ว ผมก็เข้ารับการรักษาทันทีเพื่อคงความมีตัวตนเอาไว้....
..............
..........
"เอาล่ะเข้าไปนอนในนี้ได้เลยนะจ้ะ"คุณหมอโทมิบอกผมแบบนั้นพร้อมชี้ไปที่แคปซูลอันหนึ่งที่อยู่กลางห้องสีขาว ผมจำได้ทันทีว่าเคยเห็นโคโยและซากุระนอนอยู่ในนี้เพื่อยับยั้งภาวะ"การดูดกลืน" ก่อนจะมาที่นี่คุณหมอบอกผมว่าพวกเค้าจะรักษาในขณะที่ผมนอนหลับอยู่ในนี้ซึ่งจะทำให้ได้ผลดีกว่าตอนที่ผมตื่นอยู่
ในตอนนั้นผมนึกลังเล..ไม่สินึกกลัวขึ้นมา ผมกลัวว่าหากผมหลับไปแล้วอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจพวกแม่ของโทมิแต่ว่า...ผมกลัว...
"ไม่เป็นไรนะ คาซึกิคุงเธอจะต้องไม่เป็นอะไรเชื่อใจชั้นสิ"...เชื่อใจฉันสิ...คำพูดแบบเดียวกับที่โซชิเคยพูดเอาไว้เมื่อตอนที่ผมจะขับฟาฟเนอร์ครั้งแรก เขาจะรู้ไหมนะว่าคำว่า เชื่อใจ นั้นมีค่าสำหรับผมมากแค่ไหน
ตลอดมาผมเคยคิดว่าเขาคงไม่ต้องการผมเพราะว่าผมทำให้ตาซ้ายของเขาต้อง...แต่เขาก็ยังบอกให้ผมเชื่อใจเขาแสดงว่าเขาเองก็เชื่อใจผมเหมือนกัน เขาต้องการผม... ฉะนั้นผมจึงยอมขึ้นขับฟาฟเนอร์ทั้งที่รู้ว่ามันอันตรายเรื่อยมา
เชื่อใจฉันสิ...คำง่ายๆสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความกลัวที่เคยมีก็พลันหายไปหมดเพราะคำพูดนี้
"โทมิ..ขอบคุณนะ"นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของผมก่อนที่จะเอนตัวลงนอนในแคปซูลนั้นและหลับไป...
ขณะที่ผมหลับอยู่..ผมฝัน...ฝันถึงเรื่องราวมากมายทั้เรื่องที่เจ็บปวดและเรื่องที่ยินดี เรื่องที่อยากจะลืมและเรื่องที่ไม่มีวันลืม...
ความฝันของผมมันเริ่มต้นที่นี่...
เพล้ง!
เสียงบางอย่างแตกสลายไป แท่งผลึกสีเขียวที่ปรากฏอยู่บนมือของโซชิสลายหายไปพร้อมๆกับเลือดที่แดงเข้มที่ชโลมอยู่บนใบหน้าของเค้า
"อ้าก!!!!"ผมได้ยินเสียงเค้าร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมองดูมือของตนเองที่มีเลือดสีเดียวกันติดอยู่ กลิ่นคาวเลือดลอยขึ้นมาเตะจมูก ภาพของเพื่อนที่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมันกำลังทำให้ผมกลัว
ผมลุกขึ้นและออกวิ่งโดยไม่แม้หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย เมื่อถึงบ้านผมรีบล้างมือที่เปื้อนเลือดออกอย่างเร่งด่วนและขังตนเองอยู่ในห้อง คิดแต่เพียงว่ามันเป็นความผิดของผม...
มือเล็กๆที่แม้จะล้างเลือดออกไปแต่กลิ่นคาวที่น่าสะอิดสะเอียนของมันยังคงเหลืออยู่ แต่ตัวผมสิที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าเพราะว่าผมวิ่งหนีมาโดยทิ้งโซชิไว้แบบนั้นเพียงลำพัง....
เช้าวันต่อมาผมแทบไม่อยากจะไปโรงเรียนเลย คงเพราะกลัวที่จะได้พบกับความจริงที่รออยู่ตรงหน้า แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจไปเพราะมันก็ยังดีกว่าจะกักขังตัวเองอยู่แบบนี้
"อรุณสวัสดิ์ คาซึกิคุง"เสียงน่ารักๆของโทมิทักผมเป็นคนแรกเมื่อผมก้าวเข้าไปในห้องและนั่งลงที่โต๊ะประจำ โทมิมักจะมาเช้าอยู่เสมอตั้งแต่ตอนนั้นแล้วและที่นั่งของโชโกะก็มักจะว่างอยู่เสมอ...ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
"อรุณสวัสดิ์"ผมทักตอบและก็อดแปลกใจไม่ได้ที่โทมิยังจ้องหน้าผมด้วยดวงตาใสแป๋วแล้วถาม
"ทำไมวันนี้ดูคาซึกิคุงไม่ร่าเริงเลยล่ะ"คำถามที่ทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่พยายามกดไว้ผุดขึ้นมามันคงเป็นความกลัวแบบเด็กๆที่เวลาทำอะไรเสียหายก็ต้องนำไปซ่อนไม่ให้ใครเห็นแต่นี่คงไม่เหมือนกันมากนักเพราะสิ่งที่เสียหายไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นเพื่อนรักของผม..โซชิ
ผมนิ่งเงียบกับคำถามนั้น พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆและยังเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเหลียวมอง
"อรุณสวัสดิ์"โซชิกล่าวออกมาขณะที่พาร่างเล็กๆของตนซึ่งตาซ้ายนั้นมีผ้าสีขาวพันเอาไว้เสียแน่นจนเกือบจะปิดตาขวาอีกข้างด้วยซ้ำ เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างจากผมพอควรโดยยังมีเพื่อนๆรุมล้อมอยู่
"อรุณสวัสดิ์คาซึกิ"อยู่ๆโซชิก็หันมาและกล่าวทักทายผมพร้อมยิ้มให้คงเพราะเขารู้ละมั้งว่าผมจ้องมองเขาอยู่
"อ..อืม"ผมตอบรับในลำคอและพยักหน้า
"โซชิตาของนาย...."เค็นจิเป็นคนเริ่มถามขึ้นจากในกลุ่มเพื่อนที่ยืนล้อมอยู่
"อ๋อนี่เหรอ พอดีเมื่อวานฉันหกล้มไปโดนกิ่งไม้เข้าน่ะ"โซชิบอกไปแบบนั้น
ไม่ใช่นะ...
"แล้วเจ็บมากรึเปล่า"เค็นจิถามต่อพลางมองที่ผ้าพันแผล
"ก็นิดหน่อยนะ"
ไม่ใช่หรอกมันต้องเจ็บมากแน่ๆ...
"นี่นายไปหกล้มมาจริงน่ะเหรอ"คราวนี้ซากุระเป็นฝ่ายถามบ้างคงเพราะผ้าพันแผลที่พันหนามากขนาดนั้นละมั้งเลยทำให้เธอสงสัย
"อืมพอดีฉันวิ่งแล้วมันสะดุดน่ะ เพราะฉันไม่ระวังเองแหละ"โซชิยังยืนยันคำเดิมแล้วยิ้มเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่ใช่..มันเพราะผมต่างหากล่ะ
คนที่ทำให้โซชิต้องเจ็บปวดคือผมเอง คนที่ทำร้ายโซชิก็คือผมแล้ว ทำไม...
ณ เวลานั้นผมทำได้แค่ร่ำร้องอยู่ในจิตใจเพียงคนเดียว ผมไม่อาจจะพูดออกไปได้ทั้งความกลัวและความลังเลนั้นมันกำลังกดทับความรู้สึกต่างๆเอาไว้
ทำไมล่ะโซชิ...ทำไมถึงไม่โทษฉันซักคำ...ทั้งที่น่าจะเจ็บปวดแล้วทำไมยังยิ้มให้ฉันอีกแล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไง
ผมนิ่งเงียบมองเขาโดยไม่กล้าพูดอะไรจนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปผมและเขาก็ไม่เคยได้พูดอะไรกันอีกเลย จนแม้เราสองคนจะเติบโตขึ้นระยะห่างที่ผมสร้างขึ้นก็ไม่ได้หดสั้นลงเลยซ้ำยังเหมือนกับว่าเราสองคนห่างไกลกันไปเรื่อยๆ โซชิเองก็คงรู้ว่าผมพยายามที่จะหนีเขาโซชิจึงพยายามจะไม่พูดกับผมโดยไม่จำเป็น ภาพของเราสองคนที่เคยเล่นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานดูจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น
ผมเคยคิดแบบนั้นจนกระทั่งวันที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผมและทุกคนก็มาถึง วันนั้นขณะที่ผมกำลังประลองกับเค็นจิแบบที่เคยทำอยู่บ่อยๆความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามา ผมละทิ้งการต่อสู้และวิ่งออกไปโดยไม่รู้ตัว มันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังเรียกผมอยู่ วิ่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นผมจึงตัดสินใจเข้าไปในที่หลบภัยพร้อมๆกับคนรอบข้าง
ที่นั่นทุกคนต่างพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้น ที่แห่งนั้นมีหลากหลายอารมณ์ปะปนไปมาหลายคนตื่นตระหนก บางคนเริ่มหวาดกลัว น้อยคนนักที่จะสงบได้แบบผมอาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมกลัวนั้นมันมากกว่าความกลัวที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
ผ่านไปได้ไม่นานเสียงที่เคยพูดคุยก็เงียบลงและเสียงประกาศก็ดังขึ้นทำลายความเงียบผมลืมตาขึ้นและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
"มาคาเบะ คาซึกิขอให้เตรียมตัวให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจ"เสียงที่ออกมาทำให้ผมรู้สึกตกใจไม่น้อยเพราะมันเป็นเสียงของโซชิที่ไม่ได้อยู่ที่นี่
"ขอย้ำ! มาคาเบะ คาซึกิขอให้เตรียมตัวให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจ"เสียงของโซชิเอ่ยย้ำอีกครั้ง รู้สึกได้เลยว่าสายตาของเพื่อนๆกำลังมองมาที่ผมอย่างสนอกสนใจและสงสัย ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูซึ่งกำลังจะเปิดออก เมื่อประตูนั้นเปิดออกร่างของโซชิก็ยืนอยู่ข้างหน้า
"โซชิ พวกเราน่ะจะไปที่ไหนงั้นเหรอ"ผมถามด้วยความสงสัย แต่คำตอบที่ได้ก็ดูจะไม่เป็นคำตอบเสียเท่าไหร่
"สรวงสวรรค์ไงล่ะ..."
จากนั้นเขาก็พาผมไปยังที่แห่งหนึ่งที่ลงไปใต้ดินลึกลงไปมากกว่าหลุมหลบภัยเสียอีกที่นั่นผมได้พบกับพวกอาจารย์และคนในเมืองทั้งหลายกำลังทำอะไรบางอย่างกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าซึ่งมันดูแปลกตาสำหรับผมแต่ที่ผมตกใจที่สุดคงเป็นสถานที่ซึ่งผมกำลังยืนอยู่และสิ่งที่ผมต้องไปเผชิญหน้ากับมัน
หุ่นยนต์ยักษ์สีฟ้าเข้มรูปร่างประหลาดและเพรียวบางยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม สายตาผมเหลือบไปเห็นอ.ฮาซามะ โยโกะกำลังง่วนอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาผมและยิ้มให้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้
"ชื่อของมันคือมาร์คเอลฟ์"ชื่อประหลาด...สิ่งที่ผมคิดในใจเมื่อได้ยินชื่อนี้แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเขาให้ผมมาดูสิ่งนี้ทำไมแต่ผมได้คำตอบมาในทันที
"นายจะต้องขึ้นไปขับมันเพื่อปกป้องเกาะนี้เอาไว้"คำพูดของโซชิทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงนึกว่าเขาพูดเล่นแต่ในเวลานี้มันกำลังทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
จะทำได้เหรอคนไร้ค่าอย่างผมน่ะ....
ผมคิดแบบนั้นและพยายามปฏิเสธเขาใจหนึ่งก็กลัวใจหนึ่งก็สับสน เฝ้าคิดแต่ว่าไม่มีวันทำได้แต่แล้วคำพูดหนึ่งของโซชิก็ช่วยเปลี่ยนใจผม
"เชื่อใจฉันสิ...."คำพูดเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่างในใจของผม
เชื่อใจ...กับคนอย่างผม เขาเชื่อใจผมที่แสนไร้ค่า ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไร้ค่าอีกแล้ว ผมกำลังเป็นที่ต้องการไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
และนั่นก็คือเหตุผลที่ผมขับฟาฟเนอร์มาตลอด ทั้งที่รู้ว่าอันตรายแต่ก็ยอมเสี่ยงอย่างน้อยผมก็ไม่ไร้ค่าและมีค่าแก่การจดจำ หากไร้ค่าก็ไร้ผู้คนจดจำแต่หากมีค่าเหล่าผู้คนก็จะไม่ลืมเลือน
ระยะห่างของผมและโซชิดูจะหดสั้นลงทุกครั้งที่ผมได้ออกปฏิบัติการ เส้นทางได้ทอดยาวออกไปไกลโดยมีโซชิและผมก้าวเดินอยู่บนเส้นทางนั้น ความยินดีกำลังเปี่ยมล้นอยู่ในอก
ทว่าผมคงคิดไปเองฝ่ายเดียว...เพราะว่าหลังจากที่โชโกะและโคโยไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงอยู่อีก ผมก็ได้เห็นด้านหนึ่งของโซชิ เขาดูเย็นชาและไร้ใจราวกับเป็นคนละคนที่ผมเคยเห็นมาตลอด ในวันนั้นผมจึงได้ถามเขาออกไป
"โซชิสำหรับนายแล้วพวกเรากับฟาฟเนอร์สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน"ที่ถามไปเช่นนั้นเพราะอยากเข้าใจในความเปลี่ยนไปของเขา โซชิมักพูดเหมือนกับว่าฟาฟเนอร์สำคัญกว่าทุกสิ่งแต่ผมก็ไม่แน่ใจจึงได้ถามเช่นนั้น
"...ฟาฟเนอร์ไงล่ะ"ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งลง ทุกสิ่งที่เคยสร้างมาด้วยกันพังทลายลง ความเชื่อใจที่เคยเชื่อกลายเป็นเพียงคำโกหก เส้นทางที่เคยคิดว่าได้เดินร่วมกันขาดสะบั้นลงจนผมคิดว่า เราคงไม่อาจร่วมเดินกันได้อีกต่อไป
ในเช้าวันต่อมาผมก็ได้ออกจากเกาะไป.... โดยหวังเพียงแค่อยากจะพบในสิ่งที่โซชิเคยพบ อยากจะมองในสิ่งที่โซชิเคยมอง เพื่อว่าจะได้เข้าใจเขามากขึ้น
ทว่าผมกลับถูกจับไปที่ฐานทัพโมลโดว่าหรือฐานของกองทัพมนุษย์ที่นั่นผมได้แต่ไตร่ตรองในทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสู้ แต่มันจะมีหรือสำหรับผมน่ะ แล้วผมก็ได้พบกับผู้ที่ไม่คิดว่าจะได้พบ
คุณแม่...
ไม่สิหากพูดให้ถูกคือเฟสตูมรูปแบบมาสเตอร์ที่ดูดกลืนคุณแม่เข้าไปมากกว่า เฟสตูมตนนั้นได้มอบมาร์คไซน์ให้กับผมและเธอก็ถูกเฟสตูมอีกตัวหนึ่งกลืนกินเข้าไป ภาพของผู้ที่มีใบหน้าของคุณแม่ถูกกลืนกินเข้าไปทำให้ผมคลั่งและเข้าจัดการมันอย่างเดือดดาล
ผมทำให้พื้นที่รอบข้างกลายเป็นลาวาและดูดกลืนพวกเฟสตูมเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วผมก็จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด ภาพของโซชิที่มีผ้าพันแผลที่ตาซ้ายผุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเธอคือน้องสาวของโซชิชื่อ สึบากิ
สึบากิได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของโซชิให้ผมฟังและถามผมว่า"เธอน่ะอยากจะมีตัวตนหรืออยากจะหายไป...."
คำตอบนั้นผมไม่รู้หรอกเพราะตลอดมาผมคิดแต่ว่าไม่อยู่เสียจะดีกว่า แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความรู้สึกของโซชิความคิดของผมก็เปลี่ยนไปผมอยากจะ...คุยกับโซชิอีกสักครั้ง
ผมกำลังเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ทั้งที่รู้ตัวมาตลอดแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ คิดมาตลอดว่าอยากหายไปทั้งที่จริงแล้วผมอยากจะมีตัวตนอยู่ที่นี่ต่างหาก ผมอยากจะอยู่ที่นี่....อยากจะเป็นกำลังให้กับโซชิ....อยากจะพูดคุยกับเขาอีกครั้ง....
ความรู้สึกนี้แหละที่ผลักดันให้ผมกล้าที่จะกลับมายังเกาะแห่งนี้ซึ่งตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่า มันคือสถานที่ซึ่งผมไม่อาจไม่อาจแยกจากมาได้อีกแล้ว...
มือของผมนั้นกำคำตอบของตนเองเอาไว้แน่น คำตอบที่ผมจะไม่มีวันเสียใจ จะไม่หลบเลี่ยงที่ทำเพียงแค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆอีกแล้ว คราวนี้แหละที่ผมจะเผชิญหน้าเข้าต่อสู้กับอดีตนั้น
โซชิ...โซ่ที่พันธนาการนายเอาไว้ นายไม่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้เพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
ตลอดมานายแบกรับความเจ็บปวดไว้เพียงผู้เดียว...เพราะงั้นคราวนี้แหละที่ฉันจะแบกรับมันเอาไว้บ้าง
ท้องฟ้าสีครามนี้ปีกของผมได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลและทะยานขึ้นไปอีกครั้ง โผบินอย่างอิสระสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไร้ซึ่งมลทินและความสิ้นหวังทั้งปวง อยากจะใช้มือทั้งสองข้างของผมช่วยเหลือนายและทุกคนจากความสิ้นหวัง จะไม่มีวันทำให้มันเกิดรอยแผลขึ้นมาอีกต่อไปแล้ว....
ตราบใดที่นายยังคงเชื่อมั่นในตัวฉัน...สักวันฉันจะกลับมา...ยังที่ซึ่งมีนายอยู่...
หลังจากเมื่อตอนนั้น เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป 2 ปี ผมยังคงอยู่ที่นี่...ที่ลานของภูเขาแห่งความเดียวดาย ที่ซึ่งเคยออกปากว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้วยังคงมาอยู่เสมอ...
“ภูเขาสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่คนเดียว” ใครกันนะเป็นผู้ที่คิดขึ้นมา สำหรับผมแล้วเมื่อก่อนนี้อาจจะใช่เพราะผมคิดมาตลอดว่าบางที..ผมไม่อยู่ซะคงจะดีกว่า ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วตอนนี้ผมอยากจะมีตัวตนอยู่เพื่อรอใครคนหนึ่ง..คำสัญญาของผมและโซชิเพียงสองคน...เพราะงั้นผมจึงได้มาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
ร่างกายของผมปะทะกับสายลมที่พัดผ่านมา เมื่อมองออกไปข้างหน้าก็ยังคงเป็นทิวทัศน์เดิมที่เคยมองอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนเหมือนเมื่อครั้งที่ผมและทุกคนยังเด็กนัก....ยังคงมองเห็นถึงตัวตนของผมในเวลานั้นอยู่เสมอ...
เมื่อมองดู ณ เวลานี้สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นตัวผมและทุกคนที่เติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลา...ละทิ้งความลังเล ความเศร้า ความอ่อนแอทั้งหมดก็เพื่อปกป้องทิวทัศน์นี้เอาไว้..เหมือนกับโซชิ ในที่สุดผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว...
เมื่อคราวที่ได้สยายปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามที่ทอดยาวออกไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ผมจะต้องเข้มแข็งขึ้น..จะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ความเศร้าที่พยายามแทรกเข้ามานี้ให้ได้ ผมจะต่อสู้เพื่อรักษาที่อยู่ของผมเอาไว้โดยไม่ให้ใครหรือภัยร้ายมากล้ำกรายได้โดยเด็ดขาด ทั้งปีกของผมที่เป็นความหวังและทุกคนที่หวังในตัวผม ผมจะปกป้องมันไว้ด้วยมือของผมเอง
จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว...
"โซชิ..."ชื่อของคนหนึ่งที่ผมรอคอยหลุดออกมาโดยที่นัยน์ตาของผมยังจ้องมองออกไปไกลอยู่เสมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มักกลายเป็นสีแดงอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะยามเมื่อผมนึกถึงโซชิมันก็จะกลายเป็นสีแดงทุกครั้งไป
แม่ของโทมิ..คุณหมอโทมิบอกว่าอาจเพราะร่างกายยังไม่เสถียรจากการรักษาภาวะ"การดูดกลืน"และมันคงเป็นแบบนี้ไปอีกซักพัก
นั่นเพราะว่าเมื่อ2ปีก่อนหลังจากที่ผมได้กลับมาแล้ว ผมก็เข้ารับการรักษาทันทีเพื่อคงความมีตัวตนเอาไว้....
..............
..........
"เอาล่ะเข้าไปนอนในนี้ได้เลยนะจ้ะ"คุณหมอโทมิบอกผมแบบนั้นพร้อมชี้ไปที่แคปซูลอันหนึ่งที่อยู่กลางห้องสีขาว ผมจำได้ทันทีว่าเคยเห็นโคโยและซากุระนอนอยู่ในนี้เพื่อยับยั้งภาวะ"การดูดกลืน" ก่อนจะมาที่นี่คุณหมอบอกผมว่าพวกเค้าจะรักษาในขณะที่ผมนอนหลับอยู่ในนี้ซึ่งจะทำให้ได้ผลดีกว่าตอนที่ผมตื่นอยู่
ในตอนนั้นผมนึกลังเล..ไม่สินึกกลัวขึ้นมา ผมกลัวว่าหากผมหลับไปแล้วอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจพวกแม่ของโทมิแต่ว่า...ผมกลัว...
"ไม่เป็นไรนะ คาซึกิคุงเธอจะต้องไม่เป็นอะไรเชื่อใจชั้นสิ"...เชื่อใจฉันสิ...คำพูดแบบเดียวกับที่โซชิเคยพูดเอาไว้เมื่อตอนที่ผมจะขับฟาฟเนอร์ครั้งแรก เขาจะรู้ไหมนะว่าคำว่า เชื่อใจ นั้นมีค่าสำหรับผมมากแค่ไหน
ตลอดมาผมเคยคิดว่าเขาคงไม่ต้องการผมเพราะว่าผมทำให้ตาซ้ายของเขาต้อง...แต่เขาก็ยังบอกให้ผมเชื่อใจเขาแสดงว่าเขาเองก็เชื่อใจผมเหมือนกัน เขาต้องการผม... ฉะนั้นผมจึงยอมขึ้นขับฟาฟเนอร์ทั้งที่รู้ว่ามันอันตรายเรื่อยมา
เชื่อใจฉันสิ...คำง่ายๆสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความกลัวที่เคยมีก็พลันหายไปหมดเพราะคำพูดนี้
"โทมิ..ขอบคุณนะ"นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของผมก่อนที่จะเอนตัวลงนอนในแคปซูลนั้นและหลับไป...
ขณะที่ผมหลับอยู่..ผมฝัน...ฝันถึงเรื่องราวมากมายทั้เรื่องที่เจ็บปวดและเรื่องที่ยินดี เรื่องที่อยากจะลืมและเรื่องที่ไม่มีวันลืม...
ความฝันของผมมันเริ่มต้นที่นี่...
เพล้ง!
เสียงบางอย่างแตกสลายไป แท่งผลึกสีเขียวที่ปรากฏอยู่บนมือของโซชิสลายหายไปพร้อมๆกับเลือดที่แดงเข้มที่ชโลมอยู่บนใบหน้าของเค้า
"อ้าก!!!!"ผมได้ยินเสียงเค้าร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมองดูมือของตนเองที่มีเลือดสีเดียวกันติดอยู่ กลิ่นคาวเลือดลอยขึ้นมาเตะจมูก ภาพของเพื่อนที่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมันกำลังทำให้ผมกลัว
ผมลุกขึ้นและออกวิ่งโดยไม่แม้หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย เมื่อถึงบ้านผมรีบล้างมือที่เปื้อนเลือดออกอย่างเร่งด่วนและขังตนเองอยู่ในห้อง คิดแต่เพียงว่ามันเป็นความผิดของผม...
มือเล็กๆที่แม้จะล้างเลือดออกไปแต่กลิ่นคาวที่น่าสะอิดสะเอียนของมันยังคงเหลืออยู่ แต่ตัวผมสิที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าเพราะว่าผมวิ่งหนีมาโดยทิ้งโซชิไว้แบบนั้นเพียงลำพัง....
เช้าวันต่อมาผมแทบไม่อยากจะไปโรงเรียนเลย คงเพราะกลัวที่จะได้พบกับความจริงที่รออยู่ตรงหน้า แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจไปเพราะมันก็ยังดีกว่าจะกักขังตัวเองอยู่แบบนี้
"อรุณสวัสดิ์ คาซึกิคุง"เสียงน่ารักๆของโทมิทักผมเป็นคนแรกเมื่อผมก้าวเข้าไปในห้องและนั่งลงที่โต๊ะประจำ โทมิมักจะมาเช้าอยู่เสมอตั้งแต่ตอนนั้นแล้วและที่นั่งของโชโกะก็มักจะว่างอยู่เสมอ...ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
"อรุณสวัสดิ์"ผมทักตอบและก็อดแปลกใจไม่ได้ที่โทมิยังจ้องหน้าผมด้วยดวงตาใสแป๋วแล้วถาม
"ทำไมวันนี้ดูคาซึกิคุงไม่ร่าเริงเลยล่ะ"คำถามที่ทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่พยายามกดไว้ผุดขึ้นมามันคงเป็นความกลัวแบบเด็กๆที่เวลาทำอะไรเสียหายก็ต้องนำไปซ่อนไม่ให้ใครเห็นแต่นี่คงไม่เหมือนกันมากนักเพราะสิ่งที่เสียหายไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นเพื่อนรักของผม..โซชิ
ผมนิ่งเงียบกับคำถามนั้น พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆและยังเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเหลียวมอง
"อรุณสวัสดิ์"โซชิกล่าวออกมาขณะที่พาร่างเล็กๆของตนซึ่งตาซ้ายนั้นมีผ้าสีขาวพันเอาไว้เสียแน่นจนเกือบจะปิดตาขวาอีกข้างด้วยซ้ำ เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างจากผมพอควรโดยยังมีเพื่อนๆรุมล้อมอยู่
"อรุณสวัสดิ์คาซึกิ"อยู่ๆโซชิก็หันมาและกล่าวทักทายผมพร้อมยิ้มให้คงเพราะเขารู้ละมั้งว่าผมจ้องมองเขาอยู่
"อ..อืม"ผมตอบรับในลำคอและพยักหน้า
"โซชิตาของนาย...."เค็นจิเป็นคนเริ่มถามขึ้นจากในกลุ่มเพื่อนที่ยืนล้อมอยู่
"อ๋อนี่เหรอ พอดีเมื่อวานฉันหกล้มไปโดนกิ่งไม้เข้าน่ะ"โซชิบอกไปแบบนั้น
ไม่ใช่นะ...
"แล้วเจ็บมากรึเปล่า"เค็นจิถามต่อพลางมองที่ผ้าพันแผล
"ก็นิดหน่อยนะ"
ไม่ใช่หรอกมันต้องเจ็บมากแน่ๆ...
"นี่นายไปหกล้มมาจริงน่ะเหรอ"คราวนี้ซากุระเป็นฝ่ายถามบ้างคงเพราะผ้าพันแผลที่พันหนามากขนาดนั้นละมั้งเลยทำให้เธอสงสัย
"อืมพอดีฉันวิ่งแล้วมันสะดุดน่ะ เพราะฉันไม่ระวังเองแหละ"โซชิยังยืนยันคำเดิมแล้วยิ้มเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่ใช่..มันเพราะผมต่างหากล่ะ
คนที่ทำให้โซชิต้องเจ็บปวดคือผมเอง คนที่ทำร้ายโซชิก็คือผมแล้ว ทำไม...
ณ เวลานั้นผมทำได้แค่ร่ำร้องอยู่ในจิตใจเพียงคนเดียว ผมไม่อาจจะพูดออกไปได้ทั้งความกลัวและความลังเลนั้นมันกำลังกดทับความรู้สึกต่างๆเอาไว้
ทำไมล่ะโซชิ...ทำไมถึงไม่โทษฉันซักคำ...ทั้งที่น่าจะเจ็บปวดแล้วทำไมยังยิ้มให้ฉันอีกแล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไง
ผมนิ่งเงียบมองเขาโดยไม่กล้าพูดอะไรจนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปผมและเขาก็ไม่เคยได้พูดอะไรกันอีกเลย จนแม้เราสองคนจะเติบโตขึ้นระยะห่างที่ผมสร้างขึ้นก็ไม่ได้หดสั้นลงเลยซ้ำยังเหมือนกับว่าเราสองคนห่างไกลกันไปเรื่อยๆ โซชิเองก็คงรู้ว่าผมพยายามที่จะหนีเขาโซชิจึงพยายามจะไม่พูดกับผมโดยไม่จำเป็น ภาพของเราสองคนที่เคยเล่นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานดูจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น
ผมเคยคิดแบบนั้นจนกระทั่งวันที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผมและทุกคนก็มาถึง วันนั้นขณะที่ผมกำลังประลองกับเค็นจิแบบที่เคยทำอยู่บ่อยๆความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามา ผมละทิ้งการต่อสู้และวิ่งออกไปโดยไม่รู้ตัว มันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังเรียกผมอยู่ วิ่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นผมจึงตัดสินใจเข้าไปในที่หลบภัยพร้อมๆกับคนรอบข้าง
ที่นั่นทุกคนต่างพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้น ที่แห่งนั้นมีหลากหลายอารมณ์ปะปนไปมาหลายคนตื่นตระหนก บางคนเริ่มหวาดกลัว น้อยคนนักที่จะสงบได้แบบผมอาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมกลัวนั้นมันมากกว่าความกลัวที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
ผ่านไปได้ไม่นานเสียงที่เคยพูดคุยก็เงียบลงและเสียงประกาศก็ดังขึ้นทำลายความเงียบผมลืมตาขึ้นและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
"มาคาเบะ คาซึกิขอให้เตรียมตัวให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจ"เสียงที่ออกมาทำให้ผมรู้สึกตกใจไม่น้อยเพราะมันเป็นเสียงของโซชิที่ไม่ได้อยู่ที่นี่
"ขอย้ำ! มาคาเบะ คาซึกิขอให้เตรียมตัวให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจ"เสียงของโซชิเอ่ยย้ำอีกครั้ง รู้สึกได้เลยว่าสายตาของเพื่อนๆกำลังมองมาที่ผมอย่างสนอกสนใจและสงสัย ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูซึ่งกำลังจะเปิดออก เมื่อประตูนั้นเปิดออกร่างของโซชิก็ยืนอยู่ข้างหน้า
"โซชิ พวกเราน่ะจะไปที่ไหนงั้นเหรอ"ผมถามด้วยความสงสัย แต่คำตอบที่ได้ก็ดูจะไม่เป็นคำตอบเสียเท่าไหร่
"สรวงสวรรค์ไงล่ะ..."
จากนั้นเขาก็พาผมไปยังที่แห่งหนึ่งที่ลงไปใต้ดินลึกลงไปมากกว่าหลุมหลบภัยเสียอีกที่นั่นผมได้พบกับพวกอาจารย์และคนในเมืองทั้งหลายกำลังทำอะไรบางอย่างกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าซึ่งมันดูแปลกตาสำหรับผมแต่ที่ผมตกใจที่สุดคงเป็นสถานที่ซึ่งผมกำลังยืนอยู่และสิ่งที่ผมต้องไปเผชิญหน้ากับมัน
หุ่นยนต์ยักษ์สีฟ้าเข้มรูปร่างประหลาดและเพรียวบางยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม สายตาผมเหลือบไปเห็นอ.ฮาซามะ โยโกะกำลังง่วนอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาผมและยิ้มให้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้
"ชื่อของมันคือมาร์คเอลฟ์"ชื่อประหลาด...สิ่งที่ผมคิดในใจเมื่อได้ยินชื่อนี้แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเขาให้ผมมาดูสิ่งนี้ทำไมแต่ผมได้คำตอบมาในทันที
"นายจะต้องขึ้นไปขับมันเพื่อปกป้องเกาะนี้เอาไว้"คำพูดของโซชิทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงนึกว่าเขาพูดเล่นแต่ในเวลานี้มันกำลังทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
จะทำได้เหรอคนไร้ค่าอย่างผมน่ะ....
ผมคิดแบบนั้นและพยายามปฏิเสธเขาใจหนึ่งก็กลัวใจหนึ่งก็สับสน เฝ้าคิดแต่ว่าไม่มีวันทำได้แต่แล้วคำพูดหนึ่งของโซชิก็ช่วยเปลี่ยนใจผม
"เชื่อใจฉันสิ...."คำพูดเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่างในใจของผม
เชื่อใจ...กับคนอย่างผม เขาเชื่อใจผมที่แสนไร้ค่า ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไร้ค่าอีกแล้ว ผมกำลังเป็นที่ต้องการไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
และนั่นก็คือเหตุผลที่ผมขับฟาฟเนอร์มาตลอด ทั้งที่รู้ว่าอันตรายแต่ก็ยอมเสี่ยงอย่างน้อยผมก็ไม่ไร้ค่าและมีค่าแก่การจดจำ หากไร้ค่าก็ไร้ผู้คนจดจำแต่หากมีค่าเหล่าผู้คนก็จะไม่ลืมเลือน
ระยะห่างของผมและโซชิดูจะหดสั้นลงทุกครั้งที่ผมได้ออกปฏิบัติการ เส้นทางได้ทอดยาวออกไปไกลโดยมีโซชิและผมก้าวเดินอยู่บนเส้นทางนั้น ความยินดีกำลังเปี่ยมล้นอยู่ในอก
ทว่าผมคงคิดไปเองฝ่ายเดียว...เพราะว่าหลังจากที่โชโกะและโคโยไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงอยู่อีก ผมก็ได้เห็นด้านหนึ่งของโซชิ เขาดูเย็นชาและไร้ใจราวกับเป็นคนละคนที่ผมเคยเห็นมาตลอด ในวันนั้นผมจึงได้ถามเขาออกไป
"โซชิสำหรับนายแล้วพวกเรากับฟาฟเนอร์สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน"ที่ถามไปเช่นนั้นเพราะอยากเข้าใจในความเปลี่ยนไปของเขา โซชิมักพูดเหมือนกับว่าฟาฟเนอร์สำคัญกว่าทุกสิ่งแต่ผมก็ไม่แน่ใจจึงได้ถามเช่นนั้น
"...ฟาฟเนอร์ไงล่ะ"ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งลง ทุกสิ่งที่เคยสร้างมาด้วยกันพังทลายลง ความเชื่อใจที่เคยเชื่อกลายเป็นเพียงคำโกหก เส้นทางที่เคยคิดว่าได้เดินร่วมกันขาดสะบั้นลงจนผมคิดว่า เราคงไม่อาจร่วมเดินกันได้อีกต่อไป
ในเช้าวันต่อมาผมก็ได้ออกจากเกาะไป.... โดยหวังเพียงแค่อยากจะพบในสิ่งที่โซชิเคยพบ อยากจะมองในสิ่งที่โซชิเคยมอง เพื่อว่าจะได้เข้าใจเขามากขึ้น
ทว่าผมกลับถูกจับไปที่ฐานทัพโมลโดว่าหรือฐานของกองทัพมนุษย์ที่นั่นผมได้แต่ไตร่ตรองในทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสู้ แต่มันจะมีหรือสำหรับผมน่ะ แล้วผมก็ได้พบกับผู้ที่ไม่คิดว่าจะได้พบ
คุณแม่...
ไม่สิหากพูดให้ถูกคือเฟสตูมรูปแบบมาสเตอร์ที่ดูดกลืนคุณแม่เข้าไปมากกว่า เฟสตูมตนนั้นได้มอบมาร์คไซน์ให้กับผมและเธอก็ถูกเฟสตูมอีกตัวหนึ่งกลืนกินเข้าไป ภาพของผู้ที่มีใบหน้าของคุณแม่ถูกกลืนกินเข้าไปทำให้ผมคลั่งและเข้าจัดการมันอย่างเดือดดาล
ผมทำให้พื้นที่รอบข้างกลายเป็นลาวาและดูดกลืนพวกเฟสตูมเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วผมก็จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด ภาพของโซชิที่มีผ้าพันแผลที่ตาซ้ายผุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเธอคือน้องสาวของโซชิชื่อ สึบากิ
สึบากิได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของโซชิให้ผมฟังและถามผมว่า"เธอน่ะอยากจะมีตัวตนหรืออยากจะหายไป...."
คำตอบนั้นผมไม่รู้หรอกเพราะตลอดมาผมคิดแต่ว่าไม่อยู่เสียจะดีกว่า แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความรู้สึกของโซชิความคิดของผมก็เปลี่ยนไปผมอยากจะ...คุยกับโซชิอีกสักครั้ง
ผมกำลังเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ทั้งที่รู้ตัวมาตลอดแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ คิดมาตลอดว่าอยากหายไปทั้งที่จริงแล้วผมอยากจะมีตัวตนอยู่ที่นี่ต่างหาก ผมอยากจะอยู่ที่นี่....อยากจะเป็นกำลังให้กับโซชิ....อยากจะพูดคุยกับเขาอีกครั้ง....
ความรู้สึกนี้แหละที่ผลักดันให้ผมกล้าที่จะกลับมายังเกาะแห่งนี้ซึ่งตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่า มันคือสถานที่ซึ่งผมไม่อาจไม่อาจแยกจากมาได้อีกแล้ว...
มือของผมนั้นกำคำตอบของตนเองเอาไว้แน่น คำตอบที่ผมจะไม่มีวันเสียใจ จะไม่หลบเลี่ยงที่ทำเพียงแค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆอีกแล้ว คราวนี้แหละที่ผมจะเผชิญหน้าเข้าต่อสู้กับอดีตนั้น
โซชิ...โซ่ที่พันธนาการนายเอาไว้ นายไม่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้เพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
ตลอดมานายแบกรับความเจ็บปวดไว้เพียงผู้เดียว...เพราะงั้นคราวนี้แหละที่ฉันจะแบกรับมันเอาไว้บ้าง
ท้องฟ้าสีครามนี้ปีกของผมได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลและทะยานขึ้นไปอีกครั้ง โผบินอย่างอิสระสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไร้ซึ่งมลทินและความสิ้นหวังทั้งปวง อยากจะใช้มือทั้งสองข้างของผมช่วยเหลือนายและทุกคนจากความสิ้นหวัง จะไม่มีวันทำให้มันเกิดรอยแผลขึ้นมาอีกต่อไปแล้ว....
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ