::+:: นาที ::+:: [Yaoi]
8.7
1) [One-Shot] ::+:: นาที ::+:: [KyuMin]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[One-Shot : SJ] ::+:: นาที ::+:: [KyuMin]
ขอแลกทุกอย่างที่มี เพื่อวินาทีของเธอ ขอเจอคนที่รักเหลือเกินได้ไหม
ฉันแทบจะกราบอ้อนวอน... ร้องไห้จนเหือดหายไป ...เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่ต้องการ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทโทนดำก้าวเข้ามาภายในตัวบ้านหลังหนึ่งในตัวเมืองโตเกียว รองเท้าหนังสีดำมันวาวมาหยุดอยู่หน้าประตูกระจกใสที่เปิดโล่งเผยให้เห็นภายในห้องกว้างที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยออกันอยู่ ชายหญิงคู่หนึ่งในชุดดำโค้งตัวเล็กน้อยทำความเคารพภาพของใครบางคนที่อยู่ด้านหน้าสุด มือข้างหนึ่งที่กำกระเป๋าเดินทางใบโตบีบแน่น แต่แปลกที่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะทั้งหัวใจและร่างกายของเขาในตอนนี้ด้านชาไปหมดแล้ว
ร่างโปร่งวางกระเป๋าเดินทางลงข้างตัวพร้อมทรุดตัวลงนั่งบนระเบียงหน้าบ้านอย่างหมดแรง สองมือกำประสานกันพยายามสกัดความรู้สึกหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา มันทั้งช็อค ทั้งเจ็บปวดในคราเดียวกันเมื่อรับรู้ข่าวร้ายที่ไม่ต้องการได้ยิน ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันนี้ ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้นในตอนนี้... คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา คนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ ทำไมถึงด่วนจากไปทิ้งเขาให้อยู่บนโลกที่กว้างใหญ่นี้เพียงลำพัง แล้วผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิดคนนี้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไรในวันที่ไร้คนรัก
ขอบตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที พร้อมรับรู้ว่าภาพเบื้องหน้าเขาช่างเลือนราง เมื่อน้ำใสเอ่อคลอขึ้นที่ดวงตากลมโตของเขาจนบดบังภาพตรงหน้าจนมืดสนิท น้ำอุ่นไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้ชายคนหนึ่งคนนี้ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาใครทั้งนั้น เขาไม่แคร์สักนิดว่าใครจะว่าเขาอย่างไร เพราะในตอนนี้คนเดียวที่เขาแคร์ไม่อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว
ในขณะที่เขากำลังนั่งก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นทางยาวอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา คนหัวใจอ่อนแอเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาคนตรงหน้าก็พอจะจำได้ว่าเป็นเพื่อนของคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ ดั้งจมูกเรียวและดวงตาคู่เล็กอันเป็นเอกลักษณ์... คิม เรียวอุค เพื่อนชาวเกาหลีเพื่อนเพียงคนเดียวของซองมินทั้งที่เรียนด้วยกันและทำองานด้วยกันในแดนอาทิตย์อุทัย
เรียวอุคยื่นกล่องใบหนึ่งแก่ผู้มาใหม่ เขารับมันไว้พร้อมใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา เสียงใสของชายหนุ่มตรงหน้าที่เอ่ยขึ้นดังก้องในโสตประสาทที่เลือนลางของเขา
“นายคือคยูฮยอนใช่มั้ย... ซองมินเขาฝากนี่ไว้ให้นาย เขาบอกว่ายังไงก็ต้องให้นายให้ได้ ให้คนสำคัญของเขา...”
ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่เล็กเดินจากไปแล้ว แต่ชายหนุ่มร่างสูงดวงตากลมโตยังคงนั่งนิ่งมองกล่องในมือของเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่มือหนาจะเปิดฝากล่องนั้นออก สิ่งแรกที่พบทำเอาน้ำตาที่กำลังจะเหือดแห้งไหลออกมาอีกครั้งอย่างหยุดไม่อยู่ นาฬิกากรอบทองหน้าปัดแตกร้าวเรือนนี้... มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักกับซองมินในฐานะเพื่อน... ก่อนที่ความรู้สึกและความผูกพันจะแปรเปลี่ยนให้คำว่าเพื่อนกลายเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจของเขาเอง
คยูฮยอนกำนาฬิกาเรือนนั้นไว้แน่นแนบหน้าอก น้ำใสอุ่นไหลรินอย่างต้องการปลดปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดและอ้างว้างในตอนนี้ให้มันหมดไป พลันภาพความทรงจำครั้งก่อนฉายขึ้นมาในสมองราวกับเครื่องฉายหนังที่กำลังเล่นไปทีละฉาก ทีละตอน...
พลั่ก! ร่างของเด็กชายหุ่นผอมบางล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เมื่อถูกเด็กชายร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มผลักจนกระเด็นโดยมีเด็กผู้ชายตัวเล็กอีกสองสามคนยืนขนาบข้าง ในมือของเด็กตัวโตมีนาฬิกาเรือนสำคัญที่พ่อของเขาให้ไว้ก่อนจากกัน เจ้าเด็กเกเรโบกของในมือไปมาอย่างยียวนให้คนอ่อนแอกว่าเจ็บใจที่ไม่อาจสู้คนตรงหน้าได้
“ก็บอกแล้วไงว่าขอดูหน่อย ทำเป็นหวงของไม่ให้ก็โดนดีแบบนี้แหละ” เด็กชายที่ล้มอยู่บนพื้นกำมือแน่นอย่างแค้นใจ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจะคว้านาฬิกาของตนคืน แต่กลับถูกเด็กตัวเล็กๆข้างๆเจ้าตัวโตผลักล้มลงอีกครั้ง เด็กเกเรหัวโจกยิ้มเยาะ “ซองมินแกมันไอ้ขี้แพ้ ซองมินขี้แพ้ ซองมินขี้แพ้”
คำล้อเลียนของกลุ่มเด็กเกเรกลุ่มนั้นดังก้องในหัวของเด็กชายตัวผอมบาง ทั้งเจ็บใจและอับอายจนน้ำตาคลอขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่แล้วร่างของเจ้าเด็กตัวโตก็ถลาไปข้างๆเมื่อถูกใครบางคนถีบจนกระเด็น เสียงล้อเลียนของเด็กลุ่มนั้นเงียบลงทันทีและถูกแทนที่ด้วยความงุนงง เด็กชายตัวสูงคนที่ยืนมองหน้าพวกที่เหลือและหัวโจกอย่างเอาเรื่อง มือคว้ากระเป๋าสะพายที่อยู่ด้านหลังออกมาเหวี่ยงใส่พวกเด็กตัวเล็กจนกระเด็นไปตามๆกัน
“ไอ้พวกหมาหมู่ เก่งแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แน่จริงพวกแกมาสู้กับฉันตัวต่อตัวมั้ยล่ะ” ทั้งเจ้าตัวโตและเด็กตัวเล็กเก้งก้างทั้งหลายพามองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนที่เจ้าเด็กหัวโจกจะลุกขึ้นยืนแล้วผลักเด็กชายตัวสูงกว่าอย่างแรงจนเซ
“แกเป็นใครวะมายุ่งอะไรด้วย... อ๋อ หรือว่าอยากเป็นพระเอกมาช่วยนางเอก... เอ๊ะ แสดงว่าแกเป็นเกย์น่ะสิ” เจ้าตัวโตหัวไปหัวเราะกับพวกที่เหลืออย่างสะใจ ในขณะที่ไม่ระวังตัวเลยว่าจะหันกลับมาพบกับหมัดหนักๆ ของอีกคนจนเซถลาเลือดกบปาก มืออวบของเจ้าเด็กหัวโจกยกขึ้นปาดเลือดอุ่นๆที่ไหลออกมาจากปากแล้วมองด้วยนัยน์ตาหวั่นๆ “แก... แกต่อยฉัน!”
“เออสิ! เห็นฉันจูบแกหรือไงไอ้อ้วน!” เด็กชายตัวสูงหักนิ้วตัวเองดังกร็อบ เด็กชายตัวเล็กที่อยู่เบื้องหลังพากันค่อยๆถอยทีละก้าวให้ห่างจากเด็กชายแปลกหน้าให้มากที่สุด ขณะที่เด็กหัวโจกเองก็ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นแล้วหันหลังวิ่งหนีไปอย่างหมดท่า มือที่ยกขึ้นหักนิ้วตัวเองเสียงดังเพื่อข่มพวกเด็กเกเรลดระดับลงเป็นเท้าสะเอวมองไล่หลังพวกนั้นไปอย่างเซ็งๆ
“ให้ตายสิ ไอ้พวกเก่งแต่ปาก” เด็กชายแปลกหน้าหันกลับมาหาคนที่ทรุดตัวอยู่กับพื้นพร้อมแผลถลอกมากมาย ก่อนจะเหลือบเห็นนาฬิกากรอบทองที่เปล่งประกายเมื่อต้องแสงที่ตกอยู่ข้างๆกัน เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปคุกเข่านั่งลงด้านหน้าเด็กชายผอมบาง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อพบว่าเข็มบนหน้าปัดนาฬิกาไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เขาใช้มือข้างหนึ่งตบด้านข้างของนาฬิกาเรือนนั้นเบาๆสองสามครั้งจนเข็มกลับมาเดินอีกครั้ง เด็กชายยกยิ้มอย่างดีใจแล้วยื่นคืนเด็กชายผอมบาง
“โชคดีนะเนี่ยที่มันไม่เสีย” ปากว่าพลางยื่นมือข้างที่ส่งคืนนาฬิกาให้กับเจ้าของของมันอีกครั้งขึ้นปัดเส้นผมสีบลอนด์ทองที่ยุ่งเหยิง ปัดแขนและกางเกงที่เปรอะเศษดินเศษทรายออก “ของสำคัญไม่ใช่เหรอ ดูแลมันให้ดีหน่อยสิ”
ใบหน้าของเด็กชายผอมบางยกยิ้มขึ้นบางๆแม้นัยน์ตายังคงแลดูเศร้าหมองจากเรื่องเมื่อครู่ ที่ตนไม่สามารถรักษาของสำคัญของตนไว้ได้ อีกทั้งยังนึกไปถึงคำล้อเลียนของกลุ่มพวกเด็กเกเรพวกนั้น ที่ทำให้เขาทั้งเจ็บใจและเคืองตัวเองกว่าเดิมหลายเท่า เด็กชายตัวสูงคว้ามือของคนตัวเล็กกว่าพร้อมทั้งดึงให้ลุกขึ้น
“ขอบใจนะ... เอ่อ...” เด็กชายร่างผอมบางเอียงคอเล็กน้อยพร้อมทั้งเลิกคิ้วเชิงถาม เด็กชายแปลกหน้ายกยิ้มขึ้นมุมปากรับคำขอบคุณนั้นบางๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“คยูฮยอน... ฉันชื่อโจว คยูฮยอน” อีกคนเองก็คลี่ยิ้มบางๆเช่นกัน
“ขอบใจนะ คยูฮยอน...”
นาฬิกาเรือนนั้นตอนนี้มันอยู่กับเขา เข็มสีทองนิ่งสงบไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย หน้าปัดร้าวบ่งบอกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เจ้าของของมันประสบมา เหตุการณ์แสนเลวร้ายที่พรากซองมินไปจากเขา...
ภายในกล่องนั้นนอกจากนาฬิกาเรือนนี้แล้ว ยังมีรูปภาพอีกมากมายบรรจุอยู่พร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งที่แทรกอยู่กับรูปภาพ เขาหยิบภาพถ่ายนั้นขึ้นมาเปิดดู... ภาพของเขากับซองมินจำนวนนับสิบรูป ใบหน้าของคนในภาพนี้...
...คิดถึงเหลือเกิน...
เขาหันกลับมาสนใจเวลาในมือเขาอีกครั้ง มือหนาตบด้านข้างของนาฬิกาเรือนนั้นหวังให้มันเดินต่อไปอย่างครั้งก่อน น้ำใสๆไหลอาบแก้มอีกครั้ง ในขณะที่เข็มยังคงหยุดนิ่งอย่างสงบ เหมือนที่เจ้าของของมันได้จากไปอย่างสงบ... แต่ความทรงจำและความรักของเขาที่มีต่อซองมิน ไม่มีวันหายไปหรือหยุดลง... ภาพความทรงจำครั้งก่อนไหลกลับมาในสมองของเขาอีกครั้งและดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มร่างสูงวัยสิบแปดเตะลูกบอลที่อยู่ด้านหน้าลอยเข้าประตูได้อย่างแม่นยำ ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมีเรือนผมสีบลอนด์ทองอันเป็นเอกลักษณ์วิ่งมาหาเขาด้วยความยินดี ใบหน้ายิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่คว้าคนตัวสูงกว่าเข้าไปกอดอย่างไม่อายสายตาใครทำเอาร่างสูงถึงกับตัวแข็งทื่อใบหน้าพลันร้อนผ่าวคล้ายจะเป็นไข้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ก่อนจะสะบัดศีรษะเบาๆแล้วกอดตอบเพื่อนตัวเล็กกว่า
หลังจากรับเหรียญทองเป็นรางวัลการแข่งขัน ซองมินนั่งพลิกเหรียญในมือดูอย่างปลื้มอกปลื้มใจในขณะที่เนื้อตัวเปียกปอนหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว คยูฮยอนที่กำลังใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กขยี้หัวตัวเองอยู่เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะขอแกล้งสักหน่อยด้วยความหมั่นไส้ ใช้ผ้าผืนนั้นคลุมศีรษะอีกคนแล้วขยี้แรงๆจนคนตัวเล็กร้องเสียงหลง
“เฮ้ย! ไอ้บ้าคยูแกทำอะไรเนี่ย” ซองมินผลักคนตัวสูงกว่าออกอย่างแรงพร้อมหัวเราะออกมาอย่างเสียมิได้ แม้จะเกือบขาดอากาศหายใจตายเพราะคนตรงหน้าก็ตามที ร่างสูงย่นจมูกใส่อีกคน “หมั่นไส้ หน้าตาแกนี่จะดีใจอะไรขนาดนั้น ฉันเป็นคนยิงเข้าแท้ๆ”
คนผมทองหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็แหม ตั้งแต่ลงแข่งมาฉันเพิ่งได้เหรียญทองเป็นครั้งแรกนี่นา ว่าแต่นายเถอะฝีมือฟุตบอลก็ใช่ย่อย ทำไมไม่ลงชมรมนี้ตั้งแต่แรก”
ร่างสูงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ก็ฉันไม่ชอบ”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากจะลงเอาดื้อๆล่ะ” ซองมินยังคงยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทต่อไปในขณะที่คยูฮยอนไม่ได้ตอบอะไร ทำเป็นหูทวนลมเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่นำมาเปลี่ยนสวมแทน... ก็จะให้บอกได้อย่างไรว่าเพราะนายนั่นแหละที่ทำให้เขาอยากจะเข้าชมรมนี้ขึ้นมา เขาอยากอยู่ใกล้ซองมินนี่นา... ทั้งที่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่มันมีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับซองมิน ได้ยิ้มได้หัวเราะด้วยกัน ได้อยู่ใกล้กันตลอดเวลา...
...เขาคงไม่ได้... รักซองมินหรอกนะ...
ซองมินนั่งอ่านอะไรบางอย่างในมือ กระดาษสีหวานที่ส่งกลิ่นหอมคล้ายแป้ง ร่างสูงเดินเลียบๆเคียงๆเข้ามาโผล่อยู่ด้านหลังเพื่อนสนิทโดยที่เจ้าของเรือนผมเด่นสะดุดตาไม่ทันสังเกตเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงลอบมองตัวหนังสือที่เขียนด้วยความบรรจง ราวกับต้องการสื่อถึงความจริงใจของเจ้าของจดหมายแผ่นนี้ นัยน์ตาคู่กลมไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนสิ้นสุดบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะใช้ศอกถองสีข้างเพื่อนสนิทของตนเบาๆด้วยแววตาเจ้าเล่ห์อย่างหยอกล้อ
“อะไรกันๆ เพื่อนฉันนี่ช่างเนื้อหอมซะจริงนะ มีสาวส่งจดหมายรักมาหาด้วย” ชายหนุ่มตัวเล็กกว่าหันมามองร่างสูงด้วยแววตาสีหน้าตกใจ ใบหน้าของซองมินขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะแว้กใส่เพื่อนสนิทปกปิดความเขินอาย
“เฮ้ย! จะบ้าเหรอ แล้วนี่นายมาแอบอ่านจดหมายฉันได้ยังไงไม่มีมารยาท”
“อันแนะๆ เขินใช่มั้ยล่า...” คยูฮยอนใช้นิ้วชี้จิ้มแก้มคนผมทองเบาๆอย่างหยอกล้อพร้อมเอ่ยแซว ใบหน้ายิ่งทวีความร้อนขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามือของซองมินผลักไหล่คนตัวสูงกว่าออกไปอย่างแรงจนคนแซวเซถลาไปทันที แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาสำนึกเลยแม้แต่น้อยยังคงหัวเราะออกมาอย่างขำขันเช่นเคย
“ฉันจะรอพี่ที่หลังโรงเรียนเวลาเที่ยงตรง มาให้ได้นะคะ~ ว่าไงนายจะไปรึเปล่า” ชายหนุ่มแกล้งดัดเสียงแหลมเลียนแบบเนื้อหาจดหมายนั้นก่อนจะเอ่ยถามซองมินพร้อมรี่ตาลงมองอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากบางๆนั้นทำเอาชายหนุ่มอีกคนไม่กล้าแม้จะมองหน้าคยูฮยอน “ก็... ก็คงต้องไปแหละ”
คำตอบพาใจของคนช่างแซวหวิวแปลกๆ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ร่างสูงจะตบไหล่คนผมบลอนด์แรงๆจนหน้าแทบทิ่ม “มันต้องอย่างนี้สิ! กระต่ายน้อยกำลังจะกลายเป็นเสือแล้วสินะ!”
“บ้าเหรอ! ใครเป็นกระต่ายน้อยกัน!” ซองมินแย้งพร้อมใบหน้าแดงเรื่อท่ามกลางเสียงหัวเราะของคยูฮยอน... เสียงหัวเราะที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆเหมือนเสียงหัวใจของเขาที่คล้ายจะหยุดลง
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเพื่อนสนิทที่ตัวเล็กกว่าเขาก็เดินมาบอกว่าเขากับแม่สาวเจ้าของจดหมายนั้นตอนนี้คบกันแล้ว... และสิ่งที่เขาแสดงออกไปคงเป็นแค่การแสร้งยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยคำยินดีออกไปทั้งที่มันจุกไปหมด
...เจ็บจริงๆ...
คิ้วเรียวของซองมินเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีผมแปลกตาของคยูฮยอน จากสีดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินเป็นประกายเมื่อต้องแสง มันไม่ได้ทำให้ความหล่อของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย กลับกันซองมินสังเกตเห็นผู้หญิงหลายๆคนที่เดินผ่านเขาแทบจะเหลียวหลังกลับมามองกันทุกคน นั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพื่อนร่างสูงทันทีเมื่อคยูฮยอนเดินมาถึง
“นายเปลี่ยนสีผมเหรอ”
“อื้ม ดูเป็นไงมั่ง... พี่ฉันบอกว่าดูแก่ลง จริงรึเปล่า” คยูฮยอนพยักหน้าตอบก่อนจะถามกลับด้วยสีหน้าไม่มั่นใจเมื่อโดนพี่สาวคนโตทักขึ้นจนสูญเสียความมั่นใจลงไปกว่าครึ่ง คนผมบลอนด์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่หรอก แค่ดูแปลกตา...” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดีหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของตัวจริงของเพื่อนสนิทเขาก็เดินเข้ามาเกาะแขน โดยไม่ลืมโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมเอ่ยทักทายเขา “งั้นฉันไปก่อนนะ วันนี้ฉันมีนัดน่ะ”
ว่าแล้วก็เดินหันหลังจากไปพร้อมกับหญิงสาวคนรักของเขา ร่างสูงได้แต่มองตามหลังไปด้วยแววตาเหงาๆอยู่เพียงลำพังเท่านั้น กล่องของขวัญใบเล็กที่แอบซ่อนไว้ด้านหลังถูกยกกลับมามองดูพร้อมถอนหายใจ
ของขวัญของคนพิเศษในของพิเศษ แต่คนพิเศษคนนั้นคงไม่มีวันรับรู้เลยว่าได้รับความรู้สึกพิเศษในฐานะที่พิเศษกว่าใครจากคนธรรมดาคนนี้
“วันเกิดของเขาก็ต้องได้อยู่ฉลองกับคนพิเศษของเขา... มันก็ถูกแล้วนี่”
มือหนากำกล่องแน่นจนยับ
...ซองมิน... ฉันรักนาย...
ภาพใบหน้าของคนที่รักอย่างสุดหัวใจที่เปรอะคราบเค้กนั้นทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าของคนสำคัญที่แอ๊บแบ๋วอย่างสุดกำลังเมื่อตอนถ่ายรูป ภาพใบหน้าของคนผมบลอนด์เมื่อตอนเก๊กหล่อ...
...คิดถึงเหลือเกิน...
นักศึกษาชายปีสองทั้งสองคนนั่งสุมหัวมองจดหมายรักในมือของชายหนุ่มร่างสูงหนึ่งในสองคนนั้น ซองมินไล่สายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายจนจบจึงได้หันมาเอ่ยแซวคยูฮยอนบ้างเมื่อถึงทีตัวเอง อย่างที่เคยโดนเพื่อนสนิทล้อเมื่อครั้งก่อนโดยไม่สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าการหยอกล้อของเขาจะทำให้ร่างสูงเสียใจเพียงใด
“แหมอะไรกัน นึกว่าเพื่อนฉันจะขายไม่ออกซะแล้ว ในที่สุดก็มีคนหลงผิดมาช่วยนายสละโสดสักที แล้วนี่นายจะไปพบเธอมั้ย แนบรูปมาด้วยนี่ น่ารักใช่เล่นเลยนา... อ้าว เดี๋ยวสิ! เฮ้! คยูนั่นนายจะไปไหน”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินหนีเพื่อนสนิทของตนออกมาโดยไม่ฟังคำร้องเรียกของอีกคนเลยแม้แต่น้อย ทั้งเสียใจและน้อยใจในคราเดียวกัน...
ทำไม... ไม่รักกันไม่ว่าเลยสักคำ แต่ทำไมต้องยัดเยียดให้ไปคบกับใครต่อใคร
นายมีใครคบใครไม่เป็นไร แต่อย่าทำเหมือนไม่ต้องการกันขนาดนั้นได้ไหม...
ไม่เคยรู้เลยใช่ไหม ที่ฉันไม่มีใครเพราะใจฉันมีนายอยู่เต็มหัวใจ
แค่นี้ฉันก็เจ็บมากพอแล้วซองมิน... เจ็บจนไม่อยากจะมีหัวใจไว้รักใครอีกแล้ว
แต่เขาก็ไม่เคยโกรธซองมินได้เลย ไม่เคยโกรธได้นาน เพราะเพียงแค่เจอหน้ากันเขาก็แทบจะลืมเรื่องในวันนั้นไปจนหมดสิ้น เช่นเดียวกับซองมินที่หน้าตาสำนึกผิดจนน่าสงสาร ขอโทษแล้วขอโทษอีกจนอีกคนต้องใจอ่อน... แล้วอย่างนี้เขาจะไปโกรธคนที่รักสุดหัวใจลงได้อย่างไร
“คยู... ทำไม... เอ่อ ทำไมนายถึงยังไม่มีแฟนสักที?” คำถามที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆราวกับกลัวว่าเพื่อนสนิทของตนจะเคืองขึ้นมาอีกนั้นทำเอาคยูฮยอนชะงัก ก่อนจะหันไปยกยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“ฉัน... ยังไม่พร้อมจะรักใคร”
ชายหนุ่มหันมาสนใจกระดาษแผ่นขาวสะอาดในมือเขาที่แทรกอยู่กับรูปภาพคนที่รัก ไล่สายตาอ่านเนื้อหาภายในจนละเอียด... น้ำตาไหลคลออีกครั้งอย่างไม่คาดคิด ทั้งเจ็บใจตัวเอง ทั้งโกรธเคืองตัวเองเหลือเกินที่โง่เง่าถึงเพียงนี้...
ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องโล่งที่มีเก้าอี้จำนวนมากมายวางขนาบสองข้างกายเขา โดยที่ในมือยังคงกำนาฬิกากรอบทองไว้แน่น ทุกก้าวที่ย่างเดินราวกับจะล้มลงเสียให้ได้ ตอนนี้คนในงานกลับไปกันจนหมดแล้ว... เวลานี้ นาทีนี้เป็นของเขา เวลาสุดท้ายของเขากับคนที่เขารัก...
ซองมินนั่งอยู่บนขอบระเบียงหน้าต่างพลางมองนาฬิกาเรือนสำคัญในมือของเพื่อนสนิท ร่างสูงยกมันขึ้นตบเบาๆสองสามครั้งจนเข็มกลับมาเดินอีกครั้งก็ยื่นคืนเจ้าของพลางโคลงหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ
“ดีนะที่ยังไม่เสีย แต่นาฬิกามันก็เก่าแล้วคงไม่แปลกหรอกที่มันจะหยุดเดินไปบ้าง”
“ขอบใจนะ คยูกี้~” ซองมินยกยิ้มจนตาปิดเห็นฟันหน้าครบทุกซี่ ใบหน้าอีกคนพลันร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ... ให้ตายสิ เขาไม่เคยชินเลยสักครั้ง ไม่ว่าซองมินจะทำอะไรมันก็ทำให้เขาใจสั่นได้ตลอดเวลา... แค่มันจะสั่นเพราะหวั่นไหว หรือสั่นเครือเพราะเจ็บช้ำเท่านั้นเอง...
“หืม อะไรนะคยูกี้งั้นเหรอ...” ร่างสูงลุกขึ้นใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคอคนผมบลอนด์แล้วขยี้เบาๆอย่างหยอกล้อ ในขณะที่อีกคนก็แกล้งร้องเสียเวอร์ ยิ่งทำให้คนตัวสูงกว่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่ “ใครใช้ให้เรียกอย่างนั้นไม่ทราบ”
“โอ๊ยๆ คยูกี้ใจร้ายจังเลย~ เดี๋ยวนี้หมาป่าของฉันชักไม่เชื่องแล้วสิ” อีกแล้วไง... ซองมินขยันทำให้เขาหวั่นไหวเสียจริงๆ “เออใช่ วันนี้นายไปกับฉันไหม”
คยูฮยอนเลิกคิ้วสูง “ไปไหน”
“วันนี้วันเกิดดาอึลไง แล้วเขาก็ชวนฉันไปงานด้วย นายไปกับฉันนะ”
ฉึก! ยังไม่ทันไรจากการทำให้หวั่นไหวกลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจกันอย่างรวดเร็ว ทำไมเวลาพูดคุยกับเขาถึงต้องมีชื่อแฟนสาวของซองมินเข้ามาเกี่ยวข้องทุกที เวลาอยู่กับเขาไม่พูดถึงเธอสักครั้งได้ไหม... เพื่อนสนิทคนนี้แทบขาดใจอยู่แล้ว
“แล้วทำไมต้องชวนฉันด้วยล่ะ วันเกิดแฟนนาย นายก็น่าจะได้อยู่กับแฟนนายสองต่อสองไม่ใช่หรือไง” คำพูดที่เอ่ยออกไปกลับย้อนมาทำร้ายตัวเองให้ต้องเจ็บช้ำ แต่เขาก็ยังเอ่ยมันออกไป ไม่รู้เพราะต้องการประชดหรือพูดให้สมองมันจำใจมันเจ็บเก็บไปเตือนตัวเองกันแน่
“ก็แหม ฉันกะจะดื่มด้วยนี่นา...”
“อ๋อ จะให้ฉันไปช่วยขับรถพากลับว่างั้นเถอะ” คยูฮยอนเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน โดยที่ซองมินทำเพียงหัวเราะกลบเกลื่อน ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ... เฮ้อ ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี...
ซองมินเดินโซซัดโซเซโดยมีเพื่อนสนิทร่างสูงคอยพยุงกายอยู่ไม่ห่าง พากลับเข้ามาในห้องพัก วางร่างเล็กกว่าลงบนเตียงเบาๆก่อนจะเหยียดตัวลุกขึ้นยืนยกมือปาดเหงื่อ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งจนคยูฮยอนต้องย่นจมูก ร่างสูงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กและน้ำครึ่งขันในมือ มือหนาบิดผ้าชุ่มน้ำนั้นออกหมาดๆบรรจงซับตามใบหน้าไล่ตั้งแต่หน้าผากลงไปถึงแก้ม ซอกคอขาว ร่างสูงยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกอย่างแผ่วเบา เขามองใบหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กกว่าที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่อย่างนั้นคล้ายต้องมนต์สะกด สิ่งที่ไม่คาดคิดคือใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงจนแทบจะแนบชิดกับใบหน้าของเพื่อนสนิท ริมฝีปากของอีกคนคือสิ่งที่สายตาของเขาโฟกัสอยู่นานจนเปลือกตาเริ่มปิดลงบางๆ...
...เขากำลังจะจูบซองมินงั้นเหรอ... ซองมิน เพื่อนสนิทของเขานี่นะ...
คล้ายมีแรงบางอย่างดึงรั้งตัวเขาให้ชะงัก ริมฝีปากที่ห่างกันเพียงเอื้อมหยุดลงก่อนที่จะแนบประกบกัน ดวงตากลมโตของเขาปรือขึ้นอีกครั้งมองใบหน้าของชายหนุ่มคนที่เขารักด้วยแววตาตัดพ้ออยู่ในใจ โดยที่อีกคนไม่มีวันรับรู้มันได้เลย... เขาเหยียดตัวนั่งหลังตรงอีกครั้งก่อนจะเอื้อมไปเลื่อนผ้าห่มขึ้นปิดถึงอกซองมินแทน
...เขาจูบคนที่ไม่ได้รักเขา... ไม่ได้หรอก...
คยูฮยอนล้มตัวลงนอนข้างกายชายหนุ่มร่างผอมบางทั้งที่ยังคงลอบมองเพื่อนสนิทอยู่เนื่องๆ ก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวหันหลังให้กับชายหนุ่มผมบลอนด์...
...แม้แต่กอด... เขายังไม่กล้าเลย... แล้วค่ำคืนนี้ก็ต้องผ่านไปอย่างเงียบเหงา โดยมีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องนอนกอดตัวเองอยู่อย่างนี้
คยูฮยอนรู้สึกคล้ายโลกของเขาพังทลายลงตรงหน้า สมองตื๊อตัน ความรู้สึกของเขาเริ่มช้าลงเมื่อได้ยินประโยคที่แสนทำร้ายจิตใจของเขาจนย่อยยับ ร่างสูงเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งทั้งที่ไม่อยากได้ยินเลยแม้แต่น้อย ซองมินยิ้มร่าในขณะที่ใจของเพื่อนสนิทร้องไห้
“ฉันจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ดาอึลก็ไปด้วย ฉันกะจะไปตั้งรากฐานที่นั่นแล้วขอดาอึลแต่งงาน... นายว่าดีมั้ย”
คำพูดที่ตอกย้ำว่าเขามีเจ้าของหัวใจ ยิ่งทำให้ร่างสูงอยากร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้นอย่างไม่อายใคร แต่กลับต้องเก็บกลั้นมันไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขารักและแคร์มากที่สุด... ซองมินกำลังจะไปญี่ปุ่น กำลังจะจากเขาไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะทั้งทางกายหรือใจก็ตาม... แม้เขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปนั่งในหัวใจของชายหนุ่มเลยก็ตามที แต่เขาก็คิดเสมอว่าอย่างน้อยก็ยังได้อยู่ข้างกายคนที่เขารักตลอดไป...
...ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน...
แล้วสิ่งที่คนแอบรักอย่างเขาสามารถตอบกลับไปได้ จะมีอะไรนอกจากแสดงความยินดีกับเพื่อนรักที่กำลังจะมีอนาคตและครอบครัวที่สดใส...
“ยินดีด้วยนะ... ซองมิน”
น้ำตาเอ่อซึมออกมาจนคยูฮยอนรู้สึกตัวต้องแกล้งทำเป็นยกมือขึ้นปิดปากหาวแล้วเฉไฉไปต่างๆนานาจนซองมินขอตัวไปหาแฟนสาวของเขา นั่นถึงเป็นช่วงเวลาที่น้ำตาลูกผู้ชายของชายหนุ่มไหลรินออกมา
“ซองมิน... ฉันรักนาย...” คงทำได้เพียงบอกรักตามลำพัง เสียงหัวใจของเขา ซองมินไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง...
รองเท้าหนังสีดำมันวาวหยุดอยู่หน้ารูปขาวดำของชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก รอยยิ้มที่แสนสดใสของเขายังตราติดใจร่างสูงตลอดมา มือหนาของเขาเอื้อมออกไปแตะรูปเย็นเฉียบลูบภาพใบหน้าของซองมินอย่างแผ่วเบา น้ำตาที่ไหลรินทะลักออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ขอบตาเริ่มแดงผ่าวนัยน์ตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นมืออีกข้างที่กำนาฬิกากรอบทองยกขึ้นระดับสายตา แล้วใช้อีกมือหนึ่งตบมันเบาๆอีกครั้งท่ามกลางเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ซองมินยืนอยู่หน้าทางขึ้นเครื่องพร้อมกระเป๋าใบโตสองถึงสามใบ ข้างกายกันคือหญิงสาวเจ้าของฐานะ ‘คนรัก’ ที่คยูฮยอนแสนจะอิจฉา ใบหน้าของชายหนุ่มผมบลอนด์ทองเผยยิ้มออกมาจางๆเมื่อต้องจากเพื่อนรักที่สุดเพียงคนเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่คยูฮยอนยกยิ้มจนกว้างเห็นฟันหน้าแทบทุกซี่ทั้งที่ใจร้าวระบม
“ว่างๆก็ไปหากันบ้างนะ คยู” นัยน์ตากลมโตของร่างสูงแม้จะมองไปทางเพื่อนสนิทที่กำลังจะจากกัน แต่สายตานั้นกลับไม่กล้าแม้จะสบตาชายหนุ่มร่างเล็กกว่า... กลัวเหลือเกิน ที่จะพลั้งตัวเผลอใจหลุดปากรั้งชายหนุ่มคนที่เขาแสนรักออกไป กลัวจะเผลอทำอะไรที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
“อะไรกัน นายก็อยู่กับดาอึลไม่ใช่เหรอ ฉันไม่อยากไปเป็นก้างหรอกนะ” คยูฮยอนกลอกตามองไปรอบๆสนามบินพยายามเลี่ยงสายตาของอีกคนให้มากที่สุด จึงไม่มีวันสังเกตเห็นแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อยของร่างเล็กเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของซองมินที่เจื่อนลงยกยิ้มขึ้นอีกครั้งจางๆ มือคว้าแขนบางของแฟนสาวขึ้นมากอบกุม
“’งั้นพวกฉันไปก่อนนะ ถึงแล้วจะโทรไปบอก” ดวงตาของร่างสูงจับจ้องไปที่มือของซองมินด้วยแววตาปวดร้าว แต่ยังคงสามารถฝืนยิ้มออกมาพยักหน้ารับชายหนุ่มได้อีกครั้ง...
แผ่นหลังอันแสนคุ้นเคยเดินหายเข้าไปในประตูทางเข้าจนลับตา มือที่ยกขึ้นโบกลาเบาๆบัดนี้ค่อยๆตกลงข้างตัว คอร่างสูงตกลงก้มหน้ามองพื้น รอยยิ้มที่แสร้งทำขึ้นหายไปในทันที...
...ลาก่อน ซองมิน...
...หัวใจของฉัน...
หลังจากนั้นผ่านไปสองอาทิตย์ ซองมินยังคงติดต่อกลับมาหาคยูฮยอนอยู่เนื่องๆ ทั้งบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบ ทั้งเล่าประสบการณ์ต่างๆนานาที่พบเจอและแปลกใหม่ให้เขาฟังอย่างตื่นเต้น โดยที่เขาก็ทำได้เพียงนั่งฟังไปอมยิ้มไปกับความร่าเริงและท่าทีน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นคล้ายเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ มีบ้างที่จะเอ่ยถามกลับไปบ้างทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน... และเรื่องที่เขาพยายามเลี่ยงที่สุด... ดาอึล
“ฉันได้เพื่อนที่เรียนที่เดียวกันคนหนึ่ง เป็นคนเกาหลีด้วยล่ะ ชื่อเรียวอุค เขาบอกว่าอยู่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กเลยพูดญี่ปุ่นคล่อง ฉันเลยให้เขาช่วยสอนบ้างอะไรบ้างเวลาที่ฉันไม่เข้าใจที่เซนเซ (ครู) พูด ดาอึลเองก็มีเพื่อนใหม่แล้ว ท่าทางสนุกน่าดูเลยล่ะ”
“ดีแล้ว...”
“อ๊ะ ฉันไปก่อนนะต้องไปทำรายงานที่ค้างต่อให้เสร็จน่ะ” แล้วสายก็ถูกตัดไปโดยที่ร่างสูงนั้นยังคงนั่งอมยิ้มอยู่นานร่วมชั่วโมง... แม้ไม่ได้พบหน้ากัน แต่ได้ยินเสียงกันก็ยังดี...
มือหนาตบนาฬิกาแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเสียงสะอื้นที่ดังก้องห้องโล่งกว้างต่อหน้ารอยยิ้มคนที่รักที่สุด...
เวลาผ่านไปกว่าสี่ปีที่ทั้งเขาและซองมินไม่ได้พบหน้าคร่าตากัน แต่ยังคงพูดคุยกันผ่านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์อยู่เรื่อยๆ จึงทำให้คยูฮยอนรู้ความเป็นไปของอีกคนอยู่เสมอ... แต่นี่เวลาผ่านไปร่วมสองอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากเพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาเลย จนกระทั่งวันนี้...
กริ๊งงง... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงไม่นานก่อนที่ร่างสูงจะคว้าขึ้นมารับอย่างรวดเร็ว หวังให้เป็นซองมินคนที่เขารัก เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี้เขาแทบบ้าที่ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนรักเลย ทั้งห่วงทั้งกังวลเหลือเกิน...
...แต่คนที่โทรมากลับไม่ใช่ซองมิน...
...ซ้ำร้ายข่าวที่ได้รับจากชายคนนั้นยังทำเอาเข่าร่างสูงอ่อนลงทันทีจนแทบทรุดลงกับพื้น...
...ซองมินประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อสี่วันที่ผ่านมา อาการโคม่าจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา... แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับการที่เขาเพิ่งรับรู้ว่าเมื่อเช้านี้ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของเขาจากเขาไปแล้ว...
มือหนาปล่อยโทรศัพท์ล่วงลงพื้นอย่างไม่ใยดี ทั้งช็อคทั้งงง ทำไมถึงต้องเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น...
ทำไมต้องพราก... ซองมินไปจากเขา...
นาฬิกากรอบทองถูกกระแทกเข้าหาฝ่ามือเขาแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เข็มของมันยังคงนิ่งสงบไร้การเคลื่อนไหวใดๆอย่างที่เคยเป็นมา ทุกครั้งที่เขากระแทกมันด้วยฝ่ามือจะได้ยินเสียง แกร๊ก แกร๊ก เสมอ
“ทำไม... ทำไมมันไม่เดิน” เสียงอู้อี้ดังลอดผ่านริมฝีปากที่แดงช้ำจากการเม้มเข้าหากันอย่างแรงเพื่อกลั้นเสียงร้องไห้ แต่กลับไม่ช่วยอะไรได้ดีนัก “ทำไม... ทำไมถึงไม่เดิน! ทำไม! ทำไม! ฮึก...” มือหนาขว้างนาฬิกาในมือลงพื้นอย่างแรงจนหน้าปัดแตกกระเด็น เข็มทั้งสามหลุดออกมาจากตัวนาฬิกาทันที
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สภาพจิตใจอ่อนแอทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้ารูปซองมิน เขาเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาที่แดงก่ำและช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากขยับเอ่ยอะไรออกมาอย่างแผ่วเบาซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงซุกฝ่ามือโน้มตัวลงพื้น ไหล่และกายแกร่งของผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้จนตัวโยน
“ขอโทษ ซองมิน... ฉันขอโทษ... ฮึก... ขอโทษ”
เบื้องนอกกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้สั่นไหวตามแรงลมอยู่ใต้กล่องที่บรรจุมันไว้ เนื้อหาภายในที่ทำเอาคนที่เคยกลั้นน้ำตาหลอกตัวเองเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มกับชายหนุ่มผู้จากไปต้องร้องไห้จนตัวสั่นโยน ตัวหนังสือเป็นระเบียบที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีน้ำเงินเข้ม เรียบเรียงร้อยถ้อยคำด้วยหัวใจ...
ถึง คยูฮยอน... ฮีโร่ของฉัน
คยู นายรู้ไหมว่าตั้งแต่วันแรกที่ฉันพบกับนาย วินาทีแรกวินาทีนั้นสำหรับฉันนายเป็นทั้งเพื่อนที่ดีที่สุด ทั้งฮีโร่ของฉัน ถ้าวันนั้นไม่ได้นายเอาไว้ฉันคงต้องเสียของสำคัญที่สุดที่พ่อทิ้งไว้ไปแน่ๆ
นายรู้ไหมว่านายเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ทุกครั้งที่ฉันมองเข้าไปในแววตาของนาย ทุกความรู้สึก ทุกคำพูดที่นายเก็บไว้มันบอกกับฉันหมดว่านายคิดอะไร ปิดบังอะไรฉันอยู่
ฉันอยากจะบอกนายเหลือเกินว่าความเป็นจริงแล้ว ฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากนาย... แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของนายเอง
ที่ฉันตัดสินใจมาญี่ปุ่น มันไม่ใช่อย่างที่ฉันบอกนายไปหรอกนะ... แม่ของฉันที่ย้ายไปญี่ปุ่นหลังจากที่พ่อของฉันเสียไป ตอนนี้ท่านก็ด่วนจากไปอีกคน ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ...
อันที่จริงฉันก็ตั้งใจจะไปเพียงสองสามอาทิตย์เท่านั้น ที่พูดออกไปมันเป็นเพียงแค่การลองใจนายเท่านั้นเอง ว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว ถ้าฉันต้องจากนายไป นายยังจะปากแข็งอยู่อีกหรือเปล่า จะบอกคำนั้นให้ฉันฟังหรือเปล่า...
สุดท้ายนายก็ยังเหมือนเดิม...
มีอีกเรื่องที่ฉันไม่ได้บอกกับนาย... ความเป็นจริงแล้ว ฉันกับดาอึลนั้นไม่ได้คบกันอย่างที่นายเข้าใจหรืออย่างที่ฉันเคยบอกเอาไว้ ตั้งแต่วันที่ฉันไปพบกับเขาฉันก็บอกปฏิเสธไปตั้งนานแล้ว ก็ฉันไม่เหมือนนายที่เอาแต่ฝืนตัวเองเสแสร้งปิดความรู้สึกตัวเองไปตลอด
ดาอึลนั้นกลับกลายมาอาสาช่วยเหลือฉัน คิดแผนที่จะทำให้นายเปิดปากแข็งๆของนายออกโดยการแกล้งเป็นแฟนกับฉัน ทุกครั้งฉันก็เห็นว่านายทำทีจะร้องไห้ฉันก็พาลจะใจอ่อนอยู่รอมร่อ แต่อีกใจกลับไม่อยากจะยอมแพ้ ยังคงแกล้งเป็นแฟนกับดาอึลต่อไป...
ความเป็นจริงแล้ว ฉันกับนายก็คงไม่ต่างกันเท่าไรนัก ชอบทำเป็นและเสแสร้งเก่งพอๆกัน
ที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงนาย ก็เพื่อต้องการจะบอกเพียงเท่านี้... เพราะความเป็นจริงฉันเองก็ไม่ได้กล้าหาญชาญชัยที่จะสารภาพออกไปตรงๆเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับนาย แม้จะมั่นใจว่านายเองก็คงคิดเหมือนกัน
สุดท้ายนี้... ฉันเอาแต่เฝ้ารอคำว่ารักจากปากของนาย ทั้งที่ไม่เคยพยายามจะพูดออกไปเลยสักครั้ง...
คยูฮยอน... ฉันรักนาย...
ลี ซองมิน
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของชายหนุ่มผู้ถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตเพียงลำพังบนโลกอันแสนเดียวดายดังครวญครางก้องห้องโล่ง เขาต้องการสักเพียงหนึ่งนาที... ไม่สิ สักวินาทีหนึ่งก็ยังดี ที่จะพาคนรักของเขากลับคืนมา... ขอเขากอด ขอเขาสัมผัส ขอให้เขาได้บอกรักซองมินสักครั้ง ชดเชยในสิ่งที่เขาพลาดไป...
“ซองมิน...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนรักซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ซองมิน... ฉันก็รักนาย”
คงทำได้เพียงหวังให้สายลมช่วยพัดพาคำว่ารักของเขา ส่งผ่านถึงคนที่อยู่เบื้องบนได้รับรู้...
The end
ขอแลกทุกอย่างที่มี เพื่อวินาทีของเธอ ขอเจอคนที่รักเหลือเกินได้ไหม
ฉันแทบจะกราบอ้อนวอน... ร้องไห้จนเหือดหายไป ...เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่ต้องการ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทโทนดำก้าวเข้ามาภายในตัวบ้านหลังหนึ่งในตัวเมืองโตเกียว รองเท้าหนังสีดำมันวาวมาหยุดอยู่หน้าประตูกระจกใสที่เปิดโล่งเผยให้เห็นภายในห้องกว้างที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยออกันอยู่ ชายหญิงคู่หนึ่งในชุดดำโค้งตัวเล็กน้อยทำความเคารพภาพของใครบางคนที่อยู่ด้านหน้าสุด มือข้างหนึ่งที่กำกระเป๋าเดินทางใบโตบีบแน่น แต่แปลกที่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะทั้งหัวใจและร่างกายของเขาในตอนนี้ด้านชาไปหมดแล้ว
ร่างโปร่งวางกระเป๋าเดินทางลงข้างตัวพร้อมทรุดตัวลงนั่งบนระเบียงหน้าบ้านอย่างหมดแรง สองมือกำประสานกันพยายามสกัดความรู้สึกหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา มันทั้งช็อค ทั้งเจ็บปวดในคราเดียวกันเมื่อรับรู้ข่าวร้ายที่ไม่ต้องการได้ยิน ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันนี้ ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้นในตอนนี้... คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา คนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ ทำไมถึงด่วนจากไปทิ้งเขาให้อยู่บนโลกที่กว้างใหญ่นี้เพียงลำพัง แล้วผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิดคนนี้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไรในวันที่ไร้คนรัก
ขอบตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที พร้อมรับรู้ว่าภาพเบื้องหน้าเขาช่างเลือนราง เมื่อน้ำใสเอ่อคลอขึ้นที่ดวงตากลมโตของเขาจนบดบังภาพตรงหน้าจนมืดสนิท น้ำอุ่นไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้ชายคนหนึ่งคนนี้ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาใครทั้งนั้น เขาไม่แคร์สักนิดว่าใครจะว่าเขาอย่างไร เพราะในตอนนี้คนเดียวที่เขาแคร์ไม่อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว
ในขณะที่เขากำลังนั่งก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นทางยาวอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา คนหัวใจอ่อนแอเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาคนตรงหน้าก็พอจะจำได้ว่าเป็นเพื่อนของคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ ดั้งจมูกเรียวและดวงตาคู่เล็กอันเป็นเอกลักษณ์... คิม เรียวอุค เพื่อนชาวเกาหลีเพื่อนเพียงคนเดียวของซองมินทั้งที่เรียนด้วยกันและทำองานด้วยกันในแดนอาทิตย์อุทัย
เรียวอุคยื่นกล่องใบหนึ่งแก่ผู้มาใหม่ เขารับมันไว้พร้อมใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา เสียงใสของชายหนุ่มตรงหน้าที่เอ่ยขึ้นดังก้องในโสตประสาทที่เลือนลางของเขา
“นายคือคยูฮยอนใช่มั้ย... ซองมินเขาฝากนี่ไว้ให้นาย เขาบอกว่ายังไงก็ต้องให้นายให้ได้ ให้คนสำคัญของเขา...”
ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่เล็กเดินจากไปแล้ว แต่ชายหนุ่มร่างสูงดวงตากลมโตยังคงนั่งนิ่งมองกล่องในมือของเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่มือหนาจะเปิดฝากล่องนั้นออก สิ่งแรกที่พบทำเอาน้ำตาที่กำลังจะเหือดแห้งไหลออกมาอีกครั้งอย่างหยุดไม่อยู่ นาฬิกากรอบทองหน้าปัดแตกร้าวเรือนนี้... มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักกับซองมินในฐานะเพื่อน... ก่อนที่ความรู้สึกและความผูกพันจะแปรเปลี่ยนให้คำว่าเพื่อนกลายเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจของเขาเอง
คยูฮยอนกำนาฬิกาเรือนนั้นไว้แน่นแนบหน้าอก น้ำใสอุ่นไหลรินอย่างต้องการปลดปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดและอ้างว้างในตอนนี้ให้มันหมดไป พลันภาพความทรงจำครั้งก่อนฉายขึ้นมาในสมองราวกับเครื่องฉายหนังที่กำลังเล่นไปทีละฉาก ทีละตอน...
พลั่ก! ร่างของเด็กชายหุ่นผอมบางล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เมื่อถูกเด็กชายร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มผลักจนกระเด็นโดยมีเด็กผู้ชายตัวเล็กอีกสองสามคนยืนขนาบข้าง ในมือของเด็กตัวโตมีนาฬิกาเรือนสำคัญที่พ่อของเขาให้ไว้ก่อนจากกัน เจ้าเด็กเกเรโบกของในมือไปมาอย่างยียวนให้คนอ่อนแอกว่าเจ็บใจที่ไม่อาจสู้คนตรงหน้าได้
“ก็บอกแล้วไงว่าขอดูหน่อย ทำเป็นหวงของไม่ให้ก็โดนดีแบบนี้แหละ” เด็กชายที่ล้มอยู่บนพื้นกำมือแน่นอย่างแค้นใจ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจะคว้านาฬิกาของตนคืน แต่กลับถูกเด็กตัวเล็กๆข้างๆเจ้าตัวโตผลักล้มลงอีกครั้ง เด็กเกเรหัวโจกยิ้มเยาะ “ซองมินแกมันไอ้ขี้แพ้ ซองมินขี้แพ้ ซองมินขี้แพ้”
คำล้อเลียนของกลุ่มเด็กเกเรกลุ่มนั้นดังก้องในหัวของเด็กชายตัวผอมบาง ทั้งเจ็บใจและอับอายจนน้ำตาคลอขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่แล้วร่างของเจ้าเด็กตัวโตก็ถลาไปข้างๆเมื่อถูกใครบางคนถีบจนกระเด็น เสียงล้อเลียนของเด็กลุ่มนั้นเงียบลงทันทีและถูกแทนที่ด้วยความงุนงง เด็กชายตัวสูงคนที่ยืนมองหน้าพวกที่เหลือและหัวโจกอย่างเอาเรื่อง มือคว้ากระเป๋าสะพายที่อยู่ด้านหลังออกมาเหวี่ยงใส่พวกเด็กตัวเล็กจนกระเด็นไปตามๆกัน
“ไอ้พวกหมาหมู่ เก่งแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แน่จริงพวกแกมาสู้กับฉันตัวต่อตัวมั้ยล่ะ” ทั้งเจ้าตัวโตและเด็กตัวเล็กเก้งก้างทั้งหลายพามองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนที่เจ้าเด็กหัวโจกจะลุกขึ้นยืนแล้วผลักเด็กชายตัวสูงกว่าอย่างแรงจนเซ
“แกเป็นใครวะมายุ่งอะไรด้วย... อ๋อ หรือว่าอยากเป็นพระเอกมาช่วยนางเอก... เอ๊ะ แสดงว่าแกเป็นเกย์น่ะสิ” เจ้าตัวโตหัวไปหัวเราะกับพวกที่เหลืออย่างสะใจ ในขณะที่ไม่ระวังตัวเลยว่าจะหันกลับมาพบกับหมัดหนักๆ ของอีกคนจนเซถลาเลือดกบปาก มืออวบของเจ้าเด็กหัวโจกยกขึ้นปาดเลือดอุ่นๆที่ไหลออกมาจากปากแล้วมองด้วยนัยน์ตาหวั่นๆ “แก... แกต่อยฉัน!”
“เออสิ! เห็นฉันจูบแกหรือไงไอ้อ้วน!” เด็กชายตัวสูงหักนิ้วตัวเองดังกร็อบ เด็กชายตัวเล็กที่อยู่เบื้องหลังพากันค่อยๆถอยทีละก้าวให้ห่างจากเด็กชายแปลกหน้าให้มากที่สุด ขณะที่เด็กหัวโจกเองก็ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นแล้วหันหลังวิ่งหนีไปอย่างหมดท่า มือที่ยกขึ้นหักนิ้วตัวเองเสียงดังเพื่อข่มพวกเด็กเกเรลดระดับลงเป็นเท้าสะเอวมองไล่หลังพวกนั้นไปอย่างเซ็งๆ
“ให้ตายสิ ไอ้พวกเก่งแต่ปาก” เด็กชายแปลกหน้าหันกลับมาหาคนที่ทรุดตัวอยู่กับพื้นพร้อมแผลถลอกมากมาย ก่อนจะเหลือบเห็นนาฬิกากรอบทองที่เปล่งประกายเมื่อต้องแสงที่ตกอยู่ข้างๆกัน เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปคุกเข่านั่งลงด้านหน้าเด็กชายผอมบาง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อพบว่าเข็มบนหน้าปัดนาฬิกาไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เขาใช้มือข้างหนึ่งตบด้านข้างของนาฬิกาเรือนนั้นเบาๆสองสามครั้งจนเข็มกลับมาเดินอีกครั้ง เด็กชายยกยิ้มอย่างดีใจแล้วยื่นคืนเด็กชายผอมบาง
“โชคดีนะเนี่ยที่มันไม่เสีย” ปากว่าพลางยื่นมือข้างที่ส่งคืนนาฬิกาให้กับเจ้าของของมันอีกครั้งขึ้นปัดเส้นผมสีบลอนด์ทองที่ยุ่งเหยิง ปัดแขนและกางเกงที่เปรอะเศษดินเศษทรายออก “ของสำคัญไม่ใช่เหรอ ดูแลมันให้ดีหน่อยสิ”
ใบหน้าของเด็กชายผอมบางยกยิ้มขึ้นบางๆแม้นัยน์ตายังคงแลดูเศร้าหมองจากเรื่องเมื่อครู่ ที่ตนไม่สามารถรักษาของสำคัญของตนไว้ได้ อีกทั้งยังนึกไปถึงคำล้อเลียนของกลุ่มพวกเด็กเกเรพวกนั้น ที่ทำให้เขาทั้งเจ็บใจและเคืองตัวเองกว่าเดิมหลายเท่า เด็กชายตัวสูงคว้ามือของคนตัวเล็กกว่าพร้อมทั้งดึงให้ลุกขึ้น
“ขอบใจนะ... เอ่อ...” เด็กชายร่างผอมบางเอียงคอเล็กน้อยพร้อมทั้งเลิกคิ้วเชิงถาม เด็กชายแปลกหน้ายกยิ้มขึ้นมุมปากรับคำขอบคุณนั้นบางๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“คยูฮยอน... ฉันชื่อโจว คยูฮยอน” อีกคนเองก็คลี่ยิ้มบางๆเช่นกัน
“ขอบใจนะ คยูฮยอน...”
นาฬิกาเรือนนั้นตอนนี้มันอยู่กับเขา เข็มสีทองนิ่งสงบไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย หน้าปัดร้าวบ่งบอกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เจ้าของของมันประสบมา เหตุการณ์แสนเลวร้ายที่พรากซองมินไปจากเขา...
ภายในกล่องนั้นนอกจากนาฬิกาเรือนนี้แล้ว ยังมีรูปภาพอีกมากมายบรรจุอยู่พร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งที่แทรกอยู่กับรูปภาพ เขาหยิบภาพถ่ายนั้นขึ้นมาเปิดดู... ภาพของเขากับซองมินจำนวนนับสิบรูป ใบหน้าของคนในภาพนี้...
...คิดถึงเหลือเกิน...
เขาหันกลับมาสนใจเวลาในมือเขาอีกครั้ง มือหนาตบด้านข้างของนาฬิกาเรือนนั้นหวังให้มันเดินต่อไปอย่างครั้งก่อน น้ำใสๆไหลอาบแก้มอีกครั้ง ในขณะที่เข็มยังคงหยุดนิ่งอย่างสงบ เหมือนที่เจ้าของของมันได้จากไปอย่างสงบ... แต่ความทรงจำและความรักของเขาที่มีต่อซองมิน ไม่มีวันหายไปหรือหยุดลง... ภาพความทรงจำครั้งก่อนไหลกลับมาในสมองของเขาอีกครั้งและดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มร่างสูงวัยสิบแปดเตะลูกบอลที่อยู่ด้านหน้าลอยเข้าประตูได้อย่างแม่นยำ ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมีเรือนผมสีบลอนด์ทองอันเป็นเอกลักษณ์วิ่งมาหาเขาด้วยความยินดี ใบหน้ายิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่คว้าคนตัวสูงกว่าเข้าไปกอดอย่างไม่อายสายตาใครทำเอาร่างสูงถึงกับตัวแข็งทื่อใบหน้าพลันร้อนผ่าวคล้ายจะเป็นไข้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ก่อนจะสะบัดศีรษะเบาๆแล้วกอดตอบเพื่อนตัวเล็กกว่า
หลังจากรับเหรียญทองเป็นรางวัลการแข่งขัน ซองมินนั่งพลิกเหรียญในมือดูอย่างปลื้มอกปลื้มใจในขณะที่เนื้อตัวเปียกปอนหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว คยูฮยอนที่กำลังใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กขยี้หัวตัวเองอยู่เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะขอแกล้งสักหน่อยด้วยความหมั่นไส้ ใช้ผ้าผืนนั้นคลุมศีรษะอีกคนแล้วขยี้แรงๆจนคนตัวเล็กร้องเสียงหลง
“เฮ้ย! ไอ้บ้าคยูแกทำอะไรเนี่ย” ซองมินผลักคนตัวสูงกว่าออกอย่างแรงพร้อมหัวเราะออกมาอย่างเสียมิได้ แม้จะเกือบขาดอากาศหายใจตายเพราะคนตรงหน้าก็ตามที ร่างสูงย่นจมูกใส่อีกคน “หมั่นไส้ หน้าตาแกนี่จะดีใจอะไรขนาดนั้น ฉันเป็นคนยิงเข้าแท้ๆ”
คนผมทองหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็แหม ตั้งแต่ลงแข่งมาฉันเพิ่งได้เหรียญทองเป็นครั้งแรกนี่นา ว่าแต่นายเถอะฝีมือฟุตบอลก็ใช่ย่อย ทำไมไม่ลงชมรมนี้ตั้งแต่แรก”
ร่างสูงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ก็ฉันไม่ชอบ”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากจะลงเอาดื้อๆล่ะ” ซองมินยังคงยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทต่อไปในขณะที่คยูฮยอนไม่ได้ตอบอะไร ทำเป็นหูทวนลมเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่นำมาเปลี่ยนสวมแทน... ก็จะให้บอกได้อย่างไรว่าเพราะนายนั่นแหละที่ทำให้เขาอยากจะเข้าชมรมนี้ขึ้นมา เขาอยากอยู่ใกล้ซองมินนี่นา... ทั้งที่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่มันมีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับซองมิน ได้ยิ้มได้หัวเราะด้วยกัน ได้อยู่ใกล้กันตลอดเวลา...
...เขาคงไม่ได้... รักซองมินหรอกนะ...
ซองมินนั่งอ่านอะไรบางอย่างในมือ กระดาษสีหวานที่ส่งกลิ่นหอมคล้ายแป้ง ร่างสูงเดินเลียบๆเคียงๆเข้ามาโผล่อยู่ด้านหลังเพื่อนสนิทโดยที่เจ้าของเรือนผมเด่นสะดุดตาไม่ทันสังเกตเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงลอบมองตัวหนังสือที่เขียนด้วยความบรรจง ราวกับต้องการสื่อถึงความจริงใจของเจ้าของจดหมายแผ่นนี้ นัยน์ตาคู่กลมไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนสิ้นสุดบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะใช้ศอกถองสีข้างเพื่อนสนิทของตนเบาๆด้วยแววตาเจ้าเล่ห์อย่างหยอกล้อ
“อะไรกันๆ เพื่อนฉันนี่ช่างเนื้อหอมซะจริงนะ มีสาวส่งจดหมายรักมาหาด้วย” ชายหนุ่มตัวเล็กกว่าหันมามองร่างสูงด้วยแววตาสีหน้าตกใจ ใบหน้าของซองมินขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะแว้กใส่เพื่อนสนิทปกปิดความเขินอาย
“เฮ้ย! จะบ้าเหรอ แล้วนี่นายมาแอบอ่านจดหมายฉันได้ยังไงไม่มีมารยาท”
“อันแนะๆ เขินใช่มั้ยล่า...” คยูฮยอนใช้นิ้วชี้จิ้มแก้มคนผมทองเบาๆอย่างหยอกล้อพร้อมเอ่ยแซว ใบหน้ายิ่งทวีความร้อนขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามือของซองมินผลักไหล่คนตัวสูงกว่าออกไปอย่างแรงจนคนแซวเซถลาไปทันที แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาสำนึกเลยแม้แต่น้อยยังคงหัวเราะออกมาอย่างขำขันเช่นเคย
“ฉันจะรอพี่ที่หลังโรงเรียนเวลาเที่ยงตรง มาให้ได้นะคะ~ ว่าไงนายจะไปรึเปล่า” ชายหนุ่มแกล้งดัดเสียงแหลมเลียนแบบเนื้อหาจดหมายนั้นก่อนจะเอ่ยถามซองมินพร้อมรี่ตาลงมองอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากบางๆนั้นทำเอาชายหนุ่มอีกคนไม่กล้าแม้จะมองหน้าคยูฮยอน “ก็... ก็คงต้องไปแหละ”
คำตอบพาใจของคนช่างแซวหวิวแปลกๆ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ร่างสูงจะตบไหล่คนผมบลอนด์แรงๆจนหน้าแทบทิ่ม “มันต้องอย่างนี้สิ! กระต่ายน้อยกำลังจะกลายเป็นเสือแล้วสินะ!”
“บ้าเหรอ! ใครเป็นกระต่ายน้อยกัน!” ซองมินแย้งพร้อมใบหน้าแดงเรื่อท่ามกลางเสียงหัวเราะของคยูฮยอน... เสียงหัวเราะที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆเหมือนเสียงหัวใจของเขาที่คล้ายจะหยุดลง
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเพื่อนสนิทที่ตัวเล็กกว่าเขาก็เดินมาบอกว่าเขากับแม่สาวเจ้าของจดหมายนั้นตอนนี้คบกันแล้ว... และสิ่งที่เขาแสดงออกไปคงเป็นแค่การแสร้งยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยคำยินดีออกไปทั้งที่มันจุกไปหมด
...เจ็บจริงๆ...
คิ้วเรียวของซองมินเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีผมแปลกตาของคยูฮยอน จากสีดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินเป็นประกายเมื่อต้องแสง มันไม่ได้ทำให้ความหล่อของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย กลับกันซองมินสังเกตเห็นผู้หญิงหลายๆคนที่เดินผ่านเขาแทบจะเหลียวหลังกลับมามองกันทุกคน นั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพื่อนร่างสูงทันทีเมื่อคยูฮยอนเดินมาถึง
“นายเปลี่ยนสีผมเหรอ”
“อื้ม ดูเป็นไงมั่ง... พี่ฉันบอกว่าดูแก่ลง จริงรึเปล่า” คยูฮยอนพยักหน้าตอบก่อนจะถามกลับด้วยสีหน้าไม่มั่นใจเมื่อโดนพี่สาวคนโตทักขึ้นจนสูญเสียความมั่นใจลงไปกว่าครึ่ง คนผมบลอนด์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่หรอก แค่ดูแปลกตา...” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดีหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของตัวจริงของเพื่อนสนิทเขาก็เดินเข้ามาเกาะแขน โดยไม่ลืมโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมเอ่ยทักทายเขา “งั้นฉันไปก่อนนะ วันนี้ฉันมีนัดน่ะ”
ว่าแล้วก็เดินหันหลังจากไปพร้อมกับหญิงสาวคนรักของเขา ร่างสูงได้แต่มองตามหลังไปด้วยแววตาเหงาๆอยู่เพียงลำพังเท่านั้น กล่องของขวัญใบเล็กที่แอบซ่อนไว้ด้านหลังถูกยกกลับมามองดูพร้อมถอนหายใจ
ของขวัญของคนพิเศษในของพิเศษ แต่คนพิเศษคนนั้นคงไม่มีวันรับรู้เลยว่าได้รับความรู้สึกพิเศษในฐานะที่พิเศษกว่าใครจากคนธรรมดาคนนี้
“วันเกิดของเขาก็ต้องได้อยู่ฉลองกับคนพิเศษของเขา... มันก็ถูกแล้วนี่”
มือหนากำกล่องแน่นจนยับ
...ซองมิน... ฉันรักนาย...
ภาพใบหน้าของคนที่รักอย่างสุดหัวใจที่เปรอะคราบเค้กนั้นทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าของคนสำคัญที่แอ๊บแบ๋วอย่างสุดกำลังเมื่อตอนถ่ายรูป ภาพใบหน้าของคนผมบลอนด์เมื่อตอนเก๊กหล่อ...
...คิดถึงเหลือเกิน...
นักศึกษาชายปีสองทั้งสองคนนั่งสุมหัวมองจดหมายรักในมือของชายหนุ่มร่างสูงหนึ่งในสองคนนั้น ซองมินไล่สายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายจนจบจึงได้หันมาเอ่ยแซวคยูฮยอนบ้างเมื่อถึงทีตัวเอง อย่างที่เคยโดนเพื่อนสนิทล้อเมื่อครั้งก่อนโดยไม่สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าการหยอกล้อของเขาจะทำให้ร่างสูงเสียใจเพียงใด
“แหมอะไรกัน นึกว่าเพื่อนฉันจะขายไม่ออกซะแล้ว ในที่สุดก็มีคนหลงผิดมาช่วยนายสละโสดสักที แล้วนี่นายจะไปพบเธอมั้ย แนบรูปมาด้วยนี่ น่ารักใช่เล่นเลยนา... อ้าว เดี๋ยวสิ! เฮ้! คยูนั่นนายจะไปไหน”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินหนีเพื่อนสนิทของตนออกมาโดยไม่ฟังคำร้องเรียกของอีกคนเลยแม้แต่น้อย ทั้งเสียใจและน้อยใจในคราเดียวกัน...
ทำไม... ไม่รักกันไม่ว่าเลยสักคำ แต่ทำไมต้องยัดเยียดให้ไปคบกับใครต่อใคร
นายมีใครคบใครไม่เป็นไร แต่อย่าทำเหมือนไม่ต้องการกันขนาดนั้นได้ไหม...
ไม่เคยรู้เลยใช่ไหม ที่ฉันไม่มีใครเพราะใจฉันมีนายอยู่เต็มหัวใจ
แค่นี้ฉันก็เจ็บมากพอแล้วซองมิน... เจ็บจนไม่อยากจะมีหัวใจไว้รักใครอีกแล้ว
แต่เขาก็ไม่เคยโกรธซองมินได้เลย ไม่เคยโกรธได้นาน เพราะเพียงแค่เจอหน้ากันเขาก็แทบจะลืมเรื่องในวันนั้นไปจนหมดสิ้น เช่นเดียวกับซองมินที่หน้าตาสำนึกผิดจนน่าสงสาร ขอโทษแล้วขอโทษอีกจนอีกคนต้องใจอ่อน... แล้วอย่างนี้เขาจะไปโกรธคนที่รักสุดหัวใจลงได้อย่างไร
“คยู... ทำไม... เอ่อ ทำไมนายถึงยังไม่มีแฟนสักที?” คำถามที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆราวกับกลัวว่าเพื่อนสนิทของตนจะเคืองขึ้นมาอีกนั้นทำเอาคยูฮยอนชะงัก ก่อนจะหันไปยกยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“ฉัน... ยังไม่พร้อมจะรักใคร”
ชายหนุ่มหันมาสนใจกระดาษแผ่นขาวสะอาดในมือเขาที่แทรกอยู่กับรูปภาพคนที่รัก ไล่สายตาอ่านเนื้อหาภายในจนละเอียด... น้ำตาไหลคลออีกครั้งอย่างไม่คาดคิด ทั้งเจ็บใจตัวเอง ทั้งโกรธเคืองตัวเองเหลือเกินที่โง่เง่าถึงเพียงนี้...
ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องโล่งที่มีเก้าอี้จำนวนมากมายวางขนาบสองข้างกายเขา โดยที่ในมือยังคงกำนาฬิกากรอบทองไว้แน่น ทุกก้าวที่ย่างเดินราวกับจะล้มลงเสียให้ได้ ตอนนี้คนในงานกลับไปกันจนหมดแล้ว... เวลานี้ นาทีนี้เป็นของเขา เวลาสุดท้ายของเขากับคนที่เขารัก...
ซองมินนั่งอยู่บนขอบระเบียงหน้าต่างพลางมองนาฬิกาเรือนสำคัญในมือของเพื่อนสนิท ร่างสูงยกมันขึ้นตบเบาๆสองสามครั้งจนเข็มกลับมาเดินอีกครั้งก็ยื่นคืนเจ้าของพลางโคลงหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ
“ดีนะที่ยังไม่เสีย แต่นาฬิกามันก็เก่าแล้วคงไม่แปลกหรอกที่มันจะหยุดเดินไปบ้าง”
“ขอบใจนะ คยูกี้~” ซองมินยกยิ้มจนตาปิดเห็นฟันหน้าครบทุกซี่ ใบหน้าอีกคนพลันร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ... ให้ตายสิ เขาไม่เคยชินเลยสักครั้ง ไม่ว่าซองมินจะทำอะไรมันก็ทำให้เขาใจสั่นได้ตลอดเวลา... แค่มันจะสั่นเพราะหวั่นไหว หรือสั่นเครือเพราะเจ็บช้ำเท่านั้นเอง...
“หืม อะไรนะคยูกี้งั้นเหรอ...” ร่างสูงลุกขึ้นใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคอคนผมบลอนด์แล้วขยี้เบาๆอย่างหยอกล้อ ในขณะที่อีกคนก็แกล้งร้องเสียเวอร์ ยิ่งทำให้คนตัวสูงกว่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่ “ใครใช้ให้เรียกอย่างนั้นไม่ทราบ”
“โอ๊ยๆ คยูกี้ใจร้ายจังเลย~ เดี๋ยวนี้หมาป่าของฉันชักไม่เชื่องแล้วสิ” อีกแล้วไง... ซองมินขยันทำให้เขาหวั่นไหวเสียจริงๆ “เออใช่ วันนี้นายไปกับฉันไหม”
คยูฮยอนเลิกคิ้วสูง “ไปไหน”
“วันนี้วันเกิดดาอึลไง แล้วเขาก็ชวนฉันไปงานด้วย นายไปกับฉันนะ”
ฉึก! ยังไม่ทันไรจากการทำให้หวั่นไหวกลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจกันอย่างรวดเร็ว ทำไมเวลาพูดคุยกับเขาถึงต้องมีชื่อแฟนสาวของซองมินเข้ามาเกี่ยวข้องทุกที เวลาอยู่กับเขาไม่พูดถึงเธอสักครั้งได้ไหม... เพื่อนสนิทคนนี้แทบขาดใจอยู่แล้ว
“แล้วทำไมต้องชวนฉันด้วยล่ะ วันเกิดแฟนนาย นายก็น่าจะได้อยู่กับแฟนนายสองต่อสองไม่ใช่หรือไง” คำพูดที่เอ่ยออกไปกลับย้อนมาทำร้ายตัวเองให้ต้องเจ็บช้ำ แต่เขาก็ยังเอ่ยมันออกไป ไม่รู้เพราะต้องการประชดหรือพูดให้สมองมันจำใจมันเจ็บเก็บไปเตือนตัวเองกันแน่
“ก็แหม ฉันกะจะดื่มด้วยนี่นา...”
“อ๋อ จะให้ฉันไปช่วยขับรถพากลับว่างั้นเถอะ” คยูฮยอนเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน โดยที่ซองมินทำเพียงหัวเราะกลบเกลื่อน ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ... เฮ้อ ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี...
ซองมินเดินโซซัดโซเซโดยมีเพื่อนสนิทร่างสูงคอยพยุงกายอยู่ไม่ห่าง พากลับเข้ามาในห้องพัก วางร่างเล็กกว่าลงบนเตียงเบาๆก่อนจะเหยียดตัวลุกขึ้นยืนยกมือปาดเหงื่อ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งจนคยูฮยอนต้องย่นจมูก ร่างสูงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กและน้ำครึ่งขันในมือ มือหนาบิดผ้าชุ่มน้ำนั้นออกหมาดๆบรรจงซับตามใบหน้าไล่ตั้งแต่หน้าผากลงไปถึงแก้ม ซอกคอขาว ร่างสูงยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกอย่างแผ่วเบา เขามองใบหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กกว่าที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่อย่างนั้นคล้ายต้องมนต์สะกด สิ่งที่ไม่คาดคิดคือใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงจนแทบจะแนบชิดกับใบหน้าของเพื่อนสนิท ริมฝีปากของอีกคนคือสิ่งที่สายตาของเขาโฟกัสอยู่นานจนเปลือกตาเริ่มปิดลงบางๆ...
...เขากำลังจะจูบซองมินงั้นเหรอ... ซองมิน เพื่อนสนิทของเขานี่นะ...
คล้ายมีแรงบางอย่างดึงรั้งตัวเขาให้ชะงัก ริมฝีปากที่ห่างกันเพียงเอื้อมหยุดลงก่อนที่จะแนบประกบกัน ดวงตากลมโตของเขาปรือขึ้นอีกครั้งมองใบหน้าของชายหนุ่มคนที่เขารักด้วยแววตาตัดพ้ออยู่ในใจ โดยที่อีกคนไม่มีวันรับรู้มันได้เลย... เขาเหยียดตัวนั่งหลังตรงอีกครั้งก่อนจะเอื้อมไปเลื่อนผ้าห่มขึ้นปิดถึงอกซองมินแทน
...เขาจูบคนที่ไม่ได้รักเขา... ไม่ได้หรอก...
คยูฮยอนล้มตัวลงนอนข้างกายชายหนุ่มร่างผอมบางทั้งที่ยังคงลอบมองเพื่อนสนิทอยู่เนื่องๆ ก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวหันหลังให้กับชายหนุ่มผมบลอนด์...
...แม้แต่กอด... เขายังไม่กล้าเลย... แล้วค่ำคืนนี้ก็ต้องผ่านไปอย่างเงียบเหงา โดยมีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องนอนกอดตัวเองอยู่อย่างนี้
คยูฮยอนรู้สึกคล้ายโลกของเขาพังทลายลงตรงหน้า สมองตื๊อตัน ความรู้สึกของเขาเริ่มช้าลงเมื่อได้ยินประโยคที่แสนทำร้ายจิตใจของเขาจนย่อยยับ ร่างสูงเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งทั้งที่ไม่อยากได้ยินเลยแม้แต่น้อย ซองมินยิ้มร่าในขณะที่ใจของเพื่อนสนิทร้องไห้
“ฉันจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ดาอึลก็ไปด้วย ฉันกะจะไปตั้งรากฐานที่นั่นแล้วขอดาอึลแต่งงาน... นายว่าดีมั้ย”
คำพูดที่ตอกย้ำว่าเขามีเจ้าของหัวใจ ยิ่งทำให้ร่างสูงอยากร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้นอย่างไม่อายใคร แต่กลับต้องเก็บกลั้นมันไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขารักและแคร์มากที่สุด... ซองมินกำลังจะไปญี่ปุ่น กำลังจะจากเขาไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะทั้งทางกายหรือใจก็ตาม... แม้เขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปนั่งในหัวใจของชายหนุ่มเลยก็ตามที แต่เขาก็คิดเสมอว่าอย่างน้อยก็ยังได้อยู่ข้างกายคนที่เขารักตลอดไป...
...ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน...
แล้วสิ่งที่คนแอบรักอย่างเขาสามารถตอบกลับไปได้ จะมีอะไรนอกจากแสดงความยินดีกับเพื่อนรักที่กำลังจะมีอนาคตและครอบครัวที่สดใส...
“ยินดีด้วยนะ... ซองมิน”
น้ำตาเอ่อซึมออกมาจนคยูฮยอนรู้สึกตัวต้องแกล้งทำเป็นยกมือขึ้นปิดปากหาวแล้วเฉไฉไปต่างๆนานาจนซองมินขอตัวไปหาแฟนสาวของเขา นั่นถึงเป็นช่วงเวลาที่น้ำตาลูกผู้ชายของชายหนุ่มไหลรินออกมา
“ซองมิน... ฉันรักนาย...” คงทำได้เพียงบอกรักตามลำพัง เสียงหัวใจของเขา ซองมินไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง...
รองเท้าหนังสีดำมันวาวหยุดอยู่หน้ารูปขาวดำของชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก รอยยิ้มที่แสนสดใสของเขายังตราติดใจร่างสูงตลอดมา มือหนาของเขาเอื้อมออกไปแตะรูปเย็นเฉียบลูบภาพใบหน้าของซองมินอย่างแผ่วเบา น้ำตาที่ไหลรินทะลักออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ขอบตาเริ่มแดงผ่าวนัยน์ตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นมืออีกข้างที่กำนาฬิกากรอบทองยกขึ้นระดับสายตา แล้วใช้อีกมือหนึ่งตบมันเบาๆอีกครั้งท่ามกลางเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ซองมินยืนอยู่หน้าทางขึ้นเครื่องพร้อมกระเป๋าใบโตสองถึงสามใบ ข้างกายกันคือหญิงสาวเจ้าของฐานะ ‘คนรัก’ ที่คยูฮยอนแสนจะอิจฉา ใบหน้าของชายหนุ่มผมบลอนด์ทองเผยยิ้มออกมาจางๆเมื่อต้องจากเพื่อนรักที่สุดเพียงคนเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่คยูฮยอนยกยิ้มจนกว้างเห็นฟันหน้าแทบทุกซี่ทั้งที่ใจร้าวระบม
“ว่างๆก็ไปหากันบ้างนะ คยู” นัยน์ตากลมโตของร่างสูงแม้จะมองไปทางเพื่อนสนิทที่กำลังจะจากกัน แต่สายตานั้นกลับไม่กล้าแม้จะสบตาชายหนุ่มร่างเล็กกว่า... กลัวเหลือเกิน ที่จะพลั้งตัวเผลอใจหลุดปากรั้งชายหนุ่มคนที่เขาแสนรักออกไป กลัวจะเผลอทำอะไรที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
“อะไรกัน นายก็อยู่กับดาอึลไม่ใช่เหรอ ฉันไม่อยากไปเป็นก้างหรอกนะ” คยูฮยอนกลอกตามองไปรอบๆสนามบินพยายามเลี่ยงสายตาของอีกคนให้มากที่สุด จึงไม่มีวันสังเกตเห็นแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อยของร่างเล็กเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของซองมินที่เจื่อนลงยกยิ้มขึ้นอีกครั้งจางๆ มือคว้าแขนบางของแฟนสาวขึ้นมากอบกุม
“’งั้นพวกฉันไปก่อนนะ ถึงแล้วจะโทรไปบอก” ดวงตาของร่างสูงจับจ้องไปที่มือของซองมินด้วยแววตาปวดร้าว แต่ยังคงสามารถฝืนยิ้มออกมาพยักหน้ารับชายหนุ่มได้อีกครั้ง...
แผ่นหลังอันแสนคุ้นเคยเดินหายเข้าไปในประตูทางเข้าจนลับตา มือที่ยกขึ้นโบกลาเบาๆบัดนี้ค่อยๆตกลงข้างตัว คอร่างสูงตกลงก้มหน้ามองพื้น รอยยิ้มที่แสร้งทำขึ้นหายไปในทันที...
...ลาก่อน ซองมิน...
...หัวใจของฉัน...
หลังจากนั้นผ่านไปสองอาทิตย์ ซองมินยังคงติดต่อกลับมาหาคยูฮยอนอยู่เนื่องๆ ทั้งบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบ ทั้งเล่าประสบการณ์ต่างๆนานาที่พบเจอและแปลกใหม่ให้เขาฟังอย่างตื่นเต้น โดยที่เขาก็ทำได้เพียงนั่งฟังไปอมยิ้มไปกับความร่าเริงและท่าทีน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นคล้ายเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ มีบ้างที่จะเอ่ยถามกลับไปบ้างทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน... และเรื่องที่เขาพยายามเลี่ยงที่สุด... ดาอึล
“ฉันได้เพื่อนที่เรียนที่เดียวกันคนหนึ่ง เป็นคนเกาหลีด้วยล่ะ ชื่อเรียวอุค เขาบอกว่าอยู่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กเลยพูดญี่ปุ่นคล่อง ฉันเลยให้เขาช่วยสอนบ้างอะไรบ้างเวลาที่ฉันไม่เข้าใจที่เซนเซ (ครู) พูด ดาอึลเองก็มีเพื่อนใหม่แล้ว ท่าทางสนุกน่าดูเลยล่ะ”
“ดีแล้ว...”
“อ๊ะ ฉันไปก่อนนะต้องไปทำรายงานที่ค้างต่อให้เสร็จน่ะ” แล้วสายก็ถูกตัดไปโดยที่ร่างสูงนั้นยังคงนั่งอมยิ้มอยู่นานร่วมชั่วโมง... แม้ไม่ได้พบหน้ากัน แต่ได้ยินเสียงกันก็ยังดี...
มือหนาตบนาฬิกาแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเสียงสะอื้นที่ดังก้องห้องโล่งกว้างต่อหน้ารอยยิ้มคนที่รักที่สุด...
เวลาผ่านไปกว่าสี่ปีที่ทั้งเขาและซองมินไม่ได้พบหน้าคร่าตากัน แต่ยังคงพูดคุยกันผ่านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์อยู่เรื่อยๆ จึงทำให้คยูฮยอนรู้ความเป็นไปของอีกคนอยู่เสมอ... แต่นี่เวลาผ่านไปร่วมสองอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากเพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาเลย จนกระทั่งวันนี้...
กริ๊งงง... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงไม่นานก่อนที่ร่างสูงจะคว้าขึ้นมารับอย่างรวดเร็ว หวังให้เป็นซองมินคนที่เขารัก เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี้เขาแทบบ้าที่ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนรักเลย ทั้งห่วงทั้งกังวลเหลือเกิน...
...แต่คนที่โทรมากลับไม่ใช่ซองมิน...
...ซ้ำร้ายข่าวที่ได้รับจากชายคนนั้นยังทำเอาเข่าร่างสูงอ่อนลงทันทีจนแทบทรุดลงกับพื้น...
...ซองมินประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อสี่วันที่ผ่านมา อาการโคม่าจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา... แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับการที่เขาเพิ่งรับรู้ว่าเมื่อเช้านี้ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของเขาจากเขาไปแล้ว...
มือหนาปล่อยโทรศัพท์ล่วงลงพื้นอย่างไม่ใยดี ทั้งช็อคทั้งงง ทำไมถึงต้องเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น...
ทำไมต้องพราก... ซองมินไปจากเขา...
นาฬิกากรอบทองถูกกระแทกเข้าหาฝ่ามือเขาแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เข็มของมันยังคงนิ่งสงบไร้การเคลื่อนไหวใดๆอย่างที่เคยเป็นมา ทุกครั้งที่เขากระแทกมันด้วยฝ่ามือจะได้ยินเสียง แกร๊ก แกร๊ก เสมอ
“ทำไม... ทำไมมันไม่เดิน” เสียงอู้อี้ดังลอดผ่านริมฝีปากที่แดงช้ำจากการเม้มเข้าหากันอย่างแรงเพื่อกลั้นเสียงร้องไห้ แต่กลับไม่ช่วยอะไรได้ดีนัก “ทำไม... ทำไมถึงไม่เดิน! ทำไม! ทำไม! ฮึก...” มือหนาขว้างนาฬิกาในมือลงพื้นอย่างแรงจนหน้าปัดแตกกระเด็น เข็มทั้งสามหลุดออกมาจากตัวนาฬิกาทันที
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สภาพจิตใจอ่อนแอทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้ารูปซองมิน เขาเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาที่แดงก่ำและช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากขยับเอ่ยอะไรออกมาอย่างแผ่วเบาซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงซุกฝ่ามือโน้มตัวลงพื้น ไหล่และกายแกร่งของผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้จนตัวโยน
“ขอโทษ ซองมิน... ฉันขอโทษ... ฮึก... ขอโทษ”
เบื้องนอกกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้สั่นไหวตามแรงลมอยู่ใต้กล่องที่บรรจุมันไว้ เนื้อหาภายในที่ทำเอาคนที่เคยกลั้นน้ำตาหลอกตัวเองเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มกับชายหนุ่มผู้จากไปต้องร้องไห้จนตัวสั่นโยน ตัวหนังสือเป็นระเบียบที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีน้ำเงินเข้ม เรียบเรียงร้อยถ้อยคำด้วยหัวใจ...
ถึง คยูฮยอน... ฮีโร่ของฉัน
คยู นายรู้ไหมว่าตั้งแต่วันแรกที่ฉันพบกับนาย วินาทีแรกวินาทีนั้นสำหรับฉันนายเป็นทั้งเพื่อนที่ดีที่สุด ทั้งฮีโร่ของฉัน ถ้าวันนั้นไม่ได้นายเอาไว้ฉันคงต้องเสียของสำคัญที่สุดที่พ่อทิ้งไว้ไปแน่ๆ
นายรู้ไหมว่านายเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ทุกครั้งที่ฉันมองเข้าไปในแววตาของนาย ทุกความรู้สึก ทุกคำพูดที่นายเก็บไว้มันบอกกับฉันหมดว่านายคิดอะไร ปิดบังอะไรฉันอยู่
ฉันอยากจะบอกนายเหลือเกินว่าความเป็นจริงแล้ว ฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากนาย... แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของนายเอง
ที่ฉันตัดสินใจมาญี่ปุ่น มันไม่ใช่อย่างที่ฉันบอกนายไปหรอกนะ... แม่ของฉันที่ย้ายไปญี่ปุ่นหลังจากที่พ่อของฉันเสียไป ตอนนี้ท่านก็ด่วนจากไปอีกคน ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ...
อันที่จริงฉันก็ตั้งใจจะไปเพียงสองสามอาทิตย์เท่านั้น ที่พูดออกไปมันเป็นเพียงแค่การลองใจนายเท่านั้นเอง ว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว ถ้าฉันต้องจากนายไป นายยังจะปากแข็งอยู่อีกหรือเปล่า จะบอกคำนั้นให้ฉันฟังหรือเปล่า...
สุดท้ายนายก็ยังเหมือนเดิม...
มีอีกเรื่องที่ฉันไม่ได้บอกกับนาย... ความเป็นจริงแล้ว ฉันกับดาอึลนั้นไม่ได้คบกันอย่างที่นายเข้าใจหรืออย่างที่ฉันเคยบอกเอาไว้ ตั้งแต่วันที่ฉันไปพบกับเขาฉันก็บอกปฏิเสธไปตั้งนานแล้ว ก็ฉันไม่เหมือนนายที่เอาแต่ฝืนตัวเองเสแสร้งปิดความรู้สึกตัวเองไปตลอด
ดาอึลนั้นกลับกลายมาอาสาช่วยเหลือฉัน คิดแผนที่จะทำให้นายเปิดปากแข็งๆของนายออกโดยการแกล้งเป็นแฟนกับฉัน ทุกครั้งฉันก็เห็นว่านายทำทีจะร้องไห้ฉันก็พาลจะใจอ่อนอยู่รอมร่อ แต่อีกใจกลับไม่อยากจะยอมแพ้ ยังคงแกล้งเป็นแฟนกับดาอึลต่อไป...
ความเป็นจริงแล้ว ฉันกับนายก็คงไม่ต่างกันเท่าไรนัก ชอบทำเป็นและเสแสร้งเก่งพอๆกัน
ที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงนาย ก็เพื่อต้องการจะบอกเพียงเท่านี้... เพราะความเป็นจริงฉันเองก็ไม่ได้กล้าหาญชาญชัยที่จะสารภาพออกไปตรงๆเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับนาย แม้จะมั่นใจว่านายเองก็คงคิดเหมือนกัน
สุดท้ายนี้... ฉันเอาแต่เฝ้ารอคำว่ารักจากปากของนาย ทั้งที่ไม่เคยพยายามจะพูดออกไปเลยสักครั้ง...
คยูฮยอน... ฉันรักนาย...
ลี ซองมิน
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของชายหนุ่มผู้ถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตเพียงลำพังบนโลกอันแสนเดียวดายดังครวญครางก้องห้องโล่ง เขาต้องการสักเพียงหนึ่งนาที... ไม่สิ สักวินาทีหนึ่งก็ยังดี ที่จะพาคนรักของเขากลับคืนมา... ขอเขากอด ขอเขาสัมผัส ขอให้เขาได้บอกรักซองมินสักครั้ง ชดเชยในสิ่งที่เขาพลาดไป...
“ซองมิน...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนรักซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ซองมิน... ฉันก็รักนาย”
คงทำได้เพียงหวังให้สายลมช่วยพัดพาคำว่ารักของเขา ส่งผ่านถึงคนที่อยู่เบื้องบนได้รับรู้...
The end
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ