เอล คนทะลุมิติ chapter 1
-
เขียนโดย pong43
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.
48 ตอน
0 วิจารณ์
56.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
38) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 38 พลังถอดวิญญาณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพลังถอดวิญญาณ
“แกนะแก”
เอลคำรามเมื่อเห็นชายผิวเนื้อดำแดงเหมือนคนเอเชียใต้ อายุราวๆ 25 ถึง 30 ปี ไว้หนวดเฟิ้มสวมเสื้อยืดแขนสั้นลายทางสลับแดงเขียวยืนห่างไปสองสามเมตร ใบหน้าดำกร้านและมีรอยบากยาวที่ใต้ตาซ้ายแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว มันยิ้มกับเขา รอยยิ้มนั้นเยือกเย็นน่ากลัวพอๆกับรอยยิ้มของเอ็ทที่จากไปแล้ว
เจ้านี่เป็นใคร....
แล้วยิ้มนั้นก็พลันสลายหายไป ดวงตาเหลือกโปนน่ากลัวคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ เอลบอกตัวเองว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ้านี่มาก่อนในชีวิต มันเป็นใครกัน...
“ที่สุดก็พบกันจนได้นะเจ้าหนู”
“แกทำอะไรฉัน..บอกมานะไอ้บ้า”
เอลร้องลั่น ก่อนที่วายร้ายจะแผดเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า แดนมรณะกำลังเปิดต้อนรับแกแล้ว”
เอลอึ้งเมื่อได้ยินคำว่าแดนมรณะ
“แดนมรณะบ้าบออะไรของแก”
“แกหลงกลฉันจนได้ ไม่นึกว่าจะง่ายดายขนาดนี้...”
“หลงกลอะไร...” เอลอ้าปากค้าง
“แกหลงไปอ่านมนตราของข้าและเข้ามายังแดนมรณะนี่ไง”
เอลถึงกับหน้าซีดเผือด
“มนตราอะไร...”เอลมองไปที่กระดาษใบนั้นที่หล่นอยู่ที่พื้น
“ข้อความนั่นคือพลังมนตราที่สามารถดึงจิตของพวกเหนือมนุษย์เข้าสู่แดนมรณะแห่งนี้ยังไงเล่า”
“แก...”
เอลร้องลั่น เขาพลาดท่ามันแล้วหรือนี่
“พวกเหนือมนุษย์ชั่วช้า ไอ้พวกที่ต้องการแย่งชิงพลังจากผู้อื่นโดยใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ฉันไม่ยอมแพ้แกหรอก....”
เอลเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว จิตของเขาออกจากร่างเพราะพลังมนตราที่ว่าอย่างแน่นอน
พลังอะไรของมัน....
เราจะยอมแพ้ไม่ได้ ...ต้องหาวิธีเอาชนะมันให้ได้...
เอลปลุกปลอบใจและยิ้มออกมา
“แกไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย”
“นี่คือวิธีสู้ของพวกเหนือมนุษย์ วิธีหมาลอบกัดคือการต่อสู้ของพวกเรายังไง ใครเริ่มก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ”
“พูดบ้าๆ คนอย่างฉันไม่เคยลอบกัดใครลับหลัง ถ้าจะสู้ก็ต้องตัวต่อตัว และฉันจะตั๊นหน้าแกให้ยุบไปเลย”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า”
วายร้ายหัวเราะลั่นจนหนวดกระดก
“อย่างแกเรอะจะชกหน้าฉัน คิดว่าแกจะออกไปจากที่นี่ได้เรอะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“คิดผิดไปแล้ว พลังของข้าคือการกักขังศัตรูไว้ในแดนมรณะ ซึ่งถ้าหากแกออกไปจากที่นี่ไม่ได้ตามกำหนด หัวใจของแกจะค่อยๆ เต้นช้าลงๆ และจะหยุดเต้นไปในที่สุด นั่นแหละคือพลังของฉัน”
“ฉันไม่เชื่อหรอกเว้ย”
“คนที่นอนใกล้ตายอยู่นั่นคือแกยังไง ”
เอลหน้าชา เขากำลังจะตายอย่างที่มันพูดจริงหรือ มาถึงตรงนี้ เขาถึงกับเหงื่อแตกเต็มหน้า
“แกกำลังจะตายอย่างช้าๆ หากจิตแกเข้าร่างไม่ได้”
“ปากเสีย ฉันจะชกหน้าแกให้ยับไปเลย”
“จะรอดแกต้องฆ่าฉันให้ได้เสียก่อน..แล้วแกจะออกไปข้างนอกได้ในทันที.. แต่ฉันคิดว่าแกคงทำไม่ได้หร้อก”
“ไอ้บ้า ย๊ากกกกกกกกก”
เอลร้องลั่นวิ่งเข้าหาและซัดหมัดเข้าใส่ แต่หมัดนั้นกลับวูบไหวผ่านร่างของวายร้ายไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเขาจะชกใส่อย่างไรก็ชกไม่ถูก ร่างของมันเหมือนภาพสามมิติเช่นกัน
“อย่าบุ่มบ่ามจนกว่าจะรู้จักพลังที่แท้จริงของฉัน”
“จิตไม่สามารถเล่นงานจิตด้วยกันได้หรอก หากแกไม่มีจิตที่คงที่”
วายร้ายยกเท้าขึ้นเตะเข้าใส่ที่สีข้างของเอล มันก็เตะถูกเอลอย่างแรง เอลกระเด็นออกไปด้วยความแปลกใจ
ทำไมมันเตะเราโดนล่ะ....
“ที่โดนก็เพราะฉันมีพลังจิตที่ดีกว่าแกไง แกยังคุมพลังจิตไม่ได้ คิดจะลองดีกับฉันรึ”
พูดจบมันก็กระโจนเข้าหาเอลด้วยเข่า แต่เอลกลับยกสองมือต้านรับ แต่กลับแตะต้องอากาศธาตุ แต่เข่านั้นกลับกระแทกเข้าใส่เขา แต่เขาก็พลิกตัวหลบเข่านั้นได้อย่างหวุดหวิด..
“หลบเก่งนี่”
“ฉันไม่กลัวพลังของแกหรอก”
เอลยกมือตั้งรับและกวักมือเรียกให้วายร้ายหน้าหนวดเข้ามา
“แกหนีไม่พ้นชะตากรรมหรอก ทำใจยอมรับมันซะเจ้าหนู จะเอาชนะฉันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกมนุษย์สะสมเงินทองและลาภยศ แต่พวกเราสะสมพลังอำนาจเพื่อความเป็นหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่สุดจะได้พบกับพลังอำนาจสูงสุด” วายร้ายยกมือขวาขึ้นกำแน่น
“สะสมไปแล้วได้อะไรขึ้นมา”
“ก็ครองโลกน่ะสิ”
“น่าหัวเราะครองโลก” เอลหัวเราะ“เพื่อพลังอำนาจ แกก็สามารถฆ่าใครต่อใครได้รึ เลวที่สุด”
เด็กหนุ่มรู้สึกเกลียดชังคนพวกนี้เป็นที่สุด กฎเหนือโลกเป็นความจริง พวกเหนือมนุษย์จะถูกด้านมืดครอบงำให้แย่งชิงพลังกันเอง ยิ่งถ้าคนๆนั้นเป็นคนมีจิตใจเลวร้ายแล้วล่ะก็ด้านมืดก็ชักจูงได้ง่าย
“แกควบคุมด้านมืดในตัวแกไม่ได้หรอก ทั้งพวกเหนือมนุษย์และพวกมนุษย์ล้วนเกิดมาเพื่อแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าแกควบคุมมันไม่ได้แล้ว ก็จงทำตามมัน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกเราไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ฉันไม่ฆ่าแก..สักวันแกก็จะฆ่าฉัน”
“ไม่จริง ฉันไม่ได้ชั่วร้ายแบบแก”
“สักวันฉันจะเป็นพระเจ้าแห่งโลกเส็งเคร็งใบนี้เอง”
ได้ยินคำว่า พระเจ้าแห่งโลก ทำให้เอลนึกถึงเอ็ททันที
เจ้านี่เป็นอะไรกับเอ็ทอย่างแน่นอน มันคือพวกของเอ็ท...
“แกกับเอ็ทเป็นพวกเดียวกันใช่มั้ย แกคือช่างไฟฟ้าคนนั้นใช่มั้ย” เอลเพิ่งนึกออก เจ้าหนวดนี่คือช่างไฟคนที่พวกในห้องพูดถึง
คู่ขาเอ็ท...
“เข้าใจถูกแล้ว ฉันร่วมกันวางแผนเล่นงานแกเอง”
พลันเอลก็นึกถึงลายมือที่กระจกรถไฟฟ้าที่เป็นเบาะแสให้เขาตามเอ็ทจนพบ
“ลายมือบนรถไฟฟ้านั่นเป็นของแก...”
“ถูกต้องที่สุดลายมือนั่นเป็นของฉัน ฉันก็แค่หลอกแกให้ไปหามัน เพราะรู้ว่ายังไงเสียเจ้านั่นมันจะแว้งกัดฉันอยู่แล้ว มันพยายามหาคนที่เข้าโลกต่างมิติได้ แต่มันไม่รู้ว่าฉันเข้ามาในแดนมรณะได้”
“แดนมรณะ”
“แดนมรณะคือโลกซึ่งคาบเส้นระหว่างโลกกับโลกต่างมิติไง และที่นี่ฉันสามารถกระซิบเสียงหลอกเจ้าเอ็ทที่ข้างหูของมัน โดยทำเสียงให้เหมือนกับภูตินรก มันเชื่อเสียสนิทใจจนประสาทเสีย”
“ไหนแกบอกว่าเป็นพวกเดียวกับมัน แกทำแบบนั้นทำไมกัน”
“ฉันไม่ได้เป็นพวกมัน ฉันแค่หลอกใช้มันเท่านั้น ฉันทำให้มันกลัวเพื่อให้มันเข้าสู่แผนการของฉัน ฉันรู้ถึงความโลภของมันเป็นอย่างดี มันโลภอยากได้พลังอำนาจไว้เพียงคนเดียวเหมือนกัน เมื่อฉันยอมร่วมมือจัดการกับแก มันก็ดีใจจนเนื้อเต้น แต่มันก็ไม่เคยไว้ใจฉัน มันก็กลัวว่าฉันจะเล่นงานมันลับหลังเหมือนกัน”
“..แกฆ่ามันไปแล้วใช่มั้ย..”
“มันเสร็จภูตินรกอย่างที่แกเห็นนั่นแหละ วันนั้นฉันก็อยู่ตรงนั้นด้วย ฉันเห็นกับสองตานี่เลยล่ะ”
“แกอยู่ที่นั่นด้วย...แกปล่อยให้เจ้านั่นตาย ไอ้ชั่วเอ๊ย”
“ฉันจะเอาตัวไปเสี่ยงทำไม ภูตินรกกระหายการคร่าชีวิตพวกเราจะตายไป มันกินวิญญาณและพลังความสามารถของพวกเราเป็นอาหาร มันสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกเราได้ตลอดเวลายามเมื่อเราใช้พลัง
คืนนั้นฉันเห็นมันกินจิตเจ้าเอ็ทด้วยสองตาของฉันนี่ น่าเสียดายที่สุดที่พลังนั่นตกเป็นของเจ้าชั่วช้านั่น ที่จริงฉันก็หวังจะได้พลังเจ้าเอ็ทมาแต่แรกแล้ว แต่ไม่เป็นไร พลังข้ามมิติของแกนั่นแหละคือสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากได้มาตลอด”
“แกมันเลวที่สุด ฆ่าเพื่อนได้ลงคอ”
“ฉันจะทำยังไงได้ ไว้รอฉันได้พลังของแกมาก่อนเหอะ ฉันจะเล่นงานเจ้าภูตินรกนั่นเอง”
“อย่าทำเป็นคุยหน่อยเลย..”
“ฉันเป็นนักวางแผน ภูตินรกก็เหอะ มันไม่มีสมองเหมือนพวกเราหรอก ฉันจัดการมันได้แน่”
“อยากได้พลังของฉันก็เข้ามาเลย” เอลกำหมัดพร้อมสู้แต่เมื่อนึกถึงการปะทะเมื่อครู่ก็รู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก พลังจิตของเขาคงไม่สามารถเล่นงานถูกเจ้าวายร้ายนั้นได้หรอก
“อยู่ในนี้แกใช้พลังจิตอย่างไรก็ไร้ผล แดนมรณะแห่งนี้เป็นที่ของฉัน ศัตรูซึ่งเข้ามาที่นี่ไม่มีทางถูกตัวของฉันได้ พูดง่ายๆก็คือแกไร้พลังโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ในนี้ มีเพียงการเล่นเกมมรณะเท่านั้นที่จะชี้ว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป”
“เกมมรณะ....”
“ที่นี่มีเกมอยู่เกมหนึ่งให้แกกับฉันเดิมพันชีวิตกัน คนที่มีสติปัญญาดีเลิศเท่านั้นที่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าเสียเวลาเลย จงเงี่ยหูฟังกติกาของเกมมรณะซะ”
“เจ้าบ้านี่..” เอลร้องลั่น
“กฎของเกมนี้คือถ้าร่างต้นบนโลกของใครถูกมนุษย์แตะต้องถึงตัวก่อนจิตก็จะเข้าร่างไม่ได้อย่างถาวร และจิตจะสิ้นสูญไปในทันที ส่วนพลังก็จะกลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งให้กับอีกฝ่ายหนึ่งไปในทันที พูดง่ายๆคือใครโดนแตะก่อนคนนั้นแพ้ทันที เข้าใจหรือยัง”
“นี่เหรอพลังความสามารถของแก..ทำไมมันบ้องตื้นแบบนี้วะ”
“นี่คือพลังถอดวิญญาณซึ่งองค์ประกอบหลักของพลังก็คือการวางแผนอันแยบยลและรัดกุม ฉันวางแผนทุกอย่างไว้อย่างดี ไม่มีใครเข้าไปแตะต้องร่างของฉันได้ แกย่อมไม่มีวันเอาชนะฉันได้อยู่แล้ว”
“พลังถอดวิญญาณ” เอลทวนชื่อพลังด้วยใจประหวั่น
“ร่างของแกที่ห้องกับร่างของฉันต่างถูกแยกเอาจิตบางส่วนออกมาเท่านั้น เพราะถ้าจิตและกายแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ร่างกายก็อยู่ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ฉันโทรศัพท์ไปหาเจ้าล้องก์เพื่อนของแกและเลียนเสียงแกบอกให้มันมาหาแกอย่างเร่งด่วน อีกสิบนาทีมันก็จะถึงบ้านของแกแล้ว และเมื่อมาถึงมันก็จะเข้าไปแตะตัวแกที่กำลังหลับอยู่ แค่นั้นก็เกมโอเว่อร์ แกจะตายและฉันจะได้พลังของแกเพียงคนเดียว”
เอลฟังแล้วขนลุก แผนการแยบยลของมันช่างเลวร้ายจริงๆ
“จะให้เชื่อเรื่องหลอกเด็กนั่นเหรอ ไม่มีทางเสียล่ะ...”
“ชื่อของฉันคือฮัค เฟนดี”
“บอกชื่อแกทำไม ไม่เห็นอยากรู้”
...........................................................................................................................
“แกนะแก”
เอลคำรามเมื่อเห็นชายผิวเนื้อดำแดงเหมือนคนเอเชียใต้ อายุราวๆ 25 ถึง 30 ปี ไว้หนวดเฟิ้มสวมเสื้อยืดแขนสั้นลายทางสลับแดงเขียวยืนห่างไปสองสามเมตร ใบหน้าดำกร้านและมีรอยบากยาวที่ใต้ตาซ้ายแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว มันยิ้มกับเขา รอยยิ้มนั้นเยือกเย็นน่ากลัวพอๆกับรอยยิ้มของเอ็ทที่จากไปแล้ว
เจ้านี่เป็นใคร....
แล้วยิ้มนั้นก็พลันสลายหายไป ดวงตาเหลือกโปนน่ากลัวคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ เอลบอกตัวเองว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ้านี่มาก่อนในชีวิต มันเป็นใครกัน...
“ที่สุดก็พบกันจนได้นะเจ้าหนู”
“แกทำอะไรฉัน..บอกมานะไอ้บ้า”
เอลร้องลั่น ก่อนที่วายร้ายจะแผดเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า แดนมรณะกำลังเปิดต้อนรับแกแล้ว”
เอลอึ้งเมื่อได้ยินคำว่าแดนมรณะ
“แดนมรณะบ้าบออะไรของแก”
“แกหลงกลฉันจนได้ ไม่นึกว่าจะง่ายดายขนาดนี้...”
“หลงกลอะไร...” เอลอ้าปากค้าง
“แกหลงไปอ่านมนตราของข้าและเข้ามายังแดนมรณะนี่ไง”
เอลถึงกับหน้าซีดเผือด
“มนตราอะไร...”เอลมองไปที่กระดาษใบนั้นที่หล่นอยู่ที่พื้น
“ข้อความนั่นคือพลังมนตราที่สามารถดึงจิตของพวกเหนือมนุษย์เข้าสู่แดนมรณะแห่งนี้ยังไงเล่า”
“แก...”
เอลร้องลั่น เขาพลาดท่ามันแล้วหรือนี่
“พวกเหนือมนุษย์ชั่วช้า ไอ้พวกที่ต้องการแย่งชิงพลังจากผู้อื่นโดยใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ฉันไม่ยอมแพ้แกหรอก....”
เอลเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว จิตของเขาออกจากร่างเพราะพลังมนตราที่ว่าอย่างแน่นอน
พลังอะไรของมัน....
เราจะยอมแพ้ไม่ได้ ...ต้องหาวิธีเอาชนะมันให้ได้...
เอลปลุกปลอบใจและยิ้มออกมา
“แกไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย”
“นี่คือวิธีสู้ของพวกเหนือมนุษย์ วิธีหมาลอบกัดคือการต่อสู้ของพวกเรายังไง ใครเริ่มก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ”
“พูดบ้าๆ คนอย่างฉันไม่เคยลอบกัดใครลับหลัง ถ้าจะสู้ก็ต้องตัวต่อตัว และฉันจะตั๊นหน้าแกให้ยุบไปเลย”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า”
วายร้ายหัวเราะลั่นจนหนวดกระดก
“อย่างแกเรอะจะชกหน้าฉัน คิดว่าแกจะออกไปจากที่นี่ได้เรอะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“คิดผิดไปแล้ว พลังของข้าคือการกักขังศัตรูไว้ในแดนมรณะ ซึ่งถ้าหากแกออกไปจากที่นี่ไม่ได้ตามกำหนด หัวใจของแกจะค่อยๆ เต้นช้าลงๆ และจะหยุดเต้นไปในที่สุด นั่นแหละคือพลังของฉัน”
“ฉันไม่เชื่อหรอกเว้ย”
“คนที่นอนใกล้ตายอยู่นั่นคือแกยังไง ”
เอลหน้าชา เขากำลังจะตายอย่างที่มันพูดจริงหรือ มาถึงตรงนี้ เขาถึงกับเหงื่อแตกเต็มหน้า
“แกกำลังจะตายอย่างช้าๆ หากจิตแกเข้าร่างไม่ได้”
“ปากเสีย ฉันจะชกหน้าแกให้ยับไปเลย”
“จะรอดแกต้องฆ่าฉันให้ได้เสียก่อน..แล้วแกจะออกไปข้างนอกได้ในทันที.. แต่ฉันคิดว่าแกคงทำไม่ได้หร้อก”
“ไอ้บ้า ย๊ากกกกกกกกก”
เอลร้องลั่นวิ่งเข้าหาและซัดหมัดเข้าใส่ แต่หมัดนั้นกลับวูบไหวผ่านร่างของวายร้ายไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเขาจะชกใส่อย่างไรก็ชกไม่ถูก ร่างของมันเหมือนภาพสามมิติเช่นกัน
“อย่าบุ่มบ่ามจนกว่าจะรู้จักพลังที่แท้จริงของฉัน”
“จิตไม่สามารถเล่นงานจิตด้วยกันได้หรอก หากแกไม่มีจิตที่คงที่”
วายร้ายยกเท้าขึ้นเตะเข้าใส่ที่สีข้างของเอล มันก็เตะถูกเอลอย่างแรง เอลกระเด็นออกไปด้วยความแปลกใจ
ทำไมมันเตะเราโดนล่ะ....
“ที่โดนก็เพราะฉันมีพลังจิตที่ดีกว่าแกไง แกยังคุมพลังจิตไม่ได้ คิดจะลองดีกับฉันรึ”
พูดจบมันก็กระโจนเข้าหาเอลด้วยเข่า แต่เอลกลับยกสองมือต้านรับ แต่กลับแตะต้องอากาศธาตุ แต่เข่านั้นกลับกระแทกเข้าใส่เขา แต่เขาก็พลิกตัวหลบเข่านั้นได้อย่างหวุดหวิด..
“หลบเก่งนี่”
“ฉันไม่กลัวพลังของแกหรอก”
เอลยกมือตั้งรับและกวักมือเรียกให้วายร้ายหน้าหนวดเข้ามา
“แกหนีไม่พ้นชะตากรรมหรอก ทำใจยอมรับมันซะเจ้าหนู จะเอาชนะฉันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกมนุษย์สะสมเงินทองและลาภยศ แต่พวกเราสะสมพลังอำนาจเพื่อความเป็นหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่สุดจะได้พบกับพลังอำนาจสูงสุด” วายร้ายยกมือขวาขึ้นกำแน่น
“สะสมไปแล้วได้อะไรขึ้นมา”
“ก็ครองโลกน่ะสิ”
“น่าหัวเราะครองโลก” เอลหัวเราะ“เพื่อพลังอำนาจ แกก็สามารถฆ่าใครต่อใครได้รึ เลวที่สุด”
เด็กหนุ่มรู้สึกเกลียดชังคนพวกนี้เป็นที่สุด กฎเหนือโลกเป็นความจริง พวกเหนือมนุษย์จะถูกด้านมืดครอบงำให้แย่งชิงพลังกันเอง ยิ่งถ้าคนๆนั้นเป็นคนมีจิตใจเลวร้ายแล้วล่ะก็ด้านมืดก็ชักจูงได้ง่าย
“แกควบคุมด้านมืดในตัวแกไม่ได้หรอก ทั้งพวกเหนือมนุษย์และพวกมนุษย์ล้วนเกิดมาเพื่อแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าแกควบคุมมันไม่ได้แล้ว ก็จงทำตามมัน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกเราไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ฉันไม่ฆ่าแก..สักวันแกก็จะฆ่าฉัน”
“ไม่จริง ฉันไม่ได้ชั่วร้ายแบบแก”
“สักวันฉันจะเป็นพระเจ้าแห่งโลกเส็งเคร็งใบนี้เอง”
ได้ยินคำว่า พระเจ้าแห่งโลก ทำให้เอลนึกถึงเอ็ททันที
เจ้านี่เป็นอะไรกับเอ็ทอย่างแน่นอน มันคือพวกของเอ็ท...
“แกกับเอ็ทเป็นพวกเดียวกันใช่มั้ย แกคือช่างไฟฟ้าคนนั้นใช่มั้ย” เอลเพิ่งนึกออก เจ้าหนวดนี่คือช่างไฟคนที่พวกในห้องพูดถึง
คู่ขาเอ็ท...
“เข้าใจถูกแล้ว ฉันร่วมกันวางแผนเล่นงานแกเอง”
พลันเอลก็นึกถึงลายมือที่กระจกรถไฟฟ้าที่เป็นเบาะแสให้เขาตามเอ็ทจนพบ
“ลายมือบนรถไฟฟ้านั่นเป็นของแก...”
“ถูกต้องที่สุดลายมือนั่นเป็นของฉัน ฉันก็แค่หลอกแกให้ไปหามัน เพราะรู้ว่ายังไงเสียเจ้านั่นมันจะแว้งกัดฉันอยู่แล้ว มันพยายามหาคนที่เข้าโลกต่างมิติได้ แต่มันไม่รู้ว่าฉันเข้ามาในแดนมรณะได้”
“แดนมรณะ”
“แดนมรณะคือโลกซึ่งคาบเส้นระหว่างโลกกับโลกต่างมิติไง และที่นี่ฉันสามารถกระซิบเสียงหลอกเจ้าเอ็ทที่ข้างหูของมัน โดยทำเสียงให้เหมือนกับภูตินรก มันเชื่อเสียสนิทใจจนประสาทเสีย”
“ไหนแกบอกว่าเป็นพวกเดียวกับมัน แกทำแบบนั้นทำไมกัน”
“ฉันไม่ได้เป็นพวกมัน ฉันแค่หลอกใช้มันเท่านั้น ฉันทำให้มันกลัวเพื่อให้มันเข้าสู่แผนการของฉัน ฉันรู้ถึงความโลภของมันเป็นอย่างดี มันโลภอยากได้พลังอำนาจไว้เพียงคนเดียวเหมือนกัน เมื่อฉันยอมร่วมมือจัดการกับแก มันก็ดีใจจนเนื้อเต้น แต่มันก็ไม่เคยไว้ใจฉัน มันก็กลัวว่าฉันจะเล่นงานมันลับหลังเหมือนกัน”
“..แกฆ่ามันไปแล้วใช่มั้ย..”
“มันเสร็จภูตินรกอย่างที่แกเห็นนั่นแหละ วันนั้นฉันก็อยู่ตรงนั้นด้วย ฉันเห็นกับสองตานี่เลยล่ะ”
“แกอยู่ที่นั่นด้วย...แกปล่อยให้เจ้านั่นตาย ไอ้ชั่วเอ๊ย”
“ฉันจะเอาตัวไปเสี่ยงทำไม ภูตินรกกระหายการคร่าชีวิตพวกเราจะตายไป มันกินวิญญาณและพลังความสามารถของพวกเราเป็นอาหาร มันสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกเราได้ตลอดเวลายามเมื่อเราใช้พลัง
คืนนั้นฉันเห็นมันกินจิตเจ้าเอ็ทด้วยสองตาของฉันนี่ น่าเสียดายที่สุดที่พลังนั่นตกเป็นของเจ้าชั่วช้านั่น ที่จริงฉันก็หวังจะได้พลังเจ้าเอ็ทมาแต่แรกแล้ว แต่ไม่เป็นไร พลังข้ามมิติของแกนั่นแหละคือสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากได้มาตลอด”
“แกมันเลวที่สุด ฆ่าเพื่อนได้ลงคอ”
“ฉันจะทำยังไงได้ ไว้รอฉันได้พลังของแกมาก่อนเหอะ ฉันจะเล่นงานเจ้าภูตินรกนั่นเอง”
“อย่าทำเป็นคุยหน่อยเลย..”
“ฉันเป็นนักวางแผน ภูตินรกก็เหอะ มันไม่มีสมองเหมือนพวกเราหรอก ฉันจัดการมันได้แน่”
“อยากได้พลังของฉันก็เข้ามาเลย” เอลกำหมัดพร้อมสู้แต่เมื่อนึกถึงการปะทะเมื่อครู่ก็รู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก พลังจิตของเขาคงไม่สามารถเล่นงานถูกเจ้าวายร้ายนั้นได้หรอก
“อยู่ในนี้แกใช้พลังจิตอย่างไรก็ไร้ผล แดนมรณะแห่งนี้เป็นที่ของฉัน ศัตรูซึ่งเข้ามาที่นี่ไม่มีทางถูกตัวของฉันได้ พูดง่ายๆก็คือแกไร้พลังโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ในนี้ มีเพียงการเล่นเกมมรณะเท่านั้นที่จะชี้ว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป”
“เกมมรณะ....”
“ที่นี่มีเกมอยู่เกมหนึ่งให้แกกับฉันเดิมพันชีวิตกัน คนที่มีสติปัญญาดีเลิศเท่านั้นที่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าเสียเวลาเลย จงเงี่ยหูฟังกติกาของเกมมรณะซะ”
“เจ้าบ้านี่..” เอลร้องลั่น
“กฎของเกมนี้คือถ้าร่างต้นบนโลกของใครถูกมนุษย์แตะต้องถึงตัวก่อนจิตก็จะเข้าร่างไม่ได้อย่างถาวร และจิตจะสิ้นสูญไปในทันที ส่วนพลังก็จะกลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งให้กับอีกฝ่ายหนึ่งไปในทันที พูดง่ายๆคือใครโดนแตะก่อนคนนั้นแพ้ทันที เข้าใจหรือยัง”
“นี่เหรอพลังความสามารถของแก..ทำไมมันบ้องตื้นแบบนี้วะ”
“นี่คือพลังถอดวิญญาณซึ่งองค์ประกอบหลักของพลังก็คือการวางแผนอันแยบยลและรัดกุม ฉันวางแผนทุกอย่างไว้อย่างดี ไม่มีใครเข้าไปแตะต้องร่างของฉันได้ แกย่อมไม่มีวันเอาชนะฉันได้อยู่แล้ว”
“พลังถอดวิญญาณ” เอลทวนชื่อพลังด้วยใจประหวั่น
“ร่างของแกที่ห้องกับร่างของฉันต่างถูกแยกเอาจิตบางส่วนออกมาเท่านั้น เพราะถ้าจิตและกายแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ร่างกายก็อยู่ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ฉันโทรศัพท์ไปหาเจ้าล้องก์เพื่อนของแกและเลียนเสียงแกบอกให้มันมาหาแกอย่างเร่งด่วน อีกสิบนาทีมันก็จะถึงบ้านของแกแล้ว และเมื่อมาถึงมันก็จะเข้าไปแตะตัวแกที่กำลังหลับอยู่ แค่นั้นก็เกมโอเว่อร์ แกจะตายและฉันจะได้พลังของแกเพียงคนเดียว”
เอลฟังแล้วขนลุก แผนการแยบยลของมันช่างเลวร้ายจริงๆ
“จะให้เชื่อเรื่องหลอกเด็กนั่นเหรอ ไม่มีทางเสียล่ะ...”
“ชื่อของฉันคือฮัค เฟนดี”
“บอกชื่อแกทำไม ไม่เห็นอยากรู้”
...........................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ