::+:: Mistake... ฉันขอโทษ ::+:: [Yuri]

9.7

เขียนโดย Noei95[Eunbi]

วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 19.56 น.

  8 ตอน
  3 วิจารณ์
  16.32K อ่าน
แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

8) ความผิดครั้งที่ 7 :: ไม่อยากฟัง II

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ความผิดครั้งที่ 7 :: ไม่อยากแพ้ II
แทคยอนเดินหมดแรงกลับมานั่งลงกับพื้นอย่างหมดสภาพเมื่อการแข่งขันคู่ของตนจบลงโดยได้รับชัยชนะอย่างสวยงาม (หรือเปล่า?) ก่อนจะเปลี่ยนตัวกับซีวอนที่ต้องลงแข่งในคู่ถัดจากเพื่อนชาย เด็กชายร่างกำยำล้มตัวลงนอนแผ่หลาอย่างไม่คิดอายสายตาใคร หอบหายใจราวกับผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักมาหลายชั่วโมงจนยูรินึกสงสารเดินไปหยิบน้ำเย็นๆมายื่นให้อย่างเสียไม่ได้
แทคยอนรับไปพร้อมขอบคุณเบาๆก่อนจะกระดกน้ำลงคออย่างกระหายจนน้ำไหลซึมออกมาด้านนอก เด็กชายยกหลังมือปาดน้ำออกเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต้นบ่นกระปอดกระแปด
“โหย เหนื่อยชะมัด... เด็กนอกคนนั้นแรงเยอะกว่าที่เห็นอีก นี่พี่จองซู อย่างน้อยผมก็เอาชนะมาได้รอบหนึ่งแล้วนะ พอใจรึยังล่ะ รอบสองถ้าแพ้ก็อย่ามาว่ากันนะ ถือว่าผมทำดีที่สุดแล้ว” คนอายุมากกว่าได้ยินเช่นนั้นก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้อีกคนพร้อมเขกหัวรุ่นน้องเบาๆ เพราะถึงจะชนะการแข่งรอบแรกได้ แต่รอบตัดสินก็สำคัญไม่แพ้กัน บอกแล้วเขาไม่อยากทำร้ายร่างกายนักกีฬาในสังกัดตัวเอง
“นายช่วยมีความทะเยอทะยานสักนิดได้ไหม ใจแกจะเอาแค่เหรียญเงินงั้นสิ” จองซูแขวะใส่อย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะต้องหันไปถลึงตาใส่แทคยอนเมื่อได้ยินคนอายุน้อยกว่าสวนขึ้นมาอย่างทันควัน
“ผมว่าพี่แหละจะทะเยอทะยานไปไหน ใจพี่จะเอาแต่เหรียญทองให้ได้เลยงั้นสิ...ครับ” คำลงท้ายที่ต้องเติมด้วยความจำเป็นเมื่อเห็นสายตาของรุ่นพี่
ดูมัน มีย้อนๆ
“พี่จองซูอย่าไปใส่ใจเลยค่ะ ฉันว่าเราไปดูซีวอนแข่งยังจะได้ประโยชน์สาระกว่ากันเยอะเลย” มินจีเสนอโดยที่จองซูเองก็พยักหน้าเห็นดีด้วย ก่อนจะเดินควบคู่กันไปยังสนามแข่ง ทิ้งคนที่เพิ่งจะหายเหนื่อยทำหน้าเหวอ
“เฮ้ยมินจี! อย่าเมินกันแบบนี้สิ” สายตาเหลือบไปเห็นคนผิวเข้มที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอันเป็นปกติก็หันมาเอ่ยกับเด็กสาวบ้าง “อย่างน้อยเธอก็ไม่เมินฉันหรอกใช่ไหม”
ยูริยักไหล่ด้วยใบหน้าเฉยเมยก่อนจะเดินตามหลังมินจีและจองซูไป แทคยอนจึงถูกทิ้งอยู่ตามลำพังอย่างแท้จริง ลมหายใจอุ่นๆพ่นออกมาทางจมูกแรงๆพร้อมยกมือขึ้นกอดอก ไม่สบอารมณ์นักที่ทุกคนดูจะตั้งใจเมินเขาเสียเหลือเกิน
ไม่นานนักซีวอนก็เดินกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแป้น เมื่อเขาสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างง่ายดายเกินคาด มินจีเองก็ไม่รอช้าแท็กมือกับเพื่อนชายแล้วตรงไปยังสนามแข่งทันที ร่างสูงยืนหยุดอยู่ระหว่างรุ่นพี่และเพื่อนร่วมห้องสาวผิวเข้มโดยที่ไม่มีแม้แต่เหงื่อเลยสักหยด รอยยิ้มกว้างยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหุบลงในเวลาอันสั้น
จองซูตบไหล่ซีวอนเบาๆพร้อมยกยิ้มกว้างไม่แพ้กัน
“ทำได้ดีมากซีวอน ดีกว่าไอ้บ้าที่นั่งงอนอยู่ด้านหลังโน้นเสียอีก... กลับไปสนใจสอบเลื่อนสายไหม ฝีมืออย่างนายสายเขียวไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก”
“ไม่ดีกว่าครับ” ซีวอนตอบกลับพร้อมหัวเราะแห้งๆ เขาไม่ได้เอาจริงเอาจังกับยูโดมากถึงขนาดนั้น “แล้วที่ผมชนะได้ก็เพราะดวง ไม่เกี่ยวกับฝีมือหรอกครับ”
“ถ่อมตัวจริงนะ” ถึงกระนั้นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของรุ่นพี่ก็ยังคงไม่จางหายไป
“อิปป้ง!!” เสียงประกาศจากทางด้านสนามแข่งเรียกความสนใจของทั้งสามคนให้หันขวับกลับไปมอง ก่อนที่รอยยิ้มของจองซูจะยิ่งฉีกกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่ารุ่นน้องสาวชนะการแข่งได้อีกคน มินจีเดินกลับมาหาพรรคพวกที่ยืนรออยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างจากซีวอน
“เจ๋ง!! พวกเธอไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ!!” รองประธานชมรมแทบตัวลอยเมื่อนักกีฬาทั้งสี่คนผ่านรอบแรกได้ทุกคน เหลือเพียงยูริเท่านั้นที่กำลังเดินลงสนามอย่างไม่รีบร้อน ทั้งที่อัตราการเต้นของหัวใจกลับเร็วและถี่อย่างน่ากลัว
...ใช่ ตอนนี้เธอกำลังตื่นเต้นอย่างแรงเลย!!...
“ใจเย็นไว้ยูริ!! อย่าเกร็ง!” เหมือนรู้ใจ จองซูยกมือขึ้นป้องปากตะโกนไล่หลังให้คนผิวเข้มเหลือบหันกลับมามองเล็กน้อย ก็พบรอยยิ้มของรุ่นพี่พร้อมชูนิ้วโป้งทั้งสองมือให้เป็นกำลังใจ เด็กสาวหลับตาลงพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าคู่แข่ง
ลมหายใจค่อยๆผ่อนออกมาเบาๆผ่านริมฝีปาก ดวงตาปิดลงช้าๆพยายามตั้งสมาธิ ทำใจให้สงบไม่ตื่นสนามจนเกินไป ก่อนจะค่อยลืมตามองเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าตนสามปี พร้อมกับเสียงของกรรมการประกาศเริ่มต้นการแข่งขันดังขึ้น
“ฮาจิเมะ!!” มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้น ทั้งเพื่อปัดป้องการรุกของแอมเบอร์ และเพื่อพร้อมที่จะยื่นมือออกไปเป็นฝ่ายรุกเสียเอง ทั้งสองเดินวนกันไปมาอยู่ไม่นานนักเพื่อหยั่งเชิง ก่อนที่คนอายุน้อยกว่าจะเขยิบเข้ามาใกล้พร้อมยื่นมือออกมาหมายคว้าปกคอเสื้อของคนผิวเข้มเข้าไปยึดไว้ ทางด้านยูริเองก็ไม่คิดหนีให้เสียเวลาและเสี่ยงต่อการถูกลงโทษจึงเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อคนผมสั้นเช่นกัน
แอมเบอร์ออกแรงกระชากร่างสูงอย่างแรงเสียจนยูริถึงกับซวนเซ แต่ยังดีที่ยื้อตัวรั้งเอาไว้ได้อย่างทันท่วงทีพร้อมทั้งดึงกระชากคนอายุน้อยกว่าด้วยความแรงไม่ต่างกัน เด็กสาวทั้งสองยื้อรั้งกันไปมาพักหนึ่งโดยมีบางช่วงที่หยุดนิ่งเพื่อหาจังหวะในการเข้าท่า จนกระทั่งยูริเป็นฝ่ายบุกก่อนเนื่องจากไม่อยากเสียพลังงานไปมากกว่านี้หากต้องฉุดกระชากกันนานเกินไป
ร่างสูงออกแรงดึงคู่ต่อสู้มาด้านหน้า เท้าซ้ายก้าวถอยไปด้านหลังอยู่ระหว่างเท้าทั้งสองของแอมเบอร์ ก่อนจะหมุนตัวพร้อมสอดเท้าขวาให้ลึกเข้าไประหว่างขาของคนอายุน้อยกว่า เกร็งเท้าแข็งและดีดไปด้านหลัง ไปพร้อมๆกับการหมุนตัวต่อไปทางซ้าย เพื่อให้คู่ต่อสู้ถูกทุ่มกระแทกลงเบาะด้วยท่าอุจิมาตะ1 หากแต่แอมเบอร์ยังคงทรงตัวได้ แทนที่จะถูกทุ่มลอยไปนั้นกลับค้างอยู่ในท่ายืนพร้อมทั้งดึงตัวเองกลับมาให้อยู่ในสมดุลได้อีกครั้ง
ไม่เพียงเท่านั้น คนอายุน้อยกว่ากลับต่อด้วยท่าโคชิ กุรุมะ2 โดยใช้มือซ้ายจับเสื้อยูริแน่นพร้อมดึงเพื่อให้คนอายุมากกว่าเป็นฝ่ายเสียการทรงตัวบ้าง ขณะเดียวกันก้าวเท้าขวาให้อยู่หน้าเท้าขวาของคนผิวเข้ม ยกแขนขวาของตนผ่านทางไหล่ซ้ายและตวัดกอดรอบคอร่างสูง พร้อมถอยเท้าซ้ายเข้าหาคู่แข่ง หมุนตัวเองไปทางด้านซ้าย ด้วยความเร็วและแรงพอที่จะพาร่างสูงลอยแผ่นหลังกระแทกเบาะแพ้อิปป้งไปได้เลยทีเดียว
ยูริขืนตัวไว้เช่นกันพร้อมทั้งดึงให้แอมเบอร์กลับมายืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างที่ยูริพอจะคาดเดาเอาไว้แล้ว
...แอมเบอร์ฝีมือร้ายกาจอย่างที่จองซูว่าไว้จริงๆ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป...
การฉุดยื้อรั้งกระชากกันไปมาทำยูริเสียพลังงานไปไม่น้อย หัวใจเริ่มกลับมาเต้นถี่แรงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทำสมาธิให้ใจสงบลงได้แล้ว ครั้งนี้ใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เหงื่อไหลซึมจนเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะลงไป
...การซ้อมแข่งว่าหนักแล้ว เทียบไม่ติดเลยกับการแข่งจริง...
ความเหนื่อยและเมื่อยล้าทำเอาคนผิวเข้มนึกอยากจะยอมปล่อยตัวให้สบายผ่อนแรงให้กายลอยไปตามแรงของแอมเบอร์เพื่อให้การแข่งที่แสนหนักหนาครั้งนี้จบลงไปเสียที หากแต่คำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนสาวกลับค้ำคอ อีกทั้งความหวังของรุ่นพี่และเพื่อนอีกสามคนที่ต่างพากันตะโกนเชียร์เสียงก้องกลับเป็นแรงผลักดันให้ยูริไม่คิดสิ้นหวังยอมแพ้การแข่งนี้ไปง่ายดายนัก
...ไม่อยากแพ้ เพราะชัยชนะคือความหวังของรุ่นพี่และเพื่อนๆ...
...ไม่อยากแพ้ เพราะศักดิ์ศรีที่ไม่ต้องการเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ผ่านแม้แต่รอบแรก...
...ไม่อยากแพ้ เพราะทั้งพ่อและน้องสาวต่างมาดูการแข่งขันของเธอ...
...ไม่อยากแพ้ เพราะความทะเยอทะยานที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจมันคอยกระตุ้น...
...ไม่อยากแพ้ เพราะต้องการสัญญาที่ให้ไว้กับเจสสิก้า...
...สัญญา...
สัญญาที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไว้ ทั้งที่มันก็เป็นเพียงลมปากซึ่งเธอก็ยอมรับว่าเอ่ยออกไปด้วยความพลั้งเผลอ เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าผิดหวังจากร่างบางก็เท่านั้น หากจะทำผิดสัญญาไปมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสักนิด เหตุผลก็มีเยอะแยะไป ไม่ว่าจะเป็นการแข่งที่ถูกจัดขึ้นกระชั้นชิดกับระยะเวลาการฝึกซ้อมอันน้อยนิด ที่ทำให้ไม่สามารถชนะการแข่งขันคว้าเหรียญทองได้ตามที่พูดเอาไว้
หรือแม้กระทั่งจำนวนนักกีฬาที่มีเกือบสองร้อยคน ทั้งหมดแปดสิบกว่าคู่ ที่ต้องแข่งกันถึงสองรอบกว่าจะหาผู้ชนะในสายนั้นได้ ระยะเวลาการแข่งขันทั้งสิ้นกินไปหลายชั่วโมง ทำให้เธอไม่สามารถไปทันการประกวดร้องเพลงของเพื่อนทั้งสอง
เหตุผลที่ฟังขึ้นเธอสามารถหาและหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้อย่างง่ายดาย เธอไม่ใช่คนดีขนาดต้องเอาเป็นเอาตายกับการแข่งครั้งแรกในชีวิตเพื่อคว้าเอารางวัลชนะเลิศมาครองตามสัญญาเสียเมื่อไร
แต่ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน ยูริกลับรู้สึกว่าสัญญาที่ให้ไว้มันสำคัญเกินกว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆที่จะมองข้ามไปอย่างไม่เห็นค่า อาจเป็นเพราะนิสัยที่ไม่ชอบเห็นใครต้องผิดหวังเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ...
...หรือเพราะคนที่ให้สัญญาไว้คือเจสสิก้ากันแน่...
ทันทีที่นึกถึงใครอีกคน ภาพของบุคคลๆนั้นกลับปรากฏขึ้นในความคิด ให้คนที่พยายามตั้งสติกับการแข่งขันถึงกับสมาธิหลุด แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ก็ตามแต่คนประสบการณ์มากกว่าอย่างแอมเบอร์ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองครั้งนี้หลุดลอยไปง่ายๆ
ก้าวเท้าขวามาอยู่ตรงหน้าเท้าขวาของยูริพร้อมดึงร่างสูงด้วยมือซ้าย ถอยเท้าซ้ายไปด้านหลังและย่อตัวให้ตะโพกของตนอยู่บริเวณสายโอบิ หลังจากนั้นยึดเข่าขึ้นสปริงตะโพกขึ้นพร้อมดึงมือซ้าย จนยูริที่ไม่ทันระวังตัวถูกทุ่มลอยกระแทกลงพื้นทันที3
เหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนทำเอาจองซูถึงกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างเผอเรอ ขณะที่มินจีแทบจะปิดหน้าตัวเองอย่างตกใจ หากแต่เมื่อแง้มร่องนิ้วออกมามองอีกครั้งก็พบว่ายูรินั้นยังไม่แพ้ด้วยการอิปป้งอย่างที่คิด เพราะร่างสูงนั้นแม้จะถูกรุกอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ก็สามารถพลิกผันให้เทคนิคของแอมเบอร์ใช้ไม่ครบ
แต่ถึงกระนั้นแอมเบอร์ก็ได้รับไปหนึ่งวาซาอาริ4 ซึ่งหากได้รับวาซาอาริอีกเพียงครั้งเดียวจะได้รับ วาซาอาริ อาวาซาเตะ อิปป้ง5 หรือชนะไปทันที คนอายุน้อยกว่าไม่รอช้าตรงเข้าท่าทาเทะ ชิโฮ กาทาเมะ6
“โอซาเอะโกมิ!”
…แย่แล้ว!!...
ยูริพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของคนอายุน้อยกว่าทันที ก่อนที่เวลาจะจับถึงยี่สิบวินาทีขึ้นไป นั่นหมายความว่าแอมเบอร์จะได้รับวาซาอาริครั้งที่สอง แล้วเธอก็ต้องแพ้การแข่งครั้งนี้ไปทันที
แม้จะตัวโตกว่าแต่แรงของแอมเบอร์นั้นกลับมีอยู่มากกว่าที่เห็น เด็กสาวกดตรึงขึงร่างเธอไว้แน่นจนแทบพลิกตัวหนีไม่ได้เลย ยูริหายใจเข้าลึกๆพยายามตั้งสติไม่ร้อนรนจนเกินไปให้เสียการ ก่อนจะมองหาช่องทางที่จะทำให้เธอพ้นจากการตรึงของแอมเบอร์ ซึ่งดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างเธออยู่...
...แอมเบอร์ไม่ได้ก้มหัว!...
คนตัวสูงไม่รอช้ารีบยกมือขึ้นตวัดรัดคออีกคนพร้อมออกแรงดึงจนคนอายุน้อยกว่าหงายหน้าตามแรง เป็นผลให้การกระทำทุกอย่างหยุดชะงักลง
“มัตเตะ!” ทั้งคู่แยกออกจากกันทันทีก่อนที่คนอายุน้อยกว่าจะได้รับไปหนึ่งโกกะ แล้วกรรมการก็เริ่มการแข่งขันใหม่อีกครั้ง
...เกือบไปแล้ว...
ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโล่งใจไม่ได้ เมื่ออีกคนได้รับไปหนึ่งวาซาอาริและอีกหนึ่งโกกะ ขณะที่เธอยังไม่ได้คะแนนสักแต้ม ยูริและแอมเบอร์ตรงเข้าหากันอีกครั้งพร้อมเริ่มออกแรงฉุดยื้อกันทั้งที่เรี่ยวแรงแทบหดหาย
...ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ มีแต่เธอที่จะต้องเสียเปรียบ...
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็จำต้องฮึดแรงสู้ ดึงเอาพละกำลังเท่าที่เหลืออยู่ออกมาใช้ในการเข้าท่าโอโซโตะ การิ7
ยูริหัวหน้าเข้าหาคนอายุน้อยกว่าในลักษณะเตรียมพร้อม ใช้แขนซ้ายดึงแขนขวาอีกคนแนบบริเวณหน้าท้อง ทำให้คนตัวเล็กกว่าเสียการทรงตัวมาด้านขวา ร่างสูงใช้แขนขวากระชากแอมเบอร์เข้าหาลำตัวของตัวเอง ขณะที่อีกคนเสียการทรงตัวก็ย่อเข่าซ้ายลงพร้อมเตะขาขวาไปข้างหน้า เกี่ยวขาขวาของเธอลงบริเวณขาพับขวาของคนอายุน้อยกว่า พร้อมทั้งใช้มือขวาดันแอมเบอร์ไปทางด้านหลังของเจ้าตัว
ปัง! เสียงกระทบเบาะดังลั่นท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจเบาๆรอบสนามแข่ง ทำให้เสียงรบกวนเหล่านั้นเงียบลงแทบจะในทันที จองซูแทบจะกระโดดตัวลอยเมื่อพบว่ารุ่นน้องคนสุดท้ายของตนสามารถบุกคู่แข่งได้บ้าง หลังจากถูกต้อนมาตลอด
“ยูโกะ!” เสียงประกาศจากกรรมการทำให้ยูริเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง รีบรุดตามลงไปตรึงอีกคนด้วยท่าคาตะ กาทาเมะ8 แอมเบอร์พยายามดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้หลุดจากการจับตรึงของคนอายุมากกว่า แต่ดูจะไม่เป็นผลนักเมื่อคนที่อยู่ด้านบนยังคงทรงตัวดีเสมอไม่มีตก จนกระทั่งเรี่ยวแรงที่ฮึดขึ้นมาเมื่อครู่เริ่มถดถอยจนต้องแยกออกจากกัน
“วาซาอาริ!!” หัวใจที่เต้นถี่เริ่มพองโตเมื่อพอจะเห็นโอกาสชนะขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นเพียงแสงริบหรี่ก็ตามที
...แค่หนึ่งวาซาอาริ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น...
คนผิวเข้มสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนจะผ่อนออกมาช้าๆเพื่อตั้งสมาธิอีกครั้ง เธอไม่อยากทำให้เสียเรื่องขณะที่โอกาสทองอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
แอมเบอร์พยายามทุ่มยูริด้วยท่าอุคิ โกชิแต่ไม่สำเร็จ จึงพยายามเปลี่ยนท่าอยู่หลายคราแต่ร่างสูงอึดกว่าที่คิดไว้เยอะ ทั้งที่หอบจนแทบหายใจไม่ทันแต่ยังคงทรงตัวไม่ให้เสียสมดุลได้อย่างดีเยี่ยมชนิดที่จองซูยังนับถือ หากแต่ไม่ถูกดึงจนล้มกระแทกเบาะก็จริงอยู่ แต่ร่างสูงกลับไม่มีท่าทีจะรุกให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงการใช้แรงฉุดยื้อตัวอีกคนให้เสียสมดุลบ้างเป็นครั้งคราวจนรุ่นพี่นึกหวั่นใจ
...ถ้าไม่เริ่มบุกจริงๆจังๆสักที จะถูกลงโทษเอานะยูริ...
เสียงหอบหายใจดังก้องในหู สมองเริ่มอื้ออึงตาพร่ามัว เหงื่อไหลซึมเข้าตาจนแสบร้อน ร่างสูงพยายามครองสติตัวเองไว้ให้ยังคงอยู่จนกว่าจะจบการแข่งรอบนี้ ดวงตาที่ปิดลงชั่วครู่เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมประกายแววมุ่งมั่น ก่อนจะเริ่มบุกอีกครั้ง
ยูริก้าวเท้าขวาไปตรงหน้าเท้าขวาของอีกคน ใช้มือทั้งสองดึงคู่แข่งเข้าหาตัวเอง ถอยเท้าซ้ายย่อลงเล็กน้อยให้อยู่ระหว่างเท้าทั้งสองของคนอายุน้อยกว่า งอเข่าขวาเล็กน้อยให้ตาตุ่มอยู่บริเวณหน้าแข้งขวาของแอมเบอร์ สะบัดหน้าของตนไปทางด้านซ้ายพร้อมสปริงตะโพกหมุนตัวด้วยความเร็วและแรงจนอีกคนตัวลอยแผ่นหลังกระแทกลงกับเบาะอย่างเต็มหลัง9
“อิปป้ง!!” เสียงจากกรรมการเปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ พร้อมเสียงร้องอย่างดีใจจากรุ่นพี่และเพื่อนทั้งสาม รวมไปถึงซังวูและโซฮยอนดังแทรกผ่านประสาทสัมผัส รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่ยื่นมือออกไปรั้งคู่แข่งให้ลุกขึ้นยืนอย่างมีน้ำใจนักกีฬา
...ชนะแล้ว คนอย่างฉันชนะเนี่ยนะ...
ทันทีที่ก้าวพ้นสนามกีฬา จองซูตรงรี่เข้ามากอดยกตัวรุ่นน้องสาวจนตัวลอยอย่างดีอกดีใจเกินเหตุ ชนิดที่ยูริถึงกับร้องเสียงหลงให้รีบปล่อยก่อนที่เธอจะหน้ามืดเป็นลมลงไปเสียบัดนั้นจึงค่อยคลายอ้อมกอดออกช้าๆพร้อมหัวเราะเสียงแห้ง ทั้งแทคยอน ซีวอนและมินจีเองก็เดินเข้ามาแสดงความยินดีเช่นกัน ฝ่ามือของเพื่อนทั้งสามตบลงบนไหล่ร่างสูงเบาๆพร้อมชูนิ้วโป้งให้
ติ๊ดๆ เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋าดังขึ้นขณะที่เธอกำลังล้มตัวลงนั่งพักเอาแรง ยูริล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่หน้าจอก่อนจะเผยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นชื่อของใครบางคนปรากฏบนหน้าจอ
 
 
คนตัวสูงเดินออกมาด้านนอกสนามแข่งพร้อมกดรับสายกรองเสียงพูดคุยกับอีกคนเสียงใส ผิดกับคนที่เพิ่งเหนื่อยหอบจากการยื้อรั้งเมื่อครู่ลิบลับ
“ว่าไงฟานี่ โทรมาตอนนี้ไม่มีเรียนเหรอ” เสียงหัวเราะจากปลายสายดังลอดออกมาเล็กน้อย
“ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วนะ ฉันคงมีเรียนหรอก อีกอย่าง วันนี้วันอาทิตย์ย่ะ เมาเหงื่อหรือไง” ทิฟฟานี่ตอบ “ว่าจะโทรมาถามเรื่องการแข่ง เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“โห โทรมาถูกเวลาเป๊ะเลย ฉันแข่งเสร็จฟานี่ก็โทรมาพอดี เก่งจังเลยนะ” คนตัวสูงตอบอย่างลีลาไม่ทิ้งลายกวนประสาทเพื่อนสมัยเด็ก “กว่าจะชนะได้ เหนื่อยแทบตายแน่ะ”
“แต่ก็ไม่ตายนี่” เสียงของอีกคนเอ่ยกลับมาได้อย่างเฉยเมยจนน่าหมั่นไส้
“จ้า! ถ้าตายฉันจะไปหลอกฟานี่คนแรกเลย” เสียงหัวเราะคิกคักคลอขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น บทสนทนาดำเดินต่อไปเรื่อยๆอยู่นาน เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้คุยกันเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากที่ทิฟฟานี่ย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกาช่วงเปิดเทอม นี่จึงเป็นการติดต่อกันครั้งแรกของทั้งคู่จากการพูดคุยโดยตรง ไม่ใช่ทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างครั้งก่อนๆ
“แต่ชนะรอบแรกได้ทั้งๆที่ฝึกมาไม่ถึงเดือนนี่ก็ถือว่าสุดยอดแล้วนะ อย่างนี้ที่สัญญาไว้กับเพื่อนสุดที่รักก็ดูจะไม่เป็นปัญหาหนักอะไรแล้วนี่” ไม่แปลกเลยหากทิฟฟานี่จะรู้เรื่องที่เพื่อนตัวสูงให้สัญญาไว้กับเจสสิก้า เพราะยูริกับคนที่อยู่ปลายสายนั้นสนิทกันมาตั้งแต่เด็กชนิดที่ไม่มีความลับต่อกัน
“เหอๆ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ แค่สู้กับคนแรกก็แทบจะอ่วมแล้ว คนสุดท้ายไม่รู้จะมีแรงกระชากรึเปล่า มีหวังโดนผลักทีก็ล้มแล้ว”
“คิดว่าตัวเองเหนื่อยคนเดียวหรือไง คู่แข่งอีกคนก็ต้องเหนื่อยเหมือนกันแหละน่า”
“ไม่หรอก พี่จองซูบอกว่าถึงจะเป็นระดับมือสมัครเล่น แต่ก็มีพวกเก่งๆแฝงตัวอยู่เหมือนกัน... อย่างคนแรกที่ฉันแข่งไปเนี่ย ฝีมือร้ายกาจซะไม่มี ไม่อยากจะนึกภาพคนที่สองเลย ว่าจะเก่งกว่าขนาดไหน”
“อย่าคิดมากน่า ฉันว่าฝั่งโน้นก็อาจจะกังวลเหมือนยูลก็ได้นะ” ทิฟฟานี่ยังคงไม่ละความพยายามแสดงความเห็นในมุมมองด้านบวกให้อีกคนคลายความกังวลใจลงได้บ้าง แต่เปล่าเลยเมื่ออีกคนยังคงหาข้อโต้แย้งได้เรื่อยๆจนร่างบางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแทนเสียเอง
“ไม่หรอก ฉันว่าต้องกำลังนั่งรอประหารฉันอยู่แน่ๆเลย”
“เอ๊ะ ยูลนี่ยังไงนะ เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ ทำตัวน่าขัดใจใหญ่แล้วนะ”
“อย่าทำเสียงอย่างนั้นสิ อย่างกับหมีเผลอกินรังแตนเข้าไปเลย”
“ยูริ!!” ปลายสายแว้ดใส่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากคนตัวสูงกว่า เป็นที่แน่ชัดว่าอีกคนไม่ได้คิดอะไรมากมายอย่างที่เธอกังวล กลับกันยังคงขยันหมั่นกวนประสาทกันเป็นว่าเล่น “ว่าใครเป็นหมีกันยะ ฮะ! ไอ้ลิงหูกาง”
ร่างสูงยังคงหัวเราะต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้านต่อคำว่าของเพื่อนสมัยเด็กเลยแม้แต่น้อย
“แหมๆ อย่าโกรธสิจ๊ะ ทำเสียงน่ากลัวเชียว...” ร่างบางส่งเสียงฮึดฮัดลอดผ่านเข้ามาให้ยูริยกยิ้มกว้าง “โอ๋ๆ รักดอกจึงหยอกเล่นหรอกน่า... แต่ก็เหมือนจริงๆนี่นา”
ทิฟฟานี่เตรียมวีนใส่ยูริทันทีที่คนผิวเข้มยังคงยียวนเธอไม่เลิกรา หากแต่ก็ต้องชะงักปากทันควันเมื่ออีกคนเอ่ยต่ออย่างรวดเร็วราวกับรู้ใจร่างบาง
“แอ๊! แต่ก็เป็นหมีน้อยที่น่ารักที่สุดในโลกเล้ย” ปลายสายไม่ว่าอะไรนอกจากพ่นลมหายใจออกมาแรงๆให้อีกคนยินหัวเราะเสียงใส “ถ้าให้เดานะ ตอนนี้ฟานี่ต้องกำลังทำปากเบี้ยวอยู่แน่ๆเลย ไม่ดีๆ เดี๋ยวพวกที่ตามจีบอยู่ก็พากันหนีหมดหรอก”
“ไม่ได้ทำสักหน่อย!! อย่าทำเป็นรู้ดีจะได้ไหม” ก่อนเอ่ยเสริมโดยไม่วายกระแทกเสียงตรงประโยคสุดท้ายอย่างเน้นย้ำจนยูริแทบจะยกหูออกไม่ทัน ร่างบางเล่นเสียงสูงอีกครั้ง “แล้วถ้าพวกนั้นจะไปได้จริงๆอย่างที่ยูลว่าก็จะเป็นอะไรที่ดีมาก ตามตื๊ออยู่ได้ น่ารำคาญ!”
“หูย นี่แม่เจ้าประคุณทูนหัว ลดระดับเสียงหน่อยได้มั้ย กระแทกใส่ซะอย่างกะว่าฉันเป็นคนตามตื๊อเธองั้นแหละ ไม่เข้าใจเล้ย ว่าไอ้พวกนั้นมันไปชอบฟานี่ได้ยังไง ขี้วีนก็เท่านั้น เจ้าอารมณ์ ขี้งอนเป็นที่หนึ่ง แถมยังเรื่องมากอีก” ร่างสูงยกมือขึ้นเท้าเอวขณะพูดพลางตีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่อีกคนกลับตอบกลับมาประโยคสั้นๆด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ก็ฉันสวย”
เออค่ะ ไม่เถียง
“แล้วนี่ไม่ต้องรายงานสุดที่รักหรือไงจ๊ะ ว่าสู้สุดชีวิตเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้แล้ว~” ทิฟฟานี่ดัดเสียงชวนหมั่นไส้ “แหวะ แค่คิดก็ขนแขนสแตนด์อัพแล้ว อย่างกับนิยายน้ำเน่าแน่ะ”
“ฟานี่ เคยพูดๆอยู่กลิ้งตัวติดผนังปะ” ร่างสูงเอ่ยเสียงหาเรื่อง “เดี๋ยวตบปลิ้นเลยนี่”
“ไม่เคยอะค่ะ พอดีกำลังนอนอยู่” ปลายสายเริ่มเปลี่ยนเป็นฝ่ายยียวนกวนประสาทคนผิวเข้มแทน
“งั้นขอให้ตกเตียง”
“อุ๊ย พอดีฉันนอนบนพื้น”
=[]=!! โอเค ไม่เถียงแล้ว!
ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยมาชั่วโมงกว่า
“เดี๋ยวสิ โทรทางไกลแบบนี้ค่าโทรไม่แพงหูฉี่แย่เหรอ” ยูริที่เพิ่งนึกถึงประเด็นสำคัญขึ้นได้ก็อดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นๆให้อีกคนยกยิ้มบางๆ
ยังงกอยู่เหมือนเดิมเลย
“นานๆทีไม่เป็นไรหรอกน่า... ทำไม หรือว่าฉันไม่ใช่เจสสิก้าก็เลยไม่อยากคุยด้วยงั้นสิ... ใช่ซี่! ฉันมันแค่เพื่อนนี่ จะไปสำคัญเท่าสุดที่รักสุดดวงใจยูลได้ยังไงกันล่ะ!” ยูริถึงกับหน้าเหวอเมื่ออีกคนเล่นทำเสียงสูงใส่ อีกทั้งยังฟังดูห้วนแปลกๆ
“โหยฟานี่ ใครจะไปกล้าคิดแบบนั้น...” เสียงฮึดฮัดดังลอดผ่านมาเป็นระยะๆเหมือนจงใจให้ร่างสูงรู้ว่าอารมณ์เจ้าหล่อนยังไม่ปกติ “เฮ้... งอนจริงดิ”
“ฮึ!”
“โอ๋คนสวยจ๋า อย่างอนเลยนะ I’m sorry จั๊กจี้หัวใจ”
“ตลก!”
“ก็ขำสิ”
“เอ๊ะ!!” คนผิวเข้มหัวเราะออกมาเบาๆ
“เลิกงอนได้แล้ว เธอก็รู้ว่าฉันง้อคนไม่เก่ง”
“ก็ฝึกๆง้อไว้หน่อยสิ เอาไว้ง้อที่รักเธอไง”
“ไม่ใช่ละ”
“ไม่ใช่อะไรเหรอ~ หืมๆ”
“ไม่เอาละ ไม่คุยด้วยแล้ว คุยกับฟานี่แล้วปวดหัว แค่นี้นะ” ว่าแล้วก็กดตัดสายไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงแย้งจากร่างบางปลายสายเลยแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นในลำคอก่อนจะลดระดับโทรศัพท์ลงแนบกาย ถอนหายใจออกมาเบาๆขณะเริ่มอาการเหม่อลอยมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
.
.
ทางด้านงานประกวดร้องเพลง แทยอนและเจสสิก้ายืนอยู่ใกล้ๆกันพยายามทำใจให้สงบ แม้จะเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะงานจะเริ่มและถึงคิวของพวกเธอ แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็อดประหม่าไม่ได้เช่นกัน เมื่องานประกวดในครั้งนี้มีผู้ชมนับหลายร้อยคน คนตัวเล็กยืนผ่อนลมหายใจอยู่เงียบๆคนเดียวโดยมีร่างบางที่แม้ภายนอกจะแสดงออกว่าไม่รู้สึกตื่นกังวลใดๆ แต่ภายในใจกลับว้าวุ่นไม่น้อย ดวงตาคู่สวยปิดลงเพื่อทำสมาธิก่อนการแสดง
“สิก้า... เจสสิก้า!” แทยอนเขย่าแขนเพื่อนสาวเบาๆแล้วจึงพยักพเยิดไปทางโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งขณะนี้กำลังสั่นเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้า ร่างบางคว้าขึ้นมาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกดรับ
“ว่าไงดงเฮ” เจสสิก้าเดินเลี่ยงออกไปอีกทางเพราะไม่ต้องการกวนเพื่อนตัวเล็กที่พยายามทำสมาธิและซ้อมร้องเพลงซ้ำไปซ้ำมาเพื่อไม่ให้ผิดพลาดเมื่อถึงเวลาจริงโดยมีสายตาของคนคิ้วบางมองไล่หลังไปก่อนจะหันกลับมาสนใจเนื้อเพลงอีกครั้ง
“อยู่ที่ไหน” เสียงห้าวจากแฟนหนุ่มเอ่ยถามให้เด็กสาวขมวดคิ้วบางๆ
“งานประกวดร้องเพลงไง ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แค่อยากถามให้แน่ใจอีกที”
“คิดว่าฉันจะโกหกอีกแล้วหรือไง เชื่อใจกันบ้างได้ไหม” เสียงหวานเอ่ยติดจะหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย อีกคนจะเอายังไงกับเธอกันนะ เจอหน้ากันทุกวัน อยู่ด้วยกันบ่อยกว่าแม่ของเธอเสียอีก ยังจะมาคอยระแวงอะไรกันนักหนา ทางด้านดงเฮเมื่อได้ยินน้ำเสียงห้วนๆของเจสสิก้าก็เอ่ยเสียงอ่อนลง
“ขอโทษ...” เด็กสาวลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากให้อีกคนนึกว่ารำคาญเสียเท่าไรนัก... แม้ว่าความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็ตามที “อื้ม ช่างมันเถอะ”
“...จะให้เราไปเชียร์ไหม”
“ว่างด้วยเหรอ” เจสสิก้าไม่ได้จงใจจะยั่วโมโหหรือกวนโทโสอีกคนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อดถามเสียงสูงไม่ได้เมื่อแฟนหนุ่มมักตอบปัดเวลานัดกันทุกครั้ง เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากติดเพื่อนกับเกม และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอออกจะขัดใจอยู่บ่อยๆ
“ว่างสิ สำหรับสิก้าเราว่างเสมอแหละ” ดงเฮเอ่ยเสียงหวาน ซึ่งเธอก็ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยแต่ไอ้ความรู้สึกขนลุกเนี่ยสิที่มีมากกว่าหลายเท่านัก
“งั้นก็ตามใจละกัน” ร่างบางถอนหายใจออกมาอีกครั้งหลังจากกดวางสาย ได้แต่นึกทำใจไม่ให้หวังกับคำสัญญาของอีกคนมากนัก เพราะเป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้วว่าดงเฮไม่เคยทำตามที่พูดไว้ได้เลยสักครั้ง เจสสิก้าเดินกลับเข้ามายืนข้างๆเพื่อนตัวเล็กซึ่งตอนนี้หลุดเข้าโลกส่วนตัวเสียบหูฟังพลางทำปากงึมงำๆตามทำนองเพลงเพียงลำพัง ก่อนที่สายตาจะเหลือบมาเห็นเพื่อนสาวร่างบางที่เดินกลับมาอีกครั้ง
“มีอะไรเหรอ หน้าตาเป็นตูดเชียว”
“นี่! ไม่กวนกันสักวันจะตายไหมยะ!” เสียงหวานแหลมสูงที่ได้รับฉายาจากเพื่อนฝูงว่าเปรียบเหมือนเสียงโลมาก็ไม่ปานแว้ดเสียดสีแก้วหูนั้นช่างบาดใจคิม แทยอนเหลือเกิน
หูแทบดับ!!
คนตัวเล็กต้องใช้ปลายนิ้วก้อยขึ้นแหย่เข้าไปในรูหูที่แสนน่าสงสารซึ่งได้รับคลื่นเสียงอันตรายของแม่เพื่อนสนิทเข้าไปจังๆ แทยอนแทบรู้สึกได้ว่ากระดูกหูอยากจะออกมากระโดดโลดเต้นภายนอก
ตอนเด็กๆถูกยัดลูกหวีดเข้าไปหรือไงยะ เสียงอย่างกับไซเรน
“นี่!! อย่ามานินทาฉันในใจสุ่มสี่สุ่มห้านะ!”
นั่นปะไร แม่คุณก็เก่งเหลือหลาย ถ้าจะอ่านใจกันได้ขนาดนี้ ไม่ส่งโทรจิตมาคุยกันเลยล่ะยะ!!
แทยอนยังคงไม่ละความพยายามที่จะบ่นนินทาอีกคนในใจงึมงำๆอยู่คนเดียว ก่อนจะรีบเปลี่ยนทันทีเมื่อเห็นสายตาจิกกัดจากเจสสิก้าพุ่งตรงมาทางเธอเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน
“โทรไปหายูลดีกว่า ไม่รู้ตอนนี้แข่งเป็นยังไงบ้าง” ร่างบางหูตาผึ่งทันทีสีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนแทยอนเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ อีกทั้งยังมาคะยั้นคะยอให้โทรหาเพื่อนตัวสูงอีกต่างหาก
เร่งจริงวุ้ย! ไม่โทรเองเลยล่ะ!
“รู้แล้วๆ จะเร่งทำไมนักหนาฮะ! โทรศัพท์ตัวเองก็มีทำไมไม่โทร”
“โทรศัพท์ไม่มีตังค์อะ” คำตอบที่ได้รับทำเอาแทยอนแทบอยากโขกหัวตัวเองกับฝาผนัง
แล้วจะมีโทรศัพท์ไว้เพื่ออะไร(วะ)คะเนี่ย!! - -!!
“ก็แหม... ปกติฉันไม่ค่อยได้โทรหาใครนี่นา อย่างดงเฮเขาก็เป็นฝ่ายโทรหาฉันก่อนทุกที” แถมถี่ซะจนน่าหงุดหงิดอีกค่างหาก ประโยคท้ายร่างบางเลือกจะเอ่ยต่อในใจ “โทรสิ! ลีลาอยู่ได้”
อะจ้ะๆ -__-
ไม่นานนักคนที่ถูกต่อสายไปก็กดรับ โดยที่เจ้าของเครื่องมือสื่อสารยังไม่ทันได้เอ่ยทักอะไรคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็คว้าหมับไปครอบครองราวกับเป็นเจ้าของเองเสียอย่างนั้น ไหนจะกรองเสียงพูดคุยกับร่างสูงเจือยแจ้วไม่เห็นหัวคนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย
เฮ้ยๆ นั่นโทรศัพท์ฉันนะยัยเป็ดอินเทรน -*-
“ยูล! เป็นไงได้แข่งรึยัง?”
“อ๋อ... จบไปรอบหนึ่งแล้ว รอรอบตัดสินน่ะ... อย่าบอกนะว่าพวกเธอจะร้องเพลงกันแล้วน่ะ!?” ปลายสายถามเสียงตื่นตาเบิกกว้างอย่างตกใจให้อีกคนยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะแสร้งทำเสียงเศร้าเล่นละครตบตาทำเอาร่างสูงสำนึกผิด
“ใช่สิ ฉันร้องจบไปตั้งนานแล้วนะ นี่ไม่รู้เหรอ... ทำไมไม่ทำตามสัญญาล่ะ” คนตัวเล็กถึงกับทำตาโตทันทีเมื่อได้ยินร่างบางเอ่ยตอบไปแบบนั้น นึกสงสารปลายสายที่ถูกแกล้งขึ้นมาตงิดๆ ยูริได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับขอโทษเสียงอ่อย
“เหรอ... ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ... ยูลก็ทำดีที่สุดแล้วล่ะ อย่าคิดมากเลย ฉันก็แค่เสียใจนิดๆเท่านั้นเอง” เจสสิก้ายังคงไม่เลิกเล่นง่ายๆจนคนตัวเล็กเริ่มทนความหมั่นไส้ไม่ไหวแย่งโทรศัพท์ตัวเองกลับมาอีกครั้งแล้วพูดแทนก่อนที่อีกคนจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“ยูล นี่ฉันเองนะ อย่าไปเชื่อที่ยัยเป็ดทองคำเปลวนี่พูด พวกฉันยังไม่ได้ประกวดหรอก ยังเหลือเวลาอีกถมถืด” ร่างบางค้อนใส่แทยอนเสียงยกใหญ่เมื่อได้ยินสรรพนามที่ใช้เรียกเธอ แต่คนตัวเล็กไม่ได้สนใจอะไรมิหนำซ้ำยังเมินใส่อีกต่างหาก “แล้วยูลล่ะ แข่งเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีนะ... แต่กว่าจะชนะได้ก็ลำบากเอาเรื่องเลย ว่าแต่ยังไม่ประกวดจริงๆใช่ไหม” ร่างสูงน้ำเสียงดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังอดถามย้ำให้แน่ใจไม่ได้แทยอนจึงตอบกลับให้อีกคนมั่นใจ “หนอยแน่ยัยจอบ มาหลอกกันได้นะ ไว้เจอตัวเมื่อไหร่ล่ะจะเอาตะปูตอกให้ฟันหายล้ำหน้าเลย”
ร่างเล็กหัวเราะรับอย่างสะใจ ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเจสสิก้าแล้วก็ยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่
“ฉันว่าแค่ตะปูคงไม่แข็งแรงพอจะใช้ดัดฟันสิก้าได้หรอก”
“งั้นจะเอาอะไรดีล่ะ”
“ฉันว่าไม่มีอะไรทนทานความแข็งแกร่งของฟันยัยนี่ได้หรอก แค่เอาตะกร้อครอบไว้อย่างเดียวก็พอมั้ง กันยัยนี่แว้งกัดเราไง” ร่างสูงหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินเสียงหวานของอีกคนแว้ดใส่แทยอนดังลอดผ่านเข้ามา ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังเมื่อซีวอนตะโกนพร้อมกวักมือเรียก
“เออแท ฉันไปก่อนนะ ดูเหมือนรอบตัดสินจะเริ่มขึ้นแล้ว” แทยอนที่ยกมือขึ้นยันหน้าผากร่างบางออกได้ยินอย่างนั้นก็กลับมากรองเสียงตอบกลับ
“เอ๊ะ งั้นเหรอ โชคดีนะยูล แล้วอย่าลืมมาให้ทันการประกวดของพวกฉันล่ะ”
“...อ่า จะพยายาม”
.
.
ยูริวิ่งกลับเข้ามายืนอยู่ข้างๆสนามแข่งอีกครั้งก็พบว่ารุ่นพี่ชายของพวกเธอนั้นยืนอยู่กลางสนามแข่งเรียบร้อยแล้ว โดยมีนักกีฬาชายอีกคนยืนประจันหน้ากันด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ไม่นานนักกรรมการก็สั่งเริ่มการแข่งขันให้ทั้งสองคนเข้ากระชากดึงอีกฝ่ายเข้าหาตัว ก่อนการแข่งจะจบลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงสามวินาที ทำเอายูริและเพื่อนๆอีกสามคนถึงกับอ้าปากค้างเป็นการต้อนรับจองซูที่เดินกลับเข้ามาพร้อมเหรียญทองที่ห้อยประดับอยู่บนคอ
“อะไรกัน ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะขำขันเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของรุ่นน้อง “เอ้า ไม่กลัวแมลงวันบินเข้าปากหรือไงยูริ”
คนถูกทักปิดปากทันใด
“ฝีมือไม่เลวนะคะรุ่นพี่ ล้มคู่ต่อสู้ภายในสามวินาที”
“อ๊ะมันแน่นอนอยู่แล้ว” จองซูเตรียมยืดอกอย่างภาคภูมิใจ หากไม่ติดว่ารุ่นน้องชายตัวแสบคนเดิมแย้งขึ้นให้อารมณ์ที่กำลังดีๆต้องหลุบหายไปทันที
“ยอดไปเลยพี่ อย่างนี้มันลื่นน้ำลายเป็ดชัดๆ พี่ไปฝึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“แทคยอน!! นายนี่มันวอนหาเรื่องฉันจังเลยนะ อยากลองดีนักใช่ไหม!! กลับไปเตรียมตัวเจอฝึกหนักได้เลย... แล้วนี่มัวมายืนปากเสียอยู่ทำไม อีกคู่เดียวก็ตานายแล้วนะ”
“ครับๆ อย่าจริงจังนักได้ไหมครับท่านพี่”
ปัง!! เป็นอีกครั้งที่การแข่งจบลงอย่างรวดเร็วให้แทคยอนโดนรุ่นพี่ชายไล่ตะเพิดไปยังสนามแข่งแทบไม่ทัน ส่วนอีกสี่คนที่เหลือก็ยืนเกาะราวกั้นระหว่างตัวสนามกับด้านนอกเอาไว้เพื่อรอดูการแข่งของแทคยอน
“แต่ว่าสมกับเป็นรอบตัดสินจริงๆนะคะ แค่ไม่กี่วินาทีก็ล้มคู่ต่อสู้ได้แล้ว” มินจีเปิดบทสนทนาขึ้นหลังจากที่กรรมการสั่งเริ่มการแข่งขัน
“อืม ไม่แปลกหรอกเพราะส่วนใหญ่คนที่จะผ่านเข้ารอบสองได้ก็ต้องมีฝีมือพอตัวอยู่แล้ว” ไม่นานนักรุ่นน้องชายจอมกะล่อนก็เอาชนะได้ด้วยท่าทาอิ โอ โทชิแล้วเดินกลับมาพร้อมเหรียญทองเช่นกัน คนอายุมากกว่าเองก็ยอมรับว่าดีใจไม่น้อย แต่ด้วยฟอร์มที่มีมากอยู่ในตัวทำให้เขาปรายตามองแทคยอนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจิกกัด
“ก็ทำได้ดีนี่ ถ้าทำตัวดีๆไม่ปากเสียล่ะก็น่าเอ็นดูกว่านี้เยอะเลยล่ะ” คนอายุน้อยกว่าเบ้ปากใส่รุ่นพี่ด้วยท่าทีกวนประสาท “ผมไม่ได้อยากให้พี่เอ็นดูสักหน่อย แค่คิดก็ขนพองสยองเกล้าแล้ว”
“นี่!!”
“โอย... อย่าเพิ่งตีกัน” ยูริต้องยกมือขึ้นห้ามเมื่อทั้งคู่ตั้งท่าจะหาเรื่องกันอีกครั้ง ร่างสูงจะไม่ยุ่งเลยหากทั้งคู่ไม่กัดกันข้ามหัวเธอแบบนี้ “ดูซีวอนแข่งดีกว่าไหม”
ซีวอนยื้อรั้งกระชากกับคู่แข่งอยู่นานพอดูกว่าจะสามารถทุ่มอีกคนลอยกระแทกเบาะได้อย่างสวยงามปิดฉากด้วยการชนะอิปป้ง เช่นเดียวกับมินจีที่หลังจากลงสนามได้ราวสองนาทีกว่าก็กลับมาพร้อมรางวัลชนะเลิศ
เอาแล้วไงล่ะ สถานการณ์เริ่มกดดันอีกครั้ง
ยูรินึกอย่างลำบากใจ ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ร่วมสถาบันต่างชนะกันอย่างถ้วนหน้ากวาดเหรียญทองกลับโรงเรียนได้กันทั้งนั้น เหลือเพียงเธอคนเดียวซึ่งเป็นคนสุดท้าย
“ไม่เป็นไรหรอกยูริ จะชนะหรือแพ้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเธอได้พยายามมากแค่ไหนต่างหาก” ฝ่ามือหนาของรุ่นพี่แตะลงบนไหล่คนผิวเข้มออกแรงบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ และก็พอจะรู้ว่ายูริกังวลกับการแข่งครั้งนี้มากแค่ไหน
“ค่ะ มันก็จริงอย่างที่พี่ว่า” คนผิวเข้มพยักรับเบาๆ “แต่ว่า...”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเมื่ออีกคนเอ่ยค้างเอาไว้ ยูริก้าวข้ามรั้วกั้นเข้าไปพร้อมเปลี่ยนไปสวมชุดยูโดสีน้ำเงิน ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกถอนออกมาแรงๆก่อนยกยิ้มจางๆให้กับตัวเอง
“ทำไมถึงรู้สึกว่า เป็นตายยังไงก็ไม่อยากแพ้” ร่างสูงเดินขึ้นเบาะไปขณะพยายามตั้งสติมีสมาธิกับการแข่งรอบตัดสิน
ไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหรือความอยากเอาชนะแต่อย่างใด 
แต่ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน อยากจะจบการแข่งนี้ให้เสร็จๆ แล้วไปจากตรงนี้เสียที
“ฮาจิเมะ!!” เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับยูริไม่รอช้าพุ่งตรงเข้าบุกคนผิวเข้มทันทีราวกับต้องการจบเกมนี้โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงเองก็ถึงกับซวนเซเพราะพละกำลังของคู่แข่งที่มีมหาศาล แต่ยังดีที่พอจะรั้งตัวเอาไว้ได้ไม่เสียสมดุลตามเกมที่อีกคนวางเอาไว้ง่ายๆ
ถ้ารีบขนาดนั้นฉันก็ไม่ขัด เพราะฉันเองก็อยากจะปิดเกมนี้ใจแทบขาดแล้วเหมือนกัน
ร่างสูงออกแรงฉุดกระชากอีกคนแล้วทุ่มคู่แข่งลอยแผ่นหลังกระแทกลงบนเบาะทันที แต่เนื่องจากความเร็วยังไม่มากพอเธอจึงได้ไปเพียงหนึ่งยูโกะเท่านั้น เป็นผลให้ยูริต้องตามลงไปจับตรึงฝ่ายขาวทันที
เด็กสาวอีกคนดิ้นขลุกขลักอยู่ด้านใต้ก่อนจะหลุดออกมาได้แล้วคว้าแขนคนตัวสูงกว่าเข้าไปล็อค ต่อด้วยการออกแรงหักแขนยูริอย่างแรงเสียจนคนเจ็บถึงกับตะโกนร้องออกมาเสียงลั่น
“โอ้ย!!!!!”
-------------------------------
อุจิมาตะ1 (UCHIMATA) หรือท่าสอดเข่าระหว่างขา
เป็นท่าทุ่มที่จำกัดอยู่ในประเภทของเทคนิคการใช้เท้า ดังนั้นเท้าจึงมีบทบาทมากในท่านี้
ข้อสังเกต ในขณะที่หมุนตัวเข้าทุ่มนั้น การสอดเท้าขวาเข้าหว่างขาของคู่ต่อสู้ เท้าขวาต้องเกร็งให้แข็ง ปลายเท้างุ้มเพื่อให้เท้าขวามีกำลังในท่าทุ่ม
โคชิ กุรุมะ2 (KOSHI-GURUMA) หรือท่าทุ่มกอดคอทุ่มตะโพก
โอโกชิ3 (OGOSHI) หรือท่าทุ่มตะโพกใหญ่
ท่าทุ่มตะโพกใหญ่เป็นท่าทุ่มในประเภทของการใช้ตะโพก เช่นเดียวกับท่าทุ่มตะโพกลอย
ข้อสังเกต การทุ่มในท่าตะโพกใหญ่นั้น ผู้ทุ่มต้องย่อตัวลงโดยให้หัวเข่าทั้งสองแยกออก มือขวาที่โอบหลังก็จะจับต่ำกว่าท่าทุ่มตะโพกลอย การทุ่มก็จะใช้สปริงตัวโดยยึดเข่าขึ้นเข้าช่วย ซึ่งผิดกับท่าทุ่มตะโพกลอย คือเข่าไม่ต้องย่อ การทุ่มใช้เพียงหมุนตัวเท่านั้น
วาซาอาริ4 ผู้ตัดสินจะประกาศวาซาอาริเมื่อเห็นว่าเทคนิคที่ถูกใช้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าว
(ก) เมื่อผู้แข่งกับการทุ่มคู่ต่อสู้อีกคนอย่างมีการควบคุม เทคนิคยังขาดหนึ่งในส่วนประกอบสามอย่าง ซึ่งจำเป็นสำหรับคะแนนอิปป้ง
(ข) เมื่อผู้แข่งได้ทำการจับเวลา และคู่ต่อสู้ไม่สามารถหนีหลุด เป็นเวลา 20 วินาทีหรือมากกว่า แต่ไม่น้อยกว่า 25 วินาที
เทียบเท่า : ถ้าผู้แข่งได้ถูกลงโทษไปสามชินโดะ ผู้แข่งขันอีกคนจะได้รับวาซาอาริทันที
วาซาอาริ อาวาซาเตะ อิปป้ง5 ถ้าผู้แข่งขันคนหนึ่งได้รับ วาซาอาริ ครั้งที่สองในการแข่งขัน ผู้ตัดสินจะประกาศ วาซาอาริ อาวาซาเตะ อิปป้ง
ทาเทะ ชิโฮ กาทาเมะ6 (TATE SHIHO GATAME) หรือท่าจับทางดิ่ง
จะ กระทำได้จากการเปลี่ยนท่าจับตรึงต่อเนื่องจากท่าอื่น หรือในขณะที่ทุ่มคู่ต่อสู้ล้มลง และตัวทับอยู่บนคู่ต่อสู้นั้นก็สามารถจับตรึงได้ทันที
วิธีการจับตรึง ขณะที่มีโอกาสอยู่บนลำตัวของคู่ต่อสู้ รีบใช้แขนซ้ายผลักแขนขวาของอีกคน ไปทางศีรษะของเขา ใช้ศีรษะบริเวณหูขวาแนบคู่ต่อสู้ โดยใช้มือทั้งสองจับกันให้แน่น โดยสอดเข้าใต้คอคู่ต่อสู้ ขณะเดียวกันใช้เท้าทั้งสองข้างสอดใต้หัวเข่าคู่ต่อสู้ ทั้งนี้เพื่อให้การจับตรึงแน่นยิ่งขึ้น
โอโซโตะ การิ7 (OSOTO GARI) หรือท่าทุ่มเกี่ยวขานอกใหญ่
ท่า นี้เป็นท่าทุ่มประเภทเทคนิคการใช้เท้า โดยการเกี่ยวขาคู่ต่อสู้และทุ่มคู่ต่อสู้ไปทางด้านหลัง ท่านี้ต้องระวังในการฝึก เพราะถ้าผู้ถูกทุ่มล้มไม่เก่งแล้วจะทำให้ศีรษะน็อคพื้นได้
คาตะ กาทาเมะ8 (KATA GATAME) หรือท่าจับที่ไหล่
ท่า นี้เป็นท่าที่นิยมกันโดยทั่วไป เพราะท่านี้ถ้าจับได้ถูกต้องแล้ว ยากแก่การแก้ไขให้หลุดได้ ทั้งนี้เพราะการจับตรึงนี้ เป็นการจับตรึงคอและหัวไหล่ของคู่ต่อสู้
วิธีการจับตรึง
1 เมื่อมีโอกาสเคลื่อนไปทางด้านขวาของคู่ต่อสู้ ผลักแขนขวาของคู่ต่อสู้ขึ้น ใช้ใบหน้าด้านข้างบริเวณระหว่างแก้มกับใบหูแนบต้นแขนของเขา ในขณะที่แขนขวาของเรารวบคอคู่ต่อสู้จากด้านซ้ายของเขามาจับกับแขนซ้ายของเรา ตั้งเข่าทั้งสองของเราขึ้น โดยให้นิ้วเท้าของเราจิกกับพื้นเบาะยูโดเพื่อง่ายแก่การเคลื่อนไหว
2 ในขณะที่คู่ต่อสู้ของเราพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการจับตรึง ให้ใช้เท้าคอยควยคุมการทรงตัว ขณะที่คู่ต่อสู้พยายามแก้ไข การเหยียดเท้าซ้ายหรือเท้าขวาก็ดี อยู่ที่การใช้แรงของคู่ต่อสู้ว่าไปทางทิศใด ส่วนแขนทั้งสองคงจับตรึงกันแน่นตลอดเวลา
ฮาเนโกชิ9 (HANEGOSHI) หรือท่าสปริงตะโพก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา