In the name of สมพงษ์ [hormones] วัยว้าวุ่น series
9.3
เขียนโดย claymask
วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.43 น.
1 ตอน
2 วิจารณ์
6,419 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 17.50 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ สวัสดีเพื่อนๆ ผมชื่อ สมพงษ์
สองคำสั้นๆง่าย ไม่มีชื่อเล่นอย่างที่เพื่อนๆคนอื่นเขาพึงจะมี
บางครั้งคุณอาจจะคิดนะว่าผมอยากมีชื่อเล่นบ้างหรือเปล่า เช่น วิน ตาร์ หมอก ภู ธีร์ มันก็ดูเท่ห์ดีนะ
แต่ผมจะบอกอะไรพวกคุณไว้อย่าง ชนชั้นล่างที่ถีบตัวขึ้นมาอยู่ในโรงเรียนอันมีจะกิน ผมจำเป็นต้องไม่มีชื่อเล่นน่ะ
เท่าที่จำความได้ พ่อผม แม่ผม ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตีสี่ออกไปทำนาทำไร่ ใช้ความขยันเข้าสู้ ใช้ความอดทนเข้าสู้ จากเด็กโรงเรียนวัดที่มีเรื่องชกต่อยในโรงเรียนไม่เว้นแต่ละวัน จนพ่อแม่เอือมระอา
ที่น่าขันคือ ฐานะของพ่อและแม่ผมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยหลังจากที่ท่านมีช่องทางจากผู้มีพระคุณแนะนำให้เข้าห้าง Modern Trade
พ่อผมนอกจากขยันแล้วยังมีหัวธุรกิจอีกด้วย ท่านย้ายถิ่นฐานจากบ้านนอกมาเข้าเมืองกรุง และในค่ำนั้นท่านเรียกผมไปคุยอย่างที่ลูกผู้ชายควรจะคุยกัน
พ่อบอกว่าหลังจากจบ ป.6 แล้วจะย้ายไปเรียนในกรุงเทพเมื่อขึ้นมัธยม ท่านให้ผมเลือกเอาจะทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ทำตัวกร่างเหมือนเดิมแล้วก็คงจะเจอเมืองหลวงกลืนกิน ถ้าไม่ยอมปรับตัว ถึงแม้ว่าผมจะเรียนดีมาตลอดแต่ก็เป็นเด็กเกเร คล้ายๆกับ เจ้าไผ่บวกเจ้าวิน นั่นแหล่ะ
จะต่างกันตรงที่หน้าตาผมมันไม่ให้ ไม่เป็นที่ป๊อปในหมู่สาวๆ พ่อยื่นหนังสือให้ผมมาอ่านหนึ่งเล่ม บทความบางท่อนเปลี่ยนชีวิตผม
-ผู้นำในหนังสือเล่มนั้นมีสองแบบ แบบแรกคือไม้เท้า แบบที่สองคือดาบ-
ถ้าเป็นแบบดาบผู้นำในอุดมคติมันก็คล้าย เจ้าไผ่ หรือ เจ้าวิน นี่แหล่ะ คล้ายกับโจโฉถ้าจะเปรียบในสามก๊ก ส่วนผู้นำแบบไม้เท้า ก็คงจะคล้าย อาเต๊า ในสามก๊กอีกเช่นกัน ผู้นำไม้เท้าจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่มีพิษไม่มีภัย น่าสงสาร และจะมีคนเก่งมาห้อมล้อมคอยช่วยเหลือ ไม่เหมือนผู้นำแบบดาบที่ตัวเขาเองต้องเก่งเหนือคนอื่น
เมื่อคิดได้ดังนั้นรวมทั้งคำที่พ่อว่า ผมเลือกที่จะพรางตัวตั้งแต่วัยเยาว์
แว่นสายตาหนาเตอะนั่นก็แว่นหลอก ทรงผมที่อยู่ในกรอบดูเนิร์ดคล้ายเด็กเรียน
กลัดกระดุมเรียบร้อยจนถึงคอ แต่ไอ้การกลัดกระดุมเนี่ยผมเริ่มมันตอน ม .4 นะ ไว้จะเล่าอีกที
นับแต่วันนั้น จากสมพงษ์ เด็กเกเรบ้านนอก ก็กลายมาเป็น สมพงษ์เด็กเรียนเมืองกรุง เพื่อการอยู่รอดในสังคมเมือง
ผมเป็นสมพงษ์เด็กเรียนในสายตาของเพื่อนและพ่อแม่ได้อย่างดี จนเมื่อถึง ม.4 เมื่อฮอร์โมนเพศมันพลุ่งพล่านแต่ผมก็ยังต้องควบคุมตัวเอง ต้องปกปิดมันอย่างมิดชิด
เอาจริงๆก็เกือบไปแล้วนะ ตอน ม 5 ที่ผมเดินมากับเด็กสาวแว่นหน้าจืด
หนุ่มสาวที่คล้ายกับพิธีกรของโรงเรียน พยายามให้ผมแสดง เป็นชายและหญิงที่ทำเรื่องอื้อฉาวในห้องประชุม
เสื้อผ้าหลุดลุ่ย รอยยิ้มที่ดูหื่นกาม หน้ากากของผมแทบหลุดแน่ะ แต่ผมเชื่อว่าพวกคุณคงมองว่ามันเป็นการแสดง
นั่นน่ะหน้าตาธรรมชาติของผมเลยนะ ไม่ใช่สมพงษ์ที่หน้าตาดูยิ้มลอย ตั้งใจเรียน ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดๆที่เพื่อนยื่นข้อเสนอมา
เกือบไปแล้วอย่างที่ผมบอก
ผมอยากพูดถึงเต้ยนะ จริงๆแล้วผมเองก็ชอบเต้ย มันเริ่มตั้งแต่ตอน ม 4 นั่นแหล่ะ
แต่อย่างที่บอก มันต้องเก็บงำ หน้าตาเรารึก็ไม่ใช่ว่าดี แต่เต้ยเป็นหญิงสาวที่ชายหลายคนใฝ่ฝันนะ
อาจเป็นเพราะเธอเข้าถึงง่ายทั้งชายและหญิง เป็นกันเองและจริงใจ
ผมแอบตามเธอไปถึงบ้านเลยนะ มองเธอห่างๆ แค่ได้เห็นหน้าบ้านก็พอ สมัยพ่อผมก็เคยเล่าเรื่องแนวๆนี้
และวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมเห็นเจ้าภูไปส่งเต้ยที่บ้าน ในตอน ม 4 ผมคงต้องตัดใจและผมก็ทำมันได้อย่างเร็ว
ในวันรุ่งขึ้นต่อมา ผมจึงเริ่มกลัดกระดุมถึงคอ และเข้าใจถึงแก่นกับคำว่า -เรียนพิเศษ-
ความว้าวุ่นมันดันมาเริ่มเอาอีตอน ม 5 นี่ละซี อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ เริ่มตั้งแต่เจ้าวินตั้งคำถามกับชุดนักเรียน ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มพวกที่ใส่เสื้อไปรเวทมาเรียนหรอกนะ ไม่ใช่แน่นอนกับชายที่ชื่อ สมพงษ์ มันขัดกับแคแรคเตอร์
ส่วนเต้ยหญิงสาวผู้น่าสงสารและเป็นรักแรกของผมในโรงเรียนแห่งนี้ ผมได้ข่าวมาว่าเธอกับภูก็ไปกันได้ไม่นาน ขึ้น ม 5 เธอได้นั่งกับต้าร์ ชายร่างเล็กผู้ซึ่งพยายามจะทำตัวป๊อปในหมู่สาวๆ เอาจริงๆเขาเล่นกีตาร์เก่งเนี่ยก็เป็นสิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากสาวๆได้พอดูอยู่แล้วนะ สิ่งที่ผมนึกไว้ไม่ผิดเลยก็คือ เมื่อต้าร์ได้นั่งใกล้เต้ย ผมนับวันได้เลยว่าต้าร์ก็ต้องชอบเต้ยอย่างผม
ในวันที่ต้าร์มองตาผมนิ่งขอแลกที่ ผมแกล้งทำหน้างงๆ แต่คุณรู้ไหม ผมแอบยิ้มหลังจากที่ต้าร์เดินจากไป ลองคิดตามผมนะ ทำไมต้าร์ไม่แลกที่กับ ไผ่ล่ะ ทั้งๆที่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปมาหาสู่กันถึงบ้าน ทำไมไม่แลกที่กับคนอื่นล่ะ สาวๆ หนุ่มๆ ในห้องมีถมเถไป ทำไมต้องเป็นผมคนนี้
-สมพงษ์- ชื่อนี้การันตีความไร้พิษสง ความโอบอ้อมอารี ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เนิร์ดและตั้งใจเรียน ไม่สนใจเรื่องใดนอกจากตำราและการเรียนพิเศษ ลึกๆแล้วต้าร์มันคงยังจะกั๊กไว้นั่นแหล่ะ เซฟที่ไว้ให้กับคนที่มันมองแล้วว่าไว้ใจได้มากที่สุด ขอบใจนะต้าร์ ขอบใจที่นึกถึงเรา อิอิ เสร็จโจร
จะว่าไปช่วงเจ้าไผ่คบกับสไปรท์ สาวฮอตอีกคนของโรงเรียน หลายๆครั้งมันก็มองผมแปลกๆราวกับไม่ไว้ใจนะ เหมือนกับผมไปมีอะไรกับแฟนมันอย่างนั้นแหล่ะ เอาน่า ไผ่มันขึ้นชื่อเรื่องคนเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว มันคงเข้าใจอะไรผิดน่ะแหล่ะ
ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เมื่อเต้ยถูกเขียนโต๊ะด้วยลิควิดคำโตว่า ‘แรด’ มารู้ภายหลังว่ามันเกิดจาก’เพื่อนที่เธอไว้ใจ’ พ่อผมเคยเตือนไว้ไม่ผิดเลย คนเมืองนี่น่ากลัวจริงๆ
เศร้าที่สุดจนผมอยากจะกอดปลอบใจเธอมันก็ตอนที่คลิปตบกันในห้องน้ำแพร่กระฉ่อนไปนั่นแหล่ะ ผมทำได้แค่มองอย่างเห็นใจ แต่ผมเชื่อว่าเต้ยเป็นหญิงแกร่งและค่อนข้างเข้าใจโลกเป็นอย่างดีนะ อาจจะมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดีก็เป็นได้
ผมพูดเรื่องเต้ยบ่อยจนพวกคุณอาจจะคิดว่าผมยังรักเต้ยอยู่ซินะ เอาจริงๆมันกลายเป็นความชื่นชมมากกว่าน่ะ
กลับมาต่อตามที่สัญญากันไว้นะ ผมรักษาสัจจะเสมอ แต่เราต้องมีข้อตกลงกันนะ
เรื่องที่ผมจะพูดต่อไป ขอให้รู้กันแค่ตรงนี้นะ ผมเลือกที่จะเล่าให้คุณๆฟังดังนั้นผมก็คิดว่าพวกคุณเป็น ‘เพื่อนที่ผมไว้ใจ’ ได้
แต่เอ๊ะมันคุ้นๆกับคำว่าเพื่อนที่ไว้ใจได้ที่ เต้ย เคยประสบมาเสียเหลือเกิน
เอาน่ะเราเกริ่มกันมาเสียเนิ่นนานเข้าเรื่องกันเสียที
ในชั้นเรียนสอนเต้นรำ ผมก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมคือ กลัดกระดุมตรงคอไว้อย่างมิดชิดทั้งๆที่มันเป็นชุดพละ เริ่มต้นเต้นด้วยท่าทีงกๆเงิ่นๆ เรียกเสียงหัวเราะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากเพื่อนและอาจารย์ แวบนึงของสายตาผมเห็นต้าร์ ผู้เฝ้ามองเต้ยอย่างเงียบๆ ราวกับงูฤดูหนาวจำศีลอย่างอดทน ต้าร์จะรู้ไหมนะว่าผมก็ได้กลิ่นเช่นกัน
กลิ่นหอมฟีโรโมนของหญิงสาวที่ชายหลายคนหมายปอง กลิ่นแป้งเค้กอบใหม่ๆ และกลิ่นของดอกกุหลาบ ในขณะที่เต้นกับเต้ยในจังหวะที่อาจารย์เลือกให้ ผมกลับนึกย้อนไปถึงวัยเด็กกับเพลงรักเพลงหนึ่งที่ผมก็จำเนื้อไม่ได้ แต่มันติดอยู่ที่มุมปาก ผมดีใจนะ ที่เห็นเต้ยหัวเราะขบขัน ในการจับคู่เต้นรำกับผม
ความวุ่นวายเริ่มก่อตัวอีกครั้ง เมื่อ ภู มันยังไม่แน่ใจในสภาพเพศของมัน ซึ่งน่าจะต่างจาก ธีร์ ที่ชัดเจนในจุดยืนแล้ว แรกๆมันก็เริ่มต้นด้วยความสงสาร ที่มีต่อเต้ยนั่นแหล่ะ แต่ผมเองก็เชื่อว่าเขาก็ได้กลิ่นหอมของแป้งเค้กและกุหลาบจากกลิ่นกายของเต้ย เช่นกันกับผม ใช่มันเย้ายวนผมไม่ปฏิเสธ แต่มันก็มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจของผมได้มากกว่าการซ้อมเต้นรำกับเต้ยตอนเย็น และใช่ผมกำลังพูดถึง-การเรียนพิเศษ-
ผมถามพวกคุณจริงๆนะว่า คนอย่างสมพงษ์ แว่นหนาเตอะ ตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเคร่งครัด ส่งการบ้านไม่ขาด แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย วันเวลาว่างก็อ่านหนังสือ คุณเคยเห็นผมเล่นบอล หรือ เล่นบาสไหม? เคยเห็นผมทำกิจกรรมวงโยหรือหัดเล่นกีตาร์บ้างไหม? วันๆผมก็เรียนจนตัวหนังสือมันจะปูดโปนออกมาตรงหน้าอยู่แล้วทำไมยังต้องเรียนเพิ่มอีก
แต่ผมก็ตอบต้าร์ไปสั้นๆเมื่อถามว่าผมไม่ซ้อมเต้นรำหรือ “ไปเรียนพิเศษน่ะ เต้ยซ้อมอยู่ที่โรงยิม” ผมค้นพบการเรียนพิเศษที่น่าถวิลหาเมื่อตอน ม 4 ที่ตามเต้ยไปถึงละแวกบ้าน แล้วเห็น ภู มาส่งนั่นแหล่ะ
ความเศร้าทั้งหมดทั้งมวลถาโถม โหมกระพือราวกับฝนที่ตกมาร่วมพันปี ผมเรียกแท๊กซี่ตาเหม่อลอย เมื่อนั่งไปได้ซักพักอยู่ดีๆ แท๊กซี่ก็จอด ผมเห็นหญิงสาววัยทำงานโบกมือ อย่างแรกเลยที่สัมผัสได้คือเธอหอม หอมมาก
ผมบรรยายไม่ถูก กลิ่นเหมือนดอกไม้ที่ผมจำกลิ่นได้แต่ไม่รู้จักชื่อ นัยน์ตาเธอยั่วยวน กิริยาดูโอบอ้อมและอยากดูแลใครซักคน เมื่อเธอมองมาที่ผมและทำท่าเหมือนจะผละออกจากรถไป ผมจึงถามคำถามเธอ ซึ่งคำถามนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปโดยสิ้นเชิง
“พี่สาวครับ ถามอะไรอย่างซิครับ ผมนั่งแท๊กซี่อยู่ แสดงว่ามีคนในแท๊กซี่นะครับ ทำไมแท๊กซี่ยังชิดซ้ายจอดรับพี่อีกล่ะครับ?”
เธอนั่งนิ่งมองมาที่ตาของผม สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้งจนอกเธอกระเพื่อมขึ้นลงเล็กๆ “พี่ว่าพี่จะผละไปแล้วเชียว มีเธอคนแรกนี่แหล่ะที่ถามคำถามนี้ ช่างสังเกตุนะเนี่ยเรา” เธอลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนและเริ่มกระเถิบเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจพวยพุ่ง “ขอติดรถไปด้วยคนนะ”
และค่ำนั้นการเรียนพิเศษได้เริ่มต้นขึ้น จากดักแด้ที่ยังไม่ทันได้พันใยรอบตัวกลับกลายเป็นผีเสื้อในชั่วข้ามคืน ผมมักเรียกเธอลับหลังว่า’เจ๊ระทวย’ เธอสารภาพกับผมเองหลังจากที่ติวกันเสร็จว่า แท๊กซี่จะส่งข้อความให้เธอเตรียมตัวก่อน 15 นาที วันไหนไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทันจุดนัดหมาย เจ๊ก็จะมายืนรอและแสกนดูว่า หน้าตาท่าทางใช้ได้ไหม ยิ่งเป็นเด็กหนุ่มที่ดูจะผิดหวังในความรัก จะเข้าทางเจ๊เป็นพิเศษ
เพียงแต่วันที่เจ๊พบกับผมครั้งแรกนั้นเธอก็บอกตรงๆว่าแทบจะผละหนีออกจากแท๊กซี่ แต่เมื่อได้สนทนาและพูดคุยกันด้วยแล้ว เธอก็แกล้งถามผมว่า ‘ทำไมต้องเอาหนังแกะมาคลุมตัวไว้ด้วยล่ะ หือ พ่อหมาป่า อยากจะพรางตัวไปกินสาวๆหรือไง”
ล่าสุดเจ๊ระทวยก็บอกกับผมว่าเจอเด็กโรงเรียนเดียวกับผมคนหนึ่ง ชั้นเดียวกัน เจ๊ตกเขาได้ในละแวกเดียวกับที่เจอผม มันเดาไม่ยากหรอก และก็ยินดีกับ ภู ด้วยวิชาแรกของมันน่าจะผ่านไปด้วยดี
ส่วนผมวันแรกที่ได้เรียน กลับถึงบ้านแทนที่จะอาบน้ำเหมือนเคยก่อนมาทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่
ผมกลับนั่งทานข้าวก่อน และกระดุมเม็ดบนก็กลัดอย่างเรียบร้อย สายตาพ่อเหมือนจะมีคำถาม แต่พ่อเองก็คงชินกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผมบรรจงรังสรรค์ขึ้นใหม่ในตัวตนนี้
“กางเกงรัดขึ้นไปอีกได้นะ ลูก จะได้ดูเนิร์ดๆ ฮ่าๆๆๆ” พ่อผมก็เป็นไปกับผมด้วย และค่ำนั้นหลังจากทานข้าวเสร็จเตรียมตัวอาบน้ำ
ผมค่อยๆปลดกระดุมออกทีละเม็ด มองดูตัวเองในกระจก ที่ซอกคอเป็นรอยจ้ำแดง หลายจุด เมื่อหลับตานึกไปถึงวิชาที่เรียนจับเจ๊ระทวย เสียงหายใจผมก็เริ่มกระชั้นถี่
“จะดีหรอ สมพงษ์ มันจะเห็นเป็นรอยนะ” เจ๊ระทวยถามผมเพื่อความแน่ใจ
“มันเป็นความใฝ่ฝันของผมเลยครับพี่ จัดให้ผมเถอะนะ” เสียงอ้อนวอนราวกับแมวหิวปลาย่าง
ถ้าไปเป็นได้ผมก็อยากจะไปเรียนพิเศษมันทุกวัน แต่เจ๊เองให้เวลาผมได้อาทิตย์ละครั้ง
วิชาต่อไปเจ๊บอกมาแล้วว่าอาทิตย์หน้าจะเรียนวิทยาศาสตร์ให้ผมไปหาอุปกรณ์แถวบ้านหม้อไว้ด้วย
เรื่องราวของผมคงต้องจบแต่เพียงเท่านี้ ผมต้องขอตัวเพื่อนๆ ไปหาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เพื่อไปเรียนกับเจ๊ก่อนนะครับหวังว่าความลับชิ้นนี้ของผม จะถูกเก็บไว้อย่างดี กับเพื่อนที่ผมไว้ใจได้นะครับ
สวัสดี
สองคำสั้นๆง่าย ไม่มีชื่อเล่นอย่างที่เพื่อนๆคนอื่นเขาพึงจะมี
บางครั้งคุณอาจจะคิดนะว่าผมอยากมีชื่อเล่นบ้างหรือเปล่า เช่น วิน ตาร์ หมอก ภู ธีร์ มันก็ดูเท่ห์ดีนะ
แต่ผมจะบอกอะไรพวกคุณไว้อย่าง ชนชั้นล่างที่ถีบตัวขึ้นมาอยู่ในโรงเรียนอันมีจะกิน ผมจำเป็นต้องไม่มีชื่อเล่นน่ะ
เท่าที่จำความได้ พ่อผม แม่ผม ตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตีสี่ออกไปทำนาทำไร่ ใช้ความขยันเข้าสู้ ใช้ความอดทนเข้าสู้ จากเด็กโรงเรียนวัดที่มีเรื่องชกต่อยในโรงเรียนไม่เว้นแต่ละวัน จนพ่อแม่เอือมระอา
ที่น่าขันคือ ฐานะของพ่อและแม่ผมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยหลังจากที่ท่านมีช่องทางจากผู้มีพระคุณแนะนำให้เข้าห้าง Modern Trade
พ่อผมนอกจากขยันแล้วยังมีหัวธุรกิจอีกด้วย ท่านย้ายถิ่นฐานจากบ้านนอกมาเข้าเมืองกรุง และในค่ำนั้นท่านเรียกผมไปคุยอย่างที่ลูกผู้ชายควรจะคุยกัน
พ่อบอกว่าหลังจากจบ ป.6 แล้วจะย้ายไปเรียนในกรุงเทพเมื่อขึ้นมัธยม ท่านให้ผมเลือกเอาจะทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ทำตัวกร่างเหมือนเดิมแล้วก็คงจะเจอเมืองหลวงกลืนกิน ถ้าไม่ยอมปรับตัว ถึงแม้ว่าผมจะเรียนดีมาตลอดแต่ก็เป็นเด็กเกเร คล้ายๆกับ เจ้าไผ่บวกเจ้าวิน นั่นแหล่ะ
จะต่างกันตรงที่หน้าตาผมมันไม่ให้ ไม่เป็นที่ป๊อปในหมู่สาวๆ พ่อยื่นหนังสือให้ผมมาอ่านหนึ่งเล่ม บทความบางท่อนเปลี่ยนชีวิตผม
-ผู้นำในหนังสือเล่มนั้นมีสองแบบ แบบแรกคือไม้เท้า แบบที่สองคือดาบ-
ถ้าเป็นแบบดาบผู้นำในอุดมคติมันก็คล้าย เจ้าไผ่ หรือ เจ้าวิน นี่แหล่ะ คล้ายกับโจโฉถ้าจะเปรียบในสามก๊ก ส่วนผู้นำแบบไม้เท้า ก็คงจะคล้าย อาเต๊า ในสามก๊กอีกเช่นกัน ผู้นำไม้เท้าจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่มีพิษไม่มีภัย น่าสงสาร และจะมีคนเก่งมาห้อมล้อมคอยช่วยเหลือ ไม่เหมือนผู้นำแบบดาบที่ตัวเขาเองต้องเก่งเหนือคนอื่น
เมื่อคิดได้ดังนั้นรวมทั้งคำที่พ่อว่า ผมเลือกที่จะพรางตัวตั้งแต่วัยเยาว์
แว่นสายตาหนาเตอะนั่นก็แว่นหลอก ทรงผมที่อยู่ในกรอบดูเนิร์ดคล้ายเด็กเรียน
กลัดกระดุมเรียบร้อยจนถึงคอ แต่ไอ้การกลัดกระดุมเนี่ยผมเริ่มมันตอน ม .4 นะ ไว้จะเล่าอีกที
นับแต่วันนั้น จากสมพงษ์ เด็กเกเรบ้านนอก ก็กลายมาเป็น สมพงษ์เด็กเรียนเมืองกรุง เพื่อการอยู่รอดในสังคมเมือง
ผมเป็นสมพงษ์เด็กเรียนในสายตาของเพื่อนและพ่อแม่ได้อย่างดี จนเมื่อถึง ม.4 เมื่อฮอร์โมนเพศมันพลุ่งพล่านแต่ผมก็ยังต้องควบคุมตัวเอง ต้องปกปิดมันอย่างมิดชิด
เอาจริงๆก็เกือบไปแล้วนะ ตอน ม 5 ที่ผมเดินมากับเด็กสาวแว่นหน้าจืด
หนุ่มสาวที่คล้ายกับพิธีกรของโรงเรียน พยายามให้ผมแสดง เป็นชายและหญิงที่ทำเรื่องอื้อฉาวในห้องประชุม
เสื้อผ้าหลุดลุ่ย รอยยิ้มที่ดูหื่นกาม หน้ากากของผมแทบหลุดแน่ะ แต่ผมเชื่อว่าพวกคุณคงมองว่ามันเป็นการแสดง
นั่นน่ะหน้าตาธรรมชาติของผมเลยนะ ไม่ใช่สมพงษ์ที่หน้าตาดูยิ้มลอย ตั้งใจเรียน ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดๆที่เพื่อนยื่นข้อเสนอมา
เกือบไปแล้วอย่างที่ผมบอก
ผมอยากพูดถึงเต้ยนะ จริงๆแล้วผมเองก็ชอบเต้ย มันเริ่มตั้งแต่ตอน ม 4 นั่นแหล่ะ
แต่อย่างที่บอก มันต้องเก็บงำ หน้าตาเรารึก็ไม่ใช่ว่าดี แต่เต้ยเป็นหญิงสาวที่ชายหลายคนใฝ่ฝันนะ
อาจเป็นเพราะเธอเข้าถึงง่ายทั้งชายและหญิง เป็นกันเองและจริงใจ
ผมแอบตามเธอไปถึงบ้านเลยนะ มองเธอห่างๆ แค่ได้เห็นหน้าบ้านก็พอ สมัยพ่อผมก็เคยเล่าเรื่องแนวๆนี้
และวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมเห็นเจ้าภูไปส่งเต้ยที่บ้าน ในตอน ม 4 ผมคงต้องตัดใจและผมก็ทำมันได้อย่างเร็ว
ในวันรุ่งขึ้นต่อมา ผมจึงเริ่มกลัดกระดุมถึงคอ และเข้าใจถึงแก่นกับคำว่า -เรียนพิเศษ-
ความว้าวุ่นมันดันมาเริ่มเอาอีตอน ม 5 นี่ละซี อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ เริ่มตั้งแต่เจ้าวินตั้งคำถามกับชุดนักเรียน ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มพวกที่ใส่เสื้อไปรเวทมาเรียนหรอกนะ ไม่ใช่แน่นอนกับชายที่ชื่อ สมพงษ์ มันขัดกับแคแรคเตอร์
ส่วนเต้ยหญิงสาวผู้น่าสงสารและเป็นรักแรกของผมในโรงเรียนแห่งนี้ ผมได้ข่าวมาว่าเธอกับภูก็ไปกันได้ไม่นาน ขึ้น ม 5 เธอได้นั่งกับต้าร์ ชายร่างเล็กผู้ซึ่งพยายามจะทำตัวป๊อปในหมู่สาวๆ เอาจริงๆเขาเล่นกีตาร์เก่งเนี่ยก็เป็นสิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากสาวๆได้พอดูอยู่แล้วนะ สิ่งที่ผมนึกไว้ไม่ผิดเลยก็คือ เมื่อต้าร์ได้นั่งใกล้เต้ย ผมนับวันได้เลยว่าต้าร์ก็ต้องชอบเต้ยอย่างผม
ในวันที่ต้าร์มองตาผมนิ่งขอแลกที่ ผมแกล้งทำหน้างงๆ แต่คุณรู้ไหม ผมแอบยิ้มหลังจากที่ต้าร์เดินจากไป ลองคิดตามผมนะ ทำไมต้าร์ไม่แลกที่กับ ไผ่ล่ะ ทั้งๆที่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปมาหาสู่กันถึงบ้าน ทำไมไม่แลกที่กับคนอื่นล่ะ สาวๆ หนุ่มๆ ในห้องมีถมเถไป ทำไมต้องเป็นผมคนนี้
-สมพงษ์- ชื่อนี้การันตีความไร้พิษสง ความโอบอ้อมอารี ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เนิร์ดและตั้งใจเรียน ไม่สนใจเรื่องใดนอกจากตำราและการเรียนพิเศษ ลึกๆแล้วต้าร์มันคงยังจะกั๊กไว้นั่นแหล่ะ เซฟที่ไว้ให้กับคนที่มันมองแล้วว่าไว้ใจได้มากที่สุด ขอบใจนะต้าร์ ขอบใจที่นึกถึงเรา อิอิ เสร็จโจร
จะว่าไปช่วงเจ้าไผ่คบกับสไปรท์ สาวฮอตอีกคนของโรงเรียน หลายๆครั้งมันก็มองผมแปลกๆราวกับไม่ไว้ใจนะ เหมือนกับผมไปมีอะไรกับแฟนมันอย่างนั้นแหล่ะ เอาน่า ไผ่มันขึ้นชื่อเรื่องคนเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว มันคงเข้าใจอะไรผิดน่ะแหล่ะ
ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เมื่อเต้ยถูกเขียนโต๊ะด้วยลิควิดคำโตว่า ‘แรด’ มารู้ภายหลังว่ามันเกิดจาก’เพื่อนที่เธอไว้ใจ’ พ่อผมเคยเตือนไว้ไม่ผิดเลย คนเมืองนี่น่ากลัวจริงๆ
เศร้าที่สุดจนผมอยากจะกอดปลอบใจเธอมันก็ตอนที่คลิปตบกันในห้องน้ำแพร่กระฉ่อนไปนั่นแหล่ะ ผมทำได้แค่มองอย่างเห็นใจ แต่ผมเชื่อว่าเต้ยเป็นหญิงแกร่งและค่อนข้างเข้าใจโลกเป็นอย่างดีนะ อาจจะมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดีก็เป็นได้
ผมพูดเรื่องเต้ยบ่อยจนพวกคุณอาจจะคิดว่าผมยังรักเต้ยอยู่ซินะ เอาจริงๆมันกลายเป็นความชื่นชมมากกว่าน่ะ
กลับมาต่อตามที่สัญญากันไว้นะ ผมรักษาสัจจะเสมอ แต่เราต้องมีข้อตกลงกันนะ
เรื่องที่ผมจะพูดต่อไป ขอให้รู้กันแค่ตรงนี้นะ ผมเลือกที่จะเล่าให้คุณๆฟังดังนั้นผมก็คิดว่าพวกคุณเป็น ‘เพื่อนที่ผมไว้ใจ’ ได้
แต่เอ๊ะมันคุ้นๆกับคำว่าเพื่อนที่ไว้ใจได้ที่ เต้ย เคยประสบมาเสียเหลือเกิน
เอาน่ะเราเกริ่มกันมาเสียเนิ่นนานเข้าเรื่องกันเสียที
ในชั้นเรียนสอนเต้นรำ ผมก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมคือ กลัดกระดุมตรงคอไว้อย่างมิดชิดทั้งๆที่มันเป็นชุดพละ เริ่มต้นเต้นด้วยท่าทีงกๆเงิ่นๆ เรียกเสียงหัวเราะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากเพื่อนและอาจารย์ แวบนึงของสายตาผมเห็นต้าร์ ผู้เฝ้ามองเต้ยอย่างเงียบๆ ราวกับงูฤดูหนาวจำศีลอย่างอดทน ต้าร์จะรู้ไหมนะว่าผมก็ได้กลิ่นเช่นกัน
กลิ่นหอมฟีโรโมนของหญิงสาวที่ชายหลายคนหมายปอง กลิ่นแป้งเค้กอบใหม่ๆ และกลิ่นของดอกกุหลาบ ในขณะที่เต้นกับเต้ยในจังหวะที่อาจารย์เลือกให้ ผมกลับนึกย้อนไปถึงวัยเด็กกับเพลงรักเพลงหนึ่งที่ผมก็จำเนื้อไม่ได้ แต่มันติดอยู่ที่มุมปาก ผมดีใจนะ ที่เห็นเต้ยหัวเราะขบขัน ในการจับคู่เต้นรำกับผม
ความวุ่นวายเริ่มก่อตัวอีกครั้ง เมื่อ ภู มันยังไม่แน่ใจในสภาพเพศของมัน ซึ่งน่าจะต่างจาก ธีร์ ที่ชัดเจนในจุดยืนแล้ว แรกๆมันก็เริ่มต้นด้วยความสงสาร ที่มีต่อเต้ยนั่นแหล่ะ แต่ผมเองก็เชื่อว่าเขาก็ได้กลิ่นหอมของแป้งเค้กและกุหลาบจากกลิ่นกายของเต้ย เช่นกันกับผม ใช่มันเย้ายวนผมไม่ปฏิเสธ แต่มันก็มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจของผมได้มากกว่าการซ้อมเต้นรำกับเต้ยตอนเย็น และใช่ผมกำลังพูดถึง-การเรียนพิเศษ-
ผมถามพวกคุณจริงๆนะว่า คนอย่างสมพงษ์ แว่นหนาเตอะ ตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเคร่งครัด ส่งการบ้านไม่ขาด แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย วันเวลาว่างก็อ่านหนังสือ คุณเคยเห็นผมเล่นบอล หรือ เล่นบาสไหม? เคยเห็นผมทำกิจกรรมวงโยหรือหัดเล่นกีตาร์บ้างไหม? วันๆผมก็เรียนจนตัวหนังสือมันจะปูดโปนออกมาตรงหน้าอยู่แล้วทำไมยังต้องเรียนเพิ่มอีก
แต่ผมก็ตอบต้าร์ไปสั้นๆเมื่อถามว่าผมไม่ซ้อมเต้นรำหรือ “ไปเรียนพิเศษน่ะ เต้ยซ้อมอยู่ที่โรงยิม” ผมค้นพบการเรียนพิเศษที่น่าถวิลหาเมื่อตอน ม 4 ที่ตามเต้ยไปถึงละแวกบ้าน แล้วเห็น ภู มาส่งนั่นแหล่ะ
ความเศร้าทั้งหมดทั้งมวลถาโถม โหมกระพือราวกับฝนที่ตกมาร่วมพันปี ผมเรียกแท๊กซี่ตาเหม่อลอย เมื่อนั่งไปได้ซักพักอยู่ดีๆ แท๊กซี่ก็จอด ผมเห็นหญิงสาววัยทำงานโบกมือ อย่างแรกเลยที่สัมผัสได้คือเธอหอม หอมมาก
ผมบรรยายไม่ถูก กลิ่นเหมือนดอกไม้ที่ผมจำกลิ่นได้แต่ไม่รู้จักชื่อ นัยน์ตาเธอยั่วยวน กิริยาดูโอบอ้อมและอยากดูแลใครซักคน เมื่อเธอมองมาที่ผมและทำท่าเหมือนจะผละออกจากรถไป ผมจึงถามคำถามเธอ ซึ่งคำถามนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปโดยสิ้นเชิง
“พี่สาวครับ ถามอะไรอย่างซิครับ ผมนั่งแท๊กซี่อยู่ แสดงว่ามีคนในแท๊กซี่นะครับ ทำไมแท๊กซี่ยังชิดซ้ายจอดรับพี่อีกล่ะครับ?”
เธอนั่งนิ่งมองมาที่ตาของผม สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้งจนอกเธอกระเพื่อมขึ้นลงเล็กๆ “พี่ว่าพี่จะผละไปแล้วเชียว มีเธอคนแรกนี่แหล่ะที่ถามคำถามนี้ ช่างสังเกตุนะเนี่ยเรา” เธอลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนและเริ่มกระเถิบเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจพวยพุ่ง “ขอติดรถไปด้วยคนนะ”
และค่ำนั้นการเรียนพิเศษได้เริ่มต้นขึ้น จากดักแด้ที่ยังไม่ทันได้พันใยรอบตัวกลับกลายเป็นผีเสื้อในชั่วข้ามคืน ผมมักเรียกเธอลับหลังว่า’เจ๊ระทวย’ เธอสารภาพกับผมเองหลังจากที่ติวกันเสร็จว่า แท๊กซี่จะส่งข้อความให้เธอเตรียมตัวก่อน 15 นาที วันไหนไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทันจุดนัดหมาย เจ๊ก็จะมายืนรอและแสกนดูว่า หน้าตาท่าทางใช้ได้ไหม ยิ่งเป็นเด็กหนุ่มที่ดูจะผิดหวังในความรัก จะเข้าทางเจ๊เป็นพิเศษ
เพียงแต่วันที่เจ๊พบกับผมครั้งแรกนั้นเธอก็บอกตรงๆว่าแทบจะผละหนีออกจากแท๊กซี่ แต่เมื่อได้สนทนาและพูดคุยกันด้วยแล้ว เธอก็แกล้งถามผมว่า ‘ทำไมต้องเอาหนังแกะมาคลุมตัวไว้ด้วยล่ะ หือ พ่อหมาป่า อยากจะพรางตัวไปกินสาวๆหรือไง”
ล่าสุดเจ๊ระทวยก็บอกกับผมว่าเจอเด็กโรงเรียนเดียวกับผมคนหนึ่ง ชั้นเดียวกัน เจ๊ตกเขาได้ในละแวกเดียวกับที่เจอผม มันเดาไม่ยากหรอก และก็ยินดีกับ ภู ด้วยวิชาแรกของมันน่าจะผ่านไปด้วยดี
ส่วนผมวันแรกที่ได้เรียน กลับถึงบ้านแทนที่จะอาบน้ำเหมือนเคยก่อนมาทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่
ผมกลับนั่งทานข้าวก่อน และกระดุมเม็ดบนก็กลัดอย่างเรียบร้อย สายตาพ่อเหมือนจะมีคำถาม แต่พ่อเองก็คงชินกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผมบรรจงรังสรรค์ขึ้นใหม่ในตัวตนนี้
“กางเกงรัดขึ้นไปอีกได้นะ ลูก จะได้ดูเนิร์ดๆ ฮ่าๆๆๆ” พ่อผมก็เป็นไปกับผมด้วย และค่ำนั้นหลังจากทานข้าวเสร็จเตรียมตัวอาบน้ำ
ผมค่อยๆปลดกระดุมออกทีละเม็ด มองดูตัวเองในกระจก ที่ซอกคอเป็นรอยจ้ำแดง หลายจุด เมื่อหลับตานึกไปถึงวิชาที่เรียนจับเจ๊ระทวย เสียงหายใจผมก็เริ่มกระชั้นถี่
“จะดีหรอ สมพงษ์ มันจะเห็นเป็นรอยนะ” เจ๊ระทวยถามผมเพื่อความแน่ใจ
“มันเป็นความใฝ่ฝันของผมเลยครับพี่ จัดให้ผมเถอะนะ” เสียงอ้อนวอนราวกับแมวหิวปลาย่าง
ถ้าไปเป็นได้ผมก็อยากจะไปเรียนพิเศษมันทุกวัน แต่เจ๊เองให้เวลาผมได้อาทิตย์ละครั้ง
วิชาต่อไปเจ๊บอกมาแล้วว่าอาทิตย์หน้าจะเรียนวิทยาศาสตร์ให้ผมไปหาอุปกรณ์แถวบ้านหม้อไว้ด้วย
เรื่องราวของผมคงต้องจบแต่เพียงเท่านี้ ผมต้องขอตัวเพื่อนๆ ไปหาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เพื่อไปเรียนกับเจ๊ก่อนนะครับหวังว่าความลับชิ้นนี้ของผม จะถูกเก็บไว้อย่างดี กับเพื่อนที่ผมไว้ใจได้นะครับ
สวัสดี
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ