ปฎิบัติการรัก จักรกลทะยานฟ้า : ภาค จิตวิญญาณแห่งนกไฟ
9.4
เขียนโดย หมาป่าปแห่งไซบีเรีย
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.46 น.
6 Chapter
34 วิจารณ์
18.66K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556 19.07 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1) เด็กหนุ่มผู้ที่โบยบินเพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสิ่ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[Open song : See Visions - Kawada mami]
...มีสิ่งหนึ่งที่เธอได้มอบไว้ให้ชั้นก่อนตาย
...จี้รูปหยดน้ำตาของเธอนั้นได้ถูกให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางมัน
...ฉันรู้ว่าจิตวิญญาณอันอ่อนโยนของเธออยู่ในนั้น
...ฉันสัญญาว่า จะรอคอยเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการกำเนิดใหม่ของเธอในร่างชุดเกราะจักรกล
...แล้วเราจะโบยบินไปด้วยกัน...
ที่นี่คือประเทศไทย ประเทศเล็กๆที่กำลังพัฒนามีชื่อเสียงด้านอาหารและศิลปะการต่อสู้ทั้งวิชามวยไทยและวิชากระบี่กระบอกอันเลื่องชื่อ เป็นวัฒนธรรมที่อยู่ด้วยกันอย่างสงบและเรียบง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าประเทศนี้จะดูล้าหลังเพราะความเจริญนั้นก็เจริญขึ้นตามลำดับด้วย
ข่าวดีของประเทศไทยวันนี้ ซึ่งเคยประกาศเมื่อ3ปีก่อนว่า ทางรัฐบาลไทยได้ส่งหนังสือไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นและเยอรมันในการช่วยสร้าง ชุดเกราะจักรกล Infinite Stratos ให้ ถ้าการสร้างสำเร็จด้วยดีก็จะเป็น IS เครื่องที่ 468 ของโลกที่สร้างเป็น IS ส่วนตัว และแน่นอนถึงจะใช้งบประมาณที่ค่อนข้างสูง มีหลายฝ่ายคัดค้านแต่ผลที่ได้กลับคุ้มค่าเอาเสียมาก
ชุดเกราะจักรกล Infinite Stratos นั้นเป็นชุดเกราะที่ถูกคิดค้นจากชุดอวกาศของญี่ปุ่นเมื่อ 11 ปีก่อนหน้านั้น ถูกออกแบบให้สามารถบินได้ใกล้เคียงกับเครื่องบินไอพ่น เหาะเหินเดินอากาศได้ และติดตั้งอาวุธให้กับชุดเกราะจนกลายเป็นชุดเกราะติดอาวุธที่น่ากลัวและทั่วโลกต่างสนใจก็ต่างผลิตชุดเกราะจักรกลนี้เกือบทั่วโลกเพื่อใช้เป็นกองกำลังทางทหาร แต่แล้วก็ได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาแอตแลนติคขึ้นเพื่อไม่ให้ใช้ชุกเกราะจักรกลนี้ในการทหารหรือสงคราม แต่สามารถใช้ในการแข่งขันกีฬาและกำลังได้พิจารณาบรรจุอยู่ในการแข่งขันโอลิมปิคด้วย
ชุดเกราะจักรกลจะแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆคือส่วนที่เป็นชุดเกราะ ที่มีการสร้างด้วยวัสดุอย่างดีและได้ติดตั้ง ชุดบินไอพ่นกับอาวุธไว้ และส่วนที่สองคือ IS Core ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น CPU หรือมันสมองของชุดเกราะก็ย่อมได้ มันมีหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนการใช้งานของผู้ใช้ IS Core บางตัวถึงกับสามารถดึงพลังแฝงออกมาด้วยเลยก็มี
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสวมใส่มันได้ เพราะชุดเกราะจักรกลนี้ จะสวมใส่ได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายจะสวมใส่มันไม่ได้เพราะจะไม่มีการตอบสนองของ IS Core และ ชุดเกราะเลย
ระยะเวลาการสร้าง3ปีนั้น เรียบร้อยไม่มีปัญหาและตอนนี้ข่าวก็ได้เปิดตัว IS ของคนไทยอย่างเป็นทางการเรียบร้อยในขณะนี้ ข่าวก็ได้ประกาศออกไปสู่สายตาคนทั่วโลก
รูปทรงบอดี้ที่เป็นสีดำรมควัน และเงาเกิดจากแร่โลหะสีดำทางตอนเหนือของประเทศไทยซึ่งใช้เป็นส่วนผสมของการสร้างบอดี้ IS มีคุณสมบัติแข็งแรง เบา และทนทาน
มันมีความยืดหยุ่นและที่สำคัญ เป็นแร่ที่ทนไฟเอามากๆ เพราะเวลาเอาไปหลอมต้องใช้เตาหลอมแบบพิเศษเพื่อในการหลอมในอุณหภูมิสูงมากถึงจะขึ้นรูปร่างได้ ส่วนของอะไหล่อื่นๆนั้น ทางรัฐบาลเยอรมันได้ส่งอะไหล่ที่ดีที่สุดให้ไทย เพื่อใช้เป็นวัสดุในการประกอบและการสร้างพร้อมกับวิศวะกรจำนวนหนึ่งช่วยในการสร้างครั้งนี้และรัฐบาลญี่ปุ่นได้มอบ IS Core ให้พร้อมกับ ผู้สังเกตุการณ์2คนโดยที่ Core นั้น ทางไทยต้องไปรับเอาเองจนได้ IS สีดำ เครื่องที่ 468ของโลกเรียบร้อยภายในระยะเวลาการสร้าง3ปี จุดประสงค์เพื่อในการใช้ประเทศในด้านต่างๆภายในประเทศและถือเป็นต้นแบบของไทยเพื่อใช้ในการสร้างด้วยตัวเอง หลังจากทางญี่ปุ่นได้รับอนุญาติให้ไทยสร้าง IS ได้ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงหลายปีกว่าจะอนุมัติได้
IS ตัวนี้มีชื่อว่า Project Phoenix เป็นชื่อที่ตั้งโดยทั้ง3ประเทศ เพราะที่ตั้งชื่อนี้อาจจะเป็นเพราะขั้นตอนการหลอนโลหะที่ใช้เวลานานมากๆและแม้เหล็กจะเย็นตัวลง แต่ก็ยังไม่ได้ติดตั้งอาวุธให้เพราะว่ายังไม่ได้ผ่านการทดสอบเบื้องต้น
ไฟก็ยังมีการลุกโชนจนน่าประหลาดใจราวกับนกไฟอมตะ ก็เป็นได้
แต่การเปิดตัวครั้งนี้ยังไม่ได้เป็นทางการนักเพราะว่า....
"อะไรนะ ? นี่อาสาสมัครหญิงทั้งกองทัพก็ไม่สามารถขับขี่เจ้านี้ได้เลยเหรอเนี่ย !" ชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบของทหารอากาศ ยศบนบ่าบอกถึงว่าเป็นยศชั้นผู้ใหญ่ระดับสูงมากเลยทีเดียว
เขานั่งดูเอกสารบนโต๊ะทำงานที่ตั้งกองไว้อย่างวุ่นวาย เอกสารนั้นคือรายชื่ออาสาสมัครที่ต้องการขับขี่ IS กลับไม่มีใครผ่านเกณฑ์สักคน กำลังพูดกับชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเหมือนกันแลดูเป็นยศผู้น้อยกว่าด้วย
"ครับ นี่เป็นรายที่ 128 แล้วครับ ล่าสุดอาการสาหัสเกิดเป็นรอยแผลไฟคลอกเข้าส่งโรงพยาบาลเลยครับผู้พัน" ชายหนุ่มยืนถือเอกสารรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
จริงอยู่ที่ IS นั้น จะสามารถขับได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ที่น่าแปลกคือ อาสาสมัครที่ขึ้นไปขับขี่กลับไม่มีใครทนได้เกิน3นาที เพราะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันมีอาถรรพ์ เวลาขึ้นไปสวมชุดเท่านั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกไฟคลอกทั้งเป็น ยิ่งอยู่นานยิ่งร้อนจนทนไม่ไหวสุดท้ายก็รีบปลดชุดออกมา บางคนถึงกับเข้าส่งโรงพยาบาลเลยทีเดียว
ภายในห้องบัญชาการเล็กๆของกองทัพเรือ ทั้งสองที่กำลังคุยอยู่นั้นก็คือ นาวาอากาศเอกท่านหนึ่ง ผู้ที่ควบคุมเรื่องการหาอาสาสมัครผู้หญิงที่ขับ IS ได้ในครั้งนี้ กับ เรืออากาศตรี ชัยฤทธิ์ ศัตรูพ่าย รองผู้ควบคุมงานและเป็นผู้ดูแลในส่วนการสร้างISทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นในครั้งนี้
"ผมว่าควรที่จะลองให้ประชาชนทั่วไป ได้ทดลองสวมใส่ IS ดูนะครับ เพราะผู้หญิงเกือบหมดทั้งกองทัพก็ยังไม่มีใครสามารถขึ้นขับได้เกิน 3นาทีเลยครับ"
"ช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่าเริ่มประกาศให้ประชาชนทดลองขับได้เลย ประกาศด้วยว่า ใครขึ้นขับได้เกิน3นาทีโดยไม่เป็นอะไรเลย จะได้รับสิทธิพิเศษจากกองทัพเลย....แล้วก็ เรื่องที่อาสาสมัครหญิงบาดเจ็บอย่าให้นักข่าวเผยแพร่ข่าวออกไปได้ล่ะ"
"รับทราบครับ"
การสนทนาสิ้นสุดลงและปิดท้ายด้วยการทำความเคารพแบบทหารซึ่งกันและกัน ก่อนห้องนี้จะถูกปิดโดยทิ้งไว้ให้ผู้พันอยู่ในนั้นทำงานคนเดียวเงียบๆ...
ผู้หมวด ชัยฤทธิ์ อายุ 26ปี เป็นทหารอากาศที่สอบนายร้อยเข้าได้เมื่อ 3ปีก่อน เป็นหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง และหน้าตาที่ดีเอาการแต่เสียตรงที่ดวงตานั้นไม่ค่อยดูเป็นมิตรเอาเท่าไร ถึงจะไม่ใช่นิสัยนักเลงก็เถอะจึงไม่แปลกที่ไม่มีสาวๆกล้าเข้าใกล้สักคน
ยามเย็นที่ตะวันบ่ายคล้อย จากที่ต้องพยายามยืนสง่าแบบทหาร หลังจากพ้นเขตทหารไปก็ได้เวลาปล่อยเนื้อปล่อยตัวเดินห่อไหล่คอตก ถอนหายใจด้วยความเหนื่อย
"ไม่น่ารับงานจัดหาอาสาสมัครเลย ถ้ารู้ว่ามันเหนื่อยขนาดนี้ คงไม่รับดีกว่า" หนุ่มผมสีน้ำตาลบ่นพึมพำคนเดียวอย่างเหนื่อยใจ
จากเขตทหารไปถึงบ้านเขาก็ไกลเอาการอยู่ต้องนั่งรถไฟฟ้ากลับและตามด้วยรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้าทางกลับบ้าน
เขาไม่ใช่คนรวยอะไรนัก แต่ก็ไม่ถือว่าจะจนเสียทีเดียว เขามีนิสัยที่ค่อนข้างคิดมากเรื่องการใช้เงิน จึงไม่ได้ซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาเพราะคิดว่า รายได้เราคงผ่อนไม่ไหวถึงจะมีนโยบายรถคันแรก ก็ตาม อีกอย่างการโดยสารด้วยพาหนะก็ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
เขามาพร้อมกับเอกสารภายในกระเป๋าเอกสารถือ ข้างในเป็นข้อมูลในการจัดหาประกาศไว้เพียบต้องเตรียมประกาศข่าวทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ หรือในอินเตอร์เน็ตก็ดี จึงเป็นงานยุ่งสุดๆ แถมไม่ใช่หน่วยข่าวกรองที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่เสียด้วย
ขณะที่เขากำลังเดินเหม่ออยู่ขณะนั้น ก็ได้เดินสวนกับเด็กหนุ่มผมสีดำ ที่มีนัยต์ตาที่แข็งกร้าวและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน เดินผ่านหน้าเขาจากทางเดินจุดนี้อยู่ทุกวันตอนกลับบ้าน
เขารู้สึกว่าเขาคุ้นใบหน้าเด็กคนนี้มากๆ เหมือนจะรับรู้ได้ว่า เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนในกองทัพอย่างไงอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่เวลาควรที่จะสนใจตรงนี้
เขารีบขึ้นสถานี้รถไฟฟ้าแล้วดิ่งไปที่บ้านของเขา โลกก็ดำเนินเช่นนี้ไปตามปกติของเขา
โลกก็คงยังหมุนเวียนไปอยู่ทุกวัน...จนกระทั้งวันรุ่งขึ้น
ทางกองทัพอากาศกำลังจัดเตรียมห้องโถงให้เป็นห้องรับแขกอย่างดี เพราะว่าวันนี้ผู้สังเกตุการณ์สองท่านจากโรงเรียน IS ซึ่งเป็นตัวแทนจากญี่ปุ่น มาสังเกตุการณ์เพื่อหาคนที่ใช้ IS สีดำตัวนี้ด้วย ซึ่งผู้สังเกตการณ์ทั้งสองคนนั้นกำลังมาที่นี่ในไม่ช้า เพราะมีการแจ้งว่าได้ถึงสนามบินและกำลังเดินทางด้วยรถตู้ที่จัดเตรียมมาให้ คงถึงในอีกไม่ช้า
งานการต้อนรับครั้งนี้ หมวดชัยฤทธิ์ รับผิดชอบในครั้งนี้เพราะผู้พันกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลอาสาสมัครที่เริ่มทยอยเข้ามาอยู่อีกที่หลังจากที่หมวดนั้นได้แจ้งประกาศผ่านสื่อต่างๆไปแล้ว จึงไม่มีเวลาต้อนรับแขกเลย
ราวๆประมาณ15นาที ผู้สังเกตุการณ์จากโรงเรียน IS ได้เยือนห้องรับแขกของกองทัพอากาศที่ได้จัดเตรียมขึ้นแล้ว
ผู้สังเกตุการณ์ก้าวลงจากรถตู้อย่างช้าๆแต่ดูสง่างามทั้งคู่ เพราะทั้งสองเป็น คนของโรงเรียน IS คนแรกเป็นอาจารย์ผมสีดำมัดผมไว้ข้างหลังพร้อมชุดสูทแบบผู้หญิงดูเท่และสง่างามเข้ากับรองเท้าส้นสูงสีดำสนิทที่ตัดกับผิวสีขาวของเธอ คนที่สองเป็นนักเรียน IS ดีกรีแชมป์ISสมัยแรกและคนที่สองเป็นนักเรียน IS สาวผมสีเทามีที่คาดตาปิดตาข้างหนึ่ง ที่ยืนสง่าเป็นตัวแทนของนักเรียนทั้งหมด แถมมียศเป็นถึงร้อยตรีด้วย ที่จะมาสังเกตุการณ์ในวันนี้
"คนไทยต้อนรับดีจริงๆนะ" หญิงสาวชุดสูทเอ่ยขึ้น
"สวัสดีครับ คุณโอริมุระ จิฟุยุ...และ ร้อยตรี ลอร่า โบเดวิก เดินทางมาไกลคงเหนื่อย เชิญนั่งพักผ่อนคุยกันก่อนครับ" ชัยฤทธิ์กล่าวทักท้ายด้วยการพนมมือไหว้ เป็นสักษณ์ความอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย และเชื้อเชิญแขกเข้ามาพักผ่อนข้างในห้องรับแขกที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว
ทั้งสองเดินเข้ามานั่งบนโซฟาที่จัดเตรียมไว้ให้ รอบๆห้องจัดข้าวของไว้เป็นระเบียบ แถมมีกลิ่นอายของห้องทำงานของทหารเอาไว้เต็มที่
"ยินดีด้วยนะที่ประสบความสำเร็จในการณ์สร้างISในประเทศคุณ" จิฟุยุเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ขอบคุณมากครับ แต่ถึงสร้างเสร็จแล้วตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถสวมชุดขึ้นขี่ได้เลยครับ"ชัยฤทธิ์กล่าวตอบ
"ปัญหานี้ชั้นรู้อยู่แล้วล่ะ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยเกิดปัญหาแบบนี้ในที่อื่น พวกเราที่มาวันนี้พวกเรามีจุดประสงค์ไม่ได้มาสังเกตุการณ์อย่างเดียวหรอก เพราะว่าทางเราจะขอรับตัวISนี้กลับไปด้วยอันเนื่องมาจากพบว่า IS ที่สร้างนั้นไม่สมบูรณ์ ขืนเกิดให้อาสาสมัครขึ้นไปสวมชุดเกราะแล้วเกิดอันตรายขึ้นมา มันจะส่งผลเสียถึงความมั่นคงต่อประเทศเราและประเทศของคุณเนื่องมาจากผู้บาดเจ็บจากการทดลองสวมชุดนี้" จิฟุยุรีบเข้าเนื้องเรื่องที่จะพูดทันทีเพราะด้วยเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่ค่อยอ้อมค้อมเหมือนกับบุคลิคของเธอ
"ดะ...เดี๋ยวสิครับ ? จะเอากลับไปเหรอครับ ?"
"ผู้สังเกตการณ์ไม่ใช่มีชั้นคนเดียวหรอกนะ ความเคลื่อนไหวในการสร้าง IS พวกเราจับตาทุกฝีก้าว...และเหตุผลสำคัญที่พวกเราจะต้องขอกลับคืนไป คือทางเราเพิ่งได้รับข่าวว่า ตอนที่ทางรัฐบาลไทยไปเอา Core จากทางเราแล้วเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง....แทนที่ทางคุณจะมาแจ้งข่าวเพื่อให้เราทราบแต่ก็ไม่แน่ชัดนักว่าจริงหรือไม่ และอาจจะเป็นไปได้ว่า IS core ที่ญี่ปุ่นส่งมาให้พวกคุณอาจจะเสียหายอาจจะใช้สร้างไปแล้วหรือเปลี่ยนไปใช้ IS Core ที่ผิดกฎหมายแทนที่พังเสียหาย ฉะนั้น ขอให้พวกคุณยุติเรื่องที่พวกคุณทำแล้วโปรดส่ง IS คืนให้พวกเราด้วย" เธอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้หมวดได้ยินก็ถึงกับสีหน้าถอดสีเลยทันที เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า ทางเราได้แอบทำเรื่องผิดสนธิสัญญาณแอดแลนติึคด้วย และเรื่องอุบัติเหตุในการนำ IS Core กลับมาประเทศไทย ก็อาจจะเป็นเรื่องจริงถ้าเรื่องนี้มีการตรวจสอบจริงๆ และนั้นหมายถึง อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ไทย ญี่ปุ่นและเยอรมันด้วย
ชัยฤทธิ์ชะงักไปช่วงหนึ่ง เขาก็ได้สติกลับมารีบแจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบโดยเฉพาะ ผู้พันผู้บังคับบัญชาของเขาที่รับผิดชอบในงานนี้ด้วย เขารีบโทรศัทพ์หาผู้พันทันทีและแจ้งเรื่องให้ทราบ
"ท่านครับ ผู้สังเกตุการณ์ของญี่ปุ่นบอกให้ยกเลิกการหาอาสาสมัครขึ้นขับ IS และคืน ISให้กับพวกเขาครับ"
การสนทนาผ่านโทรศัทพ์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและจบด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองของเขา ถึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาคืน และได้ทำผิดกฎหรือไม่ ไม่มีใครรู้เพราะเบื้องบนก็ไมไ่ด้แจ้งอะไรให้ทราบเลย
"คุณโอริมุระครับ...ทางเราได้ยกเลิกการดำเนินเรื่อง IS แล้วครับ"
"ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะ....ลอร่า ขากลับเธอขับ IS ที่ว่านั้นไปที่ ที่พักด้วยล่ะ" จิฟุยุหันไปพูดกับหญิงสาวชุดเครื่องแบบ IS ผมสีเงินที่กำลังจิบชาอยู่อย่างไม่รู้สึกอะไร
"รับทราบค่ะ"เธอตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"และก็ขอโทษด้วยค่ะ และช่วยพาลอร่าไปที่ห้องเก็บ ISที่พวกคุณสร้างด้วย ส่วนฉันขอตัวก่อน"เธอลุกขึ้นยืนช้าๆแล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจใยดีเลยเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งให้สาวน้อยผมสีเทาที่มีผ้าปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
"พาฉันไปหน่อยสิผู้หมวด"เสียงของหญิงสาวดังขึ้น
"คะ....ครับ"ชัยฤทธิ์เดินนำทางให้ลอร่าไปที่ห้องเก็บ IS
ตอนนี้กิจกรรมทุกอย่างถูกยกเลิกไปแล้ว ทางประชาชนหญฺงสาวไฟแรงที่รอคอบอยากขับ IS ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องเมื่อมีคำสั่งให้ยกเลิกกระทันหันและเก็บ IS ทันที และตอนนี้ ISที่ว่าก็คงอยู่ในห้องเก็บนิรภัยอย่างดีเรียบร้อย
ชายหนุ่มเดินนำทางมาที่ห้องลับสุดยอดของกองทัพ ซึ่งใช้เป็นที่เก็บ ISที่สร้างขึ้น เขาใช้มือกดรหัสที่ประตูอัตโนมัติ มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากภายในโรงเก็บพิเศษแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่รู้รหัส ก็ยากมากที่จะสามารถเข้าไปข้างในนี้ได้
ทั้งคู่เดินเข้าไปข้างในที่ค่อนข้างมืดสลัว มีไฟสปอร์ตไลท์ส่องตัว IS สีดำเงา ลักษณะเป็นชุดเกราะจักรกลที่สีดำเงาเกือบทั้งตัว แต่ที่น่าสังเกตุคือว่า ข้างหลังนั้นเป็นปีก ที่ดูคล้ายกับโครงปีกที่ไร้เนื้อหนังเสียมากกว่าที่จะเรียกปีกส่วนอาวุธนั้นยังไม่ได้รับการติดตั้งเนื่องจากยังไม่มีคนที่ขับได้นั้นเอง
ลอร่า โบเดวิก เธอเดินเข้าไปไม่พูดอะไรมาก ย่างก้าวเข้ามาใช้เรียวมือของเธอสัมผัสที่บนตัว IS เพื่อทำปฎิกิริยาในการเรียกใช้ IS เพราะตัวนี้ยังไม่ทีใครสามารถขับได้เลยสักคน การแตะสัมผัส IS ถือเป็นการลงทะเบียนให้กับ IS เพื่อตอบรับข้อมูลคนที่จะเข้ามาสวมมันครั้งนี้
ชุดเกราะสีดำตอบสนอง หน้าจอโพโรแกรมแสดงผล มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเด็กสาว
"นี่หรือ....ร้อยตรี ลอร่า โบเดวิก ตัวแทนจากเยอรมันที่เป็นนักขับระดับหัวกะทิ" ผู้หมวดก็ไม่ใช่จะไม่รู้ข่าวคราว IS ซะทีเดียว เพราะคนดังขนาดนี้ ในวงการกว้างๆย่อมรู้จักเป็นอย่างดี
แต่ผิดคาด หลังจากที่เธอกำลังจะออกคำสั่งใส่เริ่มทำการสวมชุด หน้าจอโพโรแกรมก็ขึ้นบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า 'ระบบต่อต้าน ทำงาน'
ลอร่าต้องรีบถอยทันทีเพราะว่าเธอรู้สึกร้อนราวกับเหมือนมีคนกำลังเอาไฟมาเผาเสียอย่างนั้น
โชคดีที่ว่า การตอบสนองเธอรวดเร็วพอ จึงได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น
"ทำไมกัน...."เธอยังคงตกใจอยู่เนื่องจากว่า ทั้งที่เป็น IS ที่ยังไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของ คนอื่นก็นาจะขับได้โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์อย่างเธอ
"อย่างที่ได้รับรายงานข้างต้นแหละครับ ผู้ใดที่สวมชุดเกราะนี้ จะเหมือนถูกเผาราวกับถูกไฟคลอกครับ"
"ฉันไม่มีทางเชื่อเรื่องไรสาระพวกนี้หรอก มันก็แค่ระบบต่อต้าน แต่มันก็น่าแปลกนะทำไมต่อต้านฉันทั้งที่เครื่องนี้ยังไม่มีเจ้าของ"
ลอร่าจะพยายามสวมชุดเกราะนี้อีกครั้ง เสียงไซแจ้งเตือนระวังภัยเกิดขึ้น
เพียงชั่วอดใจเท่านั้นเองก็ได้มีสัญญาณแจ้งเตือนมาก็คือผู้บุกรุก และก็กำลังมุ่งมาที่นี่ผ่านทางวิทยุสือสาร
"มีผู้บุกรุกได้ลับลอกเข้ามาที่นี่ และกำลังมุ่งไปที่โรงเก็บIS ผู้บุกรุกมีคนเดียวครับ แต่ทำไมพวกเรา....อ๊อค !!!"เสียงวิทยุขาดการติดต่อไป ราวกับว่าผู้ติดต่อมาถูกทำร้ายก่อนที่จะพูดจบ
"ผู้หมวดลอร่าครับ ! ระวังตัวด้วย มีวิทยุแจ้งมาว่ามีผู้บุกรุก" ชายหนุ่มควักปืนพกจากข้างเอวออกมาเตรียมต้อนรับสิ่งที่กำลังย่างกรายเข้ามา พร้อมกับได้ยินเสียงฝีเท้าที่เริ่มดังขึ้นเรื่องๆจากการวิ่ง
หมวดชัยฤทธิ์เริ่มเห็นสิ่งที่วิ่งเข้ามาจนถนัดตาเขาถึงกับตกตะลึง เพราะที่เขาเห็นคือ เด็กหนุ่มที่อายุราวๆพอกับลอร่า ผมสีน้ำตาลสั้น นัยต์ตาที่แข็งกร้าวและแฝงด้วยความอ่อนโยนนั้น ที่เขาพบเห็นเดินสวนทางกับเขาเกือบทุกวันตอนเลิกงาน
"นะ....นาย !?"ชัยฤทธิ์อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็หันเล็งปากกระบอกปืนใส่เป้าหมายทันที
เด็กหนุ่มผู้นั้นก็จ้องเขม้งไม่วางตา...แต่ไม่ได้จ้องชัยฤทธิ์ เขาจับจ้องมองไปที่ลอร่า แถมส่งสายตาแทนคำพูดประมาณว่า 'ถอยไป'
"เจ้าหนู ! ถ้าไม่ออกไปชั้นจะัยิงจริงๆนะ !"ผู้หมวดหนุ่มจับปืนกระชับแน่น แต่เล็งไว้ที่ไม่โดนจุดสำคัญเพราะเพียงแค่ต้องการหยุดเป้าหมายเท่านั้น
แต่เหมือนไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลย แถมยังกลับเดินเข้ามาหาดื้อๆราวกับว่า 'นายยิงไม่ได้หรอก' และก็เป็นอย่างว่าจริงๆเมื่อพยายามลั่นไก ปรากฎว่ายิงไม่ออก
"เฮ้ย !!" ชัยฤทธิ์ดึงลูกเลื่อนอีกครั้งคิดว่า กระสุนติดขัด แต่เป้าหมายหมา่ยไม่อยู่แล้ว เพราะวิ่งผ่านเขาไปแบบไม่รู้ตัว
ลอร่านั้นไหวพริบนั้นไวอยู่จึงหันหลังเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้ามาที่เป้าหมายคือ ชุดเกราะ IS พยายามจะเตะขัดขาเสีย
แต่การขัดขาครั้งนี้ก็เกือบทำสำเร็จ อีกฝ่ายนั้นยกขากระโดดหลบได้แบบเส้นยาแแดงผ่าแปด และวิ่งเข้ามาถึงตัวชุดเกราะสีดำจนได้
"หยุดนะ!! ถ้าขืนแกขยับตัวเอง คราวนี้แกจะเจ็บตัว !"ชัยฤทธิ์หันปากกระบอกปืนเล็งไปอีกครั้ง
ส่วนลอร่าก็ตกใจเล็กน้อยกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ได้แต่หันไปมองและไม่ได้พูดอะไร ส่วนเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้สนใจคนทั้งสองเลย เขาเอามือสัมผัสชุดเกราะ IS สีดำ และภาพโพโรแกรมในตัวชุดเกราะเริ่มแสดงผล แถมพูดคุยกับชุดเกระาราวกับมันมีชีวิต
"ในที่สุด....การรอคอยมาตลอด3ปีก็ได้พบเจอกันอีก ฉันกลับมาแล้วนะ"เด็กหนุ่มใช้มือลูบชุดเกราะเบาๆด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะดวงตาเริ่มโศกเศร้าราวกับว่ารู้สึกไม่ได้พบกันเสียนานเลย
โพโรแกรมในตัวชุดเกระาแสดงผล ลงทะเบียนข้อมูลแสดงปฎิกิริยาตอบกลับ พร้อมที่จะให้ผู้ที่ถูกเลือกได้สวมมัน
"ไม่จริงน่ะ...หรือว่า !?"ลอร่าถึงกับตาค้างไปพักหนึ่งพร้อมกับอุทานออกมา เพราะไม่คดิว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้กับผู้ชายคนนี้
"อย่าบอกว่า...!!?"ชัยฤทธิ์ถึงกับตกใจลั่นไกปืนไม่ออกเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
...ผู้ชายที่ขับ IS ได้คนที่สองของโลก
เด็กหนุ่มเข้าไปสวมชุดเกราะ IS ระบบของชุดเกระาทำงานทันที ไม่มีการต่อต้านเหมือนแต่ก่อนราวกับว่า มันได้เลือกผู้เป็นนายของมันแล้ว
เด็กหนุ่มที่มาจากไหนไม่รู้ได้สวมชุด IS สีดำเป็นที่เรียบร้อย ปีกที่ดูเหมือนโครงเปล่าๆสยายออกกว้างขึ้น และIS ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ชายคนนี้แล้ว
แต่ว่าก็ไม่มีเวลาที่จะตกใจอีก เพราะถึงจะสวมใส่ได้แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามาเพื่อจุดประสงค์แค่นี้หรือมากกว่านั้น
"นายเป็นใครกัน !?"เสียงของเด็กสาวเอ่ยถามขึ้น
"ท้องฟ้ากำลังพูดกับฉันว่า...ผู้ที่โบยบินบนท้องฟ้าพร้อมเปลวไฟเพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสรรพสิ่ง...[อัคคี เพลิงศาสตรา] จำเอาไว้ให้ดีล่ะ" เด็กหนุ่มที่แนะนำตัวเองอย่างคนหลงตัวเองเอามากๆที่ชื่ออัคคีได้เงยมองบนเพดานแล้วพูดต่อ"ไปกันเถอะ อัคคามิฬ เรามาโบยบินด้วยกันเถอะ"
เขาบังคับชุดเกราะที่เป็นหนึ่งเดียวกับเขาพุ่งทะยานออกจากประตูโรงเก็บ IS อย่างรวดเร็ว จนทั้งชัยฤทธิ์และลอร่าต้องรีบกระโจนหลบออกไปทันที และทำได้แค่มอง เด็กหนุ่มที่บินหายขึ้นสู่ท้องฟ้าไป
"ไม่อยากจะเชื่อ! ผู้ชายขับ IS ได้ !"ผู้หมวดหนุ่มรีบลุกขึ้น รีบตั้งสติแล้วแจ้งทุกหน่วยให้ทราบว่าตอนนี้ IS ถูกขโมยไปแล้วแต่ทว่าลอร่าได้เอามือจับห้ามอีกฝ่ายเอาไว
"ฉันจะตามกลับมาเอง และอย่าเพิ่งแจ้งเรื่องนี้ให้ใครรู้" เธอกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ลอร่าได้หลับตาลงและเพ่งไปที่เครื่องประดับของเธอจนแสงสว่างวูบวาบไปมาราวกับเล่นกล และเธอก็ปรากฎในชุดเกราะ IS สีดำเช่นกันพร้อมกับอาวุธปืนครบมือ ซึ่งต่างกับ ISอีกฝ่ายที่ไม่มีอะไรเลย
"ไปกันเถอะ Schwarz Regen..." เธอพูดจบก็ขับ IS ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าตามโดยทิ้งคนข้างหลังเอาไว้คนเดียว
...ตลอดเวลาที่ฉันรอคอยเธอ...
...ก็ถึงเวลาที่เราได้พบกันอีก...
...ชั้นสัญญาเอาไว้แล้วนิ...
...เราจะโบยบินด้วยกัน อัคคามิฬ...
...เราเคยถามคุณปู่เอาไว้ว่า...
...ถ้าเราคิดถึงคนที่เรารักที่อยู่ห่างไกลพ้น จะทำอย่างไร...
...คุณปู่ของชั้นเคยพูดเอาไว้ จงถามหาฟ้า จงสดับฟังเสียงกระซิบของฟ้า...
...ฟ้าจะตอบเรา เพราะเราอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน...
พระอาทิตย์กำลังลงตรงกลางหัวอย่างเจิดจ้า ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง เหนือพื้นดินที่สูงลิบจนยากจะมองเห็นประชาชนคงคิดว่านั้นคงเป็นแสงของอาทิตย์ทรงกลดสองสีที่วิ่งวนไปวนมาบนหัวเราเป็นแสงเล็กๆก็เป็นได้ที่มันชนกันไปกันมา และหลังจากนั้นแสงสีทั้งสองเส้นก็บินลับหายไป แต่จริงๆมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
โครม !!!!
อัคคี เพลิงศาสตรา เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ที่มาที่ไปสามารถขึ้นสวมเกราะ ISปริศานาสีดำนี้เอาไว้ ได้ร่วงหล่นพื้น ซึ่งจะให้ดูรอบๆแล้วที่นี้มีแต่ดินเลนกับป่าโกงกาง...ที่นี่คือ ชายฝั่งทะเลของเมืองหลวง ซึ่งเป็นสภาพที่มีคนอาศัยอยู่ค่อนข้างน้อยมาก และจุดตรงนี้ก็ห่างไกลจากผู้คนด้วย
"ยอมแพ้แล้วมอบ IS นั้นมา นายไม่มีทางสู้ Schwarzer Regen ได้หรอก" ร้อยตรี ลอร่า โบเดวิก นักเรียนของโรงเรียน IS ผมยาวสีเทาพร้อมนัยน์ตาที่เยือกเย็นพร้อมที่คาดตาปิดไว้ข้างหนึ่ง เธอสวม IS ชุดเกราะสีดำเช่นกันและรอบตัวเธอเป็นอาวุธหนักเพื่อเน้นการสังหารจากระยะไกลโดยเฉพาะ
IS ของลอร่าคือ Schwarzer Regen เป็น IS รุ่นที่3ของ เยอรมัน ซึ่งใช้อาวุธประเภท Beam Heavy Altillery หรือประเภทชุดเกราะกึ่งยานเกราะที่มีการโจมตีสนับสนุนจากระยะไกล แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจุดอ่อนจะอยู่ที่ระยะใกล้ เพราะเธอสามารถสร้างสนามพลังป้องกันแบบ AIC หรือระบบสนามแม่เหล็กที่ใช้ในการป้องกันสิ่งที่จู่โจมและสลายมันเช่น จรวจหรือปืนใหญ่ ซึ่งใช้ในกับรถถังสมัยใหม่
เจอแบบนี้มันยากจะเข้าโจมตีระยะประชิดได้ ถ้าไม่นับจากการเคลื่อนไหวและการบินที่อาจจะช้า แต่ถูกทดแทนด้วย ระบบล๊อคเป้าหมายที่แม่นยำสูงมาก สรุปคือ....แทบมองไม่เห็นจุดอ่อนของเธอเลย
"เธอมีดีแค่นี้หรือ....อย่างไรกัน" อีกฝ่ายที่สวม IS สีดำเช่นกัน มีปีกที่ดูคล้ายโครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนัง พยายามลุกขึ้นและเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมาย แต่ท่าทางสะบัดสะบอมน่าดูเพราะถูกเล่นงานจากบนกลางอากาศมาแล้ว และที่สำคัญ ถึงจะขับISได้แต่ก็ไม่รู้ว่า ชุดเกระาจักรกลนี้มีคุณสวมบัติอะไรบ้าง แถมไม่มีอาวุธด้วย ที่ผ่านมาเลยต่อสู้กับลอร่าด้วยมือเปล่าเท่านั้น
"ต่อให้นายลุกสักกี่ครั้ง ชั้นก็จะยิงนายจนกว่าจะยอมแพ้"
"คนที่จะต้องแพ้คือเธอต่างหากล่ะ....รู้หรือเปล่าตอนที่สู้บนฟ้าน่ะ เธอคงคิดสินะว่ายิงใส่ชั้นตอนที่บินใต้เธอได้ทุกนัดไม่พลาดเป้าสินะ"
"รู้ตัวแบบนี้ยังจะทุรังฝืนอีกเหรอไง"
"ก็เพราะประชาชนข้างล่าง ฉันคือผู้ปกป้องยังไงล่ะ...แต่ถ้าเป็นที่นี่ ชั้นก็จะล้มเธออย่างเต็มที่ด้วยมือเปล่า ภายใน3กระบวนท่า"
"..." ลอร่าเริ่มทบทวนการต่อสู้ก่อนหน้าที่บินอยู่บนท้องฟ้า เธอสังเกตได้ว่า ตอนเวลาที่อัคคีบินอยู่ใต้เท้าของเธอ เจ้านี้จะเข้ามาเข้ารับกระสุนทุกนัดที่เธอยิงทุกครั้ง ตรงกันข้าม ถ้าเธอยิงบนฟ้าตอนที่อัคคีอยู่เหนือหัว แทบจะยิงไม่โดนเลย และก็พบความจริง
ที่จริงคนขับ IS ผู้หลงตัวเองนี้ ไม่ใช่ฝีมือธรรมดาราวกับว่าเคยฝึกฝนมานาน แต่ที่ตอนอัคคีบินใต้ลอร่า เขาจงใจเอาตัวขวางกระสุนเพื่อป้องกันคนที่อยู่ข้างล่างนั้นเอง
"เข้าใจแล้วล่ะ ชั้นก็จะล้มนายให้เร็วที่สุดเพื่้อให้ภารกิจลุล่วง..." ลอร่ายกกระบอกปืนใหญ่ขึ้น เข้าที่เป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า
"ท้องฟ้ากำลังพูดกับฉันว่า...หากฉันจะล้มเธอซะอย่าง ฟ้าก็ย่อมเข้าข้างฉันอยู่ดี"
อัคคีค่อยๆเงยมองท้องฟ้าให้แสงแยงเข้าตา โดยไม่รู้หรืออย่างไรว่า ลำแสงจากปากกระบอกปืนใหญ่ได้ลั่นยิงใส่ทันทีหลังจากพูดเสร็จโดยไม่คิดมาก
ซูม !!!
เสียงแผดกัมปนาทดังขึ้นจนพื้นที่เลนทรายรอบๆแหวกอากาศตามลำแสงที่พุ่งใส่เป้าหมาย
เป้าหมายแหลกสลายราวกับเป็นสายลมในทันทีหลังเสียงปืนหยุดลง แต่แปลกที่ว่ามันหายไปราวกับว่าไม่มีตัวตน
"..."เธอตกใจที่อยู่ๆก็หายไป แต่ไม่ประมาทเธอเปิดสนามพลังป้องกัน AIC ทันทีแล้วใช้ปืนไรเฟิลพิสัยระยะกลางพร้อมสอดส่องโดยมีโปรแกรมตรวจจับล๊อคเป้าช่วยบนหน้าของตัวเองซึ่งแสดงผ่านทางโพโรแกรม
แต่ลอร่าเริ่มรู้สึกได้ว่า อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะจนเหงื่อเริ่มไหลลงต้นคอ
"ข้างหลัง !?"เธอรู้ว่าเป้าหมายอยู่ข้างหลังตามสัญชาตญาณ เธอกลับหลังหันควับแล้วชกด้วยหมัดซ้ายตรงทันทีหมายให้โดนใบหน้าศัตรู แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงใช้โปรแกรมตรวจจับไม่ได้ ถึงขนาดต้องรับรู้ด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น
อัคคียิ้มในมุมปากอย่างพอใจแม้จะถูกจับตัวได้ แต่เมื่ออยู่ในระยะประชิดก็ถือว่าเขาทางเขาและ แม้จะมีสนามพลังป้องกันอยู่ แต่ก็ย่อมใช้พลังงานไปไม่น้อย ถ้าสงวนพลังงานเอาไว้ หลอกล่อให้อีกฝ่ายกดดันให้ใช้พลังงานจนหมด โอกาสชนะก็มีไม่ยาก
อัคคีรีบก้าวเท้าขวาหลบไปทางกึ่งขวา พร้อมทั้งโน้มตัวเอนไปทางขวา ขาขวางอเล็กน้อยศีรษะและตัวหลบออกวงนอกของหมัดลอร่า ใช้มือขวา จับคว่ำมือที่แขนท่อนบนของลอร่า มือซ้าย จับกำหงายที่ข้อมือของเธอ
"อะไรกัน !!" เธอขยับแขนซ้ายไม่ได้ แถมยังเจ็บปวดอีกด้วย
"เธอพึ่งพาเทคโนโลยีจนกระทั้งลืมวิถีของตัวเองยังไงล่ะ"สายตาที่แข็งกร้าวสบตากับสายตาที่เยือกเย็น แม้ตอนนี้เริ่มหวั่นไหวบ้าง แล้วพูดต่อ"ท่าสลับฟันปลา เป็นท่าพื้นฐานที่ใช้ในการหยุดหมัดคู่ต่อสู้ใน มวยไทย มวยที่อันตรายที่สุดในโลกยังไงล่ะ"
"กรอด...."ลอร่าขบเขี้ยว เคี้ยวฟันใช้มือขวาที่ถือไรเฟิลอยู่ยิงจ่อระยะเผาขนทันที
ซูม !!
ร่างของ IS สลายไปกับสายลมเหมือนตอนครั้งแรก
"บ้าชัดๆ !" ลอร่าเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ประมาทแม้อีกฝ่ายจะไม่มีอาวุธก็ตาม และเธอสังเกตุอีกครั้ง ว่า อัคคีกระโดดจากข้างบนพุ่งเข้ามาปล่อยหมัดขวาตรงใส่ลอร่าทันทีด้วยระยะที่หมัดสามารถไปถึงตัวได้
แต่เธอก็ไม่สามารถใช้ปืนในระยะประชิดขนาดนี้ได้จึงซัดหมัดซ้ายตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
อัคคีรีบรีบก้าวเท้าสืบตามไป ข้างหน้าเฉียงไปทางกึ่งซ้ายเล็กน้อยภายในแขนซ้ายของลอร่า ตัวเอนทิ้งน้ำหนักลงเท้าซ้ายพร้อมกับ งอแขนทั้งสองข้าง ขึ้นปะทะแขนท่อนบนและ ท่อนล่างของเธอไว้อย่างรวดเร็ว โดยหมัดของ อัคคีชิดกันยกป้องขึ้น หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดซ้ายอย่างรวดเร็ว แต่หยุดหมุดไว้เพียงตรงที่หน้าผากแล้วดีดหน้าผากอย่างแรง
เพี๊ยะ !
"แก !! " ลอร่าถึงกับตะคอกออกมาพร้อมถอยมาตั้งหลักหลังโดนดีดนิ้วใส่หน้าผากจนขึ้นนูนแดง แกมด้วยความอับอายที่ไม่เคยถูกผู้ใดหยามขนาดนี้มาก่อน
"ปักษาแหวกรัง เป็นแค่ท่าพื้นฐานในการสวนกลับคู่ต่อสู้เท่านั้น" อัคคีชี้หน้าแล้วกระดิกนิ้ว ยั่วยุลอร่าให้เข้ามาโจมตีได้เลย
"กล้าท้าอย่างงั้นเหรอ !!?" เธอใช่ฉมวกจากส่วนบนของตัวเกราะยิงพร้อมกันติดต่อกะัว่าไม่ให้เหลือแม้ซาก
และก็เข้าทางของเขาเพื่อเจาะจงให้ฟิลด์ขาด เพราะรู้ว่าตัวเองสู้ระยะไกลไม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่มีอาวุธอะไรเลย ระที่จังหวะอีกฝ่ายยิงมา ก็พุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็ว หลบฉมวกที่ยิงออกมามากมายแต่ไร้ซึ่งความแม่นยำได้ทุกนัดจนเข้าสู่ระยะประชิด
"เสร็จกัน !!" ลอร่ารีบกางพลังสนามป้องกัน AICทันทีแต่ทว่าก็ช้าไปหนึ่งก้าวสำหรับเธอ
"หนุมาน ถวายแหวน !!!" อัคคีก้มตัวลงอยู่ในระดับเอวของลอร่า กำหมัดไว้แน่นสองข้าง แล้วประกบท่อนแขนจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วชกเสยเข้าที่ท้องลอร่าอย่างจังในทันที
"!!!"เธอพูดไม่ออกและไม่อยากเชื่อในสายตา เพราะเธออยู่ในสภาพพร้อมกว่าแท้ๆแต่กลับแพ้ ISที่เพิ่งสร้างเสร็จแถมไม่มีอาวุธอะไรเลยสามารถล้มเธอได้ด้วยมือเปล่า
มันทั้งจุกและเจ็บจนพูดไม่ออก ถึงจะมีค่าป้องกันพื้นฐานที่ช่วยลดแรงปะทะของหมัดได้ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้อีก เธอทรุดลงไปนั่งทันที
"ชนะแล้วสินะ"แต่อีกฝ่ายก็ถึงกับสะบัดสะบอมและหอมไปตามๆกัน เขายกมือทั้งสองข้างแล้วทำท่ากางปีกช้าๆ เงยมองแสงให้แยงตา
หลังจากนั้น สติของอัคคีเริ่มเลือนรางเหมือนว่าจะดับวูบไป รู้สึกตัวแต่เหมือนจะขยับตัวไม่ได้ีอีก เขาล้มลงนอนหงายทั้งยืน อาจจะเป็นเพราะจากการต่อสู้ก่อนหน้านั้นที่โดนกระหน่ำยิงอยู่ไม่น้อยเพียงแค่ไม่ให้คนข้างล่างโดนลูกหลง
"...."ลอร่ารู้สึกอาการจุกเสียดนั้นหายไปแล้วก็หันมามองอัคคีที่นอนมองฟ้าไม่ขยับเคลื่อนไหวอีก ในสภาพที่ได้ถอดชุด IS ออกมาแล้ว และชุด ISสีดำนั้นก็ได้กลายเป็นจี้สร้อยคอรูปเปลวไฟสีดำห้อยอยู่บนหน้าอกของเขา
"ภารกิจเสร็จสิ้น"น้ำเสียงของเธอเปล่งออกมาด้วยความเจ็บใจ ถึงแม้ภารกิจจะจบด้วยลอร่าเป็นฝ่ายที่ชนะโดยสมบูรณ์ก็ตาม เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่นอนไม่เคลื่อนไหวในสภาพไร้ชุดเกราะแล้วพูดกับเขา
"ทำไมนายไม่จัดการชั้นล่ะ"
"ก็บอกแล้วไง....ฉันแค่อยากจะล้มเธอภายใน3กระบวนท่า และฉันก็ทำได้"อัคคีนอนหัวเระาอย่างสบายใจ
"ถ้าเป็นในสงคราม ไม่มีใครคงปราณีหรอกนะ"
"แต่นี่ไม่ใช่สงคราม"
"..."เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปอีก ลอร่าได้แบกร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้นอนหนุนบนมือของชุดเกราะ IS แล้วพากลับไปที่จุดที่พักของเธอทันที่ ซึ่งห่างจากจุดต่อสู้ตรงนี้ พอสมควร
และระหว่างทางที่ลอร่านำร่างบินพากลับไป อัคคีใช้แรงอันน้อยนิ้วยกนิ้วชี้ฟ้าที่ดวงตะวันเริ่มบ่ายคล้อยแล้วพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนแรงและเหน็ดเหนื่อยว่า
"ที่ฉันไปบุกเข้ามาตอนนั้นเพื่อที่จะพา อัคคามิฬมาโบยบินบนท้องฟ้าด้วยกันกับชั้น ก็แค่นั้นเอง"
"อัคคามิฬ ?....."
"เป็นชื่อของชุด IS ที่ชั้นเพิ่งตั้งขึ้นยังไงล่ะ"
"ตอนนี้ทางเรากำลังยึดกลับไป มันไม่ใช่ของนาย"
"ฉันขับมันได้นิ แสดงว่ามันต้องเป็นของฉัน
"นายเป็นคนที่เพี้ยนที่สุดที่ชั้นเคยพบเจอ"
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันประปรายบนท้องฟ้า จนกระทั้งถึงโรงพยาบาล จึงได้จัดการส่งอัคคีที่บาดเจ็บเข้าไปโรงพยาบาล ส่วนลอร่าก็กลับที่พักของตน เพื่อรายงาน จิฟุยุ ทราบความคลืบหน้าด้วย
วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน พอลืมตาตื่นอีกทีก็เห็นแต่ห้องสีขาวๆกับเตียงสีขาวพร้อมกลิ่นอายของยาอบอวนไปหมด
ที่นี่คือโรงพยาบาล หลังจากต่อสู้กับลอร่าจนสามารถล้มเธอได้ภายใน3กระบวนท่า พอถึงโรงพยาบาลก็สลบไปทันที
อัคคีลืมตาช้าๆจากเตียงคนไข้ ร่างกายเจ็บปวดไปหมดแต่ก็พอทนได้ลุกขึ้นนั่งมองหน้าตาที่พระอาทิตย์ลอยขึ้นเอื่อยๆ
"ตื่นแล้วสินะ"น้ำเสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่พร้อมกับบุคลิคที่ดูสง่างามใส่ชุดสูทผู้หญิง เธอนั่งเฝ้าไข้ได้สักพักแล้ว
"คุณคือ...."อัคคีหันไปมอง
"โอริมุระ จิฟุยุ อาจารย์ของโรงเรียน IS และมาฐานะผู้สังเกตุการณ์ด้วย"
"แล้วมีธุระอะไรกับผม"
"นายคือผู้ที่ขับISแล้วหนีออกไปแถมสามารถล้ม ลอร่าได้ด้วยมือเปล่าเพียง3หมัดใช่หรือไม่"
"ใช่แล้ว"
"ก็ดี....ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน 'ฉันทำเรื่องย้ายโรงเรียนแล้วให้นายเรียนที่โรงเรียน IS ซะ' ไม่มีข้อยกเว้นทุกกรณี"
"นั้นมันบังคับชัดๆ"
"ห้ามเถียง เพราะนายมีคุณบัติที่ขับ ISได้ ทางเราจึงต้องการนาย และอีกอย่างทางไทยทำผิดกฎสนธิสัญญาแอดแลนติค ฉะนั้นนายต้องรับผิดชอบโดยการเป็นบุคคลากรที่มีค่าของเรา"
"งั้นเหรอ ? ไม่ตกใจหรือไงว่าชั้นเป็นผู้ชายที่ขับISได้"
"ยังมีอีกคนที่เป็นผู้ชายที่ขับ IS เหมือนกัน"
"ฉันไม่มีเงินส่งเสียเรียนหรอกนะ"
"ได้แจ้งเรื่องไปทางรัฐบาลไทยแล้วว่า เราจะไม่ขอยึด IS เพราะนายใช้มันได้ มันก็เป็นของนาย แต่ว่าเราก็ต้องกลับไปและตรวจสอบ IS ของนายถึงจะผิดตามสนธิสัญญาจริงๆ แต่ไม่ต้องห่วงเราจะปรับเปลี่ยนแก้ไขให้โดยที่ไทยไม่ต้องชดเชยค่าเสียหายใดๆ แต่ต้องแลกกับนายต้องมาเรียน ที่สถาบัน IS ที่ญี่ปุ่น จนกว่าจะจบโดยรัฐบาลไทยก็ส่งให้นายเรียนด้วย ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายเหมือนกับทำงานชดใช้ความเสียหายที่นายก่อ"
"เป็นข้อเสนอที่ดีแฮะ(ถึงไม่รู้เรื่อง) เอาเป็นว่าตกลง"
"เข้าใจง่ายดีนิ"
การสนทนาก็ได้ดำเนินต่อไปสักพัก ลอร่าก็เปิดประตูเข้ามาระหว่างที่ทั้งสองสนทนาแบบห้วนๆ
"เขาตอบตกลงหรือยังคะ ครูฝึก"
"เขาเพิ่งตอบตกลงเมื่อครู่นี้เอง เธอดำเนินเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วนะ ?"
"ค่ะ ได้ทำเรื่องทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ว่า จะกลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ?"
"วันนี้เลย"จิฟุยุตอบเรียบๆ
อัคคีก็พอรู้ดีอยู่แล้วว่าโรงเรียน IS นั้นมีแต่ผู้หญิงและเป็นโรงเรียนเดียวที่เปิดสอนฝึกหัดนักบิน IS ด้วย คิดซะว่าเป็นการหาประสบการณ์ชีวิต
อาการบาดเจ็บของอัคคีนั้นไม่ได้สาหัสอะไรนักจึงเดินทางออกจากโรงพยาบาล เก็บสัมภาระทุกอย่าง จัดการธุระจนเสร็จสิ้นแล้วรอเจอกันที่สนามบิน ในค่ำวันนี้โดยที่ทางรัฐบาลไทยเป็นผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
...ก้าวสู่ไปที่แห่งใหม่...
...ถึงแม้ตัวเราจะอยู่ห่างไกล...
...แต่หัวใจและวิญญาณ จะอยู่ที่บ้านเกิดเสมอ...
...ถ้าคิดถึงกัน ก็จงเรียกหาท้องฟ้า เพราะเราอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน...
[Next Chapter : To be continued]
...มีสิ่งหนึ่งที่เธอได้มอบไว้ให้ชั้นก่อนตาย
...จี้รูปหยดน้ำตาของเธอนั้นได้ถูกให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางมัน
...ฉันรู้ว่าจิตวิญญาณอันอ่อนโยนของเธออยู่ในนั้น
...ฉันสัญญาว่า จะรอคอยเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการกำเนิดใหม่ของเธอในร่างชุดเกราะจักรกล
...แล้วเราจะโบยบินไปด้วยกัน...
ที่นี่คือประเทศไทย ประเทศเล็กๆที่กำลังพัฒนามีชื่อเสียงด้านอาหารและศิลปะการต่อสู้ทั้งวิชามวยไทยและวิชากระบี่กระบอกอันเลื่องชื่อ เป็นวัฒนธรรมที่อยู่ด้วยกันอย่างสงบและเรียบง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าประเทศนี้จะดูล้าหลังเพราะความเจริญนั้นก็เจริญขึ้นตามลำดับด้วย
ข่าวดีของประเทศไทยวันนี้ ซึ่งเคยประกาศเมื่อ3ปีก่อนว่า ทางรัฐบาลไทยได้ส่งหนังสือไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นและเยอรมันในการช่วยสร้าง ชุดเกราะจักรกล Infinite Stratos ให้ ถ้าการสร้างสำเร็จด้วยดีก็จะเป็น IS เครื่องที่ 468 ของโลกที่สร้างเป็น IS ส่วนตัว และแน่นอนถึงจะใช้งบประมาณที่ค่อนข้างสูง มีหลายฝ่ายคัดค้านแต่ผลที่ได้กลับคุ้มค่าเอาเสียมาก
ชุดเกราะจักรกล Infinite Stratos นั้นเป็นชุดเกราะที่ถูกคิดค้นจากชุดอวกาศของญี่ปุ่นเมื่อ 11 ปีก่อนหน้านั้น ถูกออกแบบให้สามารถบินได้ใกล้เคียงกับเครื่องบินไอพ่น เหาะเหินเดินอากาศได้ และติดตั้งอาวุธให้กับชุดเกราะจนกลายเป็นชุดเกราะติดอาวุธที่น่ากลัวและทั่วโลกต่างสนใจก็ต่างผลิตชุดเกราะจักรกลนี้เกือบทั่วโลกเพื่อใช้เป็นกองกำลังทางทหาร แต่แล้วก็ได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาแอตแลนติคขึ้นเพื่อไม่ให้ใช้ชุกเกราะจักรกลนี้ในการทหารหรือสงคราม แต่สามารถใช้ในการแข่งขันกีฬาและกำลังได้พิจารณาบรรจุอยู่ในการแข่งขันโอลิมปิคด้วย
ชุดเกราะจักรกลจะแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆคือส่วนที่เป็นชุดเกราะ ที่มีการสร้างด้วยวัสดุอย่างดีและได้ติดตั้ง ชุดบินไอพ่นกับอาวุธไว้ และส่วนที่สองคือ IS Core ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น CPU หรือมันสมองของชุดเกราะก็ย่อมได้ มันมีหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนการใช้งานของผู้ใช้ IS Core บางตัวถึงกับสามารถดึงพลังแฝงออกมาด้วยเลยก็มี
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสวมใส่มันได้ เพราะชุดเกราะจักรกลนี้ จะสวมใส่ได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายจะสวมใส่มันไม่ได้เพราะจะไม่มีการตอบสนองของ IS Core และ ชุดเกราะเลย
ระยะเวลาการสร้าง3ปีนั้น เรียบร้อยไม่มีปัญหาและตอนนี้ข่าวก็ได้เปิดตัว IS ของคนไทยอย่างเป็นทางการเรียบร้อยในขณะนี้ ข่าวก็ได้ประกาศออกไปสู่สายตาคนทั่วโลก
รูปทรงบอดี้ที่เป็นสีดำรมควัน และเงาเกิดจากแร่โลหะสีดำทางตอนเหนือของประเทศไทยซึ่งใช้เป็นส่วนผสมของการสร้างบอดี้ IS มีคุณสมบัติแข็งแรง เบา และทนทาน
มันมีความยืดหยุ่นและที่สำคัญ เป็นแร่ที่ทนไฟเอามากๆ เพราะเวลาเอาไปหลอมต้องใช้เตาหลอมแบบพิเศษเพื่อในการหลอมในอุณหภูมิสูงมากถึงจะขึ้นรูปร่างได้ ส่วนของอะไหล่อื่นๆนั้น ทางรัฐบาลเยอรมันได้ส่งอะไหล่ที่ดีที่สุดให้ไทย เพื่อใช้เป็นวัสดุในการประกอบและการสร้างพร้อมกับวิศวะกรจำนวนหนึ่งช่วยในการสร้างครั้งนี้และรัฐบาลญี่ปุ่นได้มอบ IS Core ให้พร้อมกับ ผู้สังเกตุการณ์2คนโดยที่ Core นั้น ทางไทยต้องไปรับเอาเองจนได้ IS สีดำ เครื่องที่ 468ของโลกเรียบร้อยภายในระยะเวลาการสร้าง3ปี จุดประสงค์เพื่อในการใช้ประเทศในด้านต่างๆภายในประเทศและถือเป็นต้นแบบของไทยเพื่อใช้ในการสร้างด้วยตัวเอง หลังจากทางญี่ปุ่นได้รับอนุญาติให้ไทยสร้าง IS ได้ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงหลายปีกว่าจะอนุมัติได้
IS ตัวนี้มีชื่อว่า Project Phoenix เป็นชื่อที่ตั้งโดยทั้ง3ประเทศ เพราะที่ตั้งชื่อนี้อาจจะเป็นเพราะขั้นตอนการหลอนโลหะที่ใช้เวลานานมากๆและแม้เหล็กจะเย็นตัวลง แต่ก็ยังไม่ได้ติดตั้งอาวุธให้เพราะว่ายังไม่ได้ผ่านการทดสอบเบื้องต้น
ไฟก็ยังมีการลุกโชนจนน่าประหลาดใจราวกับนกไฟอมตะ ก็เป็นได้
แต่การเปิดตัวครั้งนี้ยังไม่ได้เป็นทางการนักเพราะว่า....
"อะไรนะ ? นี่อาสาสมัครหญิงทั้งกองทัพก็ไม่สามารถขับขี่เจ้านี้ได้เลยเหรอเนี่ย !" ชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบของทหารอากาศ ยศบนบ่าบอกถึงว่าเป็นยศชั้นผู้ใหญ่ระดับสูงมากเลยทีเดียว
เขานั่งดูเอกสารบนโต๊ะทำงานที่ตั้งกองไว้อย่างวุ่นวาย เอกสารนั้นคือรายชื่ออาสาสมัครที่ต้องการขับขี่ IS กลับไม่มีใครผ่านเกณฑ์สักคน กำลังพูดกับชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเหมือนกันแลดูเป็นยศผู้น้อยกว่าด้วย
"ครับ นี่เป็นรายที่ 128 แล้วครับ ล่าสุดอาการสาหัสเกิดเป็นรอยแผลไฟคลอกเข้าส่งโรงพยาบาลเลยครับผู้พัน" ชายหนุ่มยืนถือเอกสารรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
จริงอยู่ที่ IS นั้น จะสามารถขับได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ที่น่าแปลกคือ อาสาสมัครที่ขึ้นไปขับขี่กลับไม่มีใครทนได้เกิน3นาที เพราะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันมีอาถรรพ์ เวลาขึ้นไปสวมชุดเท่านั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกไฟคลอกทั้งเป็น ยิ่งอยู่นานยิ่งร้อนจนทนไม่ไหวสุดท้ายก็รีบปลดชุดออกมา บางคนถึงกับเข้าส่งโรงพยาบาลเลยทีเดียว
ภายในห้องบัญชาการเล็กๆของกองทัพเรือ ทั้งสองที่กำลังคุยอยู่นั้นก็คือ นาวาอากาศเอกท่านหนึ่ง ผู้ที่ควบคุมเรื่องการหาอาสาสมัครผู้หญิงที่ขับ IS ได้ในครั้งนี้ กับ เรืออากาศตรี ชัยฤทธิ์ ศัตรูพ่าย รองผู้ควบคุมงานและเป็นผู้ดูแลในส่วนการสร้างISทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นในครั้งนี้
"ผมว่าควรที่จะลองให้ประชาชนทั่วไป ได้ทดลองสวมใส่ IS ดูนะครับ เพราะผู้หญิงเกือบหมดทั้งกองทัพก็ยังไม่มีใครสามารถขึ้นขับได้เกิน 3นาทีเลยครับ"
"ช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่าเริ่มประกาศให้ประชาชนทดลองขับได้เลย ประกาศด้วยว่า ใครขึ้นขับได้เกิน3นาทีโดยไม่เป็นอะไรเลย จะได้รับสิทธิพิเศษจากกองทัพเลย....แล้วก็ เรื่องที่อาสาสมัครหญิงบาดเจ็บอย่าให้นักข่าวเผยแพร่ข่าวออกไปได้ล่ะ"
"รับทราบครับ"
การสนทนาสิ้นสุดลงและปิดท้ายด้วยการทำความเคารพแบบทหารซึ่งกันและกัน ก่อนห้องนี้จะถูกปิดโดยทิ้งไว้ให้ผู้พันอยู่ในนั้นทำงานคนเดียวเงียบๆ...
ผู้หมวด ชัยฤทธิ์ อายุ 26ปี เป็นทหารอากาศที่สอบนายร้อยเข้าได้เมื่อ 3ปีก่อน เป็นหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง และหน้าตาที่ดีเอาการแต่เสียตรงที่ดวงตานั้นไม่ค่อยดูเป็นมิตรเอาเท่าไร ถึงจะไม่ใช่นิสัยนักเลงก็เถอะจึงไม่แปลกที่ไม่มีสาวๆกล้าเข้าใกล้สักคน
ยามเย็นที่ตะวันบ่ายคล้อย จากที่ต้องพยายามยืนสง่าแบบทหาร หลังจากพ้นเขตทหารไปก็ได้เวลาปล่อยเนื้อปล่อยตัวเดินห่อไหล่คอตก ถอนหายใจด้วยความเหนื่อย
"ไม่น่ารับงานจัดหาอาสาสมัครเลย ถ้ารู้ว่ามันเหนื่อยขนาดนี้ คงไม่รับดีกว่า" หนุ่มผมสีน้ำตาลบ่นพึมพำคนเดียวอย่างเหนื่อยใจ
จากเขตทหารไปถึงบ้านเขาก็ไกลเอาการอยู่ต้องนั่งรถไฟฟ้ากลับและตามด้วยรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้าทางกลับบ้าน
เขาไม่ใช่คนรวยอะไรนัก แต่ก็ไม่ถือว่าจะจนเสียทีเดียว เขามีนิสัยที่ค่อนข้างคิดมากเรื่องการใช้เงิน จึงไม่ได้ซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาเพราะคิดว่า รายได้เราคงผ่อนไม่ไหวถึงจะมีนโยบายรถคันแรก ก็ตาม อีกอย่างการโดยสารด้วยพาหนะก็ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
เขามาพร้อมกับเอกสารภายในกระเป๋าเอกสารถือ ข้างในเป็นข้อมูลในการจัดหาประกาศไว้เพียบต้องเตรียมประกาศข่าวทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ หรือในอินเตอร์เน็ตก็ดี จึงเป็นงานยุ่งสุดๆ แถมไม่ใช่หน่วยข่าวกรองที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่เสียด้วย
ขณะที่เขากำลังเดินเหม่ออยู่ขณะนั้น ก็ได้เดินสวนกับเด็กหนุ่มผมสีดำ ที่มีนัยต์ตาที่แข็งกร้าวและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน เดินผ่านหน้าเขาจากทางเดินจุดนี้อยู่ทุกวันตอนกลับบ้าน
เขารู้สึกว่าเขาคุ้นใบหน้าเด็กคนนี้มากๆ เหมือนจะรับรู้ได้ว่า เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนในกองทัพอย่างไงอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่เวลาควรที่จะสนใจตรงนี้
เขารีบขึ้นสถานี้รถไฟฟ้าแล้วดิ่งไปที่บ้านของเขา โลกก็ดำเนินเช่นนี้ไปตามปกติของเขา
โลกก็คงยังหมุนเวียนไปอยู่ทุกวัน...จนกระทั้งวันรุ่งขึ้น
ทางกองทัพอากาศกำลังจัดเตรียมห้องโถงให้เป็นห้องรับแขกอย่างดี เพราะว่าวันนี้ผู้สังเกตุการณ์สองท่านจากโรงเรียน IS ซึ่งเป็นตัวแทนจากญี่ปุ่น มาสังเกตุการณ์เพื่อหาคนที่ใช้ IS สีดำตัวนี้ด้วย ซึ่งผู้สังเกตการณ์ทั้งสองคนนั้นกำลังมาที่นี่ในไม่ช้า เพราะมีการแจ้งว่าได้ถึงสนามบินและกำลังเดินทางด้วยรถตู้ที่จัดเตรียมมาให้ คงถึงในอีกไม่ช้า
งานการต้อนรับครั้งนี้ หมวดชัยฤทธิ์ รับผิดชอบในครั้งนี้เพราะผู้พันกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลอาสาสมัครที่เริ่มทยอยเข้ามาอยู่อีกที่หลังจากที่หมวดนั้นได้แจ้งประกาศผ่านสื่อต่างๆไปแล้ว จึงไม่มีเวลาต้อนรับแขกเลย
ราวๆประมาณ15นาที ผู้สังเกตุการณ์จากโรงเรียน IS ได้เยือนห้องรับแขกของกองทัพอากาศที่ได้จัดเตรียมขึ้นแล้ว
ผู้สังเกตุการณ์ก้าวลงจากรถตู้อย่างช้าๆแต่ดูสง่างามทั้งคู่ เพราะทั้งสองเป็น คนของโรงเรียน IS คนแรกเป็นอาจารย์ผมสีดำมัดผมไว้ข้างหลังพร้อมชุดสูทแบบผู้หญิงดูเท่และสง่างามเข้ากับรองเท้าส้นสูงสีดำสนิทที่ตัดกับผิวสีขาวของเธอ คนที่สองเป็นนักเรียน IS ดีกรีแชมป์ISสมัยแรกและคนที่สองเป็นนักเรียน IS สาวผมสีเทามีที่คาดตาปิดตาข้างหนึ่ง ที่ยืนสง่าเป็นตัวแทนของนักเรียนทั้งหมด แถมมียศเป็นถึงร้อยตรีด้วย ที่จะมาสังเกตุการณ์ในวันนี้
"คนไทยต้อนรับดีจริงๆนะ" หญิงสาวชุดสูทเอ่ยขึ้น
"สวัสดีครับ คุณโอริมุระ จิฟุยุ...และ ร้อยตรี ลอร่า โบเดวิก เดินทางมาไกลคงเหนื่อย เชิญนั่งพักผ่อนคุยกันก่อนครับ" ชัยฤทธิ์กล่าวทักท้ายด้วยการพนมมือไหว้ เป็นสักษณ์ความอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย และเชื้อเชิญแขกเข้ามาพักผ่อนข้างในห้องรับแขกที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว
ทั้งสองเดินเข้ามานั่งบนโซฟาที่จัดเตรียมไว้ให้ รอบๆห้องจัดข้าวของไว้เป็นระเบียบ แถมมีกลิ่นอายของห้องทำงานของทหารเอาไว้เต็มที่
"ยินดีด้วยนะที่ประสบความสำเร็จในการณ์สร้างISในประเทศคุณ" จิฟุยุเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ขอบคุณมากครับ แต่ถึงสร้างเสร็จแล้วตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถสวมชุดขึ้นขี่ได้เลยครับ"ชัยฤทธิ์กล่าวตอบ
"ปัญหานี้ชั้นรู้อยู่แล้วล่ะ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยเกิดปัญหาแบบนี้ในที่อื่น พวกเราที่มาวันนี้พวกเรามีจุดประสงค์ไม่ได้มาสังเกตุการณ์อย่างเดียวหรอก เพราะว่าทางเราจะขอรับตัวISนี้กลับไปด้วยอันเนื่องมาจากพบว่า IS ที่สร้างนั้นไม่สมบูรณ์ ขืนเกิดให้อาสาสมัครขึ้นไปสวมชุดเกราะแล้วเกิดอันตรายขึ้นมา มันจะส่งผลเสียถึงความมั่นคงต่อประเทศเราและประเทศของคุณเนื่องมาจากผู้บาดเจ็บจากการทดลองสวมชุดนี้" จิฟุยุรีบเข้าเนื้องเรื่องที่จะพูดทันทีเพราะด้วยเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่ค่อยอ้อมค้อมเหมือนกับบุคลิคของเธอ
"ดะ...เดี๋ยวสิครับ ? จะเอากลับไปเหรอครับ ?"
"ผู้สังเกตการณ์ไม่ใช่มีชั้นคนเดียวหรอกนะ ความเคลื่อนไหวในการสร้าง IS พวกเราจับตาทุกฝีก้าว...และเหตุผลสำคัญที่พวกเราจะต้องขอกลับคืนไป คือทางเราเพิ่งได้รับข่าวว่า ตอนที่ทางรัฐบาลไทยไปเอา Core จากทางเราแล้วเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง....แทนที่ทางคุณจะมาแจ้งข่าวเพื่อให้เราทราบแต่ก็ไม่แน่ชัดนักว่าจริงหรือไม่ และอาจจะเป็นไปได้ว่า IS core ที่ญี่ปุ่นส่งมาให้พวกคุณอาจจะเสียหายอาจจะใช้สร้างไปแล้วหรือเปลี่ยนไปใช้ IS Core ที่ผิดกฎหมายแทนที่พังเสียหาย ฉะนั้น ขอให้พวกคุณยุติเรื่องที่พวกคุณทำแล้วโปรดส่ง IS คืนให้พวกเราด้วย" เธอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้หมวดได้ยินก็ถึงกับสีหน้าถอดสีเลยทันที เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า ทางเราได้แอบทำเรื่องผิดสนธิสัญญาณแอดแลนติึคด้วย และเรื่องอุบัติเหตุในการนำ IS Core กลับมาประเทศไทย ก็อาจจะเป็นเรื่องจริงถ้าเรื่องนี้มีการตรวจสอบจริงๆ และนั้นหมายถึง อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ไทย ญี่ปุ่นและเยอรมันด้วย
ชัยฤทธิ์ชะงักไปช่วงหนึ่ง เขาก็ได้สติกลับมารีบแจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบโดยเฉพาะ ผู้พันผู้บังคับบัญชาของเขาที่รับผิดชอบในงานนี้ด้วย เขารีบโทรศัทพ์หาผู้พันทันทีและแจ้งเรื่องให้ทราบ
"ท่านครับ ผู้สังเกตุการณ์ของญี่ปุ่นบอกให้ยกเลิกการหาอาสาสมัครขึ้นขับ IS และคืน ISให้กับพวกเขาครับ"
การสนทนาผ่านโทรศัทพ์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและจบด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองของเขา ถึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาคืน และได้ทำผิดกฎหรือไม่ ไม่มีใครรู้เพราะเบื้องบนก็ไมไ่ด้แจ้งอะไรให้ทราบเลย
"คุณโอริมุระครับ...ทางเราได้ยกเลิกการดำเนินเรื่อง IS แล้วครับ"
"ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะ....ลอร่า ขากลับเธอขับ IS ที่ว่านั้นไปที่ ที่พักด้วยล่ะ" จิฟุยุหันไปพูดกับหญิงสาวชุดเครื่องแบบ IS ผมสีเงินที่กำลังจิบชาอยู่อย่างไม่รู้สึกอะไร
"รับทราบค่ะ"เธอตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"และก็ขอโทษด้วยค่ะ และช่วยพาลอร่าไปที่ห้องเก็บ ISที่พวกคุณสร้างด้วย ส่วนฉันขอตัวก่อน"เธอลุกขึ้นยืนช้าๆแล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจใยดีเลยเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งให้สาวน้อยผมสีเทาที่มีผ้าปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
"พาฉันไปหน่อยสิผู้หมวด"เสียงของหญิงสาวดังขึ้น
"คะ....ครับ"ชัยฤทธิ์เดินนำทางให้ลอร่าไปที่ห้องเก็บ IS
ตอนนี้กิจกรรมทุกอย่างถูกยกเลิกไปแล้ว ทางประชาชนหญฺงสาวไฟแรงที่รอคอบอยากขับ IS ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องเมื่อมีคำสั่งให้ยกเลิกกระทันหันและเก็บ IS ทันที และตอนนี้ ISที่ว่าก็คงอยู่ในห้องเก็บนิรภัยอย่างดีเรียบร้อย
ชายหนุ่มเดินนำทางมาที่ห้องลับสุดยอดของกองทัพ ซึ่งใช้เป็นที่เก็บ ISที่สร้างขึ้น เขาใช้มือกดรหัสที่ประตูอัตโนมัติ มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากภายในโรงเก็บพิเศษแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่รู้รหัส ก็ยากมากที่จะสามารถเข้าไปข้างในนี้ได้
ทั้งคู่เดินเข้าไปข้างในที่ค่อนข้างมืดสลัว มีไฟสปอร์ตไลท์ส่องตัว IS สีดำเงา ลักษณะเป็นชุดเกราะจักรกลที่สีดำเงาเกือบทั้งตัว แต่ที่น่าสังเกตุคือว่า ข้างหลังนั้นเป็นปีก ที่ดูคล้ายกับโครงปีกที่ไร้เนื้อหนังเสียมากกว่าที่จะเรียกปีกส่วนอาวุธนั้นยังไม่ได้รับการติดตั้งเนื่องจากยังไม่มีคนที่ขับได้นั้นเอง
ลอร่า โบเดวิก เธอเดินเข้าไปไม่พูดอะไรมาก ย่างก้าวเข้ามาใช้เรียวมือของเธอสัมผัสที่บนตัว IS เพื่อทำปฎิกิริยาในการเรียกใช้ IS เพราะตัวนี้ยังไม่ทีใครสามารถขับได้เลยสักคน การแตะสัมผัส IS ถือเป็นการลงทะเบียนให้กับ IS เพื่อตอบรับข้อมูลคนที่จะเข้ามาสวมมันครั้งนี้
ชุดเกราะสีดำตอบสนอง หน้าจอโพโรแกรมแสดงผล มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเด็กสาว
"นี่หรือ....ร้อยตรี ลอร่า โบเดวิก ตัวแทนจากเยอรมันที่เป็นนักขับระดับหัวกะทิ" ผู้หมวดก็ไม่ใช่จะไม่รู้ข่าวคราว IS ซะทีเดียว เพราะคนดังขนาดนี้ ในวงการกว้างๆย่อมรู้จักเป็นอย่างดี
แต่ผิดคาด หลังจากที่เธอกำลังจะออกคำสั่งใส่เริ่มทำการสวมชุด หน้าจอโพโรแกรมก็ขึ้นบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า 'ระบบต่อต้าน ทำงาน'
ลอร่าต้องรีบถอยทันทีเพราะว่าเธอรู้สึกร้อนราวกับเหมือนมีคนกำลังเอาไฟมาเผาเสียอย่างนั้น
โชคดีที่ว่า การตอบสนองเธอรวดเร็วพอ จึงได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น
"ทำไมกัน...."เธอยังคงตกใจอยู่เนื่องจากว่า ทั้งที่เป็น IS ที่ยังไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของ คนอื่นก็นาจะขับได้โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์อย่างเธอ
"อย่างที่ได้รับรายงานข้างต้นแหละครับ ผู้ใดที่สวมชุดเกราะนี้ จะเหมือนถูกเผาราวกับถูกไฟคลอกครับ"
"ฉันไม่มีทางเชื่อเรื่องไรสาระพวกนี้หรอก มันก็แค่ระบบต่อต้าน แต่มันก็น่าแปลกนะทำไมต่อต้านฉันทั้งที่เครื่องนี้ยังไม่มีเจ้าของ"
ลอร่าจะพยายามสวมชุดเกราะนี้อีกครั้ง เสียงไซแจ้งเตือนระวังภัยเกิดขึ้น
เพียงชั่วอดใจเท่านั้นเองก็ได้มีสัญญาณแจ้งเตือนมาก็คือผู้บุกรุก และก็กำลังมุ่งมาที่นี่ผ่านทางวิทยุสือสาร
"มีผู้บุกรุกได้ลับลอกเข้ามาที่นี่ และกำลังมุ่งไปที่โรงเก็บIS ผู้บุกรุกมีคนเดียวครับ แต่ทำไมพวกเรา....อ๊อค !!!"เสียงวิทยุขาดการติดต่อไป ราวกับว่าผู้ติดต่อมาถูกทำร้ายก่อนที่จะพูดจบ
"ผู้หมวดลอร่าครับ ! ระวังตัวด้วย มีวิทยุแจ้งมาว่ามีผู้บุกรุก" ชายหนุ่มควักปืนพกจากข้างเอวออกมาเตรียมต้อนรับสิ่งที่กำลังย่างกรายเข้ามา พร้อมกับได้ยินเสียงฝีเท้าที่เริ่มดังขึ้นเรื่องๆจากการวิ่ง
หมวดชัยฤทธิ์เริ่มเห็นสิ่งที่วิ่งเข้ามาจนถนัดตาเขาถึงกับตกตะลึง เพราะที่เขาเห็นคือ เด็กหนุ่มที่อายุราวๆพอกับลอร่า ผมสีน้ำตาลสั้น นัยต์ตาที่แข็งกร้าวและแฝงด้วยความอ่อนโยนนั้น ที่เขาพบเห็นเดินสวนทางกับเขาเกือบทุกวันตอนเลิกงาน
"นะ....นาย !?"ชัยฤทธิ์อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็หันเล็งปากกระบอกปืนใส่เป้าหมายทันที
เด็กหนุ่มผู้นั้นก็จ้องเขม้งไม่วางตา...แต่ไม่ได้จ้องชัยฤทธิ์ เขาจับจ้องมองไปที่ลอร่า แถมส่งสายตาแทนคำพูดประมาณว่า 'ถอยไป'
"เจ้าหนู ! ถ้าไม่ออกไปชั้นจะัยิงจริงๆนะ !"ผู้หมวดหนุ่มจับปืนกระชับแน่น แต่เล็งไว้ที่ไม่โดนจุดสำคัญเพราะเพียงแค่ต้องการหยุดเป้าหมายเท่านั้น
แต่เหมือนไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลย แถมยังกลับเดินเข้ามาหาดื้อๆราวกับว่า 'นายยิงไม่ได้หรอก' และก็เป็นอย่างว่าจริงๆเมื่อพยายามลั่นไก ปรากฎว่ายิงไม่ออก
"เฮ้ย !!" ชัยฤทธิ์ดึงลูกเลื่อนอีกครั้งคิดว่า กระสุนติดขัด แต่เป้าหมายหมา่ยไม่อยู่แล้ว เพราะวิ่งผ่านเขาไปแบบไม่รู้ตัว
ลอร่านั้นไหวพริบนั้นไวอยู่จึงหันหลังเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้ามาที่เป้าหมายคือ ชุดเกราะ IS พยายามจะเตะขัดขาเสีย
แต่การขัดขาครั้งนี้ก็เกือบทำสำเร็จ อีกฝ่ายนั้นยกขากระโดดหลบได้แบบเส้นยาแแดงผ่าแปด และวิ่งเข้ามาถึงตัวชุดเกราะสีดำจนได้
"หยุดนะ!! ถ้าขืนแกขยับตัวเอง คราวนี้แกจะเจ็บตัว !"ชัยฤทธิ์หันปากกระบอกปืนเล็งไปอีกครั้ง
ส่วนลอร่าก็ตกใจเล็กน้อยกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ได้แต่หันไปมองและไม่ได้พูดอะไร ส่วนเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้สนใจคนทั้งสองเลย เขาเอามือสัมผัสชุดเกราะ IS สีดำ และภาพโพโรแกรมในตัวชุดเกราะเริ่มแสดงผล แถมพูดคุยกับชุดเกระาราวกับมันมีชีวิต
"ในที่สุด....การรอคอยมาตลอด3ปีก็ได้พบเจอกันอีก ฉันกลับมาแล้วนะ"เด็กหนุ่มใช้มือลูบชุดเกราะเบาๆด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะดวงตาเริ่มโศกเศร้าราวกับว่ารู้สึกไม่ได้พบกันเสียนานเลย
โพโรแกรมในตัวชุดเกระาแสดงผล ลงทะเบียนข้อมูลแสดงปฎิกิริยาตอบกลับ พร้อมที่จะให้ผู้ที่ถูกเลือกได้สวมมัน
"ไม่จริงน่ะ...หรือว่า !?"ลอร่าถึงกับตาค้างไปพักหนึ่งพร้อมกับอุทานออกมา เพราะไม่คดิว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้กับผู้ชายคนนี้
"อย่าบอกว่า...!!?"ชัยฤทธิ์ถึงกับตกใจลั่นไกปืนไม่ออกเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
...ผู้ชายที่ขับ IS ได้คนที่สองของโลก
เด็กหนุ่มเข้าไปสวมชุดเกราะ IS ระบบของชุดเกระาทำงานทันที ไม่มีการต่อต้านเหมือนแต่ก่อนราวกับว่า มันได้เลือกผู้เป็นนายของมันแล้ว
เด็กหนุ่มที่มาจากไหนไม่รู้ได้สวมชุด IS สีดำเป็นที่เรียบร้อย ปีกที่ดูเหมือนโครงเปล่าๆสยายออกกว้างขึ้น และIS ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ชายคนนี้แล้ว
แต่ว่าก็ไม่มีเวลาที่จะตกใจอีก เพราะถึงจะสวมใส่ได้แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามาเพื่อจุดประสงค์แค่นี้หรือมากกว่านั้น
"นายเป็นใครกัน !?"เสียงของเด็กสาวเอ่ยถามขึ้น
"ท้องฟ้ากำลังพูดกับฉันว่า...ผู้ที่โบยบินบนท้องฟ้าพร้อมเปลวไฟเพื่อเผาพลาญและปกป้องทุกสรรพสิ่ง...[อัคคี เพลิงศาสตรา] จำเอาไว้ให้ดีล่ะ" เด็กหนุ่มที่แนะนำตัวเองอย่างคนหลงตัวเองเอามากๆที่ชื่ออัคคีได้เงยมองบนเพดานแล้วพูดต่อ"ไปกันเถอะ อัคคามิฬ เรามาโบยบินด้วยกันเถอะ"
เขาบังคับชุดเกราะที่เป็นหนึ่งเดียวกับเขาพุ่งทะยานออกจากประตูโรงเก็บ IS อย่างรวดเร็ว จนทั้งชัยฤทธิ์และลอร่าต้องรีบกระโจนหลบออกไปทันที และทำได้แค่มอง เด็กหนุ่มที่บินหายขึ้นสู่ท้องฟ้าไป
"ไม่อยากจะเชื่อ! ผู้ชายขับ IS ได้ !"ผู้หมวดหนุ่มรีบลุกขึ้น รีบตั้งสติแล้วแจ้งทุกหน่วยให้ทราบว่าตอนนี้ IS ถูกขโมยไปแล้วแต่ทว่าลอร่าได้เอามือจับห้ามอีกฝ่ายเอาไว
"ฉันจะตามกลับมาเอง และอย่าเพิ่งแจ้งเรื่องนี้ให้ใครรู้" เธอกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ลอร่าได้หลับตาลงและเพ่งไปที่เครื่องประดับของเธอจนแสงสว่างวูบวาบไปมาราวกับเล่นกล และเธอก็ปรากฎในชุดเกราะ IS สีดำเช่นกันพร้อมกับอาวุธปืนครบมือ ซึ่งต่างกับ ISอีกฝ่ายที่ไม่มีอะไรเลย
"ไปกันเถอะ Schwarz Regen..." เธอพูดจบก็ขับ IS ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าตามโดยทิ้งคนข้างหลังเอาไว้คนเดียว
...ตลอดเวลาที่ฉันรอคอยเธอ...
...ก็ถึงเวลาที่เราได้พบกันอีก...
...ชั้นสัญญาเอาไว้แล้วนิ...
...เราจะโบยบินด้วยกัน อัคคามิฬ...
...เราเคยถามคุณปู่เอาไว้ว่า...
...ถ้าเราคิดถึงคนที่เรารักที่อยู่ห่างไกลพ้น จะทำอย่างไร...
...คุณปู่ของชั้นเคยพูดเอาไว้ จงถามหาฟ้า จงสดับฟังเสียงกระซิบของฟ้า...
...ฟ้าจะตอบเรา เพราะเราอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน...
พระอาทิตย์กำลังลงตรงกลางหัวอย่างเจิดจ้า ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง เหนือพื้นดินที่สูงลิบจนยากจะมองเห็นประชาชนคงคิดว่านั้นคงเป็นแสงของอาทิตย์ทรงกลดสองสีที่วิ่งวนไปวนมาบนหัวเราเป็นแสงเล็กๆก็เป็นได้ที่มันชนกันไปกันมา และหลังจากนั้นแสงสีทั้งสองเส้นก็บินลับหายไป แต่จริงๆมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
โครม !!!!
อัคคี เพลิงศาสตรา เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ที่มาที่ไปสามารถขึ้นสวมเกราะ ISปริศานาสีดำนี้เอาไว้ ได้ร่วงหล่นพื้น ซึ่งจะให้ดูรอบๆแล้วที่นี้มีแต่ดินเลนกับป่าโกงกาง...ที่นี่คือ ชายฝั่งทะเลของเมืองหลวง ซึ่งเป็นสภาพที่มีคนอาศัยอยู่ค่อนข้างน้อยมาก และจุดตรงนี้ก็ห่างไกลจากผู้คนด้วย
"ยอมแพ้แล้วมอบ IS นั้นมา นายไม่มีทางสู้ Schwarzer Regen ได้หรอก" ร้อยตรี ลอร่า โบเดวิก นักเรียนของโรงเรียน IS ผมยาวสีเทาพร้อมนัยน์ตาที่เยือกเย็นพร้อมที่คาดตาปิดไว้ข้างหนึ่ง เธอสวม IS ชุดเกราะสีดำเช่นกันและรอบตัวเธอเป็นอาวุธหนักเพื่อเน้นการสังหารจากระยะไกลโดยเฉพาะ
IS ของลอร่าคือ Schwarzer Regen เป็น IS รุ่นที่3ของ เยอรมัน ซึ่งใช้อาวุธประเภท Beam Heavy Altillery หรือประเภทชุดเกราะกึ่งยานเกราะที่มีการโจมตีสนับสนุนจากระยะไกล แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจุดอ่อนจะอยู่ที่ระยะใกล้ เพราะเธอสามารถสร้างสนามพลังป้องกันแบบ AIC หรือระบบสนามแม่เหล็กที่ใช้ในการป้องกันสิ่งที่จู่โจมและสลายมันเช่น จรวจหรือปืนใหญ่ ซึ่งใช้ในกับรถถังสมัยใหม่
เจอแบบนี้มันยากจะเข้าโจมตีระยะประชิดได้ ถ้าไม่นับจากการเคลื่อนไหวและการบินที่อาจจะช้า แต่ถูกทดแทนด้วย ระบบล๊อคเป้าหมายที่แม่นยำสูงมาก สรุปคือ....แทบมองไม่เห็นจุดอ่อนของเธอเลย
"เธอมีดีแค่นี้หรือ....อย่างไรกัน" อีกฝ่ายที่สวม IS สีดำเช่นกัน มีปีกที่ดูคล้ายโครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนัง พยายามลุกขึ้นและเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมาย แต่ท่าทางสะบัดสะบอมน่าดูเพราะถูกเล่นงานจากบนกลางอากาศมาแล้ว และที่สำคัญ ถึงจะขับISได้แต่ก็ไม่รู้ว่า ชุดเกระาจักรกลนี้มีคุณสวมบัติอะไรบ้าง แถมไม่มีอาวุธด้วย ที่ผ่านมาเลยต่อสู้กับลอร่าด้วยมือเปล่าเท่านั้น
"ต่อให้นายลุกสักกี่ครั้ง ชั้นก็จะยิงนายจนกว่าจะยอมแพ้"
"คนที่จะต้องแพ้คือเธอต่างหากล่ะ....รู้หรือเปล่าตอนที่สู้บนฟ้าน่ะ เธอคงคิดสินะว่ายิงใส่ชั้นตอนที่บินใต้เธอได้ทุกนัดไม่พลาดเป้าสินะ"
"รู้ตัวแบบนี้ยังจะทุรังฝืนอีกเหรอไง"
"ก็เพราะประชาชนข้างล่าง ฉันคือผู้ปกป้องยังไงล่ะ...แต่ถ้าเป็นที่นี่ ชั้นก็จะล้มเธออย่างเต็มที่ด้วยมือเปล่า ภายใน3กระบวนท่า"
"..." ลอร่าเริ่มทบทวนการต่อสู้ก่อนหน้าที่บินอยู่บนท้องฟ้า เธอสังเกตได้ว่า ตอนเวลาที่อัคคีบินอยู่ใต้เท้าของเธอ เจ้านี้จะเข้ามาเข้ารับกระสุนทุกนัดที่เธอยิงทุกครั้ง ตรงกันข้าม ถ้าเธอยิงบนฟ้าตอนที่อัคคีอยู่เหนือหัว แทบจะยิงไม่โดนเลย และก็พบความจริง
ที่จริงคนขับ IS ผู้หลงตัวเองนี้ ไม่ใช่ฝีมือธรรมดาราวกับว่าเคยฝึกฝนมานาน แต่ที่ตอนอัคคีบินใต้ลอร่า เขาจงใจเอาตัวขวางกระสุนเพื่อป้องกันคนที่อยู่ข้างล่างนั้นเอง
"เข้าใจแล้วล่ะ ชั้นก็จะล้มนายให้เร็วที่สุดเพื่้อให้ภารกิจลุล่วง..." ลอร่ายกกระบอกปืนใหญ่ขึ้น เข้าที่เป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า
"ท้องฟ้ากำลังพูดกับฉันว่า...หากฉันจะล้มเธอซะอย่าง ฟ้าก็ย่อมเข้าข้างฉันอยู่ดี"
อัคคีค่อยๆเงยมองท้องฟ้าให้แสงแยงเข้าตา โดยไม่รู้หรืออย่างไรว่า ลำแสงจากปากกระบอกปืนใหญ่ได้ลั่นยิงใส่ทันทีหลังจากพูดเสร็จโดยไม่คิดมาก
ซูม !!!
เสียงแผดกัมปนาทดังขึ้นจนพื้นที่เลนทรายรอบๆแหวกอากาศตามลำแสงที่พุ่งใส่เป้าหมาย
เป้าหมายแหลกสลายราวกับเป็นสายลมในทันทีหลังเสียงปืนหยุดลง แต่แปลกที่ว่ามันหายไปราวกับว่าไม่มีตัวตน
"..."เธอตกใจที่อยู่ๆก็หายไป แต่ไม่ประมาทเธอเปิดสนามพลังป้องกัน AIC ทันทีแล้วใช้ปืนไรเฟิลพิสัยระยะกลางพร้อมสอดส่องโดยมีโปรแกรมตรวจจับล๊อคเป้าช่วยบนหน้าของตัวเองซึ่งแสดงผ่านทางโพโรแกรม
แต่ลอร่าเริ่มรู้สึกได้ว่า อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะจนเหงื่อเริ่มไหลลงต้นคอ
"ข้างหลัง !?"เธอรู้ว่าเป้าหมายอยู่ข้างหลังตามสัญชาตญาณ เธอกลับหลังหันควับแล้วชกด้วยหมัดซ้ายตรงทันทีหมายให้โดนใบหน้าศัตรู แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงใช้โปรแกรมตรวจจับไม่ได้ ถึงขนาดต้องรับรู้ด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น
อัคคียิ้มในมุมปากอย่างพอใจแม้จะถูกจับตัวได้ แต่เมื่ออยู่ในระยะประชิดก็ถือว่าเขาทางเขาและ แม้จะมีสนามพลังป้องกันอยู่ แต่ก็ย่อมใช้พลังงานไปไม่น้อย ถ้าสงวนพลังงานเอาไว้ หลอกล่อให้อีกฝ่ายกดดันให้ใช้พลังงานจนหมด โอกาสชนะก็มีไม่ยาก
อัคคีรีบก้าวเท้าขวาหลบไปทางกึ่งขวา พร้อมทั้งโน้มตัวเอนไปทางขวา ขาขวางอเล็กน้อยศีรษะและตัวหลบออกวงนอกของหมัดลอร่า ใช้มือขวา จับคว่ำมือที่แขนท่อนบนของลอร่า มือซ้าย จับกำหงายที่ข้อมือของเธอ
"อะไรกัน !!" เธอขยับแขนซ้ายไม่ได้ แถมยังเจ็บปวดอีกด้วย
"เธอพึ่งพาเทคโนโลยีจนกระทั้งลืมวิถีของตัวเองยังไงล่ะ"สายตาที่แข็งกร้าวสบตากับสายตาที่เยือกเย็น แม้ตอนนี้เริ่มหวั่นไหวบ้าง แล้วพูดต่อ"ท่าสลับฟันปลา เป็นท่าพื้นฐานที่ใช้ในการหยุดหมัดคู่ต่อสู้ใน มวยไทย มวยที่อันตรายที่สุดในโลกยังไงล่ะ"
"กรอด...."ลอร่าขบเขี้ยว เคี้ยวฟันใช้มือขวาที่ถือไรเฟิลอยู่ยิงจ่อระยะเผาขนทันที
ซูม !!
ร่างของ IS สลายไปกับสายลมเหมือนตอนครั้งแรก
"บ้าชัดๆ !" ลอร่าเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ประมาทแม้อีกฝ่ายจะไม่มีอาวุธก็ตาม และเธอสังเกตุอีกครั้ง ว่า อัคคีกระโดดจากข้างบนพุ่งเข้ามาปล่อยหมัดขวาตรงใส่ลอร่าทันทีด้วยระยะที่หมัดสามารถไปถึงตัวได้
แต่เธอก็ไม่สามารถใช้ปืนในระยะประชิดขนาดนี้ได้จึงซัดหมัดซ้ายตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
อัคคีรีบรีบก้าวเท้าสืบตามไป ข้างหน้าเฉียงไปทางกึ่งซ้ายเล็กน้อยภายในแขนซ้ายของลอร่า ตัวเอนทิ้งน้ำหนักลงเท้าซ้ายพร้อมกับ งอแขนทั้งสองข้าง ขึ้นปะทะแขนท่อนบนและ ท่อนล่างของเธอไว้อย่างรวดเร็ว โดยหมัดของ อัคคีชิดกันยกป้องขึ้น หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดซ้ายอย่างรวดเร็ว แต่หยุดหมุดไว้เพียงตรงที่หน้าผากแล้วดีดหน้าผากอย่างแรง
เพี๊ยะ !
"แก !! " ลอร่าถึงกับตะคอกออกมาพร้อมถอยมาตั้งหลักหลังโดนดีดนิ้วใส่หน้าผากจนขึ้นนูนแดง แกมด้วยความอับอายที่ไม่เคยถูกผู้ใดหยามขนาดนี้มาก่อน
"ปักษาแหวกรัง เป็นแค่ท่าพื้นฐานในการสวนกลับคู่ต่อสู้เท่านั้น" อัคคีชี้หน้าแล้วกระดิกนิ้ว ยั่วยุลอร่าให้เข้ามาโจมตีได้เลย
"กล้าท้าอย่างงั้นเหรอ !!?" เธอใช่ฉมวกจากส่วนบนของตัวเกราะยิงพร้อมกันติดต่อกะัว่าไม่ให้เหลือแม้ซาก
และก็เข้าทางของเขาเพื่อเจาะจงให้ฟิลด์ขาด เพราะรู้ว่าตัวเองสู้ระยะไกลไม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่มีอาวุธอะไรเลย ระที่จังหวะอีกฝ่ายยิงมา ก็พุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็ว หลบฉมวกที่ยิงออกมามากมายแต่ไร้ซึ่งความแม่นยำได้ทุกนัดจนเข้าสู่ระยะประชิด
"เสร็จกัน !!" ลอร่ารีบกางพลังสนามป้องกัน AICทันทีแต่ทว่าก็ช้าไปหนึ่งก้าวสำหรับเธอ
"หนุมาน ถวายแหวน !!!" อัคคีก้มตัวลงอยู่ในระดับเอวของลอร่า กำหมัดไว้แน่นสองข้าง แล้วประกบท่อนแขนจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วชกเสยเข้าที่ท้องลอร่าอย่างจังในทันที
"!!!"เธอพูดไม่ออกและไม่อยากเชื่อในสายตา เพราะเธออยู่ในสภาพพร้อมกว่าแท้ๆแต่กลับแพ้ ISที่เพิ่งสร้างเสร็จแถมไม่มีอาวุธอะไรเลยสามารถล้มเธอได้ด้วยมือเปล่า
มันทั้งจุกและเจ็บจนพูดไม่ออก ถึงจะมีค่าป้องกันพื้นฐานที่ช่วยลดแรงปะทะของหมัดได้ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้อีก เธอทรุดลงไปนั่งทันที
"ชนะแล้วสินะ"แต่อีกฝ่ายก็ถึงกับสะบัดสะบอมและหอมไปตามๆกัน เขายกมือทั้งสองข้างแล้วทำท่ากางปีกช้าๆ เงยมองแสงให้แยงตา
หลังจากนั้น สติของอัคคีเริ่มเลือนรางเหมือนว่าจะดับวูบไป รู้สึกตัวแต่เหมือนจะขยับตัวไม่ได้ีอีก เขาล้มลงนอนหงายทั้งยืน อาจจะเป็นเพราะจากการต่อสู้ก่อนหน้านั้นที่โดนกระหน่ำยิงอยู่ไม่น้อยเพียงแค่ไม่ให้คนข้างล่างโดนลูกหลง
"...."ลอร่ารู้สึกอาการจุกเสียดนั้นหายไปแล้วก็หันมามองอัคคีที่นอนมองฟ้าไม่ขยับเคลื่อนไหวอีก ในสภาพที่ได้ถอดชุด IS ออกมาแล้ว และชุด ISสีดำนั้นก็ได้กลายเป็นจี้สร้อยคอรูปเปลวไฟสีดำห้อยอยู่บนหน้าอกของเขา
"ภารกิจเสร็จสิ้น"น้ำเสียงของเธอเปล่งออกมาด้วยความเจ็บใจ ถึงแม้ภารกิจจะจบด้วยลอร่าเป็นฝ่ายที่ชนะโดยสมบูรณ์ก็ตาม เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่นอนไม่เคลื่อนไหวในสภาพไร้ชุดเกราะแล้วพูดกับเขา
"ทำไมนายไม่จัดการชั้นล่ะ"
"ก็บอกแล้วไง....ฉันแค่อยากจะล้มเธอภายใน3กระบวนท่า และฉันก็ทำได้"อัคคีนอนหัวเระาอย่างสบายใจ
"ถ้าเป็นในสงคราม ไม่มีใครคงปราณีหรอกนะ"
"แต่นี่ไม่ใช่สงคราม"
"..."เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปอีก ลอร่าได้แบกร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้นอนหนุนบนมือของชุดเกราะ IS แล้วพากลับไปที่จุดที่พักของเธอทันที่ ซึ่งห่างจากจุดต่อสู้ตรงนี้ พอสมควร
และระหว่างทางที่ลอร่านำร่างบินพากลับไป อัคคีใช้แรงอันน้อยนิ้วยกนิ้วชี้ฟ้าที่ดวงตะวันเริ่มบ่ายคล้อยแล้วพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนแรงและเหน็ดเหนื่อยว่า
"ที่ฉันไปบุกเข้ามาตอนนั้นเพื่อที่จะพา อัคคามิฬมาโบยบินบนท้องฟ้าด้วยกันกับชั้น ก็แค่นั้นเอง"
"อัคคามิฬ ?....."
"เป็นชื่อของชุด IS ที่ชั้นเพิ่งตั้งขึ้นยังไงล่ะ"
"ตอนนี้ทางเรากำลังยึดกลับไป มันไม่ใช่ของนาย"
"ฉันขับมันได้นิ แสดงว่ามันต้องเป็นของฉัน
"นายเป็นคนที่เพี้ยนที่สุดที่ชั้นเคยพบเจอ"
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันประปรายบนท้องฟ้า จนกระทั้งถึงโรงพยาบาล จึงได้จัดการส่งอัคคีที่บาดเจ็บเข้าไปโรงพยาบาล ส่วนลอร่าก็กลับที่พักของตน เพื่อรายงาน จิฟุยุ ทราบความคลืบหน้าด้วย
วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน พอลืมตาตื่นอีกทีก็เห็นแต่ห้องสีขาวๆกับเตียงสีขาวพร้อมกลิ่นอายของยาอบอวนไปหมด
ที่นี่คือโรงพยาบาล หลังจากต่อสู้กับลอร่าจนสามารถล้มเธอได้ภายใน3กระบวนท่า พอถึงโรงพยาบาลก็สลบไปทันที
อัคคีลืมตาช้าๆจากเตียงคนไข้ ร่างกายเจ็บปวดไปหมดแต่ก็พอทนได้ลุกขึ้นนั่งมองหน้าตาที่พระอาทิตย์ลอยขึ้นเอื่อยๆ
"ตื่นแล้วสินะ"น้ำเสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่พร้อมกับบุคลิคที่ดูสง่างามใส่ชุดสูทผู้หญิง เธอนั่งเฝ้าไข้ได้สักพักแล้ว
"คุณคือ...."อัคคีหันไปมอง
"โอริมุระ จิฟุยุ อาจารย์ของโรงเรียน IS และมาฐานะผู้สังเกตุการณ์ด้วย"
"แล้วมีธุระอะไรกับผม"
"นายคือผู้ที่ขับISแล้วหนีออกไปแถมสามารถล้ม ลอร่าได้ด้วยมือเปล่าเพียง3หมัดใช่หรือไม่"
"ใช่แล้ว"
"ก็ดี....ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน 'ฉันทำเรื่องย้ายโรงเรียนแล้วให้นายเรียนที่โรงเรียน IS ซะ' ไม่มีข้อยกเว้นทุกกรณี"
"นั้นมันบังคับชัดๆ"
"ห้ามเถียง เพราะนายมีคุณบัติที่ขับ ISได้ ทางเราจึงต้องการนาย และอีกอย่างทางไทยทำผิดกฎสนธิสัญญาแอดแลนติค ฉะนั้นนายต้องรับผิดชอบโดยการเป็นบุคคลากรที่มีค่าของเรา"
"งั้นเหรอ ? ไม่ตกใจหรือไงว่าชั้นเป็นผู้ชายที่ขับISได้"
"ยังมีอีกคนที่เป็นผู้ชายที่ขับ IS เหมือนกัน"
"ฉันไม่มีเงินส่งเสียเรียนหรอกนะ"
"ได้แจ้งเรื่องไปทางรัฐบาลไทยแล้วว่า เราจะไม่ขอยึด IS เพราะนายใช้มันได้ มันก็เป็นของนาย แต่ว่าเราก็ต้องกลับไปและตรวจสอบ IS ของนายถึงจะผิดตามสนธิสัญญาจริงๆ แต่ไม่ต้องห่วงเราจะปรับเปลี่ยนแก้ไขให้โดยที่ไทยไม่ต้องชดเชยค่าเสียหายใดๆ แต่ต้องแลกกับนายต้องมาเรียน ที่สถาบัน IS ที่ญี่ปุ่น จนกว่าจะจบโดยรัฐบาลไทยก็ส่งให้นายเรียนด้วย ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายเหมือนกับทำงานชดใช้ความเสียหายที่นายก่อ"
"เป็นข้อเสนอที่ดีแฮะ(ถึงไม่รู้เรื่อง) เอาเป็นว่าตกลง"
"เข้าใจง่ายดีนิ"
การสนทนาก็ได้ดำเนินต่อไปสักพัก ลอร่าก็เปิดประตูเข้ามาระหว่างที่ทั้งสองสนทนาแบบห้วนๆ
"เขาตอบตกลงหรือยังคะ ครูฝึก"
"เขาเพิ่งตอบตกลงเมื่อครู่นี้เอง เธอดำเนินเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วนะ ?"
"ค่ะ ได้ทำเรื่องทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ว่า จะกลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ?"
"วันนี้เลย"จิฟุยุตอบเรียบๆ
อัคคีก็พอรู้ดีอยู่แล้วว่าโรงเรียน IS นั้นมีแต่ผู้หญิงและเป็นโรงเรียนเดียวที่เปิดสอนฝึกหัดนักบิน IS ด้วย คิดซะว่าเป็นการหาประสบการณ์ชีวิต
อาการบาดเจ็บของอัคคีนั้นไม่ได้สาหัสอะไรนักจึงเดินทางออกจากโรงพยาบาล เก็บสัมภาระทุกอย่าง จัดการธุระจนเสร็จสิ้นแล้วรอเจอกันที่สนามบิน ในค่ำวันนี้โดยที่ทางรัฐบาลไทยเป็นผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
...ก้าวสู่ไปที่แห่งใหม่...
...ถึงแม้ตัวเราจะอยู่ห่างไกล...
...แต่หัวใจและวิญญาณ จะอยู่ที่บ้านเกิดเสมอ...
...ถ้าคิดถึงกัน ก็จงเรียกหาท้องฟ้า เพราะเราอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน...
[Next Chapter : To be continued]
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ