[Saint Omega]For you or me ?
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.59 น.
แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) ค่าของคำสัญญา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความย่างเข้าสู่ยามดึกท้องฟ้าเริ่มส่งเสียงครืนลั่นเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายในอีกไม่กี่นาทีถัดมา ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตจับจ้องไปผืนฟ้าสีดำสนิทด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาความหมาย ยามเมื่อมีแสงของฟ้าแลบผ่านสายตาไปดวงตาคู่นั้นก็ทอประกายขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
เสียงของสายฝนที่ดังอยู่เบื้องนอกดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อฝนตกหนาเม็ดขึ้นทุกที หากเป็นก่อนหน้านี้โคกะคงหลีกเลี่ยงที่จะออกไปข้างนอกทว่าหลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่ติดจะอ่อนแรงแล้วเดินออกจากห้องพักไปเพื่อมุ่งยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีใครอีกคนรออยู่
ขณะที่เดินออกไปฝนที่ตกกระทบลงมาบนร่างก็ทำให้รู้สึกเจ็บไปม่น้อยแต่โคกะก็ไม่ได้สนใจจะหาอะไรมาปกคลุมตัวเองเพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์เมื่อในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาก็ต้องสู้กับเอเดน
เมื่อมาถึงเอเดนก็ยืนรอโคกะอยู่ดังคาด ชายหนุ่มยืนหลับตานิ่งคล้ายกำลังเฝ้ารออย่างสงบจนเหมือนกับจะสามารถสยบทุกสรรพเสียงให้เงียบสงัดได้อยู่ในที หากแต่พริบตาที่ดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นมาโคกะก็รู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงของสายฟ้าคำรามอยู่เบื้องหลัง
เพราะว่าชุดคล็อธของโคกะเสียหายเด็กหนุ่มจึงไม่อาจสวมมันได้และไม่รู้ว่าเป็นการดูถูกหรืออยากต่อสู้อย่างเท่าเทียมกันแน่เอเดนจึงไม่ได้สวมคล็อธเช่นกัน แต่ในสายตาของโคกะเขากลับรู้สึกเหมือนเอเดนจะบอกว่า ต่อให้ไม่ได้สวมคล็อธเหมือนกันโคกะก็ไม่มีทางชนะเขาได้อยู่แล้วซึ่งนั่นก็ทำให้โคกะนึกโมโหไม่น้อย
“มาแล้วสินะ”เอเดนพูดเพียงแค่นั้นขณะที่มองโคกะเดินเข้ามาหา ยามเมื่อทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ท้องฟ้าเริ่มทวีความบ้าคลั่งขึ้นมาราวกับจะตอบรับการต่อสู้ของทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างตั้งท่าเตรียมพร้อม สองสายตาสบประสานกันนิ่งแล้วจึงพุ่งเข้าประหมัดกันในเวลาวินาทีต่อมา
เปรี้ยง!
พริบตาที่สองหมัดปะทะกันก็บังเกิดแสงสว่างขึ้นในทันที ลำแสงสีขาวที่พุ่งออกไปเป็นเส้นตรงไปยังร่างของเอเดนซึ่งปล่อยพลังสายฟ้าออกมาขวางไว้ สองขั้วหลังที่เรียกได้ว่าค่อนข้างสูสีทำให้ทั่วอาณาบริเวณสว่างจ้าจนแสบตา ท่ามกลางแสงสว่างที่มากพอจะทำให้คนตาบอดได้คือร่างของเอเดนกับโคกะที่ยังแลกหมัดกันเพื่อเอาชัยชนะอยู่
เมื่อหมัดใช้ไม่ได้ผลโคกะจึงยกขาตวัดขึ้นฟาดเข้าที่กลางลำตัวของเอเดนแต่ก็ใช่ว่าชายหนุ่มจะพลาดท่าเอาง่ายๆกับเรื่องแค่นี้ ร่างที่สูงใหญ่กว่าใช้มือข้างที่วางอยู่มาจับข้อเท้าข้างที่ฟาดเข้ามาได้อย่างแม่นยำและจัดการเหวี่ยงร่างบอบบางของโคกะให้กระเด็นไปไกลด้วยมือเพียงข้างเดียว
ร่างของโคกะที่ถูกเหวี่ยงออกไปกระแทกเข้ากับแผ่นหินที่อยู่รอบๆอย่างรุนแรงจนรับรู้ได้เลยว่าบนหลังต้องมีบาดแผลเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย เด็กหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นแต่เอเดนก็ไม่ปล่อยให้โคกะได้มีเวลาทำเช่นนั้นเมื่อชายหนุ่มใช้พลังคอสโมเพียงไม่มากนักในการสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาแล้วใช้มันฟาดฟันใส่เขา
“อ๊าก!!!!”พลังไฟฟ้ารุนแรงประหนึ่งสายฟ้าฟาดทำให้คล้ายกับร่างกายถูกเผาไหม้จนได้กลิ่นผิวหนังไหม้จางๆ เซลล์ประสาทที่ถูกทำร้ายต่างก็แทบจะหยุดทำงานไปในทันทีทำให้แม้โคกะพยายามจะยืนหยัดมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจทำได้ประกอบกับร่างกายที่อ่อนล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วส่งผลให้ร่างบางค่อยๆทรุดเข่าลงกับพื้นเพียงแต่วินาทีที่กำลังจะล้มลงไปมือของคนที่ทำร้ายเขากลับประคองตัวเขาเอาไว้
โคกะเงยหน้าขึ้นมองคนที่มาประคองตัวเองเอาไว้แล้วได้แต่เดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เอเดนทำนั้นไม่มีทางเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเมตตาเด็ดขาด เพราะผลของการต่อสู้ที่จบลงอย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยความพ่ายแพ้ของเขาทำให้เขาจำต้องเลือก
“เลือกมาสิว่าอยากจะให้ผมทำร้ายใคร”คำถามง่ายๆสั้นๆที่โคกะไม่อาจตอบได้ เขากลัวที่จะถูกทำร้ายแต่ก็ไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นบาดเจ็บ ความผิดบาปในใจที่สับสนส่งผลให้ดวงตาสีน้ำตาหม่นหมองยิ่งกว่าเดิมและเอเดนดูจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เห็นโคกะไม่เลือกเสียที
“เลือกมา”เอเดนถามย้ำพร้อมกับเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือจนโคกะมั่นใจว่าต้องเกิดรอยช้ำ
เขาไม่อยากถูกเอเดนแตะต้องมากไปกว่านี้ แต่ว่าเขาก็ไม่อยากให้เมเลี่ยนบาดเจ็บ เขาเกลียดตัวเองที่ลังเลในการปกป้องคนอื่นโดยเฉพาะกับผู้มีพระคุณแบบนี้ สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มจึงหลับตาลงอย่างรวดร้าวแล้วยกมือโอบรอบคอของชายหนุ่มแทนคำตอบ
“วันนี้พอแค่นี้”หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นเอเดนก็ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวประโยคนี้ออกมากับร่างที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง โคกะคลายมือที่กำผ้าปูเตียงจนแน่นออกแล้วสูดลมหายใจลึกหวังจะระบายความเจ็บปวดออกไป
เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปดูแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายออกจากห้องไปแล้วเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดและปิดลง ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงช้าๆเพื่อไม่ให้กระเทือนแผลแต่ก็คงเป็นการยากจะที่หลีกเลี่ยงความเจ็บปวดเมื่อโคกะถึงกับกัดฟันเพราะทั่วร่างกำลังกรีดร้องด้วยความทรมาณ
นับจากเวลาที่เขาถูกพากลับมาที่ห้องกับเวลาที่โดนกอดมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วแม้จะไม่แน่ใจเรื่องเวลาแต่ก็คาดว่าคงล่วงเลยกลางดึกมาพอสมควรซึ่งนั่นก็ยิ่งส่งผลให้เขาอยากจะหลับไปเสียแต่ตอนนี้เลยจริงๆ เพียงแต่พอเห็นร่องรอยทุกอย่างบนตัวโคกะก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“จะให้ใครเห็นไม่ได้”เด็กหนุ่มเอ่ยกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองแล้วลากสังขารที่อ่อนล้าเต็มทนไปยังห้องน้ำเพื่อชะล้างคราบหรือร่องรอยทุกอย่างออกไป เมื่อมาถึงห้องน้ำผ้าห่มก็ถูกกองทิ้งไว้ตรงข้างหน้าแล้วโคกะจึงค่อยพาตัวเองเข้าห้องน้ำไปแล้วเปิดฝักบัวให้แรงที่สุด
น้ำอุ่นที่ตกกระทบร่างทำให้เขารู้สึกดีขึ้นพอสมควรแต่กระนั้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาจนต้องยกมือกอดตัวเองเอาไว้ให้แน่นที่สุด ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่แต่เอเดนกลับทิ้งสัมผัสอันน่ารังเกียจไว้บนร่างของเขาราวกับจะตอกย้ำให้เขายิ่งรู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าเดิม
เขาจะต้องทนไปอีกนานแค่ไหน?
คำถามนี้เขาตอบไม่ได้และคำตอบของเอเดนก็คงไม่พ้นคำว่าชั่วชีวิตเป็นแน่ เพียงแค่คิดกัวใจก็เหมือนถูกกัดกินด้วยความหวาดกลัวจนน่าหัวเราะ โคกะไม่เคยคิดว่าเขาจะหวาดกลัวเอเดนได้มากถึงเพียงนี้ซ้ำยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“น่าสมเพชชะมัด”บอกกล่าวกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะร่างกายจะเอนไปพิงผนังกระเบื้องแล้วทรุดลงกับพื้นห้องน้ำอย่างสิ้นหวัง ในเวลานั้นโคกะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองร้องไห้รึเปล่า ไม่รู้ว่าตนเองจะมีวันที่ได้หลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ไหม เขาไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
หลังจากนั้นก็เป็นเวลาอีกพักใหญ่กว่าโคกะจะสามารถรวบรวมสติตัวเองพร้อมกับชำระร่างร่างกายจนสะอาดแล้วกลับมานอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียงเพื่อรอใครบางคน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งและถูกเปิดออกมาเมื่อโคกะตอบกลับไปสั้นๆ ใบหน้าใจดีของเมเลี่ยนปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนทุกครั้งทำให้โคกะรู้สึกดีขึ้นจนสามารถยิ้มตอบกลับไปได้
“เป็นยังไงบ้าง”เมเลี่ยนถามตามปกติพลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
“ก็ไม่ค่อยเจ็บแผลแล้วล่ะ”โคกะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่ก็ไม่อาจปิดความอ่อนล้าไว้ได้หมด เมลี่ยนจึงขมวดคิ้วพลางส่ายหัวด้วยท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ที่เอือมระอาเด็กดื้อ
“ผมบอกแล้วไงว่าเธอควรจะพักผ่อนมากๆอย่าฝืนลุกขึ้นไปฝึกก็ไม่เชื่อ”ได้ยินดังนั้นโคกะก็ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนเพราะเขาจำต้องหาเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงมีบาดแผลใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ โคกะย่อมไม่มีทางบอกเงื่อนไขที่เอเดนเสนอมาอยู่แล้วจึงโกหกไปว่าฝึกซ้อมกับเพื่อนแทน
“ถ้าไม่หมั่นฝึกซ้อมก็มีหวังร่างกายฝืดหมดพอดี”ยิ่งได้คำพูดเหมือนนักกีฬาบ้าฝึกซ้อมสีหน้าของเมเลี่ยนก็ยิ่งดูเอือมหนักกว่าเดิมแต่กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มที่มุกปากน้อย
“เธอหัดห่วงตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยเถอะ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงมากเลย”ทั้งที่เมเลี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรที่ฟังดูซาบซึ้งมากนัก น้ำเสียงก็ติดจะหน่ายใจนิดๆอีกด้วย ที่สำคัญความเป็นห่วงของเมเลี่ยนก็คงไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษแท้ๆแต่โคกะกลับรู้สึกดีใจที่ได้ยินเมเลี่ยนพูดแบบนั้น
ยิ่งคิดโคกะก็ยิ่งแปลกใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเขายังไม่เข้าใจตัวเองหรือบางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวที่ดูเป็นมิตรและนิสัยอ่อนโยนของเมเลี่ยนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจและวางใจ โดยเฉพาะในยามที่เขาต้องต่อสู้เพียงลำพังเมเลี่ยนจึงเหมือนกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของเขา
“รู้แล้วน่า”โคกะรับคำแบบขอไปทีพลางเกาแก้มด้วยความเขิน ทว่าในตอนนั้นเองที่ดวงตาของชายหนุ่มกลับเหลือบไปเห็นรอยบางอย่างที่คอ ชายหนุ่มพยายามจับจ้องไปยังจุดนั้นเพื่อดูให้รู้ว่ารอยนั้นคือรอยอะไร
“เมเลี่ยน”เขาเอ่ยเรียกแต่คนอายุมากกว่าก็ไม่ได้ตอบ ร่างสูงโปร่งขยับเข้ามาหาคล้ายไม่ได้ยินเสียงโคกะที่เอ่ยเรียกทั้งยังยื่นมือออกมาเพื่อจะปัดเส้นผมที่ลำคอขาวออกเพื่อมองร่องรอยบางอย่างบนคอให้ชัดเจน
พลันนั้นภาพของเอเดนก็ซ้อนทับบนร่างของเมเลี่ยน เด็กหนุ่มถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อลำคอโดนสัมผัส ความทรงจำอันโหดร้ายยามที่ถูกอีกฝ่ายกระทำชำเรายังคงติดลึกอยู่ทุกอณูของร่างกาย ความหวาดกลัวจากเบื้องลึกของหัวใจส่งผลให้โคกะกรีดร้องและผลักชายหนุ่มออกไปเต็มแรง
“อย่า!”
โครม!
เนื่องจากโคกะออกแรงผลักเต็มแรงทำให้เมเลี่ยนที่ไม่คาดคิดว่าจะโดนผลักก็ถึงกับล้มลงจากเก้าอี้ไปในทันที แรงผลักของโคกะทำให้ชายหนุ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บแต่ก็ยังไม่มากเท่ากับความตกใจที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มจับจ้องไปยังร่างบางที่หอบหายใจประหนึ่งใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปในการผลักเขาออก
“โคกะเธอ....”เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโคกะและไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบด้วยจึงไม่ได้ถามออกไป แต่ภาพของร่างบอบบางที่สั่นเทาจนต้องยกสองแขนกอดตัวเองเอาไว้กับสีหน้าซีดเผือดที่เผยความหวาดกลัวออกมานั่นยิ่งทำให้เขาสงสัยมากกว่าเดิม
เมเลี่ยนลุกขึ้นตั้งใจจะเข้าไปปลอบโคกะให้ใจเย็นเพื่อสอบถามเรื่องราวแต่เพียงแค่เขาลุกขึ้นยืนโคกะก็กระเถิบตัวหนีทันที ริมฝีปากบางสั่นระริกจนต้องขบฟันเข้าหากันแน่นเพื่อสะกดความหวาดกลัวเอาไว้ดูน่าสงสารจับใจ
“เธอเป็นอะไรไป”น้ำเสียงถามของเมเลี่ยนยังฟังดูอ่อนโยนเหมือนเดิมแต่ขณะเดียวกันก็เป็นน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับเสียงอันเย็นชาของเอเดนในความทรงจำ แม้ว่าโคกะจะแยกเสียงของทั้งสองคนออกแต่ก็ยังออกอาการผวาอยู่ดีสุดท้ายเมเลี่ยนที่เห็นท่าทางของโคกะเป็นแบบนั้นก็หรี่ตาลงน้อยๆแล้วไม่ทำอะไรอีกนอกจากยืนอยู่เงียบๆรอให้โคกะตั้งสติได้เอง
“เมเลี่ยน ฉัน....”โคกะอยากขอโทษที่ปัดมืออีกฝ่ายออกแต่กลับพูดอะไรไม่ออกด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมากลบเกลื่อนเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ส่งผลให้เด็กหนุ่มได้แต่ก้มหน้าลงหลบสายตาที่มองมาของคนอายุมากกว่า
ชายหนุ่มยังคงเงียบและจับจ้องร่างที่ยังติดจะสั่นเทานั้นอยู่ด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเมเลี่ยนก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้เหมือนเดิมราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอโทษที่รบกวนนะ เธอคงอยากพักผ่อนเต็มทีแล้วถ้าไงวันนี้เธอก็พักผ่อนให้สบายเถอะนะ”ถ้อยคำของเมเลี่ยนฟังดูคล้ายกับคำประชดแต่เพราะการทอดน้ำเสียงนุ่มนวลทำให้รู้สึกว่ามันจริงใจมากกว่าประชดประชัน
“ผมจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น เพราะงั้นเธอไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”พูดจบครูฝึกหนุ่มก็เดินออกจากห้องทันทีโดยที่โคกะก็ทำได้เพียงมองอีกฝ่ายเดินออกไปโดยไร้คำอำลาใดๆ
ลับหลังที่ประตูปิดลงรอยยิ้มของชายหนุ่มก็จางหายไปในทันที แววตาที่มักเคลือบไว้ด้วยความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่คมกริบราวกับมีดไม่มีผิด เขาไม่ใช่คนโง่หรือใสซื่อที่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนั้น ทั้งรอยช้ำที่ต้นคอกับอาการหวาดกลัวการถูกสัมผัสแบบนี้มันเหมือนกับ…..เขาไม่กล้าที่จะเชื่อข้อสรุปอันน่าเหลือเชื่อของตัวเองแต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้
เท่าที่ได้คุยกับโคกะมาเขาเคยได้ยินชื่อสหายร่วมรบมามากมายไม่ว่าจะไลโอเน็ต อคิวล่า ดราก้อนหรือวูลฟ์แต่กลับมีนามของใครคนหนึ่งที่ไม่เคยหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเลยนั่นคือนามของชายที่มีนามในฐานะเซนต์ว่าโอไรอ้อน เอเดนทั้งที่ในศึกที่ผ่านมาเขาได้ยินมาว่าทั้งสองคนต่างก็ได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันแต่โคกะกลับไม่คิดจะพูดถึงสหายคนนี้เลยซึ่งบางทีอาจเป็นไปตามที่เขาลองคาดเดาดู คิดแล้วเมเลี่ยนก็มองไปยังป้ายชื่อหน้าห้องที่ติดไว้ว่าเอเดนกับโคกะก่อนจะเดินออกไปเพื่อตามหาตัวใครคนหนึ่งและสอบถามถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
เมเลี่ยนออกจากห้องไปนานแล้วแต่โคกะก็ยังคงได้แต่นั่งนิ่งจับจ้องไปยังประตูที่ปิดลงไปเช่นเดิม เขาไม่รู้ว่าเมเลี่ยนสะกิดใจเรื่องอะไรกันแน่ ถึงแม้จะพอคาดเดาได้แต่โคกะก็ไม่อยากให้มันเป็นความจริง โดยเฉพาะแววตาที่เมเลี่ยนมองเขามันเปลี่ยนไปเป็นบางอย่างที่น่ากลัว
“เมเลี่ยน”เขาเอ่ยเรียกทั้งที่เจ้าตัวไม่อยู่คล้ายกับจะปลอบใจตัวเองว่าจะต้องได้ยินเสียงอ่อนโยนนั้นตอบกลับมา
“มันต้องไม่เป็นไร”ต่อให้เห็นท่าทางของเขาบางทีเมเลี่ยนอาจไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นเพราะขนาดเขาเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ เพราะงั้นมันจะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้นโคกะก็พยายามจะลบเลือนความกังวลทั้งหมดด้วยเสียงของที่เต็มไปด้วยความใจดีของเมเลี่ยนในความทรงจำที่ผ่านมา เขานึกถึงรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่นใจแล้วก็ลอบยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ทว่าความสุขของโคกะกลับอยู่ได้ไม่นานเลยเมื่ออาการบางอย่างได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่คล้ายกับหัวใจถูกบีบรัดมักจะเกิดขึ้นซ้ำๆแต่ก็ไม่ได้สม่ำเสมอจนหมอเองก็หาสาเหตุไม่ได้ เด็กหนุ่มกุมลำคอที่แห้งจนแสบไม่ต่างกับคนขาดน้ำเอาไว้ ลมหายใจที่เข้าออกเหมือนกับคมมีดที่บาดลำคอของเขาจนเจ็บทำให้แค่หายใจก็ยังรู้สึกทรมาณจนแทบทนไม่ไหว
ร่างบางทิ้งตัวลงกับที่นอน กายบางเหยียดเกร็งอย่างเจ็บปวด สองมือพยายามข่มตาหลับเพื่อให้การนิทราช่วยดึงเขาให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดในตอนนี้และมันก็กินเวลาอยู่นานทีเดียวกว่าโคกะจะสามารถหลับลงได้ตามที่ใจต้องการและเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกาลเวลาก็ล่วงเข้าสู่ยามพลบค่ำแล้ว
“นี่เราหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ”ช่วงนี้โคกะรู้สึกรำคาญร่างกายของตัวเองเหลือเกิน เพราะนอกจากจะไม่เข้มแข็งพอจะสู้กับเอเดนแถมยังอ่อนแอจนเข้าขั้นปวกเปียกอีกต่างหาก เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่รู้แค่ว่าเหมือนตัวเขากำลังอ่อนแอลงทีละนิด
หากถามว่าโคกะกลัวความตายไหม เมื่อก่อนเขาคงบอกว่าเขากลัวที่จะไม่ได้ตายเพื่อคุณซาโอริมากกว่า แต่ในเวลานี้ความหวาดกลัวกำลังกัดกินหัวใจของเขาไปเรื่อยๆอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้เขาจะรู้สึกว่าตนเองยังห่างไกลกับความตายนักแต่ก็ยังรู้สึกหวั่นไม่ได้เมื่อพบว่าช่วงเวลาที่สติในแต่ละวันของตนเริ่มลดน้อยลงทุกที
ในขณะที่โคกะกำลังตกอยู่ในภวังค์ที่เข้าใกล้ความสิ้นหวังวินาทีนั้นท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามลั่นและตามมาด้วยแสงสว่างที่เจิดจ้าจนแสบตา แสงนั้นมาจากสายฟ้าที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า เสียงของสายฟ้าทำให้ใจของโคกะคิดไปถึงใครคนหนึ่งที่ตนเองนึกเกลียดชัง โคกะยันกายลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินไปปิดหน้าต่างแต่แล้วเขากลับรู้สึกได้ถึงขุมพลังหนึ่งที่ตนเองรู้จักดี
“เอเดน”ทั้งที่อาจเป็นพลังคอสโมของเซนต์ธาตุสายฟ้าคนอื่นแต่โคกะกลับมั่นใจว่าพลังนั้นต้องเป็นของเอเดนแน่นอนในเมื่อเขาได้ปะทะกับคอสโมอันทรงพลังนั้นมาหลายครั้งแล้ว
วินาทีนั้นหัวใจของโคกะก็กระตุกวูบประหนึ่งเป็นสัญญาณของลางร้าย เขาอยากเชื่อว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่กระนั้นโคกะก็ยังวิ่งออกไปจากห้องพักและตรงไปยังต้นตอของพลังคอสโมอันรุนแรงนั้นโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยร่างกายที่ติดจะอ่อนแรงของเด็กหนุ่มทำให้กว่าโคกะจะวิ่งไปถึงลานฝึกซ้อมเก่าก็ใช้เวลาไปนานพอสมควร ระหว่างทางที่วิ่งมาก็ปรากฏสายฟ้าฟาดอยู่ตรงจุดหมายอีกหลายครั้งยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นมากขึ้นทุกที ในเวลานี้เขารู้สึกอยากให้ตัวเองคิดมากเกินไปจนบ้ามากกว่าจะไปพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นความจริง
แต่แล้วเมื่อมาถึงจุดหมายสิ่งที่เด็กหนุ่มสังหรณ์ใจกลับถูกต้องจนน่าแค้นใจ เบื้องหน้าของเขามีร่างหนึ่งนอนอยู่บนพื้น เส้นผมสีน้ำตาลปรกลงมาบนใบหน้าของคนที่นอนอยู่แต่โคกะก็ยังจำได้ว่าคนๆนั้นคือใคร
“เมเลี่ยน!”โคกะร้องด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งเข้าไปหมายจะพยุงร่างนั้นขึ้นมาแต่พริบตานั้นกลับมีสายฟ้าพุ่งเข้ามาขวางเขาไม่ให้เข้าไปหาเมเลี่ยนและตัวการย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่โคกะกำลังมองด้วยสายเคียดแค้นเด็กหนุ่มเรียกชื่อของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับการกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“เอเดน!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ