[Saint Omega]For you or me ?

7.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.59 น.

  15 บท
  2 วิจารณ์
  22.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

10) รักที่บอกไม่ได้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            หลังจากคืนที่ไม่มีวันลืมนั้นเอเดนได้แต่พยายามลงมือทำร้ายโคกะด้วยทุกอย่างที่มีอยู่เขายอมกระทั่งสวมบทคนเลวเพื่อให้โคกะเกลียดแค้นเพราะอย่างน้อยความแค้นก็จะเป็นแรงผลักดันให้โคกะมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้จะเพื่อฆ่าเขาก็ตาม

                เอเดนคิดว่าตัวเองจะใจแข็งพอที่จะทนทำร้ายโคกะต่อไปได้แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างกลับเป็นไม่เป็นอย่างที่เขาเชื่ออีกต่อไป  จุดเริ่มต้นของวันที่ความรู้สึกที่เขามีให้เริ่มแปรเปลี่ยนไปก็คงเป็นในคืนถัดมาที่เขาออกไปจากห้องพักเพื่อตามเก็บเศษชิ้นส่วนของคล็อธสโตนเพกาซัสกลับมา

                ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองไปเก็บเศษคล็อธสโตนกลับมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ไม่แน่ว่าบางทีเขาคงทำไปเพราะรู้สึกผิดก็เป็นได้แต่เขาไม่คิดเลยว่าขณะที่กำลังเก็บเศษชิ้นส่วนอยู่เด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเขาทำร้ายและน่าจะนอนหมดแรงอยู่ที่ห้องกลับปรากฏตัวขึ้น

                แน่นอนว่าเขายอมให้อีกฝ่ายรู้ไม่ได้ว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่เพราะถ้าเกิดโคกะเฉลียวใจในบางอย่างขึ้นมาอาพุสก็คงยินดีที่จะทรมานโคกะด้วยน้ำมือตัวเองเป็นแน่ เอเดนรีบซ่อนตัวและพรางจิตตัวเองเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว สัมผัสของโคกะใกล้เข้ามาทุกทีพร้อมกับร่างที่เปรอะเปื้อนดินโคลนซ้ำยังมีรอยช้ำเพิ่มขึ้น

                ทุกย่างก้าวของร่างอันบอบบางนั้นเชื่องช้าซึ่งอาจเพราะดินโคลนบนพื้นเปียกแฉะและบาดแผลที่ถูกเขาทำร้ายทำให้เพกาซัส โคกะดูเหมือนกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ หลายครั้งที่เขาเห็นโคกะกัดฟันข่มความเจ็บแล้วมุ่งตรงไปยังจุดที่เขาทำลายชุดคล็อธแล้วเริ่มต้นควานหาเศษคล็อธสโตนในโคลน

                เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมงโคกะก็ยังคงควานหาอยู่เช่นนั้น มือเรียวถูกหินบาดไปหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม สายตาของเด็กหนุ่มบ่งบอกว่าการกระทำนี้คือความหวังสุดท้ายของตนเองจนเขานึกอยากจะเอาเศษคล็อธในมือไปให้แต่เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้

                ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ความอดทนของเด็กหนุ่มก็ดูจะหมดลงโดยที่ไม่อาจพบสิ่งที่ตนตามหาแม้แต่ชิ้นเดียวซึ่งมันก็ควรเป็นเช่นนั้นในเมื่อส่วนใหญ่ของเศษคล็อธสโตนอยู่ในมือของเขา ร่างบางเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยแววตาทอประกายแต่ความสิ้นหวังแล้วจากนั้นริมฝีปากซีดขาวจึงได้มีเสียงหัวเราะที่ราวกับสมเพชตัวเองดังออกมาปะปนกับเสียงของสายฝนที่ถาโถมลงมาจากท้องฟ้าประหนึ่งกลั่นแกล้ง

                เอเดนเห็นโคกะก้มหน้าลงมองมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเองด้วยดวงตาที่หมองมัวไร้ซึ่งความสดใสหรือดื้อรั้นเช่นทุกครั้งแล้วก็อดรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาไม่ได้ ร่างนั้นค่อยๆล้มลงกับพื้นดินแล้วนิ่งไปเมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบเดินออกมาทันทีและใช้มือคู่นั้นช้อนร่างของโคกะขึ้นมาแนบอก

                กายขาวเปื้อนดินโคลนสีน้ำตาลทั้งยังเปียกฝนส่งผลให้ร่างนั้นเย็นเฉียบแต่ดวงหน้าหวานกับปรากฏสีแดงระเรื่อเมื่อประกอบกับลมหายใจหอบกระชั้นทำให้เอเดนรู้ว่าคนตรงหน้ามีไข้ สภาพอ่อนแอถึงขีดสุดของร่างเล็กตรงหน้านั้นช่างน่าสงสารจนคนใจแข็งอย่างเขายังต้องหวั่นไหว มือหนาจึงยกขึ้นเพื่อช่วยเกลี่ยเส้นผมสีแดงให้พ้นใบหน้าแต่เขากลับไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำนี้ของตนจะทำให้ดวงตาคู่นั้นค่อยๆเปิดขึ้นมา

                วินาทีนั้นเอเดนก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนที่ควรจะหมดสติไปแล้วกลับลืมตาขึ้นและยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อมือข้างหนึ่งของโคกะยกขึ้นมาวางลงบนแก้มของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ปลายนิ้วนั้นเย็นเฉียบทั้งยังเปื้อนดินโคลนและเลือดแต่เอเดนก็ไม่คิดจะปัดมือข้างนั้นออกแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นแววตาที่เหมือนกับจะร้องขอความช่วยเหลือจากเขานั้นยิ่งทำให้เขาตัดใจปล่อยมือจากเด็กหนุ่มไม่ลง

                ชายหนุ่มปล่อยให้โคกะทาบมืออันเย็นเฉียบบนแก้มของเขาขณะที่นัยน์ตาหมองมัวจ้องมองเขาอยู่นานราวกับพยายามดูให้แน่ใจว่าเขาเป็นใครแต่ท้ายที่สุดริมฝีปากบางคู่นั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ดวงตาคู่โตค่อยๆปิดลงทีละนิดพร้อมกับเสียงหายใจที่ติดจะหอบนิดๆอย่างคนไม่สบาย

                “เฮ้อ....”พอเห็นท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของคนตัวเล็กแล้วเอเดนก็อดที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจกับโล่งอกนิดๆไม่ได้ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นพาคนป่วยกลับไปพักผ่อนที่ห้องโดยที่ไม่ได้ทันสังเกตว่ามีดวงตาสีเขียวอมเหลืองคู่หนึ่งลอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง

                “ท่านเอเดน....”เจ้าของเสียงนั้นจ้องมองแผ่นหลังของเอเดนที่เดินจากไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

            วันต่อมาเมื่อเอเดนกลับมาเพื่อดูอาการโคกะเขากลับพบใครคนหนึ่งเดินออกจากห้องพักของเขาทั้งคู่ ชายคนนั้นสวมชุดครูฝึกเซนต์ท่าทางอายุมากกว่าเขาเล็กน้อย แววตาดูใจดีแต่เขากลับไม่รู้สึกวางใจเจ้าของดวงตาคู่นั้นแม้แต่นิดเดียวทั้งยังรู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้ไม่น้อย

                ขณะที่เดินสวนกันต่างฝ่ายก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงแต่เมื่อลับหลังไปแล้วเอเดนกลับได้ยินเสียงที่คล้ายกับเสียงของตัวเองลอยเข้ามาในโสตประสาท

                “ยินดีที่ได้พบกันนะครับ ท่านเอเดน”ชายหนุ่มรีบหันกลับไปยังผู้ที่ผ่านไปทันที ครูฝึกคนนั้นเองก็หันกลับมายิ้มให้เขาด้วยสีหน้านอบน้อมและเริ่มแนะนำตนเอง

                ชายตรงหน้าเขาคือมาร์เชี่ยนซึ่งแฝงตัวมาเป็นสายลับที่แซงค์ทัวรี่เมื่อนานมาแล้วชื่อจริงThree Horned Chameleon และเป็นลูกน้องสายตรงของเมเดีย มารดาของเขาเองส่งผลให้เขาทวีความไม่ไว้วางใจมากยิ่งกว่าเดิม แต่ก็โชคยังดีที่คาเมเลี่ยนไม่ได้ถามอะไรเรื่องของโคกะแถมพอเขาสั่งให้อย่าก่อเรื่องก็น้อมรับคำสั่งแต่โดยดี

                ขณะที่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับคาเมเลี่ยนดีเขาก็ต้องพบว่าโคกะกำลังรู้สึกมีความสุขที่ได้บพบกับคาเมเลี่ยน ตอนที่รู้เขารู้สึกว่าเลือดในกายมันเย็นเฉียบ เงื่อนไขของคำสาปอีกข้อที่อาพุสบอกไว้กำลังเล่นงานโคกะโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

                ในฐานะผู้ใช้สายฟ้าเขาได้รับรู้ในคราวนี้เองว่าความรู้สึกที่เหมือนโดนฟ้าผ่านจนตัวชาวาบไปหมดนั้นเป็นเช่นไร ใบหน้าซีดเซียวที่แสดงถึงความอ่อนแอของโคกะเปรียบดั่งรอยยิ้มเยาะของอาพุสที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน ต่อให้ถูกหลอกแต่ถ้าโคกะมีความสุขเพราะเรื่องของคาเมเลี่ยนละก็.....

เขาจะฆ่าคาเมเลี่ยนทิ้งซะ

                ดังนั้นเขาจึงได้หาข้ออ้างเพื่อจัดการคาเมเลี่ยนเสียแต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเมื่อเพกาซัส โคกะกลับคิดที่จะช่วยคาเมเลี่ยนเอาไว้  ตอนที่โคกะขอให้เขาทำร้ายตัวเองแทนคาเมเลี่ยนเขารู้สึกโกรธจนทนไม่ไหว เขาโกรธเพกาซัส โคกะที่ช่วยเหลือคนอื่นโดยยอมที่จะเจ็บเสียเอง

                ทำไมถึงไม่ห่วงตัวเอง ทำไมถึงต้องยอมขนาดนั้นเพื่อปกป้องคนที่เพิ่งพบกันด้วย ทำไมถึงต้องยิ้มให้คาเมเลี่ยน

                ทำไม....ทำไม....ทำไม.....มีแต่คำถามเต็มไปหมดจนตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้สนใจเรื่องของโคกะมากขนาดนี้ คนสำคัญของเขาคืออาเรียไม่ใช่เพกาซัส โคกะ ตัวเขาแน่ใจในเรื่องนี้ดีแต่กลับไม่เข้าใจความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุอยู่ในอกนี้

            สิ่งที่เขาแน่ใจมีเพียงอย่างเดียวก็คือเมื่อคาเมเลี่ยนรู้ว่าเขาทำอะไรโคกะและขอร่วมมือด้วยวินาทีนั้นเขาก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด สายฟ้าในมือถูกปล่อยออกไปเพื่อจัดการคนตรงหน้าด้วยความคิดเพียงแค่ว่าจะไม่ปล่อยให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่นานกว่านี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว

                เพกาซัส โคกะเป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริงแม้จะดูหยาบๆไปนิดแต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนแสงสว่างอันสดใสโดยเฉพาะรอยยิ้มอันสว่างไสวที่เขาเป็นคนช่วงชิงไป ทั้งแบบนั้นคาเมเลี่ยนกลับได้เห็นรอยยิ้มนั้นในขณะที่เขายอมสูญเสีย พอลองมาคิดดูทีหลังบางทีเขาอาจจะนึกอิจฉาชายคนนี้ที่ได้รอยยิ้มของโคกะไปอย่างง่ายดายก็เป็นได้

            “นายทำร้ายเขาทำไม!”น้ำเสียงของโคกะที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นมีแต่ส่งผลให้เขาโกรธมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่า โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของเสียงนั้นกำลังโกรธเพื่อคนที่คิดร้ายกับตัวเองแบบนี้ เขารู้ว่าโคกะไม่รู้เรื่องที่ถูกหลอกแต่ก็ยังโกรธ

                เพกาซัสมีความสุขเพราะได้รับความใจดีแบบนั้น ถ้างั้น.....

            “ถ้าหากว่านายพอใจกับความใจดีเล็กๆน้อยๆนั่นแล้ว ถ้าผมใจดีด้วยนายจะนึกชอบผมขึ้นมาบ้างรึเปล่า”เขาเผลอพูดประโยคนี้ออกไปอย่างไม่รู้ตัวในตอนที่เห็นโคกะกระเสือกกระสนจะช่วยเหลือคาเมเลี่ยน เอเดนไม่รู้ว่าโคกะรู้สึกอย่างไรแต่คำพูดนี้ก็เริ่มทำให้เขาแน่ใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อโคกะขึ้นมา

                ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อคาเมเลี่ยนที่ควรนอนสิ้นแรงอยู่บนพื้นกลับมจับตัวโคกะเอาไว้แล้วเปิดเผยตัวจริงออกมา วินาทีที่ความจริงปรากฏสีหน้าเจ็บปวดของโคกะที่เขาเห็นทำให้หัวใจของเขาเจ็บยิ่งกว่า ดวงตาคู่โตซึ่งสิ้นประกายราวกับจมลงสู่ความสิ้นหวังได้จุดเปลวเพลิงแห่งโทสะกับเขา

                คาเมเลี่ยนบังอาจมาทำร้ายเพกาซัส โคกะทั้งที่ควรมีเพียงเขาที่ทำร้ายโคกะได้ เพกาซัสเจ็บปวดมามากเกินพอแล้วดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเด็กหนุ่มตรงหน้ามากไปกว่านี้อีกแล้ว พลังคอสโมของเขาถูกเร่งขึ้นมาเพื่อโจมตีและแย่งโคกะให้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา

                เมื่อโดนเขาโจมตีอีกครั้งสีหน้าของคาเมเลี่ยนก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงในขณะที่เขารับร่างบอบบางเอาไว้ เสียงตะโกนอันเจ็บแค้นของคาเมเลี่ยนที่กล่าวประณามตัวเขานั้นไม่ได้มีค่าไปกว่าคนที่อยู่ข้างกายเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เอเดนคิดว่าจะสามารถจบเรื่องนี้ได้โดยง่ายแต่มันก็ไม่เป็นดังที่คิดเมื่อคาเมเลี่ยนได้ใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อโจมตีโคกะเป็นครั้งสุดท้าย

                ในตอนนั้นนอกจากความตกใจแล้วหัวสมองของเขาก็ว่างเปล่าไปหมด เขาลืมเลือนเรื่องทุกอย่างไม่ว่าจะเงื่อนไขของอาพุสหรือกระทั่งเรื่องของอาเรีย สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคือร่างอันบอบบางซึ่งกำลังจะถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาเขาส่งผลให้ร่างกายของเขาขยับดึงเพกาซัส โคกะเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อปกป้องจากอันตรายทันที!

                ฉัวะ!

            หนามแหลมบนสนับมือของคาเมเลี่ยนแทงทะลุหัวไหล่เขาจนเลือดสีสดพุ่งออกมาจากบาดแผล ผิวเนื้อที่ฉีกขาดกำลังส่งความเจ็บปวดตรงมาที่สมองของเขาหากแต่เมื่อพบว่าคนในอ้อมกอดของเขาปลอดภัยที่ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ถูกเลือนหายไปเสียสิ้น

                เขาแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำเช่นนั้น เพราะเขาจะไม่มีวันปล่อยให้คนที่กล้าทำร้ายเพกาซัสของเขามีชีวิตอยู่เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงได้รวบรวมพลังและใช้มันเด็ดชีพอดีตลูกน้องที่ยืนรอความตายอยู่ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

                ความจริงแล้วท่านหลงรักเพกาซัสสินะ....

                คำพูดสุดท้ายของคาเมเลี่ยนที่โคกะไม่ได้ยินเป็นเหมือนกับสิ่งยืนยันสายตาที่เขาใช้มองโคกะและตอกย้ำถึงความรู้สึกที่เขาเคยไม่เข้าใจมาก่อน

                ใช่แล้ว คาเมเลี่ยนพูดถูกต้องทุกอย่างเพราะเขากำลังหลงรักเพกาซัส โคกะขึ้นมาจริงๆ

                โอไรอ้อน เอเดนไม่ใช่คนที่จะมานั่งคิดสงสัยว่าความรักของเขาเกิดขึ้นมาเมื่อไรหรือสาเหตุใดเพราะมันไม่สำคัญเลยในเมื่อเขาไม่มีทางที่จะสมหวังในความรู้สึกที่เพิ่งรู้ตัวนี้ เขารู้เหตุผลดีอยู่แล้วในเมื่อเขาเป็นคนทำเองทุกอย่าง

                คำว่าเพื่อให้ยังมีชีวิตอยู่นั้นมันก็แค่ข้ออ้างของคนเห็นแก่ตัวที่อ่อนแอเท่านั้นและตัวเขาก็เป็นคนอ่อนแอซึ่งไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้โดยขาดใครสักคนให้ยึดเหนี่ยว เขาใช้ข้ออ้างว่าเพื่ออาเรียแล้วทำร้ายเพกาซัสเพียงเพราะไม่อาจทนที่จะอยู่อย่างไร้ความหมายได้ เพราะฉะนั้นการที่เพกาซัสจะเกลียดชังเขาก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วซึ่งเขาก็เตรียมใจที่จะรับความเกลียดชังนั้นเอาไว้หากแต่เขากลับได้พบกับสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่าความเกลียดชัง

            ในเช้าวันต่อมาหลังจากการตายขชองคาเมเลี่ยนเอเดนก็จำไม่ได้ว่าตอนนั้นเขาฝันถึงเรื่องใดแต่เขาก็รู้ว่าตนเองฝันร้าย ความรู้สึกเจ็บปวดของความฝันทำให้เขาทรมานหากแต่ตอนนั้นเองที่กลับมีมือหนึ่งสัมผัสลงบนแก้มเขาราวกับจะช่วยปลอบโยนให้เขาหลุดพ้นจากฝันร้ายและเมื่อลืมตาตื่นเขาก็พบว่าเจ้าของมือข้างหนึ่งของเพกาซัส โคกะผู้ที่ถูกเขาทำร้ายเสมอมา

                แรกสุดเขานึกว่าตนเองยังติดอยู่ในความฝันจึงได้ลองยกมือขึ้นวางทาบลงบนหลังมือของโคกะ ความอบอุ่นของมือที่จับกุมอยู่นั้นกำลังบอกเขาว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งความจริงซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าตกอยู่ในห้วงของความฝันเสียอีก เอเดนจึงไม่อาจทนอยู่ตรงนี้ต่อไปได้อีกเขาจึงรีบลุกขึ้นมาแต้งตัวเพื่อหนีไปให้ไกลจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด

                “เอเดนนายจะไปไหน”เมื่อโดนถามเขาก็ไม่สามารถที่จะหันหน้ากลับไปได้จึงได้แต่ตวาดกลับไป

                “ไม่ต้องมายุ่งกับผม!”แล้วเขาก็รีบออกไปโดยไม่ได้หันหลับไปมองหน้าผู้อยู่เบื้องหลังเลย

                ทว่าวินาทีที่ประตูปิดลงขาของเขากลับไม่สามารถก้าวต่อไปได้อีกแล้ว ชายหนุ่มได้แต่เอนพิงประตูแล้วยกมือขึ้นปิดบังน้ำตาทั้งที่ไม่มีใครเห็นเอาไว้ด้วยความรู้สึกอันรวดร้าว

                “ทำไมนายถึงยังคงยื่นมือมาให้ผม”เขาต้องการคำตอบแต่ก็ไม่อยากถามออกไป ทั้งที่เขาทำร้ายอีกฝ่ายไปมากมายจนเกินกว่าจะอภัยให้ได้แต่ไม่ว่าเมื่อไรเพกาซัส โคกะก็ยังคงยื่นมือมาให้เขาอยู่เสมอ

                ตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ไม่ว่าเมื่อไรโคกะก็ยังคงยื่นมือมาหาเขาราวกับว่าจะให้อภัยในทุกสิ่งที่เขาเคยทำมา ถ้าหากโคกะมองเขาด้วยความแค้นเขาคงรู้สึกสบายใจมากกว่านี้ ในทางกลับกันความทรมานที่เกิดขึ้นี้ก็คงสาสมกับความเห็นแก่ตัวของเขาเช่นกัน

                เขาทั้งทำร้าย ข่มขืน เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและช่วงชิงทุกสิ่งที่สำคัญสำหรับเพกาซัสไปหมดแล้วดังนั้นนี่ก็คงเป็นโทษที่เขาควรได้รับใช่ไหม...

 

            หลังจากวันนั้นเขาก็หลบหน้าไม่พูดอะไรกับเพกาซัสเลยแม้แต่คำเดียวเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองยังสามารถทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ขณะที่ใจหนึ่งก็นึกเป็นห่วงคำสาปในร่างของอีกฝ่ายจึงได้แต่คอยตามดูอยู่ห่างๆเท่านั้น

                หลายครั้งที่เพกาซัสมักจะหมดสติไประหว่างที่ออกไปช่วยคนอื่นทำงานและเกือบทุกครั้งเขาก็จะเป็นคนอุ้มร่างบางกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้วรีบจากไปโดยไม่อาจทำได้แม้แต่นั่งรอให้ดวงตาคู่โตนั้นเปิดขึ้นด้วยซ้ำไป

                ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เฝ้าจับตาดูทำให้เขาพบว่าอาการของโคกะแย่ลงกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก แม้เพกาซัส โคกะจะเป็นคนที่รูปร่างผอมบางอยู่แล้วแต่ในตอนนี้ยิ่งดูผ่ายผอมกว่าเมื่อก่อนทั้งยังริมฝีปากที่ติดจะแห้งผากและสีหน้าซีดเซียวซึ่งถูกซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งยืนยันว่าคนตรงหน้าเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ

                “คำสาปของอาพุสกำลังส่งผล....”ข้อสรุปนี้ช่างบีบรัดหัวใจเขาจนทำอะไรไม่ถูกจนสุดท้ายเขาจึงไม่อาจทนเห็นโคกะมีความสุขแล้วตายไปโดยทำให้ทุกอย่างที่เขาทำมาไร้ค่าไปไม่ได้

                เอเดนตรงเข้าไปฉุดโคกะออกมาจากกลุ่มเพื่อนพ้องแล้วลากออกมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้และสั่งห้ามให้โคกะอยู่กับคนอื่น แน่นอนว่าม้าพยศอย่างเพกาซัสไม่มีทางยอมทำตามคำพูดอันไร้เหตุผลของเขาอยู่แล้ว ร่างเล็กตรงหน้าโวยวายด้วยแววตาดื้อรั้น

                “ผมเห็นนายยิ้มแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข...ผมไม่ต้องการนายที่ยิ้มออกมาแบบนั้น”เขาพูดได้เพียงแค่นี้และมันไม่เคยเป็นเหตุผลที่พอเพียงสำหรับโคกะเลยและคำพูดต่อมาของโคกะก็ช่วยยืนยันความคิดของเขาเป็นอย่างดี

                “การที่ฉันช่วยอาเรียมันเป็นสิ่งที่ผิดมากขนาดนั้นเลยรึไงกัน! นายคิดว่าฉันไม่เจ็บปวดรึไงที่ปกป้องเธอไม่ได้!”วินาทีที่ได้ยินประโยคนี้สติของเขาก็เหมือนจะขาดออกจากกันชั่วขณะเพราะรู้ตัวอีกทีเขาก็กดลำคอบางเข้ากับต้นไม้แล้วออกแรงบีบด้วยโทสะไปแล้ว

                แต่ไม่แน่ว่าต่อให้มีสติดีเขาก็คงยังทำเหมือนเดิมเพราะแม้จะรู้ตัวแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับโคกะแต่เขาก็ยอมให้โคกะพูดตอกย้ำอาเรียไม่ได้ เขาไม่ได้โทษเรื่องอาเรียกับโคกะแต่อาเรียก็เอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอดที่บังคับให้เขาต้องทำแบบนี้เพื่อเธอ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจยอมให้โคกะพูดอะไรที่อาจทำให้เธอเสียใจได้เด็ดขาด

                “นายต้องทำตามที่ผมพูดถ้ายังไม่อยากตาย”เมื่อโทสะเบาบางลงเขาจึงได้ปล่อยมือออกแล้วมองอีกฝ่ายที่กำลังไอไม่หยุดเพราะขาดอากาศพร้อมกับเอ่ยเตือน ใบหน้าหวานเงยขึ้นจ้องมองเขาอย่างเอาเรื่องก่อนจะพูดออกมา

                “การทำร้ายฉันคงทำให้นายมีความสุขมากสินะ”เสียงของโคกะแผ่วเบาแต่กลับบาดลึกลงบนหัวใจของเขา ทั้งที่ยอมรับแล้วว่ามันเป็นบทลงโทษของตัวเองแต่เมื่อได้ยินคำพูดตรงๆแบบนี้เขาเองก็ใช่จะสามารถทนฟังโดยไม่รู้สึกอะไรได้

                “นายไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผมหรอก”

                ความรู้สึกที่ต้องทนทำร้ายคนที่ตัวเองรักเพียงเพราะอยากให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ ความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจเอ่ยปากบอกใครได้ ไม่ว่าจะความรัก ความเป็นห่วงหรือความรู้สึกทุกอย่าง โดยเฉพาะความหนักอึ้งของชีวิตที่แบกรับอยู่นั้นโคกะไม่มีวันเข้าใจอย่างเด็ดขาด

                “เพกาซัส...”คงเพราะสะเทือนใจกับสิ่งที่ได้ยินเขาจึงได้เผลอขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย เชยคางเรียวขึ้นและตั้งใจจะจรดริมฝีปากลงไปเพื่อสื่อให้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงบอกไม่ได้ ทว่า....

                “ไม่!”อีกฝ่ายร้องปฏิเสธและวิ่งหนีไป ทิ้งให้ตัวเขาได้แต่จมอยู่กับความรู้สึกที่คงไม่มีวันได้บอกออกไป

                จากนั้นกว่าเขาจะสามารถตั้งสติได้ก็เป็นเวลาอีกพักใหญ่แล้วจึงค่อยเริ่มออกตามหาเพกาซัสซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าพลังคอสโม่ของโคกะอยู่ใกล้ๆแต่สิ่งที่หนักใจคือการที่เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่วิหารแอเรียสเอเดนถึงกับแปลกใจว่าเหตุใดคนที่เขาตามหาถึงไปอยู่ที่นั่นได้

                เมื่อเขาไปรับก็ย่อมต้องเจอกับเจ้าของวิหารอยู่แล้วซึ่งทำให้เขาโดนซักถามอะไรไปหลายอย่างและที่น่าตกใจคือการที่โคกะยอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้คนอื่นฟัง แต่ก็อาจยังไม่น่าตกใจกับการที่แอเรียส กิกิยอมปล่อยให้เขาพาเพกาซัสกลับไปด้วยแววตาที่เหมือนกับควาดหวังอะไรบางอย่างอยู่

                เมื่อพาร่างบางกลับมานอนพักที่ห้องแล้วเขาก็ออกไปข้างนอกเพื่อทำสิ่งที่คั่งค้างอยู่แล้วจึงค่อยกลับมาอีกครั้งในยามค่ำคืนโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะหลับไปโดยไม่ตื่นมาเจอเขาแต่มันก็ไม่เป็นดังหวังเมื่อเขาเปิดประตูมาแล้วก็พบกับเพกาซัสที่เอ่ยเรียกเขาด้วยใบหน้าที่คล้ายกับจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

                โคกะเอ่ยถามเขาถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าหมองแลดูสับสนแต่เขาก็ตอบไม่ได้เพราะทุกคำตอบของเขาเป็นได้เพียงการเร่งให้อีกฝ่ายตายเร็วขึ้นเท่านั้น เมื่อไม่ได้รับคำตอบดังหวังโคกะก็ถึงกับตะโกนออกมาอย่างเหลืออดใส่ตัวเขาราวกับจะบอกว่าความอดทนได้มาถึงขีดสุดแล้ว เขาสามารถทนให้อีกฝ่ายต่อว่าเขาได้แต่แล้วเขากลับไม่อาจทนเห็นสภาพอันสิ้นหวังที่โคกะแสดงออกมาได้

                “ฉันไม่มีอะไรให้นายแย่งชิงนอกจากชีวิตนี้อีกแล้ว...”ไม่ว่าจะเป็นคำพูดอันเจ็บปวด ใบหน้าที่ก้มต่ำหวังจะซ่อนหยดน้ำตา ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขาไม่อาจทนใจแข็งทำตัวเย็นชาต่อไปได้อีกแล้ว

                “เพกาซัส....”เขาอยากบอกว่าอย่าร้องไห้แต่ก็ทำได้แค่วางมือลงบนดวงหน้าหวานนั้นเพื่อปลอบประโลมทุกการกระทำอันโหดร้ายของตัวเองเอเดนอยากจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้อย่างอ่อนโยนที่สุดแทนที่ในทุกช่วงเวลาที่เขาไม่อาจทำได้         ตอนนี้เขาไม่ได้ทำเพราะเงื่อนไขของอาพุสอีกแล้ว เขาอยากกอดโคกะเอาไว้ด้วยความต้องการของตัวเองโดยไม่ได้สนใจเสียงปฏิเสธของโคกะที่เบาลงทุกขณะเลยแม้แต่นิดเดียว เขาพูดอะไรออกไปไม่ได้สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงการกระทำที่อยากบอกว่าอีกฝ่ายสำคัญกับเขามากแค่ไหน

                “จูบได้มั้ย...”เขาถามอย่างติดจะหวาดหวั่นในคำตอบเพราะเคยโดนปฏิเสธมาแล้ว สีหน้างุนงงสลับกับดูลังเลของโคกะนั้นทำให้เขาเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปเล็กน้อยและยิ่งคิดเข้าข้างตัวเองหนักกว่าเดิมเมื่อถึงจะถูดพูดใส่ด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองแต่โคกะก็ยังยินยอมให้จูบ  เขาประทับริมฝีปากลงไปอย่างนุ่มนวลพร้อมทั้งโอบกอดร่างบอบบางไว้ด้วยทุกความรู้สึกที่มีและได้แต่หวังว่าโคกะจะเข้าใจ

                เอเดนไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่มือเรียวบางคู่นั้นโอบรอบคอของเขาขณะที่เอ่ยเรียกชื่อของเขาออกมา บางทีให้ห้วงเวลาที่ถูกสาปตอนนี้คงเป็นวินาทีที่เขารู้สึกมีความสุขที่สุดแต่ขณะเดียวกันก็เป็นทุกข์ยิ่งกว่าจะจินตนาการได้

            ขณะที่ถูกกอดร่างบางโอบกอดเขาแน่นด้วยความเจ็บแต่เสียงครวญครางที่ดังข้างหูกำลังบ่งบอกถึงความสุขสมอยู่ในทีจนเขาอดที่จะยิ้มไม่ได้ แต่แล้วจู่ๆคนที่ถูกกอดกลับนิ่งไปเสียแบบนั้นทำให้เขาสงสัยพอลองมองสบกับดวงตาคู่โตนั้นอีกฝ่ายกลับโจมตีเขาได้อย่างเจ็บปวดเป็นที่สุดเมื่อมือข้างหนึ่งของโคกะได้ถูกยกขึ้นมาวางบนแก้มของเขา

                “เอเดน....”เสียงเรียกนั้นช่างแผ่วเบาแต่กลับทำร้ายเขาได้ลึกถึงหัวใจส่งผลให้วินาทีนั้นเขาถึงกับดึงรั้งร่างบอบางตรงหน้ามากอดแนบแน่นพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้อีกแล้ว

                “เพกาซัส ผม...”ทว่าวินาทีที่กำลังจะพูดออกไปเขากลับไม่สามารถพูดมันออกไปได้เพราะไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด  เพียงแค่นี้โคกะก็สับสนมากจนเกินพอแล้ว โคกะเจ็บมามากแค่ไหนตัวเขาที่เป็นผู้กระทำย่อมรู้ดีดังนั้นเขาไม่ควรจะทำให้ทุกอย่างมันแย่ไปมากกว่านี้

                นอกจากนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากพูดออกไปอาพุสจะหาข้ออ้างอะไรทำร้ายโคกะหรือไม่

                สุดท้ายเขาก็ได้แต่กดจูบลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทดแทนความรู้สึกที่อยากบอกพร้อมกับกลืนกินคำพูดทุกอย่างกลับลงไปและได้แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งจมลงสู่ห้วงนิทราของเพกาซัส ชายหนุ่มรวบกอดร่างชื้นเหงื่อนั้นเอาไว้แล้วเพ่งพิศมองดวงหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าอย่างรู้สึกเจ็บปวด

                เขาเลือกแล้วที่จะทำร้ายโคกะเพื่อให้เจ้าตัวยังคงมีชีวิตต่อไป ความใจดีเพียงครั้งคราวของเขากำลังจะทำให้โคกะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง เอเดนไม่อาจทนดูโคกะนอนทุรนทุรายอยู่บนเตียงพร้อมกับยื่นมือขอร้องให้ช่วยได้อีกแล้วแต่ก็รู้ตัวเช่นกันว่าเขาคงไม่อาจลงมือทำร้ายโคกะได้เหมือนที่ผ่านมาเช่นกัน

                “อาเรีย...”ชายหนุ่มเลือกที่จะเอ่ยถามกับเธออีกครั้ง

                “ผมทำถูกแล้วใช่ไหม”หากว่าเธอยังอยู่ช่วยบอกทีว่าเขาไม่ได้เลือกทางที่ผิด

                “ผมน่ะ...จะไม่ยอมเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว”เขาสูญเสียเธอไปแล้วเพราะปกป้องไม่ได้ ในคราวนี้ต่อให้ต้องแลกกับทุกอย่างเขาก็จะไม่ปล่อยให้โคกะตายเด็ดขาด เพราะฉะนั้นได้โปรดบอกเขาทีว่าเขาไม่ได้เลือกทางที่ผิดใช่ไหม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา