[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…

10.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.

  13 ตอน
  8 วิจารณ์
  29.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

11) ขอโอกาสอีกสักครั้ง....

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

..............ไม่ว่ายุคสมัยใดผู้คนก็มักต้องเผชิญกับการเสียใจภายหลัง....................

................ดังนั้นแม้แต่คุณเองจึงได้ปรารถนาว่าขอโอกาสอีกสักครั้งหนึ่งใช่ไหม..................

 

                เสียงของสายลมที่แปลกไปปลุกให้คิโดะ ซาโอริหรืออาธีน่าลืมตาตื่นขึ้นกลางดึก เธอรู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นกว่าเมื่อตอนหัวค่ำพอสมควรอย่างผิดปกติส่งผลให้ร่างบอบบางลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังระเบียงกว้างเพื่อมองหาสิ่งผิดปกติก่อนจะพบว่า ด้านหลังวิหารไลบร้ากลับมีแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา

                “นี่มันเรื่องอะไรกัน”เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงสัมผัสถึงพลังอันชั่วร้ายใดๆไม่ได้เลย

                ก๊อกๆ

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากขุมพลังที่เธอสัมผัสได้นอกประตูทำให้เธอส่งเสียงอนุญาตให้ผู้มาเยือนเข้ามาในห้องได้ แม้จะไม่เหมาะสมที่จะให้ผู้อื่นเข้ามาในห้องนอนของเธอ แต่กับคนๆนี้นั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะผู้ที่มาก็คืออดีตเพกาซัสหรือตอนนี้ก็คือซาจิทาเรียส เซย์ย่า

                “ขออภัยที่มารบกวนกลางดึกแต่ท่านเองก็สัมผัสได้สินะ”ซาโอริพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองยังวิหารไลบร้าอีกครั้งหนึ่ง

                เปลวเพลิงอันร้อนแรงนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับเคยได้สัมผัสมันมาก่อน เปลวเพลิงที่ร้อนจนสามารถแผดเผาทุดสิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าและความสับสน ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจที่สุดกลับเป็นขุมพลังหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง

                พลังที่ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความดีหรือชั่ว มีแต่เพียงความบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถนำสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ มันช่างให้ความรู้สึกอ่อนโยนอย่างโหดร้ายจนคล้ายกับจะทำให้หัวใจถูกดึงดูดเข้าไป

                “เราคิดว่าเรารู้จักพลังแบบนี้ทั้งที่ไม่เคยสัมผัสได้ถึงมันมาก่อนแท้ๆ”ขณะที่กล่าวเช่นนั้นเธอก็ทอดมองสายตาไปยังสถานที่แห่งนั่นซึ่งคงเกิดเรื่องบางอย่างที่ร้ายแรงขึ้น แต่แล้วทั้งที่ไม่ควรใจเธอกลับบอกว่าเธอไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ได้

                “ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกัน อาธีน่าพลังคอสโมอันบริสุทธิ์นั้นมันทำให้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับเคยรู้จักมาก่อนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”หากจะบรรยายความรู้สึกนี้คำว่าอาลัยคงเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุด เซย์ย่าไม่แน่ใจว่าตนเองคิดไปเองรึเปล่าแต่เขาเหมือนรู้สึกว่าควรจะต้องไปอยู่ข้างๆใครสักคน

                บางทีซาโอริคงสัมผัสถึงความรู้สึกของเซย์ย่าได้เพราะว่าเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้น เธอจึงกุมมือของชายหนุ่มเอาไว้ก่อนจะเอนศีรษะซบลงบนไหล่ของชายหนุ่มช้าๆ เมื่อเป็นเช่นนี้นเซย์ย่าจึงกุมมือของเธอตอบกลับในขณะที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเพราะทั้งเขาและเธอต่างก็รู้สึกได้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องที่เกิดขึ้นเด็ดขาด

 

                มืออีกข้างที่เหลือถูกยกขึ้นมากุมบนอกคล้ายกับกำลังอธิษฐานให้ทุกอย่างจบลงอย่างมีความสุข ขณะที่ดวงตาทั้งสองคู่ของคนสองคนได้แต่มองไปยังสถานที่ซึ่งไม่สามารถแตะต้องได้อย่างเงียบๆ

 

                “อืม....ฝีมือของฟินิกซ์เองก็ไม่เบาเลยแฮะ”โยมะเอ่ยขึ้นหลังจากที่การต่อสู้เกิดขึ้นได้สักพักหนึ่งแล้ว ร่างในชุดสูทตะวันตกขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งบนหลังม้าเพกาซัสที่สร้างขึ้นมาเพื่อลองเปลี่ยนมุมที่ดูอยู่ โดยมีโดโกที่ถูกหยุดเวลาเอาไว้จนมีสภาพไม่ต่างกับรูปปั้นหิน สิ่งที่ต่างกับรูปปั้นหินคงมีอย่างเดียวนั่นคือ เขามีชีวิตและรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างน่าแค้นใจ

                “เจ้าทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่ การปลุกปั่นผู้คนให้ฆ่าฟันกันเองมีประโยชน์กับตัวเจ้าตรงไหนกัน!”โดโกตะโกนถามด้วยความคับแค้นใจที่ต้องมาเห็นคางาโฮะกับอิคคิต่อสู้กันเองเพื่อคนสำคัญที่ไม่อยากเสียไป ได้ยินโดโกถามโยมะก็ทำหน้าเหมือนโดนบังคับกินยาขมก่อนตอบ

                “หา? นี่เจ้าคิดว่าการที่คนเราจะทำอะไรเพื่อความบันเทิงจำเป็นต้องมีเหตุผลมากมายด้วยรึไงกัน”คำตอบและท่าทางของโยมะบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีสำนึกของสิ่งที่เรียกว่าความดีอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว คำพูดของโดโกเป็นสิ่งที่โยมะได้ยินมาจากคนอื่นหลายรอบจนไม่จำเป็นต้องสนใจฟังอีกต่อไป

                “จะว่าไปข้าเองก็ชักอยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างพี่ชายทางวิญญาณกับพี่ชายทางสายเลือดใครจะเป็นผู้ชนะกัน”แล้วจากนั้นสายตาของโยมะก็เบนความสนใจไปทางคางาโฮะกับอิคคิทันที

                “คางาโฮะ!”เสียงอันเกรี้ยวกราดของอิคคินั้นมาพร้อมกับเพลงหมัดที่รุนแรงมากพอจะบดกระดูกให้เป็นผุยผงโดยเฉพาะในยามที่พวกเขาทั้งสองต่างไม่มีชุดเกราะสวมใส่ แต่คางาโฮะก็ใช่ว่าจะพลาดเอาง่ายๆ ชายหนุ่มขยับตัวหลบก่อนจะรุกเข้าประชิดตัวเพื่อปล่อยหมัดที่ถูกหุ้มด้วยเปลวเพลิงไปเต็มแรง

                เปรี้ยง!

                หมัดของคางาโฮะปะทะเข้ากับฝ่ามือของอิคคิที่ถูกยกขึ้นมารับในทันทีส่งผลให้อิคคิกำมือของคางาโฮะแน่นพร้อมคำรามอย่างเจ็บปวด

                “สำหรับแกชุนไม่มีความหมายเลยใช่มั้ย! ทั้งที่ชุนทำเพื่อแกแต่แกกลับ.....”คำพูดนี้อิคคิพูดด้วยความคับแค้นใจที่น้องชายซึ่งเขารักสุดหัวใจกลับปันใจไปให้คนอื่นทั้งยังเอาตัวเองไปเสี่ยง แต่คางาโฮะกลับมาปกปป้องอาโรนแทนที่จะช่วยชุน

                “แกมันไม่มีค่าพอจะให้ชุนรักด้วยซ้ำ!”พลันนั้นอิคคิก็กำหมัดชกเข้าที่ใบหน้าของคางาโฮะจนชายหนุ่มถือกับเซ แต่คางาโฮะก็ไม่ยอมแพ้ใช้ไฟเผามือของอิคคิจนได้กลิ่นเนื้อไหม้แล้วจึงค่อยชกสวนกลับไปเช่นกัน

                “แกจะไปเข้าใจอะไร! ท่านอาโรนคือทุกอย่างของข้า เป็นคนที่ข้ารักและสัญญาว่าจะปกป้องให้ได้ คนที่ไม่เคยสูญเสียอย่างแกจะไปเข้าใจอะไร!”น้ำเสียงของคางาโฮะสะท้อนถึงความปวดร้าวอย่างที่สุดออกมาแจ่มชัดจนอาโรนยังถึงกับแสดงสีหน้าเศร้าเสียใจออกมา

                “ข้าสูญเสียมามากพอแล้วและจะไม่ยอมสูญเสียโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะได้ปกป้องท่านอาโรนไปอีก!”คำพูดของคางาโฮะอาจทำให้ใครต่อใครนึกสงสารขึ้นมาได้แต่สำหรับอิคคิแล้วมันเป็นเพียงแค่ความขี้ขลาดเห็นแก่ตัวเท่านั้น

                “บนโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยสูญเสีย! ทุกคนต่างก็พยายามที่จะรักษาสิ่งสำคัญเอาไว้สุดชีวิตทั้งนั้นมีแต่แกนั่นแหละที่หลงมัวเมากับอดีตจนผิดคำพูดของตัวเอง!”คำพูดนี้ของอิคคิทำให้คางาโฮะที่กำลังจะพุ่งเขามาต้องหยุดชะงักไปและอิคคิก็พูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้คางาโฮะได้พูดอะไรอีก

                “แกก็แค่ยอมรับความตายของอาโรนไม่ได้และเลือกจะหนีจากมันโดยทิ้งชุนคนที่แกเคยบอกว่าสำคัญ  แกมันก็แค่คนขี้ขลาดที่ทอดทิ้งชุนซึ่งทำทุกอย่างเพื่อแกเพียงเพราะภาพเงาของอดีตที่ตัดทิ้งไม่ลง!”ทุกถ้อยคำของอิคคินั้นเป็นราวกับดาบเล่มหนึ่งซึ่งทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเขาจนเจ็บ คางาโฮะกัดฟันกรอดก่อนจะลอบมองไปยังอาโรนในร่างชุนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

                แม้จะไม่ใช่เวลาหวนนึกถึงอดีตแต่เหตุการณ์นี้กำลังทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งที่ซุยยังมีชีวิตอยู่ เขานึกถึงตัวเองที่ออกมายืนเบื้องหน้ายอมเจ็บตัวเพื่อให้น้องชายได้มีชีวิตอยู่ต่อไปซ้อนทับกับยามที่ตนเองกางปีกออกเบื้องหน้าอาโรนเพื่อปกป้องอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนในตอนนี้

                มันคือความรู้สึกที่อิคคิไม่มีวันเข้าใจ เพราะอิคคิปกป้องชุนมาได้จนถึงทุกวันนี้ไม่เหมือนกับเขาที่สูญเสียคนที่รักไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาตายไปแล้วและเมื่อหวนกลับมามีชีวิตอีกครั้งขณะที่ตอนนี้อาโรนได้กลับมาแล้ว เขารู้สึกเหมือนกับได้รับโอกาสอีกครั้งซึ่งมันจะเป็นครั้งสุดท้าย....

                “ข้าเสียใจภายหลังมามากพอแล้ว! ข้าจะไม่ยอมสูญเสียโอกาสครั้งสุดท้ายไปเด็ดขาด!”

            พอได้ยินคำพูดของคางาโฮะแล้วแทนที่จะดีใจอาโรนกลับยิ่งมีสีหน้าเศร้าสร้อยมากกว่าเดิมด้วยรู้ดีว่าคนที่เขาให้ความสำคัญนั้นยังคงยึดติดกับอดีตอยู่เหมือนกับตัวเขาอีกคนหนึ่งซึ่งใช้พลังของฮาเดสฝืนปลุกเขาขึ้นมา

                “นี่คือสิ่งที่เธอต้องการงั้นหรือ ชุน”เอ่ยถามกับจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งของตนเองพร้อมกับทอดมองการต่อสู้อันแสนเศร้าเบื้องหน้าราวกับจะถ่ายทอดลงไปยังอีกคนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ที่ส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณ

                “เธอรู้สึกพอใจจริงๆน่ะเหรอที่ให้ผมอยู่ที่นี่”อาโรนพูดด้วยแววตาเศร้าหมอง แม้ความจริงเขาจะดีใจที่ได้พบกับคางาโฮะอีกครั้งแต่แท้จริงแล้วเขาไม่ควรตื่นขึ้นมาเลย เขาไม่ควรจะตื่นขึ้นมาเพื่อทำร้ายคางาโฮะหรือทำให้ชายหนุ่มคลาดสายตาไปจากสิ่งสำคัญที่แท้จริง แต่เขาพูดไม่ได้เพราะตัดใจทำร้ายคางาโฮะไม่ลงหลังจากที่เห็นคางาโฮะเจ็บปวดมามากพอแล้ว

                “คางาโฮะ....ผมคงได้แต่หวังให้ชายคนนั้นสามารถทำให้เธอลืมตาตื่นได้นะ”

                ตั้งแต่ประมือกันมาอิคคิไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานหรือเพียงแค่พริบตาเดียวกันแน่ พวกเขาทั้งสองต่างหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากได้แลกหมัดกันไปหลายครั้ง ทั่วร่างของอิคคิเต็มไปด้วยรอยแผลไฟไหม้ส่วนคางาโฮะที่มีเพียงร่างกึ่งวิญญาณไม่ได้มีบาดแผลภายนอกแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองเริ่มเลือนรางขึ้นทีละนิดทุกครั้งทีถูกโจมตี

                คางาโฮะรู้ดีว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม้พลังจะจัดได้ว่าใกล้เคียงแต่สำหรับตัวเขาที่มีเพียงวิญญาณไม่อาจทนศึกที่ยืดเยื้อได้ กระนั้นคางาโฮะก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะให้สนใจเรื่องนี้เพราะพริบตาที่เขาพลาดนั่นก็คือจุดจบของเขาแต่เขาก็หยุดมือไม่ได้แม้ใจจริงแล้วเขาจะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม

                ทุกคำพูดของอิคคิบาดลึกลงไปในใจเขาลึกและทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าการโดนอีกฝ่ายโจมตีหลายร้อยเท่า เขาฝืนสร้างร่างออกมาด้วยการเค้นพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดเพื่อที่จะช่วยชุนแต่มันก็ไม่ทันการณ์ ทว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าอาโรนที่เขารักจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งในขณะที่ชุนหายไป

                ความจริงแล้วเขาอยากร้องเรียกให้ชุนออกมาแต่ก็ทำใจที่จะจากอาโรนไปอีกครั้งไม่ได้และอิคคิก็ไม่คิดจะปล่อยให้เขาได้ตัดสินใจ แววตาของอิคคิบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ายอมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อนำชุนกลับคืนมาซึ่งนั่นรวมถึงการทำร้ายอาโรน เขาสับสนไปหมดด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี

                ทอดทิ้งอาโรนเพื่อชุนหรือทอดทิ้งชุนเพื่ออาโรน....

                เขาเลือกไม่ได้และไม่อยากที่จะต้องตัดใจเลือกระหว่างอดีตหรือปัจจุบัน เขาทำได้แต่ต่อสู้ต่อไปเพื่อปกป้องอย่างทุกข์ทรมาณเท่านั้น

                พอสู้กันได้สักพักหนึ่งอิคคิก็เริ่มสังเกตว่าคางาโฮะดูจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะก่อนหน้านี้คางาโฮะก็เพิ่งระเบิดพลังออกมาแล้วตอนนี้ยังต้องเค้นพลังมาเพื่อสู้กับเขาอีก ระหว่างวิญญาณที่พลังคอสโมอ่อนแรงกับคนเป็นอย่างเขาที่มีพลังเต็มเปี่ยมผลของการต่อสู้จะเป็นเช่นไรต่างฝ่ายก็รู้ดีอยู่แล้ว

                “ทำไมแกถึงไม่ยอมตัดใจจากอดีต...ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีหวังอีกต่อไปแล้ว!”อาโรนคือคนที่ตายไปแล้วไม่เหมือนกับชุนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่คางาโฮะก็ยังคงเลือกอาโรนซึ่งนั่นมันไม่ยุติธรรมสำหรับชุนเลย คางาโฮะถึงกับกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำพูดของอิคคิ

                “จะให้ข้าตัดใจงั้นเหรอ เจ้าสามารถพูดออกมาได้ง่ายๆเพราะว่าท่านอาโรนไม่ใช่คนสำคัญของเจ้า แต่ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ข้า...ข้า......”พลันนั้นคางาโฮะก็จ้องกลับไปด้วยดวงตาที่ทั้งเจ็บปวดและเต็มไปด้วยโทสะ

                “แล้วถ้าหากเปลี่ยนเป็นชุนล่ะเจ้าจะยอมตัดใจได้หรือไม่!”คำพูดของคางาโฮะที่ตอบกลับมาอย่างเกรี้ยวกราดทำให้อิคคิชะงักไปเล็กน้อยเป็นการเปิดโอกาสให้คางาโฮะใช้พลังโจมตีกลับไป

                “Corona Blast!”เปลวเพลิงลูกใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอิคคิและพุ่งเข้ามาหาร่างสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว อิคคิรีบเร่งพลังคอสโมของตนเองขึ้นมาเพื่อป้องกันเพลิงกาฬที่พร้อมจะแผดเผาตัวเขาไปพร้อมกันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

                “ในเมื่อเจ้าเองก็ยังตัดใจจากชุนไม่ได้แล้วจะให้ข้าตัดใจจากท่านอาโรนได้อย่างไรกัน!”ต่อให้เป็นเพียงศากซพเน่าเปื่อยหรือวิญญาณที่แปดเปื้อนมากแค่ไหนสำหรับเขาอาโรนก็ยังถือเป็นคนสำคัญมากยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดแล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้ที่อาโรนมีตัวตนให้จับต้องได้

            “ข้าจะไม่ทอดทิ้งท่านอาโรนเด็ดขาด”คางาโฮะตะโกนออกมาราวกับจะให้มันฝังลึกลงไปในใจของอิคคิ แม้จะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคางาโฮะแต่เขาเองก็เหมือนกัน

                “แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่แกจะต้องทอดทิ้งชุนหรือแกจะบอกว่าขอเพียงได้อาโรนกลับมาก็สามารถตัดใจจากชุนได้! แกลองบอกฉันมาสิว่าชุนมีค่าเพียงแค่นั้นใช่มั้ย!”แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่อิคคิก็สังเกตได้ว่าพลังของคางาโฮะอ่อนลงไปพอสมควรจนในที่สุดเขาก็สามารถสลายพลังโคโรน่าบลาสต์สำเร็จและกระโดดถอยออกมาตั้งท่าใช้ท่าไม้ตายสวนกลับไป

                “Houyoku Tensho!”หนึ่งหมัดที่พุ่งออกพร้อมกับเพลิงสีแดงอันร้อนแรงที่พร้อมจะเผาไหม้วิญญาณของคางาโฮะให้มอดไหม้ถูกส่งพุ่งตรงยังคางาโฮะที่ยืนอยู่ เพราะกำลังสะเทือนใจหรืออาจเพราะอ่อนแรงลงด้วยทำให้คางาโฮะไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ ทว่าพริบตาก่อนที่ร่างของเขาจะถูกเพลิงสีแดงกลืนกินกลับปรากฏร่างสีดำขึ้นเบื้องหน้าของเขา

                อาโรนในร่างของชุนกางแขนออกแล้วเค้นพลังจากแก่นของวิญญาณออกมาเพื่อปกป้องคางาโฮะเอาไว้แต่พลังของอาโรนก็ไม่ได้มีมากพอจะหักล้างพลังของอิคคิได้หมดเมื่อสังเกตได้ว่าแขนเสื้อกำลังเกิดรอยไหม้และสลายไปทีละนิด สีหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดแต่ก็ยังยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

                “ท่านอาโรน!”เขาร้องเรียกและรีบลุกขึ้นหมายจะเข้าไปดึงร่างบอบบางให้พ้นจากวิถีของเปลวเพลิงแต่อาโรนกลับร้องห้ามเสียงดัง

                “อย่าเข้ามา!”เมื่อโดนขึ้นเสียงคางาโฮะก็ถึงกับชะงักด้วยความตกใจ พอเห็นสีหน้าตกใจของคางาโฮะแบบที่ได้เห็นน้อยครั้งอาโรนก็ผุดรอยยิ้มออกมาอย่างผิดเวลาก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่แผ่วเบาแต่กลับดังก้องในจิตใจของเขา

                “คนที่เธอควรจะเรียกชื่อน่ะไม่ใช่ผมหรอกนะ...”สิ้นคำนั้นอาโรนก็ได้ปลดปล่อยพลังคอสโมสีดำที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาจนครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้

 

                ยามเมื่ออิคคิลืมตาตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปจนหมด สวนเขียวชอุ่มด้านหลังวิหารไลบร้ากลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นของความตายคละคลุ้ง ทุกวินาทีมีแต่เสียงร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาณของเหล่าดวงวิญญาณในดินแดนซึ่งถูกเรียกว่ายมโลก

                “ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่”อิคคิเอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึงก่อนจะมองสำรวจรอบข้างและพบร่างในชุดเกราะสีทองเดินเข้ามา

                “ท่านผู้เฒ่าขยับตัวได้แล้วงั้นเหรอ”โดโกพยักหน้ารับก่อนตอบ

                “คงเพราะพลังของอาโรนเลยทำให้มนต์หยุดเวลาของโยมะเสื่อมลง ว่าแต่คางาโฮะหายไปไหนกัน”เมื่อโดโกพูดอิคคิถึงได้สังเกตเห็นว่าอาโรนเองก็หายไปเช่นกัน อิคคิกับโดโกจึงลองมองไปรอบๆและก็พบกับร่างของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกับอิคคิยืนอยู่กับร่างที่เล็กกว่าของชุน

                “ชุน....”อิคคิร้องเรียกชื่อน้องชายเผลอไผลก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ในร่างบอบบางนี้คืออาโรน แต่แล้วเด็กหนุ่มก็หันกลับมาตามเสียงเรียกแล้วเอ่ยถ้อยคำหนึ่งออกมา

                “พี่อิคคิ...”คำเรียกที่มีเพียงคนเดียวที่จะเรียกขานเขาเช่นนั้นทำให้อิคคิรีบวิ่งเข้าไปกอดน้องเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงทันที

                อ้อมกอดอันรุนแรงของพี่ชายทำให้ชุนถึงกับหายใจไม่ออกแต่มันก็หมายถึงความเป็นห่วงที่อิคคิมีต่อตัวเขา แม้อิคคิจะไม่ได้พูดอะไรนอกจากกอดเขาเอาไว้แน่นแต่ชุนก็รับรู้ได้ว่าอิคคิคงจะเป็นห่วงเขาจนแทบบ้าเด็กหนุ่มจึงยกมือขึ้นโอบพี่ชายเอาไว้แล้วเอ่ยคำขอโทษ

                “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”หลังจากมั่นใจแล้วว่าร่างที่ตนกอดอยู่คือน้องชายตัวจริงอิคคิก็ยอมคลายมือที่กอดเอาไว้และได้พบกับสายตาที่ยากจะอธิบายของคางาโฮะซึ่งมองพวกเขาอยู่แต่คางาโฮะก็มองพวกเขาเพียงครู่เดียวก่อนจะละสายตาไปมองภาพเบื้องหน้าที่ไม่ไกลออกไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโหยหา

                ห่างออกไปไม่ไกลมากนักมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้วาดภาพ เด็กหนุ่มคนนั้นมีเส้นผมสีดำยาวกลมกืนไปกับชุดสีเดียวกัน ในมือที่เรียวบางคือพู่กันซึ่งแตะลงไปบนผืนผ้าใบเพื่อแต่งแต้มภาพวาดของตนเอง

                “ท่านอาโรน....”ยินเสียงคางาโฮะเอ่ยเรียกก็ทำให้อิคคิกับชุนมั่นใจได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นคืออาโรน อดีตร่างทรงผู้ช่วงชิงพลังของยมเทพมาเป็นของตนเอง

                ในสายตาของชุนเสี้ยวหน้าของอาโรนที่มองเห็นนั้นช่างดูงดงามจนราวกับเจ้าตัวเองต่างหากที่เป็นงานศิลปะชั้นเลิศซึ่งกอปรมาจากความบริสุทธิ์แต่หากก็ถูกแต่งแต้มด้วยความเศร้าหมองจนน่าเศร้า

                “ที่ซึ่งท่านอาโรนจะวาดภาพได้มีเพียงที่แห่งนี้เท่านั้น ที่ซึ่งมีเพียงคนตาย....เพราะท่านอาโรนไม่คิดจะปลิดชีพมนุษย์คนใดด้วยภาพวาดอื่นนอกจากภาพLost Canvas”ภายใต้คำพูดที่แสดงออกถึงความเศร้านั้นยิ่งสะท้อนถึงความโดดเดี่ยวของอาโรนที่ต้องทนอยู่เพียงลำพังในนรกโดยยอมละทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อการทำให้ทุกคนมีความสุขในแบบของตนเอง แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้โดดเดี่ยวนานนักเมื่อมีร่างหนึ่งโผบินลงมาจากท้องฟ้า

                ร่างนั้นดูราวกับนกสีดำตัวใหญ่แต่กายากลับถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงทมิฬ ดวงตาที่ฉายแต่เพียงความแข็งกร้าวดุดันแลดูอ่อนโยนขึ้นทันตาเมื่อร่างนั้นคุกเข่าลงเบื้องหลังเด็กหนุ่มซึ่งทำให้ชุนจดจำภาพนิมิตรที่เคยเห็นก่อนมาที่นี่ได้ทันที

                “นี่คือเหตุการณ์ในอดีตของคุณสินะครับ”ชุนถามแต่คางาโฮะไม่ได้ตอบเพราะภาพเหตุการณ์ที่ดำเนินเหมือนเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยนแบบที่เขาเคยเห็นในนิมิตรนั้นได้กลายเป็นคำตอบให้แก่เด็กหนุ่มแล้วและในที่สุดก็มาถึงสิ่งที่ชุนรอคอยมาตลอด

                [คางาโฮะ ตัวผมเป็นผู้บาปหนาสาหัสหรือไม่?]คำพูดที่แสดงให้รับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มยังคงเจ็บปวดเสมอเมื่อภาพวาดของตนนั้นจะพรากทุกชีวิตไป แต่กระนั้นต่อให้มันเป็นเช่นนั้นก็ตาม....

                [...มิได้ มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะปลดปล่อยพวกเขาได้ขอรับ หากสิ่งนั้นเป็นบาปตัวข้าก็ยินดีจะแบกรับเช่นท่าน]ขณะที่พูดคางาโฮะในอดีตก็ประสานสายตากับอาโรนเพื่อยืนยันถึงคำสาบานที่ตัวเขาเอ่ยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

                [หากได้ทำเพื่อท่านข้าก็ยินดีช่วยเหลือ]ดวงตาของคางาโฮะสะท้อนแต่เพียงความเป็นจริงที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ชุนไม่รู้ว่าคางาโฮะจะรู้สึกเช่นไรกับการได้เห็นภาพอดีตที่รังแต่จะทำให้บาดแผลนั้นบาดลึกขึ้นแต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจหยุดมันได้ สิ่งที่ชุนทำได้มีเพียงการกุมมือของคางาโฮะเอาไว้เท่านั้น

                คางาโฮะดูจะตกใจเล็กน้อยที่โดนชุนกุมมือเอาไว้ สัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือที่ถ่ายทอดมาคล้ายกับจะช่วยปลอบประโลมหัวใจของเขาเอาไว้จนทำให้ชายหนุ่มกุมมือตอบกลับไป

                “เธอเคยบอกสินะว่าปกป้องผมไม่ได้”เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบแต่ก็เป็นเสียงที่คางาโฮะไม่มีวันลืม ร่างสูงหันรีบหันกลับไปด้านหลังและพบกับเด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีทองยาวสลวยกับดวงตาสีฟ้าสดใสแม้สีของเส้นผมและดวงตาจะต่างออกไปแต่อิคคิกับชุนก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็คืออาโรน

                “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ”อาโรนเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมา แสงสว่างค่อยๆรวมตัวกันในอุ้งมือของเด็กหนุ่มก่อนจะเกิดเป็นภาพสีน้ำมันรูปของคางาโฮะที่ชุนได้รับมาจากโยมะและพร้อมกันนั้นก็มีเสียงของคางาโฮะดังก้องในโสตประสาทของพวกเขาทุกคน

                อาธีน่า...เพกาซัส ท่านผู้นั้นยอมสละทุกอย่างเพื่อการปลดปล่อยผู้อื่นให้พ้นทุกข์เวทนา ในบรรดาสิ่งที่ท่านสละไปนั้นมีพวกเจ้ารวมอยู่ด้วย จะช่วยท่านได้หรือพวกเจ้า? จะต่อสู้ถึงที่สุดเพื่อช่วยท่านผู้นั้นได้แน่หรือ...!!

                หากพวกเจ้าทำไม่ได้เห็นทีตัวข้า...จะต้องกลับชาติมาเกิดใหม่!! เพื่อปกป้องท่านผู้นั้นให้จงได้...

                สิ้นเสียงของคางาโฮะน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีฟ้าของอาโรนทันที แม้จะร่ำไห้แต่เด็กหนุ่มก็ยังยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุด

                “เธอทำได้แล้วนะคางาโฮะ เธอปกป้องผมได้แล้ว”พริบตานั้นเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของอาโรนก็ทำให้บาดแผลที่ชายหนุ่มแบกรับเอาไว้แตกสลายหายไปในทันที อาโรนเดินเข้ามาหาคางาโฮะก่อนจะยื่นมือไปวางลงบนแก้มที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของชายหนุ่มก่อนจะกล่าวออกมา

                “แม้ว่าชาติก่อนผมจะเลือกเท็นมะแต่ตัวผมในชาตินี้จะเป็นของเธอทั้งหมด นี่คือโอกาสครั้งสุดท้ายที่เธอแสวงหามันมาตลอดยังไงล่ะ”แล้วจากนั้นอาโรนก็เลื่อนมือมาโอบกอดร่างของคางาโฮะเอาไว้แนบแน่นเพราะรู้ดีว่าเวลาของตนในภพชาตินี้ได้หมดลงแล้ว

                ร่างของอาโรนก่อเกิดแสงอันเรืองรองขึ้นมาพร้อมกับที่สัมผัสของร่างที่สวมกอดเขาอยู่กำลังจางหายไปทีละนิดซึ่งทำให้คางาโฮะถึงกับเรียกชื่อของเด็กหนุ่มอย่างร้อนรน

                “ท่านอาโรน!”เสียงเรียกชื่อทำให้อาโรนเงยหน้าขึ้นจากแผงอกที่ซบอยู่แล้วส่งยิ้มให้

                “ผมบอกแล้วไงว่าคนที่เธอควรเรียกชื่อไม่ใช่ผมหรอกนะ ไม่ต้องห่วงผมไม่หายไปไหนหรอกเหมือนกับที่เธอยังคงอยู่ที่นี่ผมเองก็จะอยู่ที่นี่กับเธอตลอดไป....”คำกล่าวของอาโรนทำให้คางาโฮะรำลึกได้ถึงอุ้งมือที่ตนเองกุมเอาไว้อยู่ ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจสวมกอดอาโรนได้แต่ก็ดูเหมือนชุนจะเข้าใจเด็กหนุ่มจึงปล่อยมือจากชายหนุ่มช้าๆ

                คางาโฮะหันกลับมามองชุนทำให้ชุนส่งยิ้มที่คล้ายกับจะให้กำลังใจส่งผลให้คางาโฮะยกมือโอบกอดคนที่เขาอยากกอดมาชั่วชีวิตและไถ่ถามถึงสิ่งที่เขาอยากรู้

                “หลังจากที่ข้าสิ้นใจไปแล้วเพกาซัสได้ช่วยเหลือท่านสำเร็จหรือไม่ ท่านสามารถยิ้มได้อย่างมีความสุขแล้วหรือไม่”เพียงแค่ความปรารถนาที่เรียบง่ายแต่กลับคล้ายเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการรอปาฏิหาริย์ ยินเสียงอาโรนหัวเราะเบาๆด้วยเสียงที่ใสราวกับกระดิ่งซึ่งดังกังวานยามต้องสายลม

                “เท็นมะเองก็เหมือนกับเธอ เขาช่วยเหลือทั้งโลกและผมสำเร็จทั้งยังไม่ปล่อยมือจากผมจนวินาทีสุดท้ายเลยล่ะ”ได้ยินดังนั้นในที่สุดคางาโฮะก็สามารถยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกและเป็นรอยยิ้มที่อาโรนเองก็อยากจะเห็นมาตลอดเช่นกัน

                เหตุผลที่อาโรนให้คางาโฮะอยู่ข้างกายตนเองมาตลอดเพราะในบรรดาสเป็คเตอร์ทั้งหมดมีเพียงคางาโฮะที่แตกต่างจากคนอื่น ไม่ว่าเมื่อไรดวงตาของคางาโฮะก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแต่ก็แฝงความเหงาหงอยเอาไว้ ชายหนุ่มที่ไม่เคยมีรอยยิ้มเป็นสุขแม้สักครั้งทำให้อาโรนรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในตัวของคางาโฮะ

                เขาก็เพียงแค่อยากจะเห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของคางาโฮะเท่านั้นเอง...

            ความปรารถนาที่พยายามไขว่คว้ามาตลอดในยามนี้เมื่อมันเป็นจริงเขาทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจที่ไม่ได้อยู่มองมันด้วยตาคู่นี้ คนที่เขารักมีความสุขแล้วใช่ไหม....

            “งั้นหรือ..เป็นเช่นนั้นจริงๆสินะ...”แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่ตนเองไม่ได้เป็นคนยืนอยู่ในจุดนั้นแต่ขอเพียงแค่อาโรนไม่ต้องทุกข์ทรมาณอีกต่อไปเขาก็พอใจแล้ว

                มือหนาเกลี่ยเส้นผมสีทองไปให้พ้นใบหน้าหมดจดงดงามเพื่อเพ่งพิศมองดวงหน้าที่นับจากนี้คงไม่อาจได้เห็นอีกตลอดไป อาโรนยิ้มให้คางาโฮะก่อนจะหลับตาลงเพื่อรับจุมพิตครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขาทั้งสองเอาไว้

            ภายใต้รสจูบอันแสนหวานที่เต็มไปด้วยความขมขื่น คางาโฮะไม่รู้ว่าหากในอดีตเขากล้าพอที่จะโอบกอดร่างนี้เอาจะมีสิ่งใดเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่เขาก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ ในเวลานี้เขาได้แต่กอดอาโรนให้แน่นที่สุดเพื่อบอกลากับอดีตที่ตนเอาแต่ไล่ตามมาตลอด

                “ข้ารักท่าน ท่านอาโรน...”ในที่สุดคางาโฮะก็สามารถเอ่ยคำนี้ออกมาได้ในวินาทีที่ร่างของอาโรนสลายกลายเป็นเพียงแสงสว่างดวงเล็กๆ คล้ายกับได้ยินเสียงหัวเราะอันแสนสุขยามที่เศษเสี้ยวของวิญญาณทั้งหมดหลอมรวมเข้ากับร่างของชุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆยามเมื่อวิญญญาณของอาโรนเข้ามาในตัวชุนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดของอาโรน

                คำรักที่อาโรนไม่ได้ตอบนั้นไม่ใช่เพราะไม่ได้มีใจตอบ แต่ความรู้สึกที่อาโรนมีให้คางาโฮะนั้นก้าวล้ำไปเกินกว่าคำว่ารักจนไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้เลย มีแต่เพียงความปรารถนาในความสุขของคางาโฮะเท่านั้นที่แจ่มชัดอยู่ในทุกอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด

                ชุนจ้องมองใบหน้าคมที่ยังคงเอาแต่มองไปยังผืนฟ้าอันว่างเปล่าด้วยท่าทางเหมือนกับพยายามเก็บซ่อนหยดน้ำตาเอาไว้ เด็กหนุ่มจึงลองเอ่ยเรียกพร้อมกับเข้าไปกุมมือชายหนุ่มเอาไว้

                “คางาโฮะ...”พอได้ยินเสียงเรียกคางาโฮะก็หันมาแล้วจึงค่อยเอ่ยถามเขา

                “ข้าขออยู่ข้างเจ้าต่อไปได้ไหม ชุน”เพียงยินเสียงคางาโฮะเรียกชื่อของตัวเองชุนก็ยิ้มและตอบรับด้วยความดีใจ

                “ครับ”

 

..................................

 

TBC.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา