เอล คนทะลุมิติ chapter 1
-
เขียนโดย pong43
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.
48 ตอน
0 วิจารณ์
56.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
19) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 19
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผู้บุกรุกทางจิต
“มนุษย์พวกหนึ่งซึ่งมีโครงสร้างทางร่างกายเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ แต่มีอำนาจจิตมหาศาลเกินกว่ามนุษย์เรียกตัวเองว่า พวกเหนือมนุษย์”
.............................................................................................................................................
หลายวันต่อมา
เวลาสิบโมงเช้า แสงแดดทอแสงสาดส่องเข้ามาในห้องเรียนซีแยงลูกตาเอลซึ่งกำลังนั่งทำข้อสอบอยู่จนต้องเอามือปิดหน้า ครูแฟรงค์เดินมาปิดม่านบังแดดให้
“ขอบคุณครับ” เอลเงยหน้าขอบคุณครูประจำชั้นผู้ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาอยู่เสมอ
“มีสมาธิหน่อยสิ”
“.....”
เอลจ้องหน้าครูแฟรงค์แต่ไม่พูดอะไร
“ไม่มีอะไรใช่มั้ย”
ครูแฟรงค์ดูออกว่าเอลใจลอยอยู่
“ใจลอยรึไง..รีบทำเร็วเข้าเดี๋ยวหมดเวลา”
พูดจบครูแฟรงค์ก็ตบไหล่เอลสองทีแล้วเดินจากไป
“ไม่มีอารมณ์...”
เอลบ่นขึ้นจนลองก์ที่นั่งข้างๆหันมามอง ก่อนกระซิบเบาๆ
“ทำข้อสอบไปเอล มีสมาธิเข้าไว้ ฉันจะได้ลอกบ้าง..”
เอลยังหวนคิดถึงเรื่องในวันนั้นไม่คลาย ปีศาจน่ากลัวมันคือตัวอะไรกันนะ ภูตินรกนะหรือ..ถ้ามันเล่นงานเขาจริงๆ เขาอาจแย่แน่ และถ้าเจอกันอีกครั้ง แค่เห็นเงาลางๆ คงต้องวิ่งหนีสุดชีวิตเป็นแน่ ต้องโกยแน่บ ไม่เผชิญหน้ากับมันอีกเด็ดขาด แล้วคนชุดคลุมสีแดงนั่นคือใครกัน มาช่วยเราไว้ทำไม.. มาช่วยหรือว่ามาพาเจ้านั่นกลับ...
เอลติดใจคนชุดคลุมแดงตลอดเวลา จู่ๆ บางสิ่งบางอย่างก็แทรกเข้ามาในจิตของเขา
“เฮ้ย..”
มันทะลุผ่านสมองไปอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงความคิดของใครคนหนึ่งที่ส่งผ่านเข้ามา
สัมผัสวิเศษของเอลเริ่มทำงานอีกแล้ว แต่มันมาผิดเวลาแท้ๆ
ใครกัน...
เอลมองไปที่ข้อสอบที่ยังทำไม่เสร็จบนโต๊ะ ก็รู้ได้ในทันทีว่า
ลอกข้อสอบ...
...ใครจะลอกข้อสอบเรา
เอลก้มหน้านิ่งปิดกั้นความคิดไว้ เพื่อไม่ให้คนนั้นอ่านใจได้ มันเป็นใคร.. อยู่ที่ไหน เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในสมองขณะที่พยายามแสกนหาว่าจิตนั้นมาจากที่ใดกันแน่...
ที่สุดเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนผู้นั้นอยู่ในห้องเรียนนี้นี่เอง
เจ้านั่นอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นจิตนั้นก็หายไป เขาสัมผัสมันไม่ได้อีก เขาคิดว่าจิตลึกลับล่วงรู้ว่ากำลังถูกแสกนหาตัวอยู่ จึงหยุดการกระทำนั้นทันที
มันรู้ตัวแล้ว... เอลหันมองไปทางซ้ายและขวาก็ไม่พบเห็นคนที่ต้องสงสัย ลองก์ที่นั่งข้างๆกลับกระซิบเบา
“มองหาใครเหรอ ขอลอกหน่อยสิเร็ว...ครูกำลังเผลอ” ลองก์พูดโดยไม่มองหน้าเอลแต่จับจ้องไปที่ร่างของครูแฟรงค์ที่หันหลังให้
“ไอ้บ้า...มองดูเองสิ...”
ลองก์ชะโงกหน้ามาดูกระดาษข้อสอบที่เอลแง้มให้ดู
เจ้าบ้านั่นคือใครกันนะ...
ครู่ต่อมาเมื่อเขาเผลอ จิตลึกลับนั้นก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เอลคิดว่ามันคือใครกันนะ สัมผัสถึงพลังอันน่ากลัวของมันไม่น่าจะใช่ปีศาจ เจ้านั่นต้องเป็นพวกเหนือมนุษย์แน่...
จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ห้องเพื่อดูว่าใครมีพิรุธ
“ลุกขึ้นทำไม” ครูแฟรงค์ตะโกนจนเขาสะดุ้ง เพื่อนๆต่างมองกันมาเป็นสายตาเดียวกัน “คิดลอกข้อสอบใครเหรอ นั่งลงเดี๋ยวนี้..ไม่งั้นก็ส่งข้อสอบเลย”
เอลยิ้มและนั่งลงทันที
“ขอโทษครับ” เอลใช้มือลูบท้ายทอยเบาแบบเขินๆ สัมผัสพลังนั้นหายไปตั้งแต่เสียงครูแฟรงค์ดังขึ้นแล้ว
ต้องเป็นใครในห้องนี้แน่ มันต้องการอะไรกัน คงไม่ใช่แค่ต้องการลอกข้อสอบหรอกนะ หรือว่า..มันคิดจะเล่นงานเรา ว้าวไม่น่าจะเป็นไปได้ เราเจอพวกเดียวกันแล้ว...
เขารู้สึกทั้งดีใจและตกใจ เขาสัมผัสพวกเดียวกันได้จริงๆหรือ หรือว่ามันเป็นแค่จิตของคนอื่นๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมเขาอ่านใจพวกล้องก์ไม่ได้สักคนเดียวล่ะ
เอลเหลียวหลังไปก็พบใครคนหนึ่งมองมาและอมยิ้ม
มาโคโตะ.. ไม่น่า.. เขามองผ่านร่างของมาโคโตะไปที่รีนเด็กหนุ่มร่างอ้วนอีกคนที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง หรือเจ้านั่น..
เขาตัดสินใจในบัดดลวางแผนการหนึ่ง เขาหยิบปากกาลูกลื่นและลงมือทำข้อสอบที่เหลือมั่วๆ สองสามข้อให้ผิด
“ขออนุญาตไปห้องน้ำครับ ผมท้องเสียครับ”
“นี่เอล อย่ามั่วนิ่มแอบเปิดหนังสือดูในห้องน้ำนะอย่าคิดว่าครูไม่รู้ทันนะ” ครูแฟรงค์สั่นศีรษะเอือมระอากับเอลเต็มทน ไม่ทันพูดอนุญาตเอลก็เดินออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ลองก์มองตามและสั่นศีรษะ
เจ้าบ้านั่นคิดทำอะไรอีกล่ะ เดี๋ยวต้องแอบดูข้อสอบของมันสักหน่อย...
เมื่อเดินเลยไปจากหน้าห้องจนถึงที่ลับตาคน เขาจึงเปิดพลังเข้าสู่โลกต่างมิติ และเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนเพื่อดูข้อสอบของสองคนนั้น แต่เขาก็พบว่าข้อสอบของทั้งมาโคโตะและรินไม่เหมือนกับของเขา
โดยเฉพาะข้อที่กาไปมั่วๆสองสามข้อนั้น เขาจึงเดินไปดูคนอื่นอีกสองสามคน ก็ไม่พบว่าใครทำผิดข้อที่เขากามั่วนั้น มีแต่เจ้าลองก์กับจังก์เพื่อนซี้ที่ทำผิดสองสามข้อนั้นเพราะแอบดูเมื่อครู่นี้
ลองก์..แกช่างหัวขี้เลื่อยเสียจริง
จนแล้วจนรอดเอลก็หาผู้บุกรุกที่ว่านั้นไม่พบ เขาเซ็งในอารมณ์ไม่พูดไม่จากับเพื่อนตลอดเวลาช่วงบ่าย
.................................................................................................................................................
ตอนเย็น
ที่หน้าบ้านเลขที่ 32 ถนนเบริ์ดโร้ด
ชายและหญิงสองคนอายุประมาณยี่สิบกว่ายืนอยู่ที่หน้าบ้านกดกริ่งประตูบ้าน และรอคนในบ้านมาเปิดประตู สักครู่ชายหนุ่มผู้หลงลืมเดินใจลอยมาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวหันมาเห็นเขาจึงร้องทัก
“นาห์ม คุณเป็นอะไรไปหรือ ไม่ไปทำงานตั้งหลายวันเป็นอะไรหรือค่ะ”
“......” ชายผู้หลงลืมยืนอึ้งอยู่กับที่
ใครกัน มาหาเราถึงบ้าน
ชายที่มากับหญิงสาวเดินมาจับแขนของเขา
“เห็นหน้าของเราสองคนเหมือนเห็นผีหรือไงนาห์ม”
“ผม...” ชายผู้หลงลืมพูดไม่ออกเพราะเขาจำชายหญิงคู่นี้ไม่ได้ เขาไม่รู้จักทั้งคู่ แต่ทั้งคู่รู้จักเขาซ้ำยังเรียกเขาว่านาห์ม..
“ผมเผิมอะไรกัน ทำไมหน้าซีดแบบนี้ คุณไม่สบายหรือเปล่า”
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า” หญิงสาวแสดงท่าเหมือนคนสนิทดึงแขนนาห์มเพื่อพาเข้าบ้าน
ชายผู้หลงลืมทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอคนที่รู้จักเขา เขารีบดึงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเปิดประตูบ้าน
................................................................................................................................................
หลังจากที่เข้ามานั่งในบ้าน ชายและหญิงนั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟาและพยายามชวนคุย แต่ชายผู้หลงลืมนั้นกลับไม่พูดไม่จาหน้าตาเคร่งเครียด
“ไม่เป็นไรครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ เลยไม่รู้จะพูดอะไรกับพวกคุณดี”
หญิงสาวเริ่มสงสัยในคำพูดของเขา เธอกำลังคิดว่าทำไมเป็นอย่างนี้
“พูดอะไรนะ”
“ผมไม่รู้จักพวกคุณ”
“นาห์ม คุณพูดอะไรของคุณ”
“คุณสองคนอาจจะช่วยรื้อฟื้นความจำของผมได้”
“เราเข้าใจนะนาห์ม ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะการหายตัวไปอย่างลึกลับของลุงแซม เราเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แซมเหมือนพ่อของคุณเมื่อเขาหายตัวไปคุณก็ควรทำใจให้ได้นะนาห์ม”
“ลุงของผม?”
“ก็ลุงแซมของคุณไง พูดเหมือนไม่รู้จักลุงแซม บ้านนี้ก็เป็นบ้านของเขา คุณไม่ได้ล้อเล่นพวกเรานะ” หญิงสาวส่งเสียงแปร๋นเพราะคิดว่าชายผู้หลงลืมล้อเล่น “พวกเรารักเขาทุกคน”
“ผมไม่ค่อยสบายครับ ผมอยากขอตัวพักผ่อนก่อนแล้วล่ะ” ชายผู้หลงลืมนอนเอนที่โซฟารับแขก ยิ่งทำให้ชายที่มาเยี่ยมรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนไล่ จึงมองหน้าหญิงสาวและพากันลุกขึ้นลากลับ
“พักผ่อนเถอะครับ ผมจะไปแจ้งหัวหน้าว่าคุณสบายดีขึ้นแล้ว”
“บอกเค้าด้วยว่าถ้าหายผมจะไปทำงานครับ” เขาพยายามจบการสนทนาเพื่อจะได้ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัววุ่นวายขึ้นไปอีก “ผมไม่ไปส่งนะ”
ชายหญิงทั้งสองเดินไปถึงประตู ชายหันมาถามอีกครั้ง
“คุณเป็นโรคอะไรหรือ..หรือว่าความจำเสื่อม...” ชายผู้มาเยี่ยมถามด้วยความสงสัย
“คงงั้นครับ” เขาตอบกลับไป เขาคิดว่าดีแล้วให้เขาคิดว่าเป็นความจำเสื่อมก็ดี
“ก็เพราะคุณจำพวกเราไม่ได้นี่คะ คุณเหมือนคนอื่นไปเลย” หญิงสาวเริ่มรู้สึกเช่นนั้น
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ผมแกล้งไปเองแหละ”
ชายและหญิงนั้นเกาศีรษะ นาห์มจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และมาส่งทั้งสองที่หน้าประตู
“ขอบคุณคุณสองคนมากนะ”
“นาห์ม ขอให้คุณหายไวๆนะคะ” หญิงสาวยกมือบ๊ายบายก่อนเดินกันไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน
นาห์มโบกมือและยืนถอนหายใจ
เราชื่อนาห์มหรือนี่ ยังไงเราก็รู้ชื่อของเราแล้ว ต่อไปเราคงจะจดจำเรื่องอื่นๆได้มากขึ้น
............................................................................................................
ช่วงเช้าก่อนเข้าชั้นเรียน
ที่สนามหญ้า ลองก์วิ่งมาหาเอลซึ่งนั่งอยู่ที่ม้าหิน และรีบเล่าเรื่องบางเรื่องให้เอลฟัง ที่สำคัญเรื่องนั้นเป็นเรื่องของเอล
“มีคนทาบรัศมีนายแล้ว”
“ทาบรัศมีหมายความว่ายังไง” เอลขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“มีคนทำคะแนนสอบได้เท่ากับนายเลย ยังไม่รู้หรือไง”
“มันเป็นใครอยู่ห้องไหน”
“มันชื่อชิลด์อยู่ข้างห้องเราเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาพร้อมกับแอนนาคนสวยยังไง มันทำคะแนนได้เท่าๆ กับนายเกือบทุกวิชาเลย”
เอลขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ลองก์เล่าต่อขณะที่จังก์เดินเข้ามา
“ฉันว่ามันต้องมีอะไรๆแน่นะเอล สองปีมานี้นายทำคะแนนนำโด่งจนไม่มีใครตามทันมาตลอดแล้วจู่ๆเจ้านั่นมัน...”
“ทำไมมันทำไม พวกนายแต่ละคนก็ต้องพยายามทำคะแนนให้ได้ดีไม่ใช่หวุดหวิดตกทุกครั้งไป” เอลสั่งสอนจนลองก์กับจังก์ก้มหน้างุด
เป็นมันนี่เองที่รบกวนจิตใจของเราตลอดเวลา...
“แย่ที่สุด”
เอลอุทานเสียงดัง และลุกเดินจากไป ทิ้งให้สองเพื่อนยืนงงอยู่ตรงนั้น
“เอลอย่าเพิ่งไปสิรอด้วย”
............................................................................................................................
“มนุษย์พวกหนึ่งซึ่งมีโครงสร้างทางร่างกายเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ แต่มีอำนาจจิตมหาศาลเกินกว่ามนุษย์เรียกตัวเองว่า พวกเหนือมนุษย์”
.............................................................................................................................................
หลายวันต่อมา
เวลาสิบโมงเช้า แสงแดดทอแสงสาดส่องเข้ามาในห้องเรียนซีแยงลูกตาเอลซึ่งกำลังนั่งทำข้อสอบอยู่จนต้องเอามือปิดหน้า ครูแฟรงค์เดินมาปิดม่านบังแดดให้
“ขอบคุณครับ” เอลเงยหน้าขอบคุณครูประจำชั้นผู้ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาอยู่เสมอ
“มีสมาธิหน่อยสิ”
“.....”
เอลจ้องหน้าครูแฟรงค์แต่ไม่พูดอะไร
“ไม่มีอะไรใช่มั้ย”
ครูแฟรงค์ดูออกว่าเอลใจลอยอยู่
“ใจลอยรึไง..รีบทำเร็วเข้าเดี๋ยวหมดเวลา”
พูดจบครูแฟรงค์ก็ตบไหล่เอลสองทีแล้วเดินจากไป
“ไม่มีอารมณ์...”
เอลบ่นขึ้นจนลองก์ที่นั่งข้างๆหันมามอง ก่อนกระซิบเบาๆ
“ทำข้อสอบไปเอล มีสมาธิเข้าไว้ ฉันจะได้ลอกบ้าง..”
เอลยังหวนคิดถึงเรื่องในวันนั้นไม่คลาย ปีศาจน่ากลัวมันคือตัวอะไรกันนะ ภูตินรกนะหรือ..ถ้ามันเล่นงานเขาจริงๆ เขาอาจแย่แน่ และถ้าเจอกันอีกครั้ง แค่เห็นเงาลางๆ คงต้องวิ่งหนีสุดชีวิตเป็นแน่ ต้องโกยแน่บ ไม่เผชิญหน้ากับมันอีกเด็ดขาด แล้วคนชุดคลุมสีแดงนั่นคือใครกัน มาช่วยเราไว้ทำไม.. มาช่วยหรือว่ามาพาเจ้านั่นกลับ...
เอลติดใจคนชุดคลุมแดงตลอดเวลา จู่ๆ บางสิ่งบางอย่างก็แทรกเข้ามาในจิตของเขา
“เฮ้ย..”
มันทะลุผ่านสมองไปอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงความคิดของใครคนหนึ่งที่ส่งผ่านเข้ามา
สัมผัสวิเศษของเอลเริ่มทำงานอีกแล้ว แต่มันมาผิดเวลาแท้ๆ
ใครกัน...
เอลมองไปที่ข้อสอบที่ยังทำไม่เสร็จบนโต๊ะ ก็รู้ได้ในทันทีว่า
ลอกข้อสอบ...
...ใครจะลอกข้อสอบเรา
เอลก้มหน้านิ่งปิดกั้นความคิดไว้ เพื่อไม่ให้คนนั้นอ่านใจได้ มันเป็นใคร.. อยู่ที่ไหน เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในสมองขณะที่พยายามแสกนหาว่าจิตนั้นมาจากที่ใดกันแน่...
ที่สุดเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนผู้นั้นอยู่ในห้องเรียนนี้นี่เอง
เจ้านั่นอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นจิตนั้นก็หายไป เขาสัมผัสมันไม่ได้อีก เขาคิดว่าจิตลึกลับล่วงรู้ว่ากำลังถูกแสกนหาตัวอยู่ จึงหยุดการกระทำนั้นทันที
มันรู้ตัวแล้ว... เอลหันมองไปทางซ้ายและขวาก็ไม่พบเห็นคนที่ต้องสงสัย ลองก์ที่นั่งข้างๆกลับกระซิบเบา
“มองหาใครเหรอ ขอลอกหน่อยสิเร็ว...ครูกำลังเผลอ” ลองก์พูดโดยไม่มองหน้าเอลแต่จับจ้องไปที่ร่างของครูแฟรงค์ที่หันหลังให้
“ไอ้บ้า...มองดูเองสิ...”
ลองก์ชะโงกหน้ามาดูกระดาษข้อสอบที่เอลแง้มให้ดู
เจ้าบ้านั่นคือใครกันนะ...
ครู่ต่อมาเมื่อเขาเผลอ จิตลึกลับนั้นก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เอลคิดว่ามันคือใครกันนะ สัมผัสถึงพลังอันน่ากลัวของมันไม่น่าจะใช่ปีศาจ เจ้านั่นต้องเป็นพวกเหนือมนุษย์แน่...
จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ห้องเพื่อดูว่าใครมีพิรุธ
“ลุกขึ้นทำไม” ครูแฟรงค์ตะโกนจนเขาสะดุ้ง เพื่อนๆต่างมองกันมาเป็นสายตาเดียวกัน “คิดลอกข้อสอบใครเหรอ นั่งลงเดี๋ยวนี้..ไม่งั้นก็ส่งข้อสอบเลย”
เอลยิ้มและนั่งลงทันที
“ขอโทษครับ” เอลใช้มือลูบท้ายทอยเบาแบบเขินๆ สัมผัสพลังนั้นหายไปตั้งแต่เสียงครูแฟรงค์ดังขึ้นแล้ว
ต้องเป็นใครในห้องนี้แน่ มันต้องการอะไรกัน คงไม่ใช่แค่ต้องการลอกข้อสอบหรอกนะ หรือว่า..มันคิดจะเล่นงานเรา ว้าวไม่น่าจะเป็นไปได้ เราเจอพวกเดียวกันแล้ว...
เขารู้สึกทั้งดีใจและตกใจ เขาสัมผัสพวกเดียวกันได้จริงๆหรือ หรือว่ามันเป็นแค่จิตของคนอื่นๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมเขาอ่านใจพวกล้องก์ไม่ได้สักคนเดียวล่ะ
เอลเหลียวหลังไปก็พบใครคนหนึ่งมองมาและอมยิ้ม
มาโคโตะ.. ไม่น่า.. เขามองผ่านร่างของมาโคโตะไปที่รีนเด็กหนุ่มร่างอ้วนอีกคนที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง หรือเจ้านั่น..
เขาตัดสินใจในบัดดลวางแผนการหนึ่ง เขาหยิบปากกาลูกลื่นและลงมือทำข้อสอบที่เหลือมั่วๆ สองสามข้อให้ผิด
“ขออนุญาตไปห้องน้ำครับ ผมท้องเสียครับ”
“นี่เอล อย่ามั่วนิ่มแอบเปิดหนังสือดูในห้องน้ำนะอย่าคิดว่าครูไม่รู้ทันนะ” ครูแฟรงค์สั่นศีรษะเอือมระอากับเอลเต็มทน ไม่ทันพูดอนุญาตเอลก็เดินออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ลองก์มองตามและสั่นศีรษะ
เจ้าบ้านั่นคิดทำอะไรอีกล่ะ เดี๋ยวต้องแอบดูข้อสอบของมันสักหน่อย...
เมื่อเดินเลยไปจากหน้าห้องจนถึงที่ลับตาคน เขาจึงเปิดพลังเข้าสู่โลกต่างมิติ และเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนเพื่อดูข้อสอบของสองคนนั้น แต่เขาก็พบว่าข้อสอบของทั้งมาโคโตะและรินไม่เหมือนกับของเขา
โดยเฉพาะข้อที่กาไปมั่วๆสองสามข้อนั้น เขาจึงเดินไปดูคนอื่นอีกสองสามคน ก็ไม่พบว่าใครทำผิดข้อที่เขากามั่วนั้น มีแต่เจ้าลองก์กับจังก์เพื่อนซี้ที่ทำผิดสองสามข้อนั้นเพราะแอบดูเมื่อครู่นี้
ลองก์..แกช่างหัวขี้เลื่อยเสียจริง
จนแล้วจนรอดเอลก็หาผู้บุกรุกที่ว่านั้นไม่พบ เขาเซ็งในอารมณ์ไม่พูดไม่จากับเพื่อนตลอดเวลาช่วงบ่าย
.................................................................................................................................................
ตอนเย็น
ที่หน้าบ้านเลขที่ 32 ถนนเบริ์ดโร้ด
ชายและหญิงสองคนอายุประมาณยี่สิบกว่ายืนอยู่ที่หน้าบ้านกดกริ่งประตูบ้าน และรอคนในบ้านมาเปิดประตู สักครู่ชายหนุ่มผู้หลงลืมเดินใจลอยมาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวหันมาเห็นเขาจึงร้องทัก
“นาห์ม คุณเป็นอะไรไปหรือ ไม่ไปทำงานตั้งหลายวันเป็นอะไรหรือค่ะ”
“......” ชายผู้หลงลืมยืนอึ้งอยู่กับที่
ใครกัน มาหาเราถึงบ้าน
ชายที่มากับหญิงสาวเดินมาจับแขนของเขา
“เห็นหน้าของเราสองคนเหมือนเห็นผีหรือไงนาห์ม”
“ผม...” ชายผู้หลงลืมพูดไม่ออกเพราะเขาจำชายหญิงคู่นี้ไม่ได้ เขาไม่รู้จักทั้งคู่ แต่ทั้งคู่รู้จักเขาซ้ำยังเรียกเขาว่านาห์ม..
“ผมเผิมอะไรกัน ทำไมหน้าซีดแบบนี้ คุณไม่สบายหรือเปล่า”
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า” หญิงสาวแสดงท่าเหมือนคนสนิทดึงแขนนาห์มเพื่อพาเข้าบ้าน
ชายผู้หลงลืมทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอคนที่รู้จักเขา เขารีบดึงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเปิดประตูบ้าน
................................................................................................................................................
หลังจากที่เข้ามานั่งในบ้าน ชายและหญิงนั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟาและพยายามชวนคุย แต่ชายผู้หลงลืมนั้นกลับไม่พูดไม่จาหน้าตาเคร่งเครียด
“ไม่เป็นไรครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ เลยไม่รู้จะพูดอะไรกับพวกคุณดี”
หญิงสาวเริ่มสงสัยในคำพูดของเขา เธอกำลังคิดว่าทำไมเป็นอย่างนี้
“พูดอะไรนะ”
“ผมไม่รู้จักพวกคุณ”
“นาห์ม คุณพูดอะไรของคุณ”
“คุณสองคนอาจจะช่วยรื้อฟื้นความจำของผมได้”
“เราเข้าใจนะนาห์ม ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะการหายตัวไปอย่างลึกลับของลุงแซม เราเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แซมเหมือนพ่อของคุณเมื่อเขาหายตัวไปคุณก็ควรทำใจให้ได้นะนาห์ม”
“ลุงของผม?”
“ก็ลุงแซมของคุณไง พูดเหมือนไม่รู้จักลุงแซม บ้านนี้ก็เป็นบ้านของเขา คุณไม่ได้ล้อเล่นพวกเรานะ” หญิงสาวส่งเสียงแปร๋นเพราะคิดว่าชายผู้หลงลืมล้อเล่น “พวกเรารักเขาทุกคน”
“ผมไม่ค่อยสบายครับ ผมอยากขอตัวพักผ่อนก่อนแล้วล่ะ” ชายผู้หลงลืมนอนเอนที่โซฟารับแขก ยิ่งทำให้ชายที่มาเยี่ยมรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนไล่ จึงมองหน้าหญิงสาวและพากันลุกขึ้นลากลับ
“พักผ่อนเถอะครับ ผมจะไปแจ้งหัวหน้าว่าคุณสบายดีขึ้นแล้ว”
“บอกเค้าด้วยว่าถ้าหายผมจะไปทำงานครับ” เขาพยายามจบการสนทนาเพื่อจะได้ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัววุ่นวายขึ้นไปอีก “ผมไม่ไปส่งนะ”
ชายหญิงทั้งสองเดินไปถึงประตู ชายหันมาถามอีกครั้ง
“คุณเป็นโรคอะไรหรือ..หรือว่าความจำเสื่อม...” ชายผู้มาเยี่ยมถามด้วยความสงสัย
“คงงั้นครับ” เขาตอบกลับไป เขาคิดว่าดีแล้วให้เขาคิดว่าเป็นความจำเสื่อมก็ดี
“ก็เพราะคุณจำพวกเราไม่ได้นี่คะ คุณเหมือนคนอื่นไปเลย” หญิงสาวเริ่มรู้สึกเช่นนั้น
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ผมแกล้งไปเองแหละ”
ชายและหญิงนั้นเกาศีรษะ นาห์มจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และมาส่งทั้งสองที่หน้าประตู
“ขอบคุณคุณสองคนมากนะ”
“นาห์ม ขอให้คุณหายไวๆนะคะ” หญิงสาวยกมือบ๊ายบายก่อนเดินกันไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน
นาห์มโบกมือและยืนถอนหายใจ
เราชื่อนาห์มหรือนี่ ยังไงเราก็รู้ชื่อของเราแล้ว ต่อไปเราคงจะจดจำเรื่องอื่นๆได้มากขึ้น
............................................................................................................
ช่วงเช้าก่อนเข้าชั้นเรียน
ที่สนามหญ้า ลองก์วิ่งมาหาเอลซึ่งนั่งอยู่ที่ม้าหิน และรีบเล่าเรื่องบางเรื่องให้เอลฟัง ที่สำคัญเรื่องนั้นเป็นเรื่องของเอล
“มีคนทาบรัศมีนายแล้ว”
“ทาบรัศมีหมายความว่ายังไง” เอลขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“มีคนทำคะแนนสอบได้เท่ากับนายเลย ยังไม่รู้หรือไง”
“มันเป็นใครอยู่ห้องไหน”
“มันชื่อชิลด์อยู่ข้างห้องเราเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาพร้อมกับแอนนาคนสวยยังไง มันทำคะแนนได้เท่าๆ กับนายเกือบทุกวิชาเลย”
เอลขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ลองก์เล่าต่อขณะที่จังก์เดินเข้ามา
“ฉันว่ามันต้องมีอะไรๆแน่นะเอล สองปีมานี้นายทำคะแนนนำโด่งจนไม่มีใครตามทันมาตลอดแล้วจู่ๆเจ้านั่นมัน...”
“ทำไมมันทำไม พวกนายแต่ละคนก็ต้องพยายามทำคะแนนให้ได้ดีไม่ใช่หวุดหวิดตกทุกครั้งไป” เอลสั่งสอนจนลองก์กับจังก์ก้มหน้างุด
เป็นมันนี่เองที่รบกวนจิตใจของเราตลอดเวลา...
“แย่ที่สุด”
เอลอุทานเสียงดัง และลุกเดินจากไป ทิ้งให้สองเพื่อนยืนงงอยู่ตรงนั้น
“เอลอย่าเพิ่งไปสิรอด้วย”
............................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ