มันคงเป็นความรัก
2) มันคงเป็นความรัก 001 Tell Me
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อีเสือฉันจะทำยังไงดี๊…ฮื้อ ฮือ...”
เสียงโอดครวญโหยหวนของเพื่อนสาวแอบๆในร่างชายหนุ่มน่ารักนามสุกฤษเพื่อนรักของฉันดังเสียดโสตประสาทแข่งกับเสียงดนตรีที่บันเริงภายในผับ
“โถ้ๆๆ…หล่อนจะคิดมากทำไมละยะ…คิดมากหน้าเหี่ยวตายนะแก”
แคทรียาซึ่งเห็นเพื่อนเครียดๆก็พยายามปลอบใจแกมตลกไป
“จริงไหมคะ…พี่กระทิงขา”
ฉันหันไปขอความเห็นของภัสสรเพื่อนรักอีกคน ซึ่งเธอ เป็นสาวแท้ๆมิใช่สาวไม่แท้เหมือนเรา 2 คนนะคะ แต่ว่า…กริยาท่าทางของเจ๊แก…สาวแตกสุดๆกว่าใครเลยค่า
“จริงค่ะ น้องเสือ…เอ๊ะ!”
“นี่หล่อน!ฉันบอกหล่อนกี่ครั้งกี่หนแล้วยะว่าให้เรียกฉันว่า...มาม่าซังภัสสรไม่ใช่พี่กระทิง!นะยะ!!”
พี่ภัสสรหันมาแหวใส่ฉันด้วยท่าทางสะดีดสะดิ่งอย่างไม่พอใจ
“โอ้ หนูผิดไปแล้วค่ะ ได้โปรดทรงประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ฉันเองก็ลืมไปว่าพี่แกชอบให้เรียกว่า มาม่าซังภัสสร เพื่อเป็นการให้เกียรติพี่แกในฐานะที่เป็นเจ้าของผับแอมาซอนที่ฉันทำงานอยู่แห่งนี้! ดังนั้น เจ๊แกจึงเป็นเจ้านายของฉันด้วย…
“แหม…เวอร์ย่ะ…มาม่าซังขาน้องขอโทษ…ก็พอแล้ว…”
หลังจากที่ภัสสรแหวใส่แคทรียาเสร็จก็หันไปคุยกับสุกฤษต่อ
“นี่อีสิง…”
“เออ…นี่อีน้องสิงขา!หล่อนก็อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้ซิย่ะ..เรื่องมันยังไม่เกิดเลย” พี่ภัสสรบอกสุกฤษไปแล้วก็ทำท่าทางกรีดกรายไปด้วย
”โธ่ มาม่าซังขา..จะให้เรื่องสาวแอบของหนูกลายเป็นสาวแตกจนต้องไล่เตพิดออกจากงานอีกเหรอค้า ฮื่อ..” เสียงเสียงโอดครวญของสุกฤษโต้กลับมา
”อ๊าววว…ไหนหล่อนว่ารุ่นพี่สุดหล่อสุดซี้ของหล่อนที่แนะนำให้ไปสมัคร เค้าก็ทำงานอยู่ในนั้นไม่ใช่เหรอคะ..เอ๋..เป็นหัวหน้าแผนกอะไรด้วยนี่” แคทรียาใส่เอฟเฟ็คในคำถามออกมาด้วยเสียงโอดครวญโหยหวนเสียดโสตประสาทแบบเดียวกับที่สุกฤษใช้พูดตอนแรกมาใช้แสดงว่าหล่อนงงระคนสงสัยจริงๆ
“เออใช่…เห็นหล่อนว่าเค้าแนะนำให้หล่อนไปสมัครจนผ่านสอบสัมภาษณ์มาได้แล้ว เหลือแค่รายงานตัว หล่อนจะกลัวอะไรยะ”
เสียงแขวะนิดๆแฝงด้วยความห่วงใยของมาม่าซังภัสสรสมทบมา
“ใช่!เค้าเป็นหัวหน้าแผนกด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าหล่อนกลัวว่าจะตกสัมภตกงานตั้งแต่วันแรกที่รายงานตัว หล่อนก็เอาสังขารอันล่วงโรยของหล่อนไปเสนอบำรุงบำเลอความใคร่ให้ไอ้รุ่นพี่ของหล่อนคนนั้นซิยะจะได้ผ่านโลด”
ฉันยังคงให้คำแนะนำแก่เพื่อนรักด้วยการใส่เอฟเฟ็คลงไปด้วย เผื่อจะลดความเครียดในใจของจุนซูได้บ้าง
“แหม...เธอก็พูดเล่นไปด้าย…พี่เค้าไม่ชอบผู้หญิง!!อย่างเราๆหรอกย่ะ ที่สนิทกับฉันนี่ก็เพราะนิสัยเราเข้ากันด้าย…”
สุกฤษพูดอ๋อมแอ๋มออกมาด้วยความเขินอาย แคททรียาเห็นเพื่อนเขินก็เลยแซวซะเลย
“แหม..ก็ได้ยินเหล่อนว่าเค้ามักคอยแนะนำและคอยช่วยเหลือหล่อนตลอดมาเลยนี่ยะ..” สุกฤษหน้าแดงขึ้นไปอีก ตอนนี้แก้มของเจ้าหล่อนแดงเหมือนมะเขือยาว ว้าย!ผิดค่ะ เหมือนมะเขือเทศเลย เวลาจุนซูเขินนี่ฉันว่าน่ารักมากนะคะ
”ช่าย…พี่เค้าออกจะใจดีแถมหล่ออีกด้วยแบบนี้แม่จะจับมานั่งคร่อม…”
แล้วสุกฤษกับแคทรียาก็เอามือขวาตีกันดัง แป่ะ แสดงถึงความเข้ากันได้
“แท็คทีมค่า..เอาไปเลยไฮไฟท์.. ”
“พอ ๆ เลยมีสาระกันก่อน คุยเรื่องงานยังไม่เสร็จ ดั้นไปคุยเรื่องผู้ชายยย ...อีห่า ว่าแต่ อย่าลืมหาผู้ชายมาให้เจ๊สักคนสองคนนะ เจ๊อยากฟาดซักไม้ 2 ไม้”
มาม่าซังของเราขัดขึ้นด้วยการเน้นสียงคำท้ายๆของประโยคแรกเมื่อเห็นว่าจะออกนอกเรื่องไปแล้ว แต่..ก็ไม่วายร่วมวงไร้สาระไปกับเค้าด้วยมาม่าซังของเรา
”เออๆมีสาระก่อนนะคะ..สุกฤษหล่อนจะกลัวไปทำไม มีเส้นมีสายแล้วนี่จะกลัวอะไรอีกล่ะค่ะ”
ฉันพูดออกไปเพราะคิดอย่างนั้นจริงๆ จะกลัวสาวแตกจนถูกดีดออกจากงานเหรอ ก็ไม่น่าใช่ เพราะได้ทำงานกับรุ่นพี่คนสนิท แถมเป็นหัวหน้าอีก แล้วเหตุใดสุกฤษถึงได้เป็นกังวลขนาดนี้ แคทรียาคิดในใจ
“เออ..มาม่าซังก็ว่างั้นนะ” พี่ภัสสรเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด
“…มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิยะ” สุกฤษพูดอ๋อมแอ๋มออกมาด้วนน้ำเสียงแผ่วเบา
“มันไม่ง่ายน่ะแล้วมันเป็นยังไงล่ะยะหล่อน”
แคทรียาถามออกไปโดยไม่ใส่เอฟเฟ็คเหมือนเดิมอีกแล้วเพราะคุยกันตั้งนานยังไม่รู้เรื่องกันเลยว่ายัยสุกฤษเครียดอะไร…เจ้าตัวเงียบไปนานและพูดอ๋อมแอ๋มออกมาเหมือนเดิมว่า
” ก็คนที่ฉันจะไปเป็นลูกน้องเค้าไม่ใช่รุ่นพี่คนนั้นนี่นา ฮื่อๆ ”
“หา!!! หมายควายว่าไงยะ”
แคทรียาและมาม่าซังต่างก็พูดโพล่งออกไปด้วยความตกใจระคนสงสัย…เมื่อสุกฤษเห็นเพื่อนๆงงเลยอธิบายต่อให้เพื่อนปัญญาไม่แข็งทั้งสองฟัง
“ก็ฉันไม่ได้งานแผนกที่รุ่นพี่คนนั้นเป็นหัวหน้าหรอกแต่ดั้นต้องไปอยู่แผนกข้างๆแทนนะสิ”
เมื่อเข้าใจ(เก็ตแหละ)ฉันกับพี่ภัสสรก็พ่นคำพูดออกมาพร้อมกันว่า
“อ๋อออ…” และนิ่งคิดไปนาน2นาที
“มาม่าซังคะแบบนี้อีสิงโตนาเนียมันก็แย่นะซิ”
”เออใช่ๆ..แบบนี้ถ้าอีสิงโตนาเนียมันถูกจับได้ว่าเป็นอีแอบมิต้องโดนแกล้งต่างๆนานาหรือไม่ก็อาจจะโดนไล่ออกด้วยนะยะเนี้ย”
“นี่!ฉันชื่อสิงค่ะไม่ใช่อีสิงโตนาเนีย เฮ้ย! ฟังอยู่ป่าวเนี้ย”
แคทรียากับพี่ภัสสรต่างสุ่มหัวกันพูดโดยไม่ได้สนใจสุกฤษเลย
”ว๊ากกก..ทำไมพูดกันยังงี้ล่ะ สาวน้อยผู้น่ารักอย่างฉันมาขอกำลังใจนะยะ ไม่ได้มาให้ซ้ำเติม”
“แหม..”
แคทรียากับพี่ภัสสรเกริ่นออกมาพร้อมกันเพราะหมั่นไส้ระคนสงสารเพื่อนรักตรงหน้า …แต่แคทรียาเองก็ตอกกลับไปว่า
”ปาย ไปเลย นิดหน่อยล่ะไม่ด้าย…อีสิงโตนาเนียขี้กังวล”
เมื่อได้ยินดังนั้นสุกฤษก็คลี่ยิ้มออกมานิดๆแสดงว่าเจ้าหล่อนเบาใจบ้างแล้ว
“ไม่เห็นต้องกลุ้มใจเลยเรื่องแค่นี้ เธอก็ไม่ต้องไปแอ๊บแมนอะไรทั้งนั้นแหละ เป็นตัวของตัวเอง ดีที่สุดแล้ว แบบฉัน คิตตี้นักร้องสาวสวยแห่งผับแอมาซอนไงคะ สว่างจิตแสดงออกสุดๆไปเลยค่า”
ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดไปเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเพราะไม่ได้หนักหัวใครซักหน่อย
“ย่ะ..แม่สว่างจิต แต่หล่อนอย่าลืมซิว่าบนโลกเน่าๆใบเนี้ย เค้าไม่ต้อนรับพวกเราชาวกลายพันธุ์หรอกนะ ฉันจึงต้องเป็น นังสลัวจิต ละยะ” สุกฤษพูดออกมาอย่างลำบากใจ
“ว้าย!เซ็งเลย..น่าส่งส้าร..น่าสงสาร…คนสวยแย่แน่…พี่เอ้ย!มาม่าซังขามีทางออกให้กับปัญหานี่ไหมคะ”
ฉันพูดแก้ตัวไม่รู้ไม่ชี้พร้อมใส่เอ็ฟเฟ็คเพื่อกลบเกลื่อนและหันไปขอความเห็นจากมาม่าซังที่เอามือเท้าคางพร้อมกลีด กลายนิ้วทั้งห้าอย่างสุดๆ..แต่..หน้าเจ๊แกกลับคิ้วขมวดกันจนหน้ายุ่งแสดงถึงการที่เจ๊แกกำลังใช้หมอง
“เจ๊ขี้ออก เอ้ย!คิดออกแล้ว…”
“ว้ายเจ๊..คิดหาทางออกได้แล้วเหรอคะ..ว่าไงคะมาม่าซังขา”
สุกฤษคงดีใจที่พี่ภัสสรเสนอทางออกให้จนได้ถึงได้พรวดเข้าไปหาเจ๊แกเร็วขนาดนั้น..เร็วยังกับขี้นกที่ล่วงใส่หัวคนเลย(อุ้ย..ดูเค้าเปรียบเทียบ)
“ก็…มันจะไปยากอะไร อีสิงโตนาเนีย สู้อุตส่าแอ๊บแมนมาตั้งเดือนกว่าแล้ว…”
เมื่อมาม่าซังภัสสรพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมา…แคทรียาเลยรู้ว่าประโยคต่อไปจะเป็นยังไง…เธอจึงร่วมประสานเสียงอันไพเราะอ่อนหวานไปด้วยกับภัสสรว่า
“หล่อนก็แอ๊บแมนต่อไปซิยะ”
To be con
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ