เอล คนทะลุมิติ chapter 1
-
เขียนโดย pong43
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.
48 ตอน
0 วิจารณ์
56.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
35) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 35 สมุดลึกลับ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสมุดลึกลับ
ภูตินรกและปีศาจแห่งโลกปีศาจสามารถสิงสู่ได้เฉพาะมนุษย์ผู้ซึ่งชะตาขาด นอกเหนือจากนี้ปีศาจทุกตนไม่มีสิทธิ์จะสิงสู่ครอบครองร่างมนุษย์ได้ หากภูตินรกและปีศาจตนใดล่วงละเมิด ปีศาจตนนั้นจะต้องดับสูญเพราะไฟบัลลัยกัลป์
......................................................................................................................................
เอลนั่งหลังพิงฝาห้องครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เรื่องกฏเหนือโลกที่เอ็ทพูดนั้น ยังก้องอยู่ในหู
ถ้ากฏเหนือโลกนั่นเป็นความจริงและมีไว้ควบคุมจักรวาลนี้ หากเราเข้าใจกฎอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยจากพวกปีศาจ
กฏเหนือโลกที่ลีโอนั่นร่ายไว้นั่น เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า...
กฏนั้นดูคล้ายกัน แต่ในเฮเว่นเกตพูดแค่นิดเดียวเท่านั้น และที่เอ๊ทพูดว่ามันคือคนเขียนกฏเหนือโลกมันหมายความว่าอย่างไรกัน
หรือว่ามันโกหกเรา..เจ้าบ้านี่...
เอ็ทคงถูกเจ้านั่นฆ่าไปแล้ว ...
เขากำลังคิดถึงตอนที่อยู่ในรถไฟฟ้า เจ้าคนที่เขียนบอกใบ้เราที่กระจกรถไฟฟ้านั่นล่ะ... ภูตินรก เจ้านั่นเป็นคนนำทางให้เราตามมาเจอเอ็ท มันต้องการให้เราเจอเอ็ท และมันจะได้จัดการทีเดียวพร้อมๆกัน ...
ชั่วร้ายที่สุด...
จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้น
จะอะไรก็ช่าง ต้องกลับบ้านแล้ว...
จู่ ๆ เขาก็ยืนแทบไม่ติด เขามองเห็นห้องนั้นวูบไหวไปมาคล้ายเกิดแผ่นดินไหว
“อะไรกันอีกล่ะ”
โลกกำลังหมุนติ้ว จู่ๆ เขาก็ล้มลงตึงลงไปที่พื้นห้องอย่างแรง หมดสติไปในที่สุด
.............................................................................................................................................
เมื่อเอลได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงกลับบ้านไปอย่างมึนๆ เมื่อกลับถึงบ้านเขากลับคิดได้ว่า เมื่อเอ็ทตายไปแบบนั้น การหายตัวไปของเอ็ทจะทำให้เขากลายเป็นจำเลยไปด้วย เขาจำไม่ได้ว่าได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ในห้องของเอ็ทหรือเปล่า เขาพยายามค้นดูในกางเกงและเสื้อก็ไม่คิดว่ามีอะไรตกหล่นอยู่ในห้องของเอ็ท
การตายของเอ็ท จริงอยู่ที่เขาเองก็มีส่วนรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่ไปที่นั่น เอ็ทก็อาจจะไม่ตาย
ทำไมฉันรู้สึกแย่อย่างนี้นะ...
ได้เจอพวกเดียวกันเป็นครั้งแรกไม่น่าจะต้องจบลงแบบนี้เลย..เฮ้อ..
เอลโทษตัวเองว่าไม่น่าไปหาเอ็ทเลย เขาภาวนาให้เอ็ทยังมีชีวิตอยู่ แม้นว่าเอ็ทจะจ้องทำร้ายตนเองก็ตามทีแต่นั่นอาจจะมาจากเหตุผลแรงดึงดูดหรือด้านมืดที่เอ็ทพูดถึงนั้น เขาเองตอนนั้นก็รู้สึกอยากจะฆ่าเอ็ทให้ตายคามืออยู่เหมือนกันนั่นอาจจะเป็นอำนาจด้านมืดจริงๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแผนการของเจ้าภูตินรกตนนั้น
เขานอนท้อแท้ใจที่บ้านไม่ไปเรียนหนังสือ จนกระทั่งก่อนเที่ยงก็ลุกขึ้น
จะมัวมาท้อแท้แบบนี้ไม่ได้แล้ว หนทางของเราอีกยาวไกล...
เขาคิดว่าถ้าพรุ่งนี้พบหน้าเอ็ทที่โรงเรียนจะดีใจไม่น้อยทีเดียว เมื่อคืนเขาพยายามเข้าไปในโลกต่างมิติอยู่สองสามครั้ง เพื่อดูว่าเอ็ทยังอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร
วันรุ่งขึ้นเมื่อไปโรงเรียน เขาจึงรีบไปดูว่าเอ็ทมาโรงเรียนหรือเปล่า
เอ็ทไม่อยู่ในห้อง
เขาไม่กล้าถามใครในห้องจีเรื่องเอ็ท แต่แอบฟังเด็กในห้องจีพูดคุยกันได้ความว่าเอ็ทไม่ได้มาสองวันแล้ว เขาคิดว่าเอ็ทอาจจะนอนป่วยอยู่ที่บ้านก็ได้ เขาตั้งใจว่าตอนเย็นจะลองไปดูที่บ้านเอ็ทอีกครั้ง เพื่อหาความกระจ่างให้ได้
"ขอให้แกอย่าเป็นอะไรเลย..เอ็ท"
................................................................................................
เย็นนั้น
เขาไปด้อมมองๆที่บ้านของเอ็ทอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ในบ้าน เขาจึงแอบเข้าไปในบ้านนั้นอีกครั้ง เขาคิดว่าเมื่อคืนกลับไปโดยไม่ได้ทำลายหลักฐาน... แต่ไม่น่าจะมีหลักฐานอะไรอีก เมื่อคืนก่อนเข้ามาเขาก็ใส่ถุงมือหนังเข้ามา ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีลายนิ้วมือตกหล่นตามลูกบิดประตูและตัวบ้าน
ไม่มีเอ็ทอยู่ในบ้านอย่างที่คิด...
เขามองรอบๆห้อง หากเอ็ทตายไปแล้ว และหายสาบสูญไป ตำรวจก็ต้องหาหลักฐานจากห้องนี้
ถ้ามีหลักฐานเกี่ยวกับเราถึงมือตำรวจ เราไม่รอดแน่ ...
มีหลักฐานอะไรซึ่งจะสาวถึงเราได้อีกนะ...
เขามองขึ้นไปที่กล้องจับภาพสองตัวที่ชั้นบน เขารู้ว่าชั้นล่างก็มีอยู่หนึ่งตัว มันถูกต่อพ่วงไปยังคอมพิวเตอร์เมนเฟรมในห้อง คอมพิวเตอร์เมนเฟรมก็ปิดอยู่ ปกติมันคงเปิดอยู่ตลอดเวลา
ทำไมมันดับ...
เขาสงสัยว่าคอมพิวเตอร์ดับไปได้ยังไง วันนั้นเขาไม่ได้ปิดมันนี่นา เขาเห็นเอ็ทเปิดเครื่องคอมอยู่
หรือว่าไฟดับ...
ที่สุดเขาก็เหลือบมองไปเห็นคัทเอาท์ควบคุมไฟฟ้าทั่วบ้านซึ่งถูกกดปิดสวิทซ์เอาไว้
ใครเป็นคนปิด..
สวิทซ์ถูกปิดมีสองสาเหตุ หนึ่งคือคนปิด อีกหนึ่งคือไฟฟ้าลัดวงจร
เขาคิดว่าไฟฟ้าลัดวงจรแน่ ไม่น่าจะมีใครไปปิดมัน
เอ็ท.. ไม่น่าจะใช่ ... หรือมีใครอยู่ในบ้านนี้อีกคน....
เอลกดสวิทซ์คัทเอาท์ขึ้นเพื่อลองเปิดไฟฟ้าในบ้าน แต่ไฟก็ไม่สว่างเพราะสวิทซ์ไฟทั่วบ้านกดปิดไว้หมด มีเพียงๆไฟตู้เย็นและเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ติดขึ้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าก่อนไฟลัดวงจร ไฟทั่วบ้านไม่ได้เปิดอยู่แต่แรกแล้ว
จู่ๆ เขากลับคิดว่า คนที่ฆ่าเอ็ทอาจจะเป็นเขา
เขาเป็นคนฆ่าเอ็ทเพราะด้านมืดครอบงำ แต่มันสร้างภาพลวงตาว่าภูตินรกมา ด้านมืดสั่งให้สร้างภูตินรกขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกผิด
ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเราเป็นคนฆ่าเจ้านั่นเอง..เราจะไม่ยอมรู้สึกย่ำแย่แบบนี้ตลอดไปหรอก
ต้องทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์...
เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่ากล้องจับภาพนั้นอาจจะบันทึกภาพของเขาลงในคอมพิวเตอร์ก็ได้
เอลมองไปที่เครื่องคอมซึ่งมีจอและตัวเครื่องติดกัน ฮาร์ดดิสก์อยู่ในแผงวงจรด้านหลังจอ เขากดเปิดเครื่องคอมและใช้เวลาไม่นานฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ทำลายข้อมูลในเครื่องทิ้ง หลังจากฟอร์แมตเสร็จสิ้นเขาก็ตรวจสอบจนเป็นที่แน่ใจว่าทุกอย่างในเครื่องถูกลบทิ้งหมดแล้ว
แต่แค่นั้นไม่พอ เขาใช้ไขควงเล็กหมุนน๊อตเปิดฝาเครื่องคอมพิวเตอร์ออกแล้วใช้ไขควงนั้นจี้ช๊อตทำลายวงจรบนแผงฮาร์ดดิสก์ทำเสมือนไฟช๊อตฮาร์ดดิสก์พัง นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะถ้าใครรู้ว่ามีการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ล่ะก็อาจจะสาวถึงตัวคนทำลายข้อมูลได้ แต่ถ้ามันพังไปเพราะไฟฟ้าช๊อตล่ะก็คงไม่มีใครสงสัย
นอกจากวิธีนี้แล้วเอลคิดไม่ออกว่าจะมีวิธีอื่นอีก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และตัดสินใจกลับบ้านเสียที เหนื่อยมามากแล้ว ไม่น่าสร้างเรื่องเลย...
เขาเหลือบมองไปที่กรอบรูปซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ เป็นรูปขนาดสี่คูณหก หน้าตรงครึ่งตัว เป็นภาพของเอ็ทซึ่งยิ้มอย่างมีความสุข มันทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้อนใจในชะตากรรมของพวกเหนือมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร แม้นว่าเอ็ทจะคิดร้ายกับเขา แต่เขาก็ไม่คิดร้ายตอบ
เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้ ก็ต้องฝึกฝนการต่อสู้ให้มากกว่านี้ ต้องแข็งแกร่งที่สุด นั่นแหละที่จะทำให้การตายของเอ็ทไม่เสียเปล่า เขาคิดว่าเอ็ทอาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรก็ได้ ที่ทำไปแบบนั้นอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกเหนือมนุษย์ อำนาจด้านมืดอาจจะทำให้เอ็ทกลายเป็นคนน่ากลัวคิดจะเอาตัวรอดเห็นคนอื่นเป็นศัตรูไปหมด
และกฎเหนือโลกนั่นล่ะมันเป็นหนังสือหรือบันทึกอะไรสักอย่างหรือเปล่า ว่าแต่ว่ามันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ใช่สิ กฎเหนือโลกอาจจะอยู่ในลิ้นชักอะไรสักแห่งในบ้านหลังนี้ก็ได้
เขามองไปที่ลิ้นชักของโต๊ะหนังสือ ที่ลิ้นชักนั่นมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นแน่ เขาสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ต้องมีอะไรอยู่ในนั้น...
เขาตรงไปกระชากลิ้นชักอย่างแรง มีสมุดหน้าปกสีขาวเล่มหนึ่งวางอยู่ในนั้น ไม่มีอะไรอยู่ในลิ้นชักนอกจากสมุดเล่มนี้ เขาหยิบมันขึ้นมาดู มันมีขนาดเล็กเท่าพ๊อคเกตบุ๊คเล่มใหญ่
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
เขาพลิกสมุดเล่มนั้นดูทั้งเล่มก็พบว่าเป็นสมุดเปล่าเล่มหนึ่ง ไม่มีหน้าใดที่มีการบันทึกอะไรไว้ ไม่มีการเขียนอะไร ไม่ว่าปากกาหรือดินสอ เป็นสมุดบันทึกเปล่าที่ดูสวยงามมาก
อะไรกัน...
เขาวางสมุดกลับลงไปในลิ้นชักว่างเปล่านั้นแต่ยังไม่ได้ปิดลิ้นชัก เขายืนมองสมุดนั้นด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะดันลิ้นชักเข้าไป
ก่อนจะออกจากที่นั่น เอลยังหันไปมองลิ้นชักนั้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกคาใจอย่างบอกไม่ถูก
สมุดเล่มนั้นคือกฏเหนือโลกรึ ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย...
เขาคิดจะเดินกลับไปเปิดลิ้นชักเพื่อดูสมุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็เปลี่ยนใจเดินออกไปจากบ้านหลังนั้นในที่สุด
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้กำลังจะถูกลืมหายไปจากความทรงจำของเขาในไม่ช้านี้ เขาได้บทเรียนว่าการจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้วสำหรับพวกเหนือมนุษย์ หนทางข้างหน้ายังมีสิ่งที่น่ากลัวรอเขาอยู่ ใครคือคนต่อไปที่เขาจะได้พบ แล้วคนๆนั้นจะเป็นศัตรูหรือมิตร หากกฎแห่งแรงดึงดูดของพลังมีจริง เขาจะพ้นจากการเผชิญหน้าด้วยวิธีใด
หลายครั้งที่เด็กหนุ่มผู้แปลกแยกนี้ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ใครคือผู้ขีดเขียนชะตากรรมของพวกเหนือมนุษย์อย่างเขา พระเจ้าหรือใครกันแน่นะ...ถ้าเป็นพระเจ้าเขาก็คงมีสองทางเลือก หนึ่งคือก้มหัวยอมรับ สองก่นด่ากับอยุติธรรมที่พระเจ้าหยิบยื่นให้
..................................................................................................................................
กฏเหนือโลก
ภูตินรกและปีศาจจากโลกปีศาจมิอาจอยู่บนโลกได้ หากมันพยายามเข้าสู่มิติโลก มันจะถูกเพลิงประลัยกัลป์เผาผลาญร่างจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
นี่คือกฏซึ่งมีไว้เพื่อควบคุมความสมดุลของโลกต่างมิติต่างๆ
ภูตินรกและปีศาจแห่งโลกปีศาจสามารถสิงสู่ได้เฉพาะมนุษย์ผู้ซึ่งชะตาขาด นอกเหนือจากนี้ปีศาจทุกตนไม่มีสิทธิ์จะสิงสู่ครอบครองร่างมนุษย์ได้ หากภูตินรกและปีศาจตนใดล่วงละเมิด ปีศาจตนนั้นจะต้องดับสูญเพราะไฟบัลลัยกัลป์
......................................................................................................................................
เอลนั่งหลังพิงฝาห้องครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เรื่องกฏเหนือโลกที่เอ็ทพูดนั้น ยังก้องอยู่ในหู
ถ้ากฏเหนือโลกนั่นเป็นความจริงและมีไว้ควบคุมจักรวาลนี้ หากเราเข้าใจกฎอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยจากพวกปีศาจ
กฏเหนือโลกที่ลีโอนั่นร่ายไว้นั่น เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า...
กฏนั้นดูคล้ายกัน แต่ในเฮเว่นเกตพูดแค่นิดเดียวเท่านั้น และที่เอ๊ทพูดว่ามันคือคนเขียนกฏเหนือโลกมันหมายความว่าอย่างไรกัน
หรือว่ามันโกหกเรา..เจ้าบ้านี่...
เอ็ทคงถูกเจ้านั่นฆ่าไปแล้ว ...
เขากำลังคิดถึงตอนที่อยู่ในรถไฟฟ้า เจ้าคนที่เขียนบอกใบ้เราที่กระจกรถไฟฟ้านั่นล่ะ... ภูตินรก เจ้านั่นเป็นคนนำทางให้เราตามมาเจอเอ็ท มันต้องการให้เราเจอเอ็ท และมันจะได้จัดการทีเดียวพร้อมๆกัน ...
ชั่วร้ายที่สุด...
จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้น
จะอะไรก็ช่าง ต้องกลับบ้านแล้ว...
จู่ ๆ เขาก็ยืนแทบไม่ติด เขามองเห็นห้องนั้นวูบไหวไปมาคล้ายเกิดแผ่นดินไหว
“อะไรกันอีกล่ะ”
โลกกำลังหมุนติ้ว จู่ๆ เขาก็ล้มลงตึงลงไปที่พื้นห้องอย่างแรง หมดสติไปในที่สุด
.............................................................................................................................................
เมื่อเอลได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงกลับบ้านไปอย่างมึนๆ เมื่อกลับถึงบ้านเขากลับคิดได้ว่า เมื่อเอ็ทตายไปแบบนั้น การหายตัวไปของเอ็ทจะทำให้เขากลายเป็นจำเลยไปด้วย เขาจำไม่ได้ว่าได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ในห้องของเอ็ทหรือเปล่า เขาพยายามค้นดูในกางเกงและเสื้อก็ไม่คิดว่ามีอะไรตกหล่นอยู่ในห้องของเอ็ท
การตายของเอ็ท จริงอยู่ที่เขาเองก็มีส่วนรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่ไปที่นั่น เอ็ทก็อาจจะไม่ตาย
ทำไมฉันรู้สึกแย่อย่างนี้นะ...
ได้เจอพวกเดียวกันเป็นครั้งแรกไม่น่าจะต้องจบลงแบบนี้เลย..เฮ้อ..
เอลโทษตัวเองว่าไม่น่าไปหาเอ็ทเลย เขาภาวนาให้เอ็ทยังมีชีวิตอยู่ แม้นว่าเอ็ทจะจ้องทำร้ายตนเองก็ตามทีแต่นั่นอาจจะมาจากเหตุผลแรงดึงดูดหรือด้านมืดที่เอ็ทพูดถึงนั้น เขาเองตอนนั้นก็รู้สึกอยากจะฆ่าเอ็ทให้ตายคามืออยู่เหมือนกันนั่นอาจจะเป็นอำนาจด้านมืดจริงๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแผนการของเจ้าภูตินรกตนนั้น
เขานอนท้อแท้ใจที่บ้านไม่ไปเรียนหนังสือ จนกระทั่งก่อนเที่ยงก็ลุกขึ้น
จะมัวมาท้อแท้แบบนี้ไม่ได้แล้ว หนทางของเราอีกยาวไกล...
เขาคิดว่าถ้าพรุ่งนี้พบหน้าเอ็ทที่โรงเรียนจะดีใจไม่น้อยทีเดียว เมื่อคืนเขาพยายามเข้าไปในโลกต่างมิติอยู่สองสามครั้ง เพื่อดูว่าเอ็ทยังอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร
วันรุ่งขึ้นเมื่อไปโรงเรียน เขาจึงรีบไปดูว่าเอ็ทมาโรงเรียนหรือเปล่า
เอ็ทไม่อยู่ในห้อง
เขาไม่กล้าถามใครในห้องจีเรื่องเอ็ท แต่แอบฟังเด็กในห้องจีพูดคุยกันได้ความว่าเอ็ทไม่ได้มาสองวันแล้ว เขาคิดว่าเอ็ทอาจจะนอนป่วยอยู่ที่บ้านก็ได้ เขาตั้งใจว่าตอนเย็นจะลองไปดูที่บ้านเอ็ทอีกครั้ง เพื่อหาความกระจ่างให้ได้
"ขอให้แกอย่าเป็นอะไรเลย..เอ็ท"
................................................................................................
เย็นนั้น
เขาไปด้อมมองๆที่บ้านของเอ็ทอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ในบ้าน เขาจึงแอบเข้าไปในบ้านนั้นอีกครั้ง เขาคิดว่าเมื่อคืนกลับไปโดยไม่ได้ทำลายหลักฐาน... แต่ไม่น่าจะมีหลักฐานอะไรอีก เมื่อคืนก่อนเข้ามาเขาก็ใส่ถุงมือหนังเข้ามา ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีลายนิ้วมือตกหล่นตามลูกบิดประตูและตัวบ้าน
ไม่มีเอ็ทอยู่ในบ้านอย่างที่คิด...
เขามองรอบๆห้อง หากเอ็ทตายไปแล้ว และหายสาบสูญไป ตำรวจก็ต้องหาหลักฐานจากห้องนี้
ถ้ามีหลักฐานเกี่ยวกับเราถึงมือตำรวจ เราไม่รอดแน่ ...
มีหลักฐานอะไรซึ่งจะสาวถึงเราได้อีกนะ...
เขามองขึ้นไปที่กล้องจับภาพสองตัวที่ชั้นบน เขารู้ว่าชั้นล่างก็มีอยู่หนึ่งตัว มันถูกต่อพ่วงไปยังคอมพิวเตอร์เมนเฟรมในห้อง คอมพิวเตอร์เมนเฟรมก็ปิดอยู่ ปกติมันคงเปิดอยู่ตลอดเวลา
ทำไมมันดับ...
เขาสงสัยว่าคอมพิวเตอร์ดับไปได้ยังไง วันนั้นเขาไม่ได้ปิดมันนี่นา เขาเห็นเอ็ทเปิดเครื่องคอมอยู่
หรือว่าไฟดับ...
ที่สุดเขาก็เหลือบมองไปเห็นคัทเอาท์ควบคุมไฟฟ้าทั่วบ้านซึ่งถูกกดปิดสวิทซ์เอาไว้
ใครเป็นคนปิด..
สวิทซ์ถูกปิดมีสองสาเหตุ หนึ่งคือคนปิด อีกหนึ่งคือไฟฟ้าลัดวงจร
เขาคิดว่าไฟฟ้าลัดวงจรแน่ ไม่น่าจะมีใครไปปิดมัน
เอ็ท.. ไม่น่าจะใช่ ... หรือมีใครอยู่ในบ้านนี้อีกคน....
เอลกดสวิทซ์คัทเอาท์ขึ้นเพื่อลองเปิดไฟฟ้าในบ้าน แต่ไฟก็ไม่สว่างเพราะสวิทซ์ไฟทั่วบ้านกดปิดไว้หมด มีเพียงๆไฟตู้เย็นและเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่ติดขึ้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าก่อนไฟลัดวงจร ไฟทั่วบ้านไม่ได้เปิดอยู่แต่แรกแล้ว
จู่ๆ เขากลับคิดว่า คนที่ฆ่าเอ็ทอาจจะเป็นเขา
เขาเป็นคนฆ่าเอ็ทเพราะด้านมืดครอบงำ แต่มันสร้างภาพลวงตาว่าภูตินรกมา ด้านมืดสั่งให้สร้างภูตินรกขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกผิด
ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเราเป็นคนฆ่าเจ้านั่นเอง..เราจะไม่ยอมรู้สึกย่ำแย่แบบนี้ตลอดไปหรอก
ต้องทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์...
เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่ากล้องจับภาพนั้นอาจจะบันทึกภาพของเขาลงในคอมพิวเตอร์ก็ได้
เอลมองไปที่เครื่องคอมซึ่งมีจอและตัวเครื่องติดกัน ฮาร์ดดิสก์อยู่ในแผงวงจรด้านหลังจอ เขากดเปิดเครื่องคอมและใช้เวลาไม่นานฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ทำลายข้อมูลในเครื่องทิ้ง หลังจากฟอร์แมตเสร็จสิ้นเขาก็ตรวจสอบจนเป็นที่แน่ใจว่าทุกอย่างในเครื่องถูกลบทิ้งหมดแล้ว
แต่แค่นั้นไม่พอ เขาใช้ไขควงเล็กหมุนน๊อตเปิดฝาเครื่องคอมพิวเตอร์ออกแล้วใช้ไขควงนั้นจี้ช๊อตทำลายวงจรบนแผงฮาร์ดดิสก์ทำเสมือนไฟช๊อตฮาร์ดดิสก์พัง นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะถ้าใครรู้ว่ามีการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ล่ะก็อาจจะสาวถึงตัวคนทำลายข้อมูลได้ แต่ถ้ามันพังไปเพราะไฟฟ้าช๊อตล่ะก็คงไม่มีใครสงสัย
นอกจากวิธีนี้แล้วเอลคิดไม่ออกว่าจะมีวิธีอื่นอีก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และตัดสินใจกลับบ้านเสียที เหนื่อยมามากแล้ว ไม่น่าสร้างเรื่องเลย...
เขาเหลือบมองไปที่กรอบรูปซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ เป็นรูปขนาดสี่คูณหก หน้าตรงครึ่งตัว เป็นภาพของเอ็ทซึ่งยิ้มอย่างมีความสุข มันทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้อนใจในชะตากรรมของพวกเหนือมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร แม้นว่าเอ็ทจะคิดร้ายกับเขา แต่เขาก็ไม่คิดร้ายตอบ
เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้ ก็ต้องฝึกฝนการต่อสู้ให้มากกว่านี้ ต้องแข็งแกร่งที่สุด นั่นแหละที่จะทำให้การตายของเอ็ทไม่เสียเปล่า เขาคิดว่าเอ็ทอาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรก็ได้ ที่ทำไปแบบนั้นอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกเหนือมนุษย์ อำนาจด้านมืดอาจจะทำให้เอ็ทกลายเป็นคนน่ากลัวคิดจะเอาตัวรอดเห็นคนอื่นเป็นศัตรูไปหมด
และกฎเหนือโลกนั่นล่ะมันเป็นหนังสือหรือบันทึกอะไรสักอย่างหรือเปล่า ว่าแต่ว่ามันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ใช่สิ กฎเหนือโลกอาจจะอยู่ในลิ้นชักอะไรสักแห่งในบ้านหลังนี้ก็ได้
เขามองไปที่ลิ้นชักของโต๊ะหนังสือ ที่ลิ้นชักนั่นมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นแน่ เขาสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ต้องมีอะไรอยู่ในนั้น...
เขาตรงไปกระชากลิ้นชักอย่างแรง มีสมุดหน้าปกสีขาวเล่มหนึ่งวางอยู่ในนั้น ไม่มีอะไรอยู่ในลิ้นชักนอกจากสมุดเล่มนี้ เขาหยิบมันขึ้นมาดู มันมีขนาดเล็กเท่าพ๊อคเกตบุ๊คเล่มใหญ่
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
เขาพลิกสมุดเล่มนั้นดูทั้งเล่มก็พบว่าเป็นสมุดเปล่าเล่มหนึ่ง ไม่มีหน้าใดที่มีการบันทึกอะไรไว้ ไม่มีการเขียนอะไร ไม่ว่าปากกาหรือดินสอ เป็นสมุดบันทึกเปล่าที่ดูสวยงามมาก
อะไรกัน...
เขาวางสมุดกลับลงไปในลิ้นชักว่างเปล่านั้นแต่ยังไม่ได้ปิดลิ้นชัก เขายืนมองสมุดนั้นด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะดันลิ้นชักเข้าไป
ก่อนจะออกจากที่นั่น เอลยังหันไปมองลิ้นชักนั้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกคาใจอย่างบอกไม่ถูก
สมุดเล่มนั้นคือกฏเหนือโลกรึ ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย...
เขาคิดจะเดินกลับไปเปิดลิ้นชักเพื่อดูสมุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็เปลี่ยนใจเดินออกไปจากบ้านหลังนั้นในที่สุด
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้กำลังจะถูกลืมหายไปจากความทรงจำของเขาในไม่ช้านี้ เขาได้บทเรียนว่าการจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้วสำหรับพวกเหนือมนุษย์ หนทางข้างหน้ายังมีสิ่งที่น่ากลัวรอเขาอยู่ ใครคือคนต่อไปที่เขาจะได้พบ แล้วคนๆนั้นจะเป็นศัตรูหรือมิตร หากกฎแห่งแรงดึงดูดของพลังมีจริง เขาจะพ้นจากการเผชิญหน้าด้วยวิธีใด
หลายครั้งที่เด็กหนุ่มผู้แปลกแยกนี้ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ใครคือผู้ขีดเขียนชะตากรรมของพวกเหนือมนุษย์อย่างเขา พระเจ้าหรือใครกันแน่นะ...ถ้าเป็นพระเจ้าเขาก็คงมีสองทางเลือก หนึ่งคือก้มหัวยอมรับ สองก่นด่ากับอยุติธรรมที่พระเจ้าหยิบยื่นให้
..................................................................................................................................
กฏเหนือโลก
ภูตินรกและปีศาจจากโลกปีศาจมิอาจอยู่บนโลกได้ หากมันพยายามเข้าสู่มิติโลก มันจะถูกเพลิงประลัยกัลป์เผาผลาญร่างจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
นี่คือกฏซึ่งมีไว้เพื่อควบคุมความสมดุลของโลกต่างมิติต่างๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ