ปฎิบัติการรัก จักรกลทะยานฟ้า : ภาค จิตวิญญาณแห่งนกไฟ

9.4

วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.46 น.

  6 Chapter
  34 วิจารณ์
  18.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556 19.07 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

2) ชีวิตในสถาบันโรงเรียน IS กับศาสน์ท้าดวลจากแดนผู้ดี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           ...ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่...
           ...สถานที่ ที่เราต้องอยู่นับจากนี้...
           ...ไม่ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ต่อให้ลำบากแค่ไหน...
           ...ชั้นก็คือผู้โบยบินบนท้องฟ้าที่พร้อมเจออนาคตยังไงล่ะ...



           กลางตะวันคล้อยใกล้ตกดินที่เงียบสงบ ดวงตะวันสะท้อนแสงกลางลำน้ำ รถกระเช้าเคเบิลที่เคลื่อนตัวไปเอื่อยๆ ตามรางแขวนที่เส้นทางมันเชื่อมต่อเกาะ เกาะหนึ่ง ไม่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากนัก แต่เกาะนี้ถือเป็นเกาะขนาดเล็ก มีสิ่งก่อสร้างอาคารที่ทันสมัยมากๆ คล้ายกับว่าที่นั้นเหมือนเป็นดินแดนที่ดูหรูหราต่างจากแผ่นดินใหญ่นิดหน่อย ข้างในกระเช้ามีคน3คนที่นั่งคุยกันอยู่



           "ยินดีต้อนรับสู่สถาบัน IS ของญี่ปุ่น" สาวชุดสูทนั่งไขว้ห้างกอดอกด้วยท่าทางที่มาดมั่น บนรถกระเช้าเคเบิล ที่เชื่อมโยงมาที่เกาะ เกาะหนึ่ง


           "เริ่มพรุ่งนี้เลยสินะ"ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวปกติที่นั่งมองอีกฝ่ายเงียบๆ พลางมองจี้สร้องคอรูปเปลวไฟสีดำที่สวมอยู่บนคอตัวเอง


           "ใช่...และเพื่อที่จะให้เรียนตามคนอื่นทันเพราะนายเข้ามาระหว่างภาคเรียน จงอ่านให้หมดและจดจำมันให้ได้" หญิงสาวยื่นหนังสือเล่มหนาๆจำนวนสามเล่มให้เขา


           "แล้วเรื่องชุด และห้องล่ะ ?" เขารับหนังสือมา


           "ทางนี้ได้จัดห้องไว้ให้แล้ว มีที่ว่างอยู่ห้องหนึ่ง ฉันจะให้นายอยู่กับหมอนั้นด้วยเพราะเจ้านั้นอยู่คนเดียวและตอนนี้คิดว่านายน่าจะเป็นรูมเมดที่ดีได้


           "หมายถึงน้องชายคุณจิฟุยุ ?"


           "ใช่....อยู่กับเจ้านั้น ภายในเวลา3วัน ก่อนที่ฉันจะจับหมอนั้นเปลี่ยนรูมเมด"


           "ไม่เข้าใจ ?"

           ลอร่าที่นั่งข้างๆจิฟุยุ ซึ่งนั่งฟังเงียบๆมานานแล้ว ได้กล่าวสรุปโดยง่ายให้เข้าใจ
 
           "ฉันจะเป็นรูมเมทของอิจิกะหลังจากนี้3วัน...."เธอพูดเสียงเรียบๆ แถมตรงไปเสียงด้วย แต่เหมือนน้ำเสียงจะแฝงความนัยอะไรบางอย่าง


           "สรุป...ฉันจะได้รูมเมทที่เหมาะสมในอีก3วัน จากที่พวกคุณดำหนดให้" เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ


           "จะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่คืนนี้นายพักห้องที่ฉันเตรียมไว้ให้ก่อน เพราะจะต้องแจ้งเรื่องให้เรียบร้อย จะได้ไม่มีปัญหา หลังจากนั้นพรุ่งนี้ก็เข้าเรียนตามปกติ และรับกุญแจห้อง มีอะไรสงสัยถามฉันหรือลอร่าได้ ตกลงตามนี้นะ อัคคี"



           อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ ก่อนมองวิวภาพท้องทะเลที่สุดลูกหูลูกตาก่อนรถกระเช้าจะถึงตัวเกาะ ยังอีกยาวไกลที่กว่าจะถึงเช้า การเดินทางจากประเทศไทยถึงสถานที่ที่เขาต้องอยู่ บ้านใหม่ของเขา เริ่มต้นจากวันนี้    

 

 http://www.keedkean.com


           ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่จากขอบฟ้า สัญญาณของวันใหม่ ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบสวมชุดยูนิฟอร์มอย่างรีบเร่งภายในห้องตัวเอซึ่งเป็นหอพักนักเรียนที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีและอาจจะดูดีกว่าห้องทั่วๆไปเสียด้วยซ้ำ แต่งตัวเสร็จจึงรีบออกมาจากห้องทันที



           ขณะที่เขารีบเร่งนั้นเขาได้สวนกับชายหนุ่มอีกคนผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาที่ดูแข็งกร้าวและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน รูปหน้าสัญฐานบอกถึงว่าเป็นคนเอเชีย สวมชุดเสื้อยืดและกางเกงสีดำแบบชุดปฎิบัติการแขนสั้นและขาสั้นสามส่วนรัดรูป การเดินของเขาช่างดูเรียบง่าย แต่กลับมีความรู้สึกที่ดูลึกลับแปลกๆออกมาจากภายในตัวชายผู้นี้ ที่เต็มไปด้วยเหงื่อไหลอาบต้นคอ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งกลับมาจากการทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง



           เขาตกใจอยู่เล็กน้อยเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนเลยจึงได้เอ่ยปากถามเขาโดยไม่รู้ตัว



           "เอ๋ ? นายเป็นใครกันน่ะ ชั้นไม่เคยเห็นหน้าเลย"ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอมดำได้ถามขึ้น


           "ฉันเหรอ ?...."เขาหยุดนิ่งรับฟังโดยไม่ได้หันมาตามเสียง ค่อยๆเงยหน้ามองเพดานขึ้นช้าๆแล้วพูดต่อว่า"ฉันคือผู้ที่โบยบินบนท้องฟ้าพร้อมเปลวไฟ เพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสรรพสิ่งยังไงล่ะ"น้ำเสียงที่ดูมั่นใจของเขาซึ่งดูเหมือนจะมากเกินไปจนเขาขั้นที่เรียกว่า หลงตัวเองได้กล่าวเช่นนี้ แล้วก็เดินสวนไปโดยไม่ได้พูดต่อ


           "แปลกคนแฮะ....แล้วผู้ชายคนนี้อยู่ๆมาโรงเรียนแห่งนี้ได้อย่างไรกันนะ ?....เหว๋อ !? ต้องรีบแล้ว" เขาไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นแล้วนอกจากรีบไปเพราะใกล้ถึงชั่วโมงเรียนแล้ว



            เช้าวันใหม่ที่ดูเหมือนสดใส บรรยายกาศที่เริ่มมีคนเริ่มทยอยกันเข้ามาในโรงเรียน IS และซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นนักเรียนผู้หญิง เพราะตอนนี้ก็ใกล้ช่วงเวลาที่จะถึงชั่วโมงคาบเรียนแล้ว



             โรงเรียน IS เป็นโรงเรียนที่สอนการขับและบังคับชุดเกระาจักรกลและเป็นโรงเรียนประจำด้วย IS โดยเฉพาะ ซึ่งตอนนี้เป็นโรงเรียน IS แห่งเดียวในโลกที่ญี่ปุ่นและกำลังเปิดสอนในที่ เยอรมันเป็นสาขาที่สองและอเมริกาเป็นสาขาที่สามในอนาคตอันใกล้ ซึ่งแน่นอนว่าที่แห่งนี้เป็นโรงเรียนที่มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น นั้นเป็นเพราะ หุ่น IS ถูกออกแบบให้กับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นโรงเรียนหญิงล้วน เพราะว่าบุรุพที่ขับIS คนแรกของโลกได้อยู่ที่นี่ณ.ที่แห่งนี้



             ทุกสายตาจับจ้องมาที่เป้าหมายเดียวกันที่กำลังเดินเข้ามาตรงนี้ และกำลังมุ่งหน้าเข้าโรงเรียน เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี...เพราะว่าเป็นคนเดียวในโลกเรียนที่เกือบทั้งหมดต้องจดจำ



"สวัสดีนะ อิจิกะ"


"อรุณสวัสดิ์ อิจิกะ"



             เสียงทักทายของเหล่าหญิงเด็กสาวได้เอ่ยขึ้นกับบุรุพในชุดยูนิฟอร์มที่กำลังเดินเข้ามาแบบท่าทางเฉื่อยฉาของเขา



             "อรุณสวัสดิ์...." เขายกมือทักทายตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูเพลียๆ



             โอริมุระ อิจิกะ เด็กหนุ่มนักเรียน IS เป็นผู้ที่สามารถใช้ชุดเกราะจักรกล ISได้เป็นคนแรกของโลกใบนี้ จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นตำนานและเป็นจุดสนใจในหมู่สาวๆ(ของที่นี่) ก็เพราะเขาเป็นผู้ชายคนเดียวในที่นี่ 



             เขาเข้าโรงเรียนตามปกติ และก็ทักทายเพื่อนๆกับเขาทุกคนในระหว่างทาง ซึ่งนึกถึงสมัยก่อนที่เขาไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตผู้ชายคนเดียว แต่ตอนนี้เขาปรับตัวและชินกับมันไปเสียแล้ว หลายคนมองอาจจะเป็นสวรรค์ แต่สำหรับเขา มันช่างอึดอัดเหลือเกินไม่ว่าตอนนี้ หรือตอนไหน...เขาเคยคิดว่า น่าจะมีเพื่อนร่วมชั้นหรือเพื่อนในโรงเรียนที่เป็นผู้ชายสักคนก็ได้



             "อิจิกะ ! " ระหว่างทางที่กำลังเดินขึ้นไปห้องเรียน ก็มีเสียงฝ่ามือที่ตบหลังเน้นๆ จากด้านหลังของเขาลงประทับจนเกิดเสียง


             "โอ๊ย !!?" ชายหนุ่มหันควับไปมอง


             "ท่าทางเอื่อยเฉื่อยเศร้าสร้อยของนายนี่มันอะไรกัน !?"


             "โฮกิเองเหรอ ?"



             เจ้าของฝ่ามือนี่คือเพื่อนสมัยเด็กคนแรกของอิจิกะ เธอคือ ชิโนโนโนะ โฮกิ เธอใส่ชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนผูกผมไว้หางม้า แสดงท่าทางที่ราวกับเป็น 'ผู้ปกครอง' ของเขา แต่นิสัยเธอก็เป็นแบบไหนแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะว่า อิจิกะนั้นเป็นเพื่อนที่สนิทตั้งแต่วัยเด็กสำหรับเธอ ก็อดห่วงไม่ได้แต่การแสดงการกระทำนั้นค่อนข้างขัดแย้งกับความรู้สึกตัวเองไปสักนิด

 

http://www.keedkean.com


             "อิจิกะ นายได้ยินข่าวหรือเปล่าว่ามีนักเรียนใหม่เข้ามาอีกร่วมห้องหนึ่งเราแล้วน่ะ"หญิงสาวเอ่ยชวนคุยกันระหว่างเดินขึ้นห้องเรียน


             "เอ๋ ? งั้นเหรอ ?"


             "ชั้นได้ยินมาอย่างนั้น เป็นนักเรียนใหม่มาจากประเทศไทยน่ะ"


             "แล้วคนนั้นจะเป็นใครกันนะ ?"


             "จริงๆชั้นก็ไมไ่ด้อยากสนใจอะไรนักหรอก แต่มีข่าวลือว่าเป็นผู้ชายน่ะ"


             "แสดงว่าก็มีผู้ชายที่ใช้ IS เหมือนชั้นด้วยสิ ชักอยากรู้แล้วล่ะ"



             อิจิกะฉุดคิดแวบขึ้นมาในสมองขึ้นมาได้ ตอนที่ออกจากห้องแล้วเดินสวนกับชายผมน้ำตาลเข้มคนหนึ่ง ไม่แน่อาจจะเป็นเขาก็เป็นได้

             "หรืออาจจะเป็นเจ้านั้น"


             "นายรู้จักด้วยเหรอ อิจิกะ !?"


             "ไม่หรอกแต่คิดว่าน่าจะเป็นคนที่เดินสวนห้องอาคารหอพักตอนที่กำลังออกมาน่ะ"


             "เอาเป็นว่าขึ้นห้องเดี๋ยวก็ได้รู้กัน เร็วเข้า อย่าอืดอาดแบบนี้นะ !"โฮกิใช้ฝ่ามือตบหลังอิจิกะอย่างแรงราวกับว่าเป็นการกระตุ้นให้เขาตื่นขึ้นอีกครั้งหรือด้วยความที่เกิดอยากจะกระทำอย่างไรก็ไม่รู้ได้


             "โอ๊ย ! รู้แล้วล่ะน่า"เขาโดนตบหลังอีกครั้ง แม้จะดูเหมือนรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่แต่ทำอย่างไรได้ เลยรีบขึ้นห้องเรียน



             ห้องนักเรียนนี้จะแบ่งออกเป็นสี่ห้อง และห้องที่หนึ่งนั้นก็มีจำนวนนักเรียนมากที่สุดและนักเรียนใหม่ก็ได้มาอยู่ห้องนี้เสียส่วนใหญ่ด้วย



             ภายในห้องค่อนข้างทันสมัยตามเทคโนโลยีที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนถึงขีดสุดในปัจจุบัน แต่การที่ได้มาเรียนที่นี่ ถือว่าต้องเก่งจริงๆเท่านั้นถึงจะมาสอบเข้าเรียนที่นี่ได้



             อิจิกะและโฮกิรีบเปิดประตูห้องเรียนของทั้งสองเข้าไป แต่ดูเหมือนว่าจะ้ช้าไปนิดหน่อย



             "มาสายนะคะ ทั้งสองคน" อาจารย์ผมสีเขียวสั้นแก่สวมแว่นมีกรอบ สวมชุดกระโปรงสีเหลือง ยืนยิ้มให้ทั้งสองคนที่เข้ามาด้วยท่าทางที่อ่อนโยนและสุภาพ เธอเป็นอาจารย์รองประจำห้องที่นี่ ยามาดะ มายะ "ถ้าอาจารย์จิฟุยุอยู่ล่ะก็คงโดนทำโทษแน่ๆเลย...รีบเข้ามานั่งประจำที่เลยค่ะ"


             "ขอโทษด้วยครับ อาจารย์มายะ"


             "ขอโทษค่ะ"



             ทั่งคู่รีบไปนั่งประจำที่ของตัวเอง



             นั่งเรียนทั้งหมดนั่งเป็นแถวโต๊ะเดียวเป็นระเบียบโดยอิจิกะนั่งตรงกลางข้างหน้าสุด อิจิกะสำรวจมองรอบๆก็เห็นโต๊ะริมหน้าต่างว่างอยู่ที่หนึ่งใกล้กับที่นั่งของเพื่อร่วมห้องหอหรือที่เรียกว่า รูมเมด ของเขา ซึ่งรูมเมดหญิงสาวผมทองมัดผมแบบผูกโบว์สีม่วงอ่อนๆไว้ข้างหลัง ก็หันมามองที่อิจิกะแล้วสบตานัยนตาสีม่วง ส่งยิ้มบางๆไปให้เขา



             "เอาล่ะค่ะทุกคน วันนี้อาจารย์ จิฟุยุติดธุระเลยไม่ได้มาสอนในวันนี้ และก็มีนักเรียนใหม่เข้ามาในห้องเราด้วย"



             ทุกคนได้ยินดันนั้นจึงหันควับมาตรงที่โต๊ะอาจารย์ทันที



             หลายคนต่างคิดไปต่างๆนาๆว่า นักเรียนคนใหม่จะเป็นแบบไหนกันนะ แต่สำหรับอิจิกะนั้นเขาเชื่อว่า ต้องเป็นคนที่เห็นเดินสวนกับเขาในอาคารหอพักเป็นแน่



             "เอาล่ะค่ะทุกคน อาจารย์ก็อยากจะให้รู้จักกันเอาไว้นะ...เชิญเลยค่ะ" อาจารย์มายะ ได้เรียกคน คนหนึ่งที่ซึ่งได้รออยู่หน้าห้องไม่นานนี้ เมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์สาวก็ค่อยๆเปิดห้องเข้าไปช้าๆ



              เป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม รูปพรรณแบบคนเอเชีย นัยน์ตาเรียวที่ดูแข็งกร้าว เข้มแข็งแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนในขณเดียวกัน สวมชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนี้สำหรับผู้ชาย ดูสูงราวประมาณ 175 ซม. ใกล้เคียงกับอิจิกะ และจุดสำคัญของเขาก็คือ เขาสวมจี้ซึ่งเป็นรูปเปลวไฟสีดำเล็กๆสวมเอาไว้อยู่



              ทุกคนทั้งห้องได้เห็นก็ึงกับร้องกรี๊ดกร๊าดขึ้นมาทันที เพราะก่อนหน้านั้นข่าวลือที่ว่ามีผู้ชายคนที่2ของโลกที่ขับ IS ได้มาที่นี่ก็เป็นความจริง โดยเฉพาะ อิจิกะที่นั่งหน้าสุดตรงนี้



              (หมอนี่จริงๆด้วย) อิจิกะพยายามเก็บอารมณ์ตัวเองเอาไว้ แล้วเพ่งมองไปที่เด็กใหม่ข้างหน้านี้



              "นักเรียนคะ เงียบก่อน ให้เขาแนะนำตัวกันสักนิดก่อนนะ เชิญเลยจ่ะ นักเรียนใหม่" อาจารย์มายะพูดกับชายหนุ่มนักเรียนใหม่ปล่อยให้เขาแนะนำตัวกับเพื่อนๆ



              แต่จู่ๆเขากลับเคยๆเงยมองไปที่ไฟฟ้าบนเพดาน ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ สักพักเขาก็เอ่ยคำพูดออกมา



              "ท้องฟ้ากำลังพูดกับฉันว่า...ฉันคือสิ่งที่ทั้งหมดจะต้องจดจำ ผู้ที่โบยบินบนท้องฟ้าพร้อมเปลวไฟ เพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสรรพสิ่ง...อัคคี เพลิงศาสตรา ตัวแทนจากประเทศไทย"หลังการทักทายแนะนำตัวสุดโอเวอร์ของอัคคีจบ ทุกคนต่างพาอึ้งนั่งเงียบไปตามๆกัน แม้กระทั้งอาจารย์เองก็ยืนยิ้มข้างๆเหมือนจะไม่รู้ว่าจะควรพูดว่าอะไรดี



              (หมอนี่....ประโยคเหมือนที่เคยพูดกับชั้นในตอนนั้นเลยนิ ทำรู้สึกหมั่นไส้แปลกๆ) อิจิกะเพ่งมองไปที่เขา เหมือนราวกับว่า ทั้งสนใจในตัวนักเรียนใหม่และรู้สึกหมั่นไส้ในขณะเดียวกันด้วย



              "ฉันจะเป็นผู้ที่จะยืนบนจุดสูงสุดให้ได้ ขอฝากตัวด้วยนะ"ชายหนุ่มเด็กใหม่ประนมมือแล้วก้มหัวลงไหว้ ซึ่งการทำของเขาเป็นการทักทายจากบ้านเกิดของเขาซึ่งเรียกว่าการ'ไหว้'ต่อหน้าเพื่อนๆทุกคนในห้อง น้ำเสียงนั้นถึงจะดูเรียบๆไปสักนิดอาจจะเกร็งหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะไม่แสดงอาการประหม่าเลย



               แต่การไหว้ของคนไทยนั้นถือว่ามีเสหน่ส์ที่สุดแล้ว บ่งบอกถึงชาติกำเนิดได้ นักเรียนหญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังก็แอบพูดคุยกระซิบกันเหมือนกำลังประเมินคนใหม่ที่เข้ามานี้อยู่เป็นแน่



               "เอ่อ...เพลิง...ศา...ตาระ"อาจารย์มายะพยายามจะเรียกนามสกุลของเขาแต่เหมือนว่าชื่อภาษาไทยอาจจะอ่านยากไปสักนิดสำหรับที่นี่


               "เรียกชื่อจริงก็ได้ครับ"เขาหันไปตอบกลับทางอาจารย์มายะเรียบๆ


               "ก็ได้ค่ะ อัคคีคุง ที่นั่งของเธออยู่ตรงริมหน้าต่างข้างหน้าที่นั่งของดูนัวส์ได้เลย"ชื่อของชายหนุ่มนั้นเหมือนว่าอาจารย์ผู้ที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้นี้เหมือนจะอยากเรียกชื่อง่ายๆเสียมากกว่า เธอชี้ที่นั่งให้ตรงที่ว่างอยู่ซึ่งติดอยู่ริมหน้าต่างทางขวามือ และที่นั่งด้านหลังก็มีหญิงสาวผมสีทองกับนัยน์ตาสีม่วงอ่อนนั่งอยู่


               "ดูนัวส์ ?"


               "เอ๋ ? รู้จักกันเหรอคะ อัคคีคุง ?"



               เขาได้ยินชื่อดูนัวส์เท่านั้นข้างในที่อกข้างซ้ายก็เหมือนรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ ภายในหัวของเขาฉายภาพในอดีตขึ้นมา



               อัคคีตกอยู่ในภวังค์ของห้วงอดีตตัวเอง ร่างกายที่ยืนแข็งทื่อจนประสาทกับรับรู้ถูกปิดกั้น ภาพที่มองเห็นเหมือนเขากำลังมองเห็นอดีตตัวเองที่น่าเศร้า สิ่งที่เห็นนั้นมีเพียงฉากสีเลือด ความตายตรงหน้า และชุดหุ่น IS สีส้มนั้น

               "อัคคีคุงคะ ?"อาจารย์สาว เห็นท่าทางที่ยืนแข็งทื่อแถมจับจ้องไปที่หญิงสาวตาสีม่วงอ่อนนั้นนานเกินไป เลยจับไหล่ของเขาเบาๆ


               "!!?" ทันทีที่ฝ่ามือของอาจารย์สัมผัสบนไหล่ สติของเขาถูกกระชากกลับออกมาทันทีพร้อมกับปฎิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองเร็วเกินไปเขาตกใจสะดุ้งถอยหลังอย่างรวดเร็วจนหลังเท้าขัดกับขาแข้งอีกข้างของตัวเองล้มลงไปทั้งตัว



               นักเรียนทั้งหลายต่างกันลุกยืนพรืดมองอีกฝ่ายที่ล้มลงไปหน้าหงายหลังกระแทกพื้นแข็งๆอย่างจัง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังทั่วห้องของนักเรียนหญิงทั้งหมด จะมียกเว้นแต่อิจิกะที่ยืนมองแล้วไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะดีหรือเปล่ากับอาจารย์มายะที่ทำท่าประหม่าออกมาให้เห็น ซึ่งเป็นนิสัยเสียของเธอ แต่ถึงอย่างนั้น การแอคท่าของอัคคีที่ดูน่าหมั่นไส้ หายไปอย่างสิ้นเชิง



               "หว๋าๆๆ ไม่เป็นไรนะคะ !?"เธอลุกลี้ลุกลนเห็นอีกฝ่ายล้ม


               "ไม่เป็นไรครับ"เขาค่อยๆลุกขึ้นแล้วข่มตาตัวเองเหมือนพยายามสะกดกลั้นความอายเอาไว้ แต่ก็กลั้นไม่อยู่



               ถึงจะดูเหมือนจะข่มสีหน้าตัวเองด้วยการข่มตาตัวเองแต่เมื่อความอายพุ่งขึ้นเผยเห็นสีหน้าที่แดงระเรืออ่อนๆให้เห็น สถานะการณ์แบบนี้ถึงจะทำดูนิ่งๆแค่ไหนถ้าไม่ใช่คนเย็นชาโดยสุดขั่วแล้วคงไม่แสดงอการเขินอายเล็กๆแบบนี้



               อัคคีไม่พูดอะไรแล้วเดินเข้าไปนั่งทันที พร้อมกับทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาด้วย เป็นธรรมดาของเด็กผู้หญิงเกือบทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนที่มีแต่ผุ้หญิงแล้วจู่ๆก็มีผู้ชาย2คนเข้ามาอยู่ในโรงเรียนด้วย มันเป็นอะไรที่แปลกมากหรือจะให้เรียกภาษาปากว่า 'มันคือแรร์ไอเท็มของที่นี่' มันก็ย่อมได้



               "เอาล่ะๆทุกคนเงียบๆหน่อยค่ะ อาจารย์จะเริ่มสอนต่อแล้วนะ อัคคีคุงตามเนื้อหาทันไหม"


               "ครับ ผมอ่านเนื้อหาเรียนย้อนหลังแล้ว"


               "โอเคค่ะ อาจารย์สอนต่อเลยนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ยกมือขึ้นถามได้นะ"



               อาจารย์มายะเริ่มเปิดระบบภาพและแสงภาพในโรงเรียนที่มีสื่อการสอนที่ทันสมัยเอาเสียมาก มีระบบภาพแบบโฮโรแกรม ฉายขึ้นเป็นหน้าจอออกมาด้วย



               และการสอนก็ดำเนินไปจนถึงหมดคาบสุดท้ายของช่วงเช้า และเข้าสู่ช่วงพักกลางวันของวันนี้



               อัคคีกำลังเก็บหนังสือเรียนให้เข้าที่ ก็มีสาวๆทั้งหลายทักทายเข้ามาทำความรู้จัก เป็นธรรมดาที่หลายๆคนก็ย่อมอยากรู้อยากเห็นกับสิ่งๆใหม่ๆที่เข้ามา พวกเธอทั้งหลายก็เข้ารายล้อมจนเด็กใหม่รู้สึกอึดอัดยังไงชอบกลแถมปิดช่องทางกะไม่ให้ออกไปไหนเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่อยากเข้าหาเพราะคิดว่าเขาเป็นพวกหลงตัวเองและแอบหมั่นไส้สุดๆ แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดจากความประทับใจแรก ถ้าไม่พอใจก็ยากที่จะสร้างความสัมพันธ์กัน



               ทุกคำถามของเหล่าที่สาวๆถามเข้ามาก็เป็นพวกคำถามจุกจิกจิปาถะแล้วก็ตามด้วยแนะนำชื่อ หลายคนกลบเสียงกันไปมาจนแทบฟังไม่รู้ศัพท์แล้วว่าถามอะไรกันแน่



               ทุกคำถามอัคคีก็ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เรียบๆ เช่น 'อืม' 'ใช่แล้ว' 'ทำนองนั้น' ตลอด โดยไม่มีทีท่าว่าปฎิเสธหรืออยากจะออกไปจากวงล้อมนี้เลย



               อิจิกะเห็นท่าทางของอัคคีแบบนั้นทำให้รู้สึกไม่ต่างอะไรกับสมัยที่เขาเรียนวันแรกใหม่ๆ จึงเดินเข้ามาแทรกกลางวงพลางขอโทษทุกคนที่เข้ามา 

               "ขอโทษที ขอโทษที" อิจิกะเข้ามากลางวงแล้วดึงมืออัคคีให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินฝ่าวงล้อมมนุษย์นี้ออกไปจากห้องทันที



               ส่วนอัคคีก็เหมือนจะรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทีสามารถฝ่าออกมาได้ราวกับว่าเขารู้ใจ แล้วเดินตามอิจิกะไป



               "ขอบใจมาก"อัคคีตอบเสียงเรียบๆ


               "ไม่เป็นไร ชั้นก็เคยเจอแบบนี้ตอนเรียนใหม่ๆนั้นแหละ ถึงจะเกร็งไปบ้างเพราะมีแต่ผู้หญิง สักพักก็คงชิน อีกอย่าง ชั้นดีใจนะที่จะได้มีเพื่อนร่วมห้องเป็นผู้ชายเสียที ถึงจะหมั่นไส้นายในตอนแรกก็เถอะ แต่ชั้นเชื่อว่านายต้องนิสัยดีแน่ๆ"


               "นายคงลำบากน่าดู"


               "ก็นะ.....จริงสิ ! ลืมแนะนำตัว ชั้น โอริมุระ อิจิกะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ อัคคี"


               "เช่นกัน อิจิกะ"


               "นายพึ่งหัดพูดภาษาญี่ปุ่นสินะ สำเนียงฟังดูผิดๆเพี้ยนๆไปบ้าง แต่ก็พอฟังเข้าใจบ้างล่ะ"


               "ก็แค่ฝึกได้หนึ่งวันครึ่งเอง".


               "ว่าไงนะ !?"



               ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยระหว่างทาง ก็มีกองทัพสาวๆจากห้องสองซึ่งอยู่ตรงทางที่ทั้งคู่เดินผ่านมาพอดีและก็ลังยกพลไปหาห้อง1ที่มีข่าวว่าเด็กใหม่เป็นผู้ชายด้วย โดยมีเด็กสาวตัวค่อนข้างเล็ก ผมยาวสีน้ำตาลมัดผมแกละสองข้าง ปลายผมยาวถึงด้านหลัง ท่าทางดูแก่นแก้ว เสียด้วย



               "อิจิกะ ! นั้นเพื่อนใหม่ใช่ไหม !?" เสียงใสๆของเธอดังมาแต่หน้าห้อง จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของนักเรียนห้องสองเกือบทั้งหมด กรูวิ่งเข้ามาทันทีแบบคลื่นมนุษย์


               "ซวยแล้ว ! อัคคี....วิ่ง !" อิจิกะเห็นท่าทางไม่ดี จับข้อมืออัคคีแล้ววิ่งหนีลงทางบันไดที่ว่างอยู่โดยไวทันที



               ถึงไม่พูดชายหนุ่มเด็กใหม่ก็เข้าใจสถานะการณ์ดี ขืนโดยสาวๆจับได้ คงได้อยู่ในวงล้อมกันยาวจนไม่ได้กินข้าวกลางวันเป็นแน่ จึงวิ่งตามโดยไม่ลังเล



               ทั้งคู่มีเป้าหมายคือ วิ่งไปที่โรงอาหารให้เร็วที่สุด อย่างน้อยไปถึงที่นั้นก็มีกฎของที่นั้นคือ ห้ามส่งเสียโวยวายหนวกหูเวลาทานอาหาร ฉะนั้นที่นั้นจึงเหมือนหลุมหลบภัยฉุกเฉินก็ไม่ปาน



               อิจิกะและอัคคี ก็วิ่งเข้าที่โรงอาหารได้อย่างปลอดภัย ถึงจะมีหัวโจกจากห้องห้องตามมาติดๆ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เพราะตามกฎของโรงอาหารนั้นเอง



               พวกเขายืนต่อคิวที่จะเข้าไปสั่งอาหาร และเหมือนรู้สึกว่าจะเริ่มมีคนมามากขึ้นและสายตาจับจ้องที่เด็กใหม่ไม่ขาดสาย โดยมีอัคคียืนอยู่ข้างหน้าอิจิกะ และคนข้างหลังอิจิกะก็คือหัวโจกเด็กสาวที่ดูแก่นๆอยู่ข้างหลังเขานั้นเอง



               "อิจิกะ ! มีเด็กใหม่ไม่มาทักทายเลย ห๊ะ ?" เด็กสาวผมแกละร่างเล็กจ้องอิจิกะเขม้ง


               "ก็พวกเธอแห่งมาซะยกห้องแบบนี้ คงได้นั่งจับคุยจนหมดเวลาพักกลางวัน ไม่ได้กินข้าวพอดี"


               "ก็ชั้นอยากรู้นิ !"น้ำเสียงใสๆของเธอดูเหมือนจะตวาดใส่แต่ก็ยังข่มเสียงตัวเองเอาไว้สำหรับอิจิกะมันคือน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะปกติสำหรับเขา


               "ก็เข้ามาทักทายปกติก็ได้นินา หลิน"


               "ช่างเถอะน่า !"เธอหยุดพูดกับอิจิกะโดยพลันแล้วมองไปทางคนด้านหน้าอิจิกะที่กำลังต่อคิวอาหารอย่างยาวเหยียดแล้วเอ่ยทักทายขึ้น"เฮ้ ! เด็กใหม่ ! ชั้น ฟาน หลินอิน นะ ! อยู่ห้องสอง...แล้วนายล่ะ ชื่ออะไร ?"
               "ผู้ที่โบยบินบนท้องฟ้าพร้อมเปลวไฟ เพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสรรพสิ่ง...อัคคี เพลิงศาสตรา จากประเทศไทย" เขาตอบกลับด้วยการทักทายที่เป็นเอกลักษณ์ชวนน่าหมั่นไส้ของเขา เด็กสาวที่ชื่อ หลินอิน แทบจะอดกลั่นหัวเราะไม่ได้เลย


"การทักทายอะไรกัน ? ทำไมชั้นรู้สึกหมั่นไส้นายขึ้นมาตะหงิดๆเลย"และแล้วคิ้วของหลินก็กระตุกขึ้นมาราวกับว่าไม่สบอารมณ์เลยสักนิด


               "มีอะไรให้น่าหมั่นไส้งั้นเหรอ ?"อัคคีตอบเสียงเรียบๆ


               "นายพูดยังกับนายเหนือกว่าผู้อื่นบนโลกใบนี้ !"


               "งั้นเหรอ....ก็ชั้นเหนือกว่าทุกคนอยู่แล้วนิ ?"


               "นาย ! คนหลงตัวเอง !....ช่างเถอะ ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จัก อัคคี !" เธอพยายามฉีกยิ้มกว้างให้ด้วยความเป็นมิตร แต่เหมือนจะแฝงนัยอะไรบางอย่างแบบแปลกๆอยู่ก็ตาม

 

http://www.keedkean.com



               ทั้งสามต่างก็สนทนากันระหว่างเข้าคิวจนได้อาหารแต่ละคนแล้วทั้งสามก็เลือกนั่งโต๊ะว่าง จับกลุ่มคุยกัน โดยเหมือนมีสายตาหลายๆคู่กำลังจับจ้อง หลินอิน ที่คุยกับอิจิกะ และ อัคคีอย่างอิจฉาตาร้อน แต่ถึงอย่างนั้น สายตาของหลินก็เหมือนจะมองอิจิกะเสียมากกว่า



               อิจิกะนั่งตรงข้ามกับอัคคีและหลินก็นั่งข้างๆกับอิจิกะั การสนทนาก็ผ่านไปเรื่อยเปื่อยขณะรับประทานอาหาร



               "ชั้นชอบประเทศไทยนะ ! เพราะที่นั้นมีอาหารที่ขึ้นชื่อเป็นอันดับ1ของโลกอยู่น่ะสิ ชั้นยังไม่เคยกินมันเลย ทั้งที่ครอบครัวชั้นเปิดร้านอาหารแท้ๆ" หลินเอ่ยขึ้นแล้วใช้ตะเกียบคีบเส้นราเมงในชามแล้วดูดเส้นกินเข้าไป


               "หมายถึง...'แกงมัสมั่น' สินะ" อิจิกะตอบกลับ


               "ใช่ๆ ใช่แล้ว ! ชั้นอยากจะรู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ?"


               "เอ๋ ? แกงมัสมั่น ชั้นก็เคยได้ยินนะ เคยกินอยู่ครั้งหนึ่งตอนไปร้านอาหารไทยกับพี่จิฟุยุน่ะ" 


               "อิจิกะ ! วันหลังพาชั้นไปบ้างสิ" แววตาของหลินดูจริงจังมาก


               "ถ้าอยากทานมาก เดี๋ยวจะทำให้ ?" อัคคีตักกินข้าวคำสุดท้ายจนหมดปากอย่างรวดเร็ว


               "นี่นายทำเป็นด้วยหรือยังไงกัน ?" หลินคิ้วขมวด


               "สุดยอดเลย นายทำอาหารไทยเป็นด้วย"อิจิกะพูดกลับอย่างสนใจ


               "ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดจากท้องฟ้า ก็ต้องได้รับการสืบทอดการทำอาหารจากคุณปู่ผู้ที่มีฝีมือเหนือกว่าใครในโลกนี้"


               "คุณปู่นายสุดยอดเลยแฮะ"อิจิกะยิ้มบางๆ


               "นายเป็นคนที่ชั้นเห็นแล้วหมั่นไส้ที่สุดเลยล่ะ ! "หลินใช้แขนคล้องควงแขนอิจิกะที่นั่งข้างๆอย่างเคยชิน


               สรุปก็คือที่ชวนคุยเกี่ยวกับอาหารไทย เหมือนว่าจะมีบทแค่อิจิกะักับหลินเท่านั้น เพราะหลินจริงๆที่อยากรู้จักเด็กใหม่เพราะอยากรู้แค่ชื่อและเรื่องผิวเผินเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงนั้น ได้ปักธงไว้บนหัวอิจิกะเรียบร้อยแล้ว


              จะถามว่าอัคคีรู้สึกอย่างไรที่เหมือนดูจะไม่ค่อยมีบททั้งที่เป็นคนไทย อัคคีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร



              ในช่วงที่อิจิกะกับหลินเหมือนจะดูค่อนข้างเป็นคู่กัดหรือคู่รักยังไงก็ไม่ทราบ สายตาสาวๆทั้งหลายเริ่มจับจ้องมาที่เดียวพร้อมกับส่งสัญญาณแปลกๆลงมาด้วย



              อัคคีเหมือนจะไม่สนใจอะไรนัก เข้าหยิบบางสิ่งจากใต้เสื้อออกมา



              มันเป็นผ้าผูกผมเนื้อบางสีม่วงอมชมพูอ่อนๆซึ่งที่ปลายเนื้อผ้าด้านหนึ่งมีรอยไหม้เล็กๆ และมีตัวอักษร

' C. ' กำกับไว้อยู่จางๆบนตัวเนื้อผ้า



              "เจ้าของผ้านี้....จะอยู่ที่นี่หรือเปล่านะ ?" อัคคีพูดกับตัวเองเบาๆอยู่ในช่วงห้วงนึกคิดของตัวเองอยู่



              เพียงชั่วอึดใจ หญิงสาวผมลอนสีทองยาวสวมผ้าคาดหัวสีน้ำเงินเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำเงินครามที่จับจ้องเข้ามา ยืนในท่าทางมาดผู้ดีและเหย่อหยิ่งแบบคุณหนูยืนตรงหน้าโต๊ะทั้งสามอยู่



             "ทำอะไรเกินหน้าเกินตาไปหน่อยหรือเปล่าคะ ?" น้ำเสียงที่ดูราวกับว่าเหมือนพูดกับนายและบ่าวอย่างไงอย่างนั้น


             "ก็แค่ทานข้าวด้วยกันสองต่อสองกับอิจิกะนิ ! เซซิเลีย"หลินคิ้วขมวดใส่หญิงสาวที่ยืนอยู่


             "สองต่อสองเหรอคะ ? แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิคะ แบบนี้มันขี้โกงเกินไปแล้วค่ะ !" เธอนั่งแทรกเข้ามานั่งควงแขนอิจิกะอีกข้างเอาไว้


             "เอ่อ....เดี๋ยวสิ"อิจิกะทำได้แค่นั่งเหงื่อตกไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแถมยังรู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆมาแนบเนื้อตรงแขนของอิจิกะด้วย



             อัคคีเหมือนถูกเมินเอาเสียแล้ว แต่เขาไมไ่ด้สนใจสิ่งรอบข้างเพราะสายตากำลังจับจ้องที่ผ้าผูกผมเนื้อบางที่ถือบนหน้าเขา ราวกับว่ามันคืออดีตที่ไม่สามารถลืมเลือนได้และเหมือนกับของติดตัวที่ขาดไม่ได้เลยทีเดีย



             คนที่เข้ามาเกาะแขนกับอิจิกะอีกคนคือ เซซิเลีย อัลคอตต์ นักเรียนห้องเดียวกับอิจิกะ และ อัคคี เป็นนักเรียนตัวแทนจากประเทศอังกฤษ จึงไม่แปลกที่จะถอดแบบความเป็นผู้ดี(?)และเหย่อหยิ่งแบบอังกฤษมาเลย

 

http://www.keedkean.com



             "ว่าแต่เด็กใหม่นี่ ชื่ออัคคีสินะคะ...ชั้นยังไม่ได้เข้าทักทายเป็นการส่วนตัวเลยนะคะ" เซซิเลียเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าคนที่นั่งอีกคนมีตัวตนอยู่ตรงนี้

             "สวัสดีนะ"อัคคีหันไปมองนัยน์ตาของเซซิเลีย กล่าวตอบเรียบๆ


             "ทำไมตอบด้วยน้ำเสียงแบบไม่สบอารมณ์เลยล่ะคะ ? จงภูมิใจเสียเถอะค่ะที่ได้รู้จักคนอย่างชั้นน่ะค่ะ ฉะนั้นเวลาพูดกับชั้นก็ควรจะมีหางเสียงเพราะๆหน่อยนะคะ"เธอขมวดคิ้วใส่


             "อืม...งั้นเธอก็จงภูมิใจเหมือนกันว่าได้พบกับผู้ที่อยู่เหนือกว่าผู้ใด ผู้ที่โบยบินบนท้องฟ้าเพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสรรพสิ่งผู้นี้"คำตอบของอัคคี มันช่างกัดจิกหัวใจอีกฝ่ายยิ่งนัก


             "นี่คือสิ่งที่คนไทยพูดกับคนอังกฤษหรือคะ !? ทำไมคำพูดคุณช่างหยิ่งผยองเสียจริง !?"


             "เธอต่างหากที่พูดราวกับทุกคนต้ิองอยู่ใต้เท้าเธอ...แต่ไม่ใช่ฉัน เซซิเลีย"อัคคีพูดออกมาด้วยประโยคสวนกลับ เพราะตอนนี้รู้สึกว่า ทำไมคนอังกฤษถึงดูแปลกๆพิกลในส่วนตัวเขา



             แต่ต่างฝ่ายก็ต่างพึลึกและหมั่นไส้กับคำพูดกันและกันนั้นแหละ



             "แบบนี้ฉันยอมรับไมไ่ด้ค่ะ ! เพราะการที่จะทำให้เซซิเลีย อัลคอตต์ยอมรับได้นั้น จะต้องแสดงความแข็งแกร่งให้ออกมาเสียก่อน"เธอส่งสายตามองแบบคนผู้ดีเข้ามาหาอัคคีอย่างท้าทายหมายถึงเป็นการท้าดวล IS กัน


             "งั้นขอบายล่ะ...และขอโทษด้วยนะ อิจิกะ ฉันไม่รบกวนนายแล้วล่ะ ชั้นจะขึ้นอยู่ดาดฟ้า อยากลองชมทิวทัศน์รอบๆแห่งนี้เสียหน่อย ชั้นไม่ค่อยชอบฟังอะไรที่ค่อนข้างจะไร้สาระน่ะ"อัคคีเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นยืนเดินออกจากโต๊ะที่นั่งไปพร้อมกับผ้าเนื้อบางที่เขาถืออยู่



             (ผ้าผูกผมนี่ เหมือนของเธอเลยแฮะ)อิจิกะมองแผ่นหลังและมือที่ถือผ้าอยู่ของอัคคีแล้วคิดในใจ ซึ่งคล้ายคลึงกับใครสักคน แต่ไมไ่ด้ใส่ใจอะไรมาก



             "ปฎิเสธเหรอคะ ? แสดงว่าคนไทยไม่เอาไหนสินะคะ"เซซิเลียเอ่ยถึงอัคคีเยาะเย้ยด้วยความพอใจ



             จริงๆแล้วเซซิเลียก็ไมได้ปากร้ายอะไรหรอก แค่อยากเห็น ISของเด็กใหม่ในห้อง แต่ด้วยความที่ตัวเองถือตัวไปเสียนิด แม้จะพูดถึงอัคคีคนเดียว แต่ประโยคที่เธอพูดมานั้น มันหมายถึงบ้านเมืองของเขากำลังถูกชาวต่างชาติเหยียดหยามซึ่งๆหน้า



             เขาหยุดเดิน ยืนนิ่งและพูดกลับโดยไม่หันกลับมา



             "เธอมีปัญหาอะไรกับคนไทยงั้นเหรอ ?"


             "แล้วมีอะไรเหรอคะ ? ฉันพูดตามความจริงนิคะ"


             "ถ้าเธอมีปัญหากับคนไทย....ทำไมต้องเหมารวมคนไทยด้วยล่ะ ?"



             อิจิกะกับหลินเริ่มสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้จากตัวอัคคี มันเหมือนกับว่าอัคคีถูกใครไม่รู้มาเหยียบย่ำหัวใจเข้าเต็มๆด้วยคำพูด คำพูดนั้นเฉือนคมยิ่งกว่าอาวุธเสียจริงๆ



             "เอางั้นก็ได้ค่ะ !"เธอยืนพรึบขึ้นแล้วพูดต่อ "ฉันขอท้าดวลคุณค่ะ ! อัคคี เพลิงศาสตรา"


             "แล้วไง ?"


             "ฉันไม่เชื่อหรอกนะคะว่าISที่สร้างจากประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทยจะสามารถล้มลอร่าได้ตามข่าวลือที่ว่าไว้ แต่ถึงเป็นจริง คุณก็ไม่สามารถเอาชนะ Blue Tears จากอังกฤษได้ เดี๋ยวชั้นจะต่อให้เป็นกรณีพิเศษเลยนะคะ"


             "ท้องฟ้ากำลังพูดกับฉันว่า...ใครก็ตามที่ดูถูกผู้อื่น ก็จะจมอยู่ในความมืดที่ไม่เห็นแสงสว่าง"อัคคีหันกลับมาเหล่มองด้วยหางตา



             ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้องอุทานแสบจะประสานเสียงกันและตามด้วยเสียงซุบซิบต่างๆนา นาว่าจะมีการดวลกันเกิดขึ้น



             "งั้นก็แสดงให้เห็นหน่อยล่ะค่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนเจอกันที่สนาม2ค่ะ ผู้แพ้ต้องยอมทำตามผู้ชนะ 7 วันค่ะ !" เซซิเลียยิ้มอย่างมั่นใจ


             "ฉันจะซัดเธอให้หมอบด้วยการชก2ครั้ง..."อัคคีเดินออกจากโรงอาหารออกไป



             บรรยากาศที่ชวนตึงเครียดเมื่อสักครู่เริ่มผ่อนคลายลง หลายคนเริ่มจับกลุ่มพูดคุยถึงเรื่องการดวลในครั้งนี้



             "เซซิเลีย แบบนี้มันเกินไปนะ"อิจิกะลุกขึ้นมาพูดกับเซซิเลีย


             "ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ ถ้าจะบอกท้าดวลก็บอกไปตรงๆเลยก็ได้"หลินพูดเสนอขึ้นมา


             "อ่า...เอ่อ..."เซซิเลียก็เหมือนจะรู้ตัวว่าพูดแรงไปจริงๆอย่างที่ว่า ทำตัวไม่ค่อยถูก แต่เธอก็ได้พูดไปแล้ว



             แต่ถึงอย่างนั้นนัดหมายการดวลก็ยังดำเนินต่อไป


             เข้าสู่เวลาเรียน ทุกคนก็กลับมาเข้าเรียนตามปกติ การดำเนินการสอน ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนกระทั้งหมดคาบสุดท้ายของการสอนในวันนี้



             ดวงอาทิตย์เริ่มบ่ายคล้อยลงมาจนเริ่มมีสีแดงสะท้อนมาฟื้นโลกสลับตัดกับเมฆสีคล้ำที่ลอยเอื่อยๆไปในทิศทางเดียวกัน



             อัคคีเงยมองท้องฟ้าเงียบๆบนดาดฟ้าคนเดียวพร้อมกับความเงียบงันอีกครั้ง

[Next Chapter. To be continued.]

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา